Tag: อาการ
-
หนุ่มมีแฟนเป็น “โรคตื่นตระหนกและโรควิตกกังวล” จึงออกมาแชร์ 7 วิธีรับมือกับอาการ
ต้องยอมรับว่าความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการรับมือกับผู้ที่มี อาการทางจิต ของคนทั่วๆ ไปยังถือว่าน้อย หากว่าไม่ได้เป็นผู้ที่รับการศึกษาด้านนี้หรือเป็นผู้ที่สนิทชิดเชื้อกับผู้ป่วยทางจิตมาก่อน ก็อาจรับมือได้ยากทีเดียว และวันนี้หนุ่มคนหนึ่งที่แฟนสาวของเขาเคยมีอาการของ โรคแพนิก และ โรควิตกกังวล ก็จะมาเขียนเล่าถึงวิธีการรับมือกับอาการตื่นตระหนกและวิตกกังวล ที่เขาได้เรียนรู้มาจากแฟนสาว สถิติจาก Anxiety and Depression Association of America เผยว่าในชาวอเมริกันกลุ่มโรควิตกกังวล (รวมโรคแพนิกด้วย) นั่นเป็นความเจ็บป่วยทางจิตที่พบบ่อยที่สุด กระนั้นกลุ่มโรควิตกกังวลนับว่าเป็นกลุ่มโรคที่รักษาได้ง่าย แต่ก็มีผู้ป่วยเพียง 36.9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เข้ารับการรักษา แล้วเราจะทำอย่างไรเมื่อพบว่าตัวเองหรือคนรอบข้างมีอาการของโรคแพนิกและโรควิตกกังวล ลองไปอ่านที่หนุ่มคนดังกล่าวเขียนอธิบายเอาไว้กันเลยดีกว่า… นี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาการแพนิกจากแฟนของผม 1. พยายามอย่ากอดบ่อย มันใช้เวลานานมากนะกว่าแฟนผมจะรู้สึกดีขึ้นเวลาที่ถูกกอดให้ใจเย็นลง เพราะการกอดมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้หยุดตื่นตระหนก 2. เวลาที่พวกเขาไม่ตอบคุณไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สนใจคุณนะ แต่บางครั้งเป็นเพราะพวกเขายังไม่พร้อมคุยเท่านั้นเอง อาการแพนิกบางทีก็มาตอนทะเลาะกันนั่นแหละ หลายครั้งผมก็ใช้วิธีการเงียบใส่และมันผิดพลาดมาก อันที่จริงถ้าคุณอยากคุยแต่เขายังไม่อยากคุย ก็แค่ลองใช้นิ้วสะกิดพวกเขาเบาๆ ดู 3. หายใจให้ดังๆ เข้าไว้ คุณเคยได้ยินไหมว่าหากเรากอดหรือคลอเคลียกับใคร เราจะหายใจพร้อมๆ กันโดยอัตโนมัติ หรือหากมีใครมาสูดหายใจลึกๆ ใกล้ๆ คุณมันก็จะทำให้คุณอยากหายใจตามจังหวะของคนๆ นั้น เช่นเดียวกันเลย เมื่อพวกเขาเกิดอาการแพนิกและหายใจแรงแบบควบคุมไม่ได้ ให้คุณหายใจดังๆ ช้าๆ…
-
10 วิธีการรักษาทางการแพทย์ “แปลกๆ” ในอดีต โชคดีแล้วที่เราไม่ได้เกิดมาในยุคนั้น…
โรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอกับมนุษย์เรา แต่โชคดีที่มนุษย์นั้นสามารถหาทางรักษาโรคต่างๆ ได้ แต่กว่าจะค้นหาวิธีการรักษาแต่ละโรคได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย ทุกวันนี้ เพียงการรักษาด้วยการฉีดยาหรือผ่าตัดสำหรับบางคนก็อาจจะร้อง “ยี้” แล้ว แต่ลองย้อนกลับไปสมัยก่อนที่การแพทย์กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาล่ะก็ รับรองว่าการรักษาโรคไม่ได้ทำง่ายๆ เพียงแค่ฉีดยาแน่นอน ไปชมกันเลยว่าในสมัยก่อนการรักษาโรคต่างๆ กว่าจะประสบความสำเร็จแบบทุกวันนี้ได้ต้องผ่าน ความเชื่อผิดๆ แบบไหนมาบ้าง…?? 1. รักษาด้วยการ “มีเซ็กส์กับชาย/หญิงบริสุทธิ์” ครั้งหนึ่งเมื่อคุณมีโรคติดต่อทางเพศ มีความเชื่อว่าหากไปมีเพศสัมพันธ์กับชาย/หญิงบริสุทธิ์ โรคจะถูกส่งต่อไปสู่คนผู้นั้น และคุณก็จะหาย (แถมทุกวันนี้บางที่ก็ยังเชื่อแบบนี้อยู่เลย) 2. รักษากามโรคด้วย “โรคมาลาเรีย” ครั้งหนึ่ง แพทย์ส่วนใหญ่เชื่อว่าการฉีดเชื้อโรคมาลาเรียเข้าไปในผู้ที่ป่วยเป็นโรคซิฟิลิสจะทำให้อาการไข้สามารถทำลายเชื้อของทั้งสองโรคได้ แต่ผลสุดท้ายคนไข้ก็ตายด้วยโรคมาลาเรีย 3. หนูตายรักษาได้แทบทุกอย่าง ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณซากหนูที่ตายนั้นจะถูกนำมาใช้รักษาอาการปวดฟัน ส่วนในสมัยเอลิซาเบธ ศพหนูจะถูกผ่าครึ่งแล้วนำมารักษาหูด นอกจากนี้หนูตายตามรายงานยังบอกว่าเคยถูกนำมาใช้รักษาอาการไอกรน โรคหัด ฝีดาษ และการฉี่รดที่นอนอีกด้วย 4. เหล็กแหลมร้อนรักษาริดสีดวง ในสมัยโบราณ นักบวชกลุ่มหนึ่งมีความเชื่อการใช้เหล็กแหลมร้อนเสียบเข้าไปในรูทวารนั้นสามารถรักษาอาการริดสีดวงทวารได้ 5. การใช้ปรอทเหลว ในสมัยกรีกและเปอร์เซียโบราณมีการใช้ปรอทเหลวเป็นเครื่องทาคล้ายยาขี้ผึ้ง ส่วนชาวจีนโบราณใช้เป็นยาอายุวัฒนะ และมีการใช้เป็นยาวิเศษอีกหลายแห่ง แต่ความจริงแล้วปรอทเหลวมีแต่จะนำความตายมาให้ 6.…
-
สาวเป็นโรควิตกกังวล เขียนรายละเอียดให้แฟนหนุ่มได้อ่าน เพื่อให้เข้าใจในสิ่งที่เป็นอยู่…
อาการหรือโรคที่เกี่ยวกับทางด้านจิตใจภายใน เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ยากและยากที่จะเข้าใจได้สำหรับบุคคลที่ไม่ได้เป็น เนื่องจากไม่สามารถคาดเดาอารมณ์หรือความรู้สึกนึกคิดของผู้ป่วยได้ และควรจะรับมืออย่างไร… ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกเผยว่า โรควิตกกังวล เป็นโรคทางจิตที่มีผู้ป่วยมากที่สุดในอัตรา 1 ต่อ 13 คนทั่วทั้งโลก ความวิตกกังวลเหล่านี้ จะทำให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตประจำวันได้ยากมากขึ้น แม้จะเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ ก็ตาม Kelsey Darragh Kelsey Darragh ได้แชร์ประสบการณ์เผยถึงโรควิตกกังวลของเธอ พร้อมกับเขียนรายละเอียดลงในสมุด เพื่อให้แฟนหนุ่มได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเธอและโรคนี้ เธอได้จดรายการ 15 สิ่งที่ควรทำเพื่อรับมือกับอาการของเธออย่างถูกต้อง “ฉันเป็นโรคแพนิคกับโรควิตกกังวล แฟนฉันไม่ได้เป็น แต่เขาต้องการที่จะเข้าใจมันเพื่อที่เขาจะช่วยฉันได้ ฉันก็เลยทำลิสต์มาให้ แชร์ให้กับคนที่คุณรักเพื่อเป็นแนวทางนะ” เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคทางจิตใจ เธอจึงทำลิสต์สิ่งที่ควรปฏิบัติต่อผู้ป่วยให้แฟนหนุ่ม เพื่อที่จะรับมือได้อย่างถูกวิธี 15 สิ่งที่คุณสามารถช่วยให้ฉันก้าวผ่านอาการแพนิควิตกกังวลไปได้ 1) ต้องรู้ก่อนว่าฉันกลัวจริงๆ แต่อธิบายไม่ถูกว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งสติแตกหรือรำคาญกันเลยนะเธอจ๋า 2) หายามาให้ทันทีหากรู้ว่าอยู่ใกล้ๆ และต้องให้มั่นใจด้วยว่าฉันกินจริงๆ 3) การฝึกหายใจอาจจะทำให้รู้สึกหงุดหงิด แต่ก็จำเป็นสำหรับการควบคุมตัวฉันเอง ให้หายใจเป็นจังหวะพร้อมกับเธอ 4) ให้คำแนะนำอย่างอ่อนโยนเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะทำด้วยกันได้ เพื่อเบี่ยงเบนอาการกลัวออกไป (อย่าบอกว่าต้องทำหรือควรทำอย่างนู้นอย่างนี้)…
-
ชายผู้ติดอยู่ในร่างเด็ก อาการผิดปกติที่ทำให้เขาหยุดเจริญเติบโต แม้จะมีอายุ 23 ปีแล้วก็ตาม…
โดยธรรมชาติแล้ว ทุกชีวิตเมื่อเกิดมาจนผ่านไปจนถึงระยะเวลาหนึ่ง ร่างกายก็จะเจริญเติบโตขึ้นตามอายุด้วย แต่สำหรับชายชาวอินเดียผู้นี้แล้ว หากใครเห็นเขาเป็นครั้งแรก ก็คงจะคิดว่าเป็นเด็กในช่วงแรกเกิด ซึ่งในความเป็นจริงเขามีอายุ 23 ปีแล้ว… Manpreet Singh วัย 23 ปี จากทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ประสบกับอาการผิดปกติที่ทำให้เขาต้องติดอยู่ในร่างกายแบบเด็ก มีน้ำหนักตัวอยู่ที่ราวๆ 5 กิโลกรัมเท่านั้น แม้จะมีอายุถึงหลัก 20 แล้วก็ตาม อย่างไรก็ตาม เขามีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์พร้อมในช่วงแรกเกิดปี 1995 และหยุดการเจริญเติบโตก่อนที่เขาจะหัดเดินและหัดพูดได้ และปัจจุบันเขาก็ต้องได้รับการดูแลเหมือนเด็กน้อยอยู่ตลอด โดยที่มีคุณลุงและคุณป้าคอยพาไปทุกที่ ด้านนักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า Manpreet อาจจะเป็นโรคกลุ่ม Laron Syndrome อาการผิดปกติหายาก แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ เนื่องจากทางครอบครัวยังไม่มีเงินมากพอที่จ่ายเพื่อเข้ารับการตรวจร่างกาย ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 220,000 บาท สำหรับผู้เป็นโรคกลุ่ม Laron นั้นจะขาดฮอร์โมนที่ชื่อว่า Insulin-like Growth Factor 1 (IGF-1) ที่ทำหน้าที่กระตุ้นเซลล์ให้เจริญเติบโตและแบ่งตัวออกเป็นเซลล์ใหม่ Manpreet…
-
หญิงผู้ใช้ชีวิตในห้องปลอดเชื้อ 13 ปี แพ้แทบทุกอย่างบนโลก แม้จะกอดคนรักก็ยังไม่ได้
ตามปกติแล้วการที่คนเราต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่ควรจะมีติดตัวอยู่กับทุกคนคืออิสระในการไปไหนมาไหน สัมผัสอะไรก็ได้ตามใจต้องการ… สำหรับ Juana Munoz วัย 53 ปี จากเมืองกาดิซ ประเทศสเปน กลับต้องใช้ชีวิตที่แตกต่างจากคนอื่น ถูกตัดขาดจากอิสระที่หวังเอาไว้ เพราะทุกสิ่งจากโลกภายนอกอาจคร่าชีวิตเธอได้ ทำได้แค่เพียงมองผ่านจากตู้กระจกปลอดเชื้อที่เป็นบ้านของเธอมาตลอด 13 ปี หลังจากที่เธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายแรง 4 ชนิด ทั้งอาการแพ้สารเคมีหลายชนิด โรคไฟโบรมัยอัลเจีย อาการล้าเรื้อรัง และภูมิแพ้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้เธอไม่เหลือทางเลือกใดๆ จนจำเป็นต้องตัดขาดตัวเองออกจากโลกทั้งใบ เพื่อมาอาศัยอยู่ในตู้กระจกแบบนี้ เธอจะไม่สามารถออกจากตู้กระจกนี้ได้ ถ้าหากไม่ปฏิบัติตามกฎที่เข้มงวด และใครก็ตามที่จะเข้ามาหาเธอ ต้องชำระล้างร่างกายให้ปลอดจากสารเคมี และสวมเสื้อผ้าที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติเท่านั้น สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคือ คนในครอบครัวไม่สามารถแตะเนื้อต้องตัวเธอได้เลย ถึงขั้นที่ว่าการกอดอาจทำให้เธอตายได้ มีเพียงแค่ลูก 2 คน ที่ได้รับอนุญาตให้กอดเธอได้ 2 ครั้งต่อปี และการกอดแต่ละครั้งจะต้องผ่านการเตรียมการหลายวัน ฝันร้ายของ Juana เริ่มต้นเมื่อ 29 ปีก่อน จากมันฝรั่งที่ปลูกในสวนหลังบ้าน เมื่อเธอจับมันฝรั่งลูกนั้น…
-
มารู้จักกับ 9 โรคหายาก พร้อมกับอาการแปลกประหลาดที่เราอาจไม่เคยเห็นกันมาก่อน
ความผิดปกติทางร่างกายหลายๆ อย่างในปัจจุบันนั้นสามารถอธิบายได้ด้วยกระบวนการทางการแพทย์ แต่โรคที่เรารู้จักกันทั่วไปนั้นอาจเป็นแค่เรื่องธรรมดาไปในทันที เมื่อเทียบกับโรคที่เพื่อนๆ กำลังจะได้เห็นกันต่อไปนี้ ทั้งหมดนี้คือโรคที่เราอาจไม่ได้เห็นกันในชีวิตประจำวัน เรียกว่าเป็นโรคหายากที่แทบไม่มีใครรู้จักมาก่อนเลยก็ว่าได้ ยิ่งไปกว่านั้นอาการต่างๆ ของแต่ละความผิดปกติก็ดูเหมือนจะแปลกเหนือความคาดหมายของเราอีกด้วย เราลองไปทำความรู้จักกับโรคเหล่านั้นกันดูดีกว่า ว่าแต่ละอาการมันเป็นอย่างไรบ้าง และเกิดขึ้นจากอะไร 1. โรค Fibrodysplasia Ossificans Progressive (FOP) มีอีกชื่อหนึ่งว่าโรค Stone Man Syndrome เพราะอาการของมันจะทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกาย อย่างเช่น กล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ และเอ็น เปลี่ยนเป็นเหมือนกับกระดูก มีลักษณะแข็งยึดติดกัน ทำให้ขยับตัวแทบไม่ได้เหมือนกับมนุษย์หิน ซึ่งมันจะเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงวัยเด็กตอนที่ร่างกายกำลังเกิดกระบวนการสร้างกระดูก โรคตามกรรมพันธุ์นี้มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากๆ เพียงแค่ 1 ในสองล้านคน และเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาเยียวยา หากใครพยายามที่จะผ่าตัดเอากระดูกบางส่วนออก บริเวณที่ทำการผ่าตัดนั้นก็จะยิ่งมีกระดูกงอกขึ้นมามากกว่าเดิม 2. โรค Cotard’s Delusion คืออาการทางจิตหายากที่ทำให้ผู้ป่วยเชื่อว่าตัวเองมีบางส่วนของร่างกายหายไป อย่างเช่นสมอง หรืออาจคิดว่าตัวเองตายไปแล้ว ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะไม่กิน ไม่อาบน้ำ อยู่แต่ในสุสานหรือป่าช้า เพราะการได้เจอคนตายทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าได้เจอพวกเดียวกัน โรคนี้จึงมีอีกชื่อว่า Walking Corpse…
-
เผยภาพหลอนจากโรงพยาบาลบ้าในอดีต ของผู้ป่วยโรค ‘ฮิสทีเรียหญิง’ จากศตวรรษที่ 19
ในยุคสมัยความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์ยังไม่เอื้ออำนวย อาการผิดปกติทางระบบประสาทและจิตนั้นจะถูกมองว่าเป็นผลของเวทมนตร์คาถาในสายตาของผู้คนทั่วไป แต่ทว่าทางด้านการแพทย์นั้นจะถูกมองโดยรวมว่าเป็นบ้าแทน… สิ่งสำคัญที่ทำให้แพทย์สามารถวิเคราะห์อาการของผู้ป่วยได้ก็คือภาพถ่าย หนึ่งในการเก็บข้อมูลผู้ป่วยเพื่อใช้ในการวินิจฉัยและหาหนทางรักษา ซึ่งในอดีตนั้นภาพถ่ายเก่าๆ ก็จะมีความซีดจางบวกการแสดงอาการของผู้ป่วยก็ยิ่งทำให้ดูหลอนได้อีก!! หนึ่งในผู้ป่วยที่กำลังกรีดร้องต่อหน้ากล้องถ่ายภาพ ภาพถ่ายชุดนี้คาดว่าถูกถ่ายไว้ในช่วงปีค.ศ. 1878 – 1910 จากโรงพยาบาล ปีเต-แซลแปตริแยร์ (Pitié-Salpêtrière) ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และอาการของผู้ป่วยหญิงเหล่านี้ถูกจำกัดความด้วยชื่อโรค “ฮิสทีเรียหญิง” หรือชื่อพฤติกรรมการกินผิดปกติในปัจจุบัน ประวัติของผู้ป่วยนั้นไม่ได้รับการเปิดเผยแต่อย่างใด โดยที่รูปถ่ายเหล่านี้เป็นฝีมือของ Albert Londe ช่างภาพที่ถูกจ้างจากนักประสาทวิทยา Jean-Marie Charcot เพื่อถ่ายภาพของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาอาการทางจิต นานนับศตวรรษ โรคฮิสทีเรียหญิงถูกจัดให้เป็นโรคทั่วไปและจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงเท่านั้น พร้อมทั้งอาการที่กระทบต่อสุขภาพจิตหลากหลายทาง… เช่น หงุดหงิดง่าย, มีความต้องการทางเพศ, นอนไม่หลับ, ถ่ายของเหลวไม่ออก, หายใจถี่, ปวดช่องท้องรุนแรง รวมไปถึงนิสัยการก่อปัญหาต่างๆ ผู้ป่วยหญิงกับอาการทางจิต ที่ก่อตัวมาจากโรคฮิสทีเรีย ในอิริยาบถพนมมือสวดภาวนา จนกระทั่งในศตวรรษที่ 19 โรคฮิสทีเรียนั้นมีความเกี่ยวข้องกับมดลูก และได้รับการกล่าวกันว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความวุ่นวายออกมาจากร่างกายของผู้หญิง เหล่าหญิงผู้โชคร้ายที่ประสบกับโรคฮิสทีเรียจะถูกนำไปกักตัวในโรงพยาบาลบ้าทันที…
-
หนุ่มผู้ยอมรับตัวตน กับอาการเสพติดเซลฟี่รุนแรง มีความสุขที่ได้ถ่ายรูปตัวเอง 200 รูปต่อวัน!!
การเซลฟี่ในยุคสมัยปัจจุบันกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับไปโดยปริยายแล้วล่ะ เพราะไม่ว่าจะไปไหนหรือไปทำอะไร คนเราก็อยากจะถ่ายรูปตัวเองพร้อมกับสถานการณ์ ณ ตอนนั้น เพื่อนำมาแชร์ให้กับคนรู้จักได้รับรู้ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ แต่คงไม่มีใครเซลฟี่รูปตัวเองแบบหนักหน่วงและต่อเนื่องได้เท่าพ่อหนุ่ม Junaid Ahmed วัย 22 ปีคนนี้แล้วล่ะ และที่หนักขนาดนั้นเป็นเพราะว่า เจ้าตัวเผยถึงจำนวนการเซลฟี่อยู่ที่ขั้นต่ำ 200 รูปต่อวัน!! Junaid Ahmed Junaid Ahmed อดีตนักศึกษาสาขาแฟชั่นและอดีตนายแบบ วัย 22 ปี จากเมืองปีเตอร์โบโรห์ ประเทศอังกฤษ มีความลุ่มหลงกับการเซลฟี่เป็นอย่างมาก โดยที่เขานั้นจะใช้เวลาเตรียมตัวเซลฟี่ประมาณ 3 ชั่วโมง ได้จำนวนรูปภาพอย่างต่ำหลัก 200 รูป จากนั้นจะคัดเลือกรูปที่ดูดีที่สุดและอัปโหลดสู่อินสตาแกรม เขาจะใช้เวลาแต่งหน้าทำผมหน้ากระจกก่อนเสมอ หลังจากนั้นก็จะทำการเซลฟี่อย่างต่อเนื่องทุกๆ วัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้ติดตามในอินสตาแกรมกว่า 50,000 คน จะได้เห็นในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจนำเสนอ ซึ่งนอกเหนือจากการแต่งหน้าแล้ว เขาก็ได้รับการผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้าอีกหลายส่วนด้วย “เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมโพสต์รูปภาพไปแล้ว ภายใน 1 หรือ 2 นาทีแรกก็จะได้รับจำนวนไลก์เกิน…
-
นี่แหละคือความจริงทั้ง 9 ข้อของ ‘โรคจิตเภท’ ที่คุณอาจเข้าใจผิดมาตลอดชีวิต…
โรคจิตเภท คืออาการทางจิตของมนุษย์เรา ทำให้ผู้ที่เป็นโรคนี้เกิดความคิดและความเชื่อแปลกๆ ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง บางครั้งอาจทำให้เกิดภาพหลอน มองเห็นอะไรที่ไม่เป็นความจริง หลายครั้งมนุษย์เราเรียกคนที่เป็นโรคจิตเภทว่า “คนบ้า” แน่นอนว่า อาการทางจิตทั้งหลายเป็นเรื่องเข้าใจยาก โดยเฉพาะโรคจิตเภททีี่ถือว่าเป็นโรคค่อนข้างรุนแรง ยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นการที่คนเราไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “โรคจิตเภท” นั้นยิ่งทำให้ผู้ที่เป็นโรคนี้ยิ่งใช้ชีวิตอยู่บนโลกได้ลำบากมาขึ้น วันนี้เราจึงขอเสนอ 9 ความจริงเกี่ยวกับโรคจิตเภทที่หลายคนยังเข้าใจผิดอยู่ ว่าแต่มีความจริงอะไรบ้าง เชิญไปรับชมกันได้เลย… 1. คนเป็นโรคจิตเภทจะมีหลายบุคลิก ถ้าจะพูดให้ถูกจริงๆ แทนที่จะใช้คำว่ามีหลายบุคลิก ควรใช้คำว่า “จิตใจซับซ้อน” มากกว่า เพราะไม่ใช่ผู้ป่วยโรคจิตเภททุกคนจะมีหลายบุคลิกหรือหูแว่ว การมีจิตใจซับซ้อนและหลายรูปแบบนั้นทำให้ผู้ป่วยมีอารมณ์แปรปรวน เช่น เดี๋ยวชอบเดี๋ยวเกลียดสิ่งเดียวกันในเวลาอันสั้น หรืออาจจะเสียใจอย่างหนักกับเรื่องเล็กๆ แต่กลับเฉยชากับความโศกเศร้าที่รุนแรง เป็นต้น 2. โรคจิตเภทเป็นโรคที่หายาก ไม่เชิงเป็นจริงเสียทีเดียว จากประชากรทั้งหมด จะมีผู้เป็นโรคนี้เพียง 1 เปอร์เซ็นต์ซึ่งดูเหมือนน้อยก็จริง แต่มันกลับถูกพบเห็นได้บ่อยกว่าที่คิด ในทุกๆ 1,000 คน จะมีคนเป็นโรคจิตเภทประมาณ 5 คนได้ 3. ผู้คนที่เป็นโรคจิตเภทนั้นคาดเดาไม่ได้…
-
17 อาการของคนเสพติด ‘กาแฟ’ จะเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะทุกเช้าเราต้องชาร์จจจจจจ
ทุกคนต่างมีความชอบเป็นของตัวเอง บางคนชอบเล่นเกม บางคนชอบฟังเพลง หรือบางคนชอบอ่านหนังสือ จนบางครั้งที่เราชอบทำสิ่งนั้นมากๆ อยู่กับมันทุกๆ วัน มันก็จะแปรเปลี่ยนไปเป็นการเสพติด และหนึ่งในการเสพติดที่หลายๆ คนมักจะเป็นคือการเสพติดกาแฟ จากตอนแรกที่เราดื่มมันเพื่อให้ตัวเองรู้สึกตื่นตัวในตอนเช้า กลับกลายเป็นว่าหลังๆ เราดื่มมันทุกวันจนขาดไม่ได้กันเลยทีเดียว และนี่คืออาการของการเสพติดดังกล่าวที่เชื่อว่าเหล่าผู้ชื่นชอบการดื่มกาแฟจะเข้าใจเป็นอย่างดี ลองไปดูกันเลย รู้สึกหงุดหงิดเวลาตื่นมายามเช้า “เธอต้องตื่นได้แล้วนะ” “เธอเองก็ต้องไสหัวไปให้พ้นซะนะจ๊ะ” คร่ำครวญหาแต่กาแฟ จนกว่าจะได้ดื่มสักจิบนึง ความอดทนต่ำแบบสุดๆ ในช่วงก่อนเที่ยง ในภาพบนจอถามว่า “วันนี้คุณต้องการรับอะไร” เขาจึงแปะกระดาษไปด้วยความอารมณ์เสียว่า “อะไรก็ได้เอามาเถอะ” มีความสามารถในการตามหาร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ที่สุด หรืออยู่รอบๆ บริเวณนั้นทั้งหมด มีการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์อย่างชัดเจน ในตอนก่อนและหลังได้ดื่มกาแฟ สามารถเดาได้เลยว่าคุณจะเข้าห้องน้ำเวลาไหนบ้าง ในภาพสื่อถึงปริมาณการดื่มที่ส่งผลต่อการเข้าห้องน้ำ ตอนแรกๆ อาจยังไม่เท่าไหร่ แต่พอใกล้หมดแก้วก็จะรู้สึกอยากถ่ายหนักขึ้นมาทันที มีแนวโน้มที่จะตัดสินรูปแบบการกินกาแฟของคนอื่นๆ ถ้าจะใส่วิปครีมเยอะขนาดนี้ ก็อย่าเรียกว่าเป็นกาแฟอีกต่อไปเลย สามารถแสดงประสิทธิภาพการทำงานได้มากกว่าค่าเฉลี่ย เมื่อได้รับคาเฟอีนที่เพียงพอ รู้สึกว่าชีวิตเปลี่ยนไปเป็นคนละขั้ว ปวดหัว เวลาที่ไม่ได้รับคาเฟอีน เกิดอาการหวาดระแวงบ้างเป็นครั้งคราวคิดว่าตัวเองจะเป็นโรคหัวใจวายตาย…
-
เรื่องราวของชายผู้ที่ถ่ายเพียงเดือนละครั้ง บ่มเพาะปัญหาลำไส้อุดตัน จุของเสียขนาดยักษ์…
สิ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้ นอกจากการหายใจและการทานอาหารแล้ว “การขับถ่าย” ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ลองจินตนาการว่ามันจะเป็นอย่างไร หากเราทานอาหารเข้าไปในทุกๆ วันแต่เราไม่ขับถ่ายเลย… หากยังจินตนาการไม่ออกล่ะก็ เรามีเรื่องราวของชายผู้หนึ่งมานำเสนอ ชายผู้นี้ใช้ชีวิตของเขาไปพร้อมกับการ ขับถ่ายอุจจาระเพียง “เดือนละหนึ่งครั้ง” เท่านั้น ชื่อของชายผู้นี้ไม่ถูกเปิดเผย แต่เขาเป็นคนที่มีอาการของ โรคลำไส้ใหญ่โป่งพองโดยกำเนิด หรือ Hirschsprung’s disease เป็นอาการที่เกิดจากเซลล์ประสาทบริเวณปลายลำไส้ใหญ่ของบุคคลผู้นั้นมีการพัฒนาที่ไม่สมบูรณ์ส่งผลให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหวน้อย อุจจาระผ่านได้ยากและเกิดการอุดตัน อิงจาก วิทยาลัยการแพทย์ของฟิลาเดลเฟีย เมื่อเขายังเป็นเด็กทารก เขามีสุขภาพทั่วไปแข็งแรงเป็นปกติ เว้นแต่เพียงว่ามีขนาดท้องที่ใหญ่และมีอาการท้องผูกเล็กน้อย แต่เมื่อเขามีอายุได้หนึ่งขวบครึ่ง อาการก็แย่ลง เมื่อเขาโตขึ้นเขาก็ต้องพบกับความเจ็บปวดจากอาการท้องผูกรุนแรงและขนาดท้องที่พองขึ้นเรื่อยๆ เวลาผ่านไปจนเขามีอายุได้ 16 ปี เขากลายเป็นผู้ที่ขับถ่ายเพียงเดือนละหนึ่งครั้ง แม้ว่าทางการแพทย์จะทราบถึงอาการนี้ดีว่ามันเกิดจากปัญหาของปลายลำไส้ใหญ่ แต่การผ่าตัดลำไส้นั้นเป็นวิธีการรักษาที่ถือว่าเสี่ยงมากในสมัยช่วงปี 1890 น่าเสียดายว่าแทนที่เขาจะได้รับการช่วยเหลือ เขาในวัย 20 ปีกลับต้องไปแสดงตัวที่พิพิธภัณฑ์ราคาถูก เขาเป็นที่รู้จักกันในนาม “มนุษย์ถุงลม (Wind Bag)” หรือ “มนุษย์ลูกโป่ง (Balloon Man)” ผู้คนจะจ่ายเงินเพื่อเข้ามาดูท้องที่โป่งพองของเขา สุดท้าย มนุษย์ลูกโป่งคนนี้ก็เสียชีวิตลงในวัย 29 ปี เนื่องจากโรคทางลำไส้และการขับถ่ายของเขา ศพของเขาถูกพบในห้องน้ำขณะที่เขาพยายามจะขับถ่าย หลังจากที่เขาเสียชีวิตลงก็มีการผ่าตัดลำไส้ของเขาออกมา…
-
10 อาการเจ็บปวดที่หลายๆ ครั้งคุณอาจมองข้าม แต่ตอนนี้ควรหันมาสนใจมันได้แล้วนะ!!
หากคุณเคยรู้สึกเจ็บปวดร่างกายส่วนไหนเป็นพิเศษ เช่นอยู่ๆ ก็ปวดหัว เจ็บหน้าอก หรือปวดหลัง บ่อยครั้งที่เรามักจะคิดว่ามันเกิดจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ หรืออาจจะเกิดจากสภาพร่างกายที่อ่อนแอในช่วงนั้นของเรา เดี๋ยวมันก็คงหายไปเอง ทว่าทางที่ดีแล้วถ้ามีอาการที่ว่ามานี้คุณควรจะไปตรวจร่างกายเสียหน่อยจะดีกว่านะ เพราะอาการเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้อาจจะบ่งบอกได้ว่าร่างกายของคุณกำลังมีปัญหาที่ร้ายแรงกว่าซ่อนอยู่ก็ได้ ลองไปดูกันว่าอาการไหนที่บ่งบอกว่าคุณอาจจะป่วยได้บ้าง 1. ปวดหัวแบบเฉียบพลัน ถ้าจู่ๆ คุณก็รู้สึกปวดหัวแบบรุนแรงจนแทบทนไม่ได้ มันอาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณเป็นโรคหลอดเลือดในสมองโป่งพอง ถ้าหากคุณเป็นโรคนี้แล้วปล่อยมันทิ้งไว้อาจจะทำให้เส้นเลือดในสมองแตกเลยก็ได้นะ 2. ปวดฟันเมื่อดื่มหรือกินของเย็น หากคุณเกิดอาการนี้แสดงว่าผิวชั้นนอกของฟันคุณอาจจะถูกทำลาย ส่งผลให้เส้นประสาทถูกกระทบโดยตรงเวลาคุณกินของเย็นหรือร้อนมากๆ นอกจากจะทำให้คุณปวดจี้ดแล้วคุณยังมีโอกาสติดเชื้อจากแบคทีเรียจนเชื้อลุกลามไปยังส่วนอื่นของร่างกายด้วย ควรพบหมอฟันโดยด่วน 3. ปวดหรือชาบริเวณมือหรือแขน เมื่อคุณรู้สึกเจ็บหรือชาฝ่ามือ ข้อมือ หรือนิ้วมือ โดยเฉพาะนิ้วโป้ง นิ้วชี้และนิ้วกลาง คุณอาจจะมีโอกาสเป็นโรคเส้นประสาทกดทับบริเวณข้อมือ และถ้าทิ้งไว้นานๆ อาจจะทำให้มือของคุณใช้การไม่ได้ไปเลย 4. เจ็บหน้าอก อาการเจ็บอกเป็นสัญญาณเบื้องต้นของโรคหัวใจ มักจะเกิดจากการที่หัวใจมีออกซิเจนไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ยิ่งถ้าอาการเจ็บนี้ไล่ไปถึงไหล่ คอ หรือขากรรไกรก็ยิ่งชัดเจนว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูง 5. ปวดบริเวณกลางหลัง ถ้าคุณรู้สึกปวดหลังแล้วยังมีไข้หรือรู้สึกวิงเวียนศรีษะตามมาด้วย ก็แสดงว่าไตของคุณอาจจะติดเชื้อ…
-
“Latah Syndrome” อาการของโรคบ้าจี้ มันมีอยู่จริงๆ เค้าไม่ได้แกล้งนะตัวเอง!!
สำหรับในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ถ้าหากใครได้ติดตามเรื่องราวบนโลกออนไลน์ ก็คงจะเคยเห็นคลิปของชายหนุ่มที่มีอาการบ้าจี้และขี้ตกใจ ที่ทำเอาชาวเน็ตถึงกับฮาท้องแข็งไปตามๆ กันเลยทีเดียว คลิปวิดีโออาการบ้าจี้ของคุณกฤติเดช สมตน ได้รับความนิยมจากชาวเน็ตอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามก็ได้มีหลายๆ คนตั้งข้อสงสัยว่า แท้จริงแล้วอาการดังกล่าวนั้นเป็นเพียงแค่การแกล้งทำ หรือเป็นอาการที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จริงๆ กันแน่!? และเพื่อเป็นการคลายความสงสัยของทุกคน วันนี้เราก็ได้นำข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับอาการดังกล่าวมาฝากกัน… อาการบ้าจี้หรือที่เรียกว่า Latah Syndrome ถือเป็นความผิดปรกติทางพฤติกรรมของผู้คนที่มักจะแสดงอาการตกใจขึ้นมาอย่างกระทันหัน เมื่อถูกกระตุ้นจากสิ่งรอบข้าง คำว่า Latah คือคำภาษามาเลเซียที่มักใช้เรียกอาการของกลุ่มหญิงสาวที่มีอาการกลัวและทำตามสิ่งที่ถูกบอกอย่างหยุดไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นมีคนพูดใกล้ๆ พวกเธอว่า “งู” พวกเธอก็จะพูดว่า “งู” ตามนั่นเอง และอาการดังกล่าวยังมีในกลุ่มประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างประเทศไทย อินโดนีเซียอีกด้วย จากงานวิจัยในปี 2001 ได้ทำการศึกษากลุ่มอาการของโรคดังกล่าว และได้ข้อมูลที่น่าสนใจที่ระบุว่าผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับความเครียดอย่างเช่นการสูญเสียลูกหรือสามีมาก่อน มีโอกาสที่จะเกิดอาการดังกล่าวตามมา และนอกจากนี้อีกกลุ่มหนึ่งที่มีโอกาสเป็นโรคบ้าจี้ได้ก็คือผู้ที่มักจะมีการฝันแบบแปลกๆ นั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามความเชื่อมโยงเกี่ยวกับกลุ่มอาการดังกล่าวนั้นยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญก็ได้ให้คำแนะนำว่า ผู้ที่อาการดังกล่าวควรที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น และค่อยๆ ปรับพฤติกรรมไม่ให้ตอบสนอง แต่ในกรณีที่มีความรุนแรงและมีการเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดปรกติดจนรบกวนชีวิตประจำวันเป็นเวลานานก็ควรที่จะพบแพทย์เพื่อใช้ยาในการรักษา และปรับพฤติกรรมต่อไป ที่มา wikipedia, anthropology
-
ผู้เล่นในโลกเกมเสมือน ต่างทำได้เพียงแค่ยืนมองดูผู้เล่นที่เป็นลมชัก นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น…
ปัจจุบันนี้สื่อบันเทิงในด้านเกมนั้น มีการพัฒนาไปไกลมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (Virtual Reality) ที่หลากหลายบริษัทพัฒนาเกมต่างให้ความสนใจ และลงทุนพัฒนาออกมาเรื่อยๆ เรียกได้ว่าเป็นกระแสคลื่นลูกใหม่ที่ให้ผู้เล่นได้สัมผัสประสบการณ์ที่สมจริงไปอีกขั้น แต่ทว่าในโลกเสมือนกับโลกแห่งความเป็นจริงนั้นยังมีความแตกต่างกันอยู่ เพราะว่าถึงแม้ผู้เล่นจะมีตัวตนในโลกเสมือน แต่ก็ไม่อาจมีปฏิสัมพันธ์กันได้ในโลกแห่งความเป็นจริง… ซึ่งในกรณีนี้ก็เกิดขึ้นกับผู้เล่นในเกม VRChat โลกเสมือนออนไลน์ที่ให้ผู้เล่นสวมแว่น VR มาเจอกัน พร้อมกับรองรับระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวร่างกายด้วย ยูทูบเบอร์ Rogue Shadow VR ภาพเหตุการณ์อันน่าหดหู่นี้ถูกบันทึกโดยยูทูบเบอร์นามว่า Rogue Shadow VR โดยที่เขาได้อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเอาไว้ว่า… เขาและผู้เล่นคนอื่นๆ กำลังสนุกสนานกับสภาพแวดล้อมภายในเกมอยู่ จู่ๆ ก็มีผู้เล่นรายหนึ่งลักษณะเป็นตัวหุ่นยนต์สีดำแดง นอนลงไปกองกับพื้นและเริ่มมีอาการชักกระตุก โดยในตอนแรกนั้นยังไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าเป็นข้อผิดพลาดของเกมหรือเป็นการจงใจของผู้เล่น ที่มักจะมีการทำอะไรแผลงๆ ภายในเกมกันเป็นประจำ และหลังจากที่ไตร่ตรองกันดีๆ แล้ว จึงทำให้รู้ได้ว่าผู้เล่นรายนี้ไม่ได้แกล้ง แต่เขาประสบกับอาการลมชักจริงๆ และตัวละครในเกมก็แสดงอาการออกมาตามตัวเขาด้วย ซึ่งเจ้าตัวไม่สามารถตอบสนองกับคำถามของผู้เล่นอื่นๆ ได้เลย แถมยังมีอาการหายใจติดขัดในระหว่างที่กำลังอยู่ในโลกเสมือน (และในโลกแห่งความเป็นจริง) “มันเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก ที่ได้เห็นผู้คนต่างมาร่วมแสดงความห่วงใยต่อใครบางคนที่พวกเขาไม่รู้จัก แต่ในขณะเดียวกัน มันก็รู้สึกแปลกๆ เพราะเราไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้เลย…” “เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขาอยู่บนส่วนไหนของโลกใบนี้…
-
7 เรื่องราวเกี่ยวกับ ‘ฉี่’ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน แต่รู้ไว้ก็ดีนะเพราะมันเกี่ยวกับสุขภาพของคุณ!!
บางครั้งการตรวจสุขภาพร่างกายของเราก็สามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ ในห้องน้ำที่บ้าน อย่างที่หลายๆ คนพอจะทราบกันดีว่าเราสามารถตรวจสุขภาพของลำไส้หรือกระเพาะได้ง่ายๆ โดยสังเกตจากสภาพของ ‘ทองคำ’ ที่เบ่งออกมา และเมื่อไม่นานมานี้ทางเว็บไซต์ Bright Side ก็ได้แนะนำวิธีตรวจสอบร่างกายเราง่ายๆ จากปัสสาวะของเราพร้อมกับแนะนำวิธีดูแลตัวเองอีกด้วย จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นไปชมกันเลย!! เริ่มกันที่สีส้ม ปัสสาวะสีนี้อาจเป็นผลมาจากการทานยายาแก้อัก ยาระบาย การทำเคมีบำบัด การทานวิตามินบี 2 หรือการบริโภคพืชผักที่มีสารเบต้าแคโรทีนมากเกินไปนั่นเอง นอกจากนี้การดื่มน้ำน้อยก็อาจจะทำให้ปัสสาวะของคุณมีสีส้มถึงส้มเข้มได้อีกด้วย แต่สิ่งสำคัญอีกข้อหนึ่งนั่นก็คือลองเช็กดวงตาของคุณถ้าหากมีสีเหลืองด้วยล่ะก็นั่นอาจจะหมายความว่าตับของคุณเริ่มมีปัญหาแล้ว!! สีชมพูหรือสีแดงระเรื่อ แน่นอนว่าอะไรที่เป็นสีแดงๆ นั้นมักจะทำให้พวกเราใจคอไม่ดี แต่อย่าเพิ่งแตกตื่นกันเพื่อนรักบางครั้งสาเหตุของปัสสาวะสีแดงนั้นอาจจะมาจากอาหารอย่างบีทรูท พวกเบอรี่ต่าง หรือยาปฏิชีวนะอย่าง Rifadin หรือ Rimactane ที่คุณทานเข้าไปก็ได้ โดยมันจะกลับเป็นปรกติหลังจากนั้น 1 วัน แต่ถ้าหากว่าคุณไม่แน่ใจล่ะก็อาจจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดก็ได้ เพราะบางครั้งปัสสาวะสีนี้อาจจะหมายถึงอาการผิดปรกติของกระเพาะปัสสาวะ หรือไตได้เช่นกัน สีเขียวหรือสีน้ำเงิน นี่อาจจะเป็นสีที่พบเห็นได้ยาก ปัสสาวะสีนี้อาจจะมาจากการกินอาหารที่มีการย้อมสีหรือทานยาบางประเภทอย่างเช่น Amitriptyline, Indomethacin และ Propofol แต่ถ้าหากว่าคุณยังหาสาเหตุไม่พบล่ะก็ แนะนำว่าให้รีบไปพบแพทย์จะดีกว่าเพราะปัสสาวะสีนี้เป็นสีที่พบได้ยาก และมันอาจจะหมายความว่าโดนแบคทีเรียในกลุ่ม Pseudomonas เล่นงานเข้าให้แล้ว และนอกจากนี้คุณยังอาจจะเป็นนิ่วในไตอีกด้วย!! สีน้ำตาล ปัสสาวะสีน้ำตาลนั้นอาจจะส่งสัญญาณเตือนว่าตอนนี้ร่างกายของคุณกำลังขาดน้ำ หรือเป็นผลมาจากการทานผักอย่างรูบาร์บหรือพวกถั่วปากอ้าเข้าไปนั่นเอง แต่ถ้าหากว่าคุณไม่แน่ใจล่ะก็ลองปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูเพราะปัสสาวะสีนี้อาจบอกได้ว่าตับและไตของคุณกำลังมีปัญหานั่นเอง ปัสสาวะมีฟอง ฟองในปัสสาวะนั้นอาจจะเป็นเรื่องปรกติ แต่ถ้าหากว่ามันมากเกินผิดสังเกตุล่ะก็คุณควรไปพบแพทย์…
-
5 โรคประหลาด ที่อาจทำให้คุณกลายเป็น ‘ยอดมนุษย์’ เข้าทีม X-Men ได้เลย
บางครั้งความผิดปรกติของร่างกาย ก็อาจจะทำให้เราค้นพบความสามารถพิเศษของตัวเอง อย่างเช่นการห่อลิ้น หรือการที่คุณสามารถงอนิ้วโป้งได้มากถึง 180 องศา แต่ทว่านอกเหนือจากความสามารถพิเศษเหล่านี้แล้ว ในทางการแพทย์นั้นยังมีอาการแปลกๆ อีกมากมายที่จะทำให้เรากลายเป็นยอดมนุษย์ได้เลยทีเดียว อย่างเช่นอาการเหล่านี้… 1. มีความจำเป็นเลิศ สำหรับผู้ป่วยโรค Hyperthymesia นั้นจะสามารถ ที่จดจำรายละเอียดของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้เป็นอย่างดี โดยผู้ป่วยสามารถที่จะบอกรายละเอียดทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเขาที่ผ่านมาตั้งแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบันได้ทั้งหมด นอกจากนี้พวกเขายังสามารถจำข้อความทุกข้อความจากหนังสือที่อ่านมานานหลายปีได้อีกด้วย!! 2. ไร้ความรู้สึกเจ็บปวด โรคไร้ความรู้สึกเจ็บปวดนี้ทางการแพทย์เรียกว่า Congenital analgesia โดยผู้ที่ป่วยด้วยอาการนี้จะไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ ทางร่างกายเลย จากรายงานพบว่าชาวสวีเดนป่วยเป็นโรคที่ว่านี้มากถึง 40 รายเลยทีเดียว 3. เก่งในหลายๆ ด้าน โรค Savant syndrome นั้นเป็นหนึ่งในหนึ่งในความผิดปรกติของระบบประสาทที่พบได้ยากมากๆ โดยผู้ที่มีอาการดังกล่าวนั้นจะมีความสามารถในรอบๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นดนตรี การคิดเลข การวาดภาพ หรือแม้แต่การสร้างโมเดลสามมิติ คนเหล่านี้ก็สามารถทำได้ดีทุกอย่างเลยทีเดียว 4. ทนความเย็นได้ โรคประหลาดนี้เกิดขึ้นกับหนุ่มชาวดัตช์ผู้หนึ่งนามว่า Wim Hof โดยชายคนนี้สามารถเดินขึ้นยอดเขา Mont Blanc ในสภาพอากาศแสนหนาวเหน็บและเต็มไปด้วยน้ำแข็ง โดยที่ใส่เพียงแค่กางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียวเท่านั้น และที่สำคัญเขายังสามารถลงไปว่ายในน้ำแข็งและอยู่ในนั้นได้นานถึง 120 นาทีเลยอีกด้วย!! 5. ไม่กลัวอันตรายใดๆ โรค Urbach–Wiethe หนึ่งในลักษณะทางพันธุกรรมที่แปลกๆ…
-
รู้หมือไร่?? อาการขี้หลงขี้ลืมนั้นเป็นผลดีต่อสมองและอาจทำให้คุณกลายเป็นอัจฉริยะก็เป็นได้
อาการขี้หลงขี้ลืมเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าคนๆ นั้นมีสมองที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่รู้หรือไม่ว่าอาการขี้ลืมจริงๆ แล้วมันเป็นสัญญาณของคนฉลาดต่างหาก งานวิจัยหนึ่งที่ได้ตีพิมพ์ในนิตยสาร Neuron บอกไว้ว่าคนที่มีสมองสุขภาพแข็งแรงบางครั้งก็มีการทำงานที่หนักหน่วงเกินไปจนกลายเป็นอาการหลงลืมชั่วขณะนั่นเอง ซึ่งงานวิจัยชิ้นนั้นเขียนโดย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโทรอนโต ประเทศแคนาดาโดยได้ทิ้งข้อสรุปไว้ว่า การลืมสิ่งต่างๆ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแต่ว่ามันเป็นการพักสมองหลังจากใช้งานมาอย่างหนักและมันก็กำลังเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่สมองของเราด้วย Paul Frankland และ Blake Richards ได้บอกเอาไว้ว่าหน่วยความจำจริงๆ แล้วนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือจดจำเฉพาะข้อมูลที่มีความสำคัญและอีกส่วนหนึ่งคือสร้างพื้นที่สำหรับพักผ่อนสมองซึ่งนั่นจึงทำให้เราหลงลืมรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันไป การศึกษาหนึ่งของ Frankland พบว่าเมื่อเซลล์สมองใหม่ถูกสร้างขึ้นในสมองส่วนฮิปโปแคมปัส ความทรงจำเก่าๆ จะถูกเขียนทับเหมือนกับข้อมูลในคอมพิวเตอร์เลยล่ะ “มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่สมองของเราจะลืมรายละเอียดสิ่งต่างๆ ที่ไม่สำคัญนักในชีวิตของเราและเพ่งเล็งไปในเรื่องที่สำคัญ เพราะจะทำให้เราสามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญนั้นได้ดีขึ้นและยังสร้างพื้นที่ว่างเพื่อรองรับสิ่งใหม่ๆ อีกด้วย” Richard กล่าว ประโยชน์อย่างหนึ่งของโรคขี้หลงขี้ลืมนี้ก็คือ เมื่อเราลืมรายละเอียดในกิจกรรมต่างๆ ที่ผ่านไปแล้ว แต่ว่ายังคงจำภาพรวมของกิจกรรมนั้นได้ มันจะทำให้เราพยายามนึกย้อนไปในอดีตและทำให้เราสามารถซึมซับบรรยากาศในวันนั้นและให้ความรู้สึกเหมือนกับวันนั้นพึ่งผ่านมาเพียงไม่นาน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไปสำหรับคนที่ลืมสิ่งสำคัญตลอดเวลา เพราะว่าการลืมสิ่งต่างๆ อาจทำให้เราเกิดความกังวลว่าเราลืมอะไรไปบ้างและนั่นอาจทำให้เราเริ่มจะเป็นโรคหวาดระแวง ซึ่งเป็นโรคประสาทชนิดหนึ่งได้ สำหรับวิธีการออกกำลังกายสมองก็มีวิธีการง่ายๆ โดยการพยายามทบทวนว่าวันนี้เราได้ทำอะไรไปบ้างแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้สมองของเรามีสุขภาพที่ดีแล้วล่ะ ที่มา: unilad
-
มารู้จักกับอาการ Philophobia หรือ ‘โรคกลัวความรัก’ สำรวจตัวเองว่า คุณก็เป็นรึเปล่า!?
หลายคนคงเข้าใจว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม แต่ก็ยังคงมีคนบางกลุ่มที่มองว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ซึ่งบางทีอาจเกิดมาจากประสบการณ์ในอดีตที่ยังคงฝังใจเรื่อยมา และไม่กล้าที่จะมีความรักกับใครอีก หากว่าคุณเป็นคนที่คิดอย่างนั้นอยู่ มันอาจเป็นสิ่งที่บอกได้ว่า คุณกำลังเป็น โรคกลัวความรัก หรือที่เรียกว่า Philophobia ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไป เป็นหนึ่งในอาการความกลัวทางจิตเวชที่มีผู้ป่วยมากเป็นอันดับต้นๆ วันนี้เราจึงจะพาไปให้ทุกคนรู้จักกันว่ามันคืออะไร เกิดจากสาเหตุใด อาการของโรคเป็นอย่างไร และจะรักษาด้วยวิธีการใดได้บ้าง Philophobia คืออะไร? คำว่า Philo ที่มาจากภาษากรีก แปลว่า ความรัก ดังนั้นมันก็คือ โรคกลัวความรัก นั่นเอง ซึ่งผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ จะพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความรัก พยายามที่จะไม่ให้ตัวเองรู้สึกว่ารักใคร หรือรู้สึกพิเศษกับใครเลยสักคน ต่อให้ในบางครั้งจะรู้สึกดีกับใครขึ้นมาบ้าง แต่สุดท้ายก็จะไม่ยอมเปิดใจและถอยห่างออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ สาเหตุเกิดจากอะไรได้บ้าง? สิ่งที่สามารถทำให้เราเป็นโรคนี้ได้ อาจเกิดขึ้นมาจากหลายปัจจัย ดังนี้ 1.เหตุการณ์ในแง่ลบที่ฝังใจมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะคนที่โตมาในครอบครัวที่มีความแตกแยกเกิดขึ้น พ่อแม่หย่าร้าง ทะเลาะตบตีกันให้เห็น หรือคนใกล้ตัวที่มีชีวิตรักไปในทางที่ไม่ค่อยดีนัก จะทำให้เราจำภาพนั้นและฝังเข้าไปในความคิดของตัวเองได้โดยไม่รู้ตัว 2.วัฒนธรรม หรือศาสนา ที่มีข้อห้ามเกี่ยวกับความรัก ศาสนาหรือขนบประเพณีของบางแห่ง อาจมีข้อห้ามหรือกรอบกฎเกณฑ์บังคับเอาไว้ให้กับความรักอย่างชัดเจน เหมือนอย่างที่เราเคยเห็นในละคร เวลาที่พ่อแม่ของฝ่ายหญิงกีดกัน ทำให้ไม่สามารถรักกันได้ สิ่งนั้นอาจสร้างความกลัวและทำให้เราไม่กล้าเสี่ยงที่จะมีความรักกับใครอีก 3.การล้มเหลวในความรักซ้ำๆ มีรักเมื่อไหร่ก็ต้องเจ็บปวดและเลิกรากันไปทุกที เมื่อต้องเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอด…
-
คุณแม่ชาวอังกฤษวัย 20 ป่วยเป็นโรคหายาก “สลบ” ทุกครั้งหลังถึงจุดสุดยอด
ทุกครั้งหลังการสำเร็จความใคร่ หลายคนอาจจะรู้สึกฟิน และมีความสุข แต่สำหรับคุณแม่ยังสาวจากนอตทิงแฮม ประเทศอังกฤษรายนี้ กลับ “สลบ” ทุกครั้งหลังจากที่เธอเสร็จภารกิจ เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2560 ทางเว็บไซต์ Metro มีรายงานว่า Jessica Southall คุณแม่วัย 20 ปี ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคลมหลับ (โรคที่มีอาการง่วงนอน หลับได้ในทุกสถานการณ์ หรืออย่างกะทันหัน) และส่งผลให้มีภาวะ Cataplexy (กล้ามเนื้ออ่อนแรง) ด้วย ซึ่งสิ่งที่เธอกำลังประสบอยู่นี้ ส่งผลให้ Jessica มีอาการง่วงนอนและนอนหลับทุกครั้ง เมื่อใดก็ตามที่เธอรู้สึกเหนื่อย และนี่ก็ถือเป็นความผิดปกติทางระบบประสาทที่หาได้ยากมากๆ ทางด้าน Jessica ได้ออกมาเผยว่า เธอพยายามพูดคุยเรื่องนี้กับ Junior Santiago สามีของเธอเมื่อตอนที่ทั้งคู่เริ่มเดทกัน และเธอก็ต้องอธิบายให้ Junior ได้รับรู้ในสิ่งที่เธอเป็น “เขาทำให้ฉันรู้สึกดีมาก แต่มันไม่เหมาะเอาซะเลย” Jessica กล่าว จากการรายงานระบุว่า Jessica เริ่มมีภาวะ Cataplexy หรือ ภาวะผล็อยหลับ…
-
11 เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถสังเกตได้ว่าคุณอ่ะ… กำลัง “ตกหลุมรัก” เข้าแล้ว
ความรักมีได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรักกันในครอบครัว รักแบบพี่น้อง รักเพื่อน รักสัตว์ รักสิ่งของต่างๆ หรือรักแบบคนรักเองก็เช่นกัน แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่าได้รักใครไปแล้ว คุณคิดไปเองหรือว่ามันเกิดขึ้นจริงกันแน่นะ? นอกเหนือจากสิ่งที่คุณเดาเอาจากความคิดความรู้สึกแล้ว เรื่องนี้ยังสามารถทราบได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพราะร่างกายของคุณเองก็เกิดปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน ว่าแล้วก็ลองไปดูกันซะหน่อยว่าจะมีข้อสังเกตอะไรกันบ้าง มองแต่เธอหรือเขาอยู่ตลอด หากคุณถูกจับได้ว่าแอบมองใครสักคนอยู่ อาจหมายความว่าคุณกำลังตกหลุมรักเขาหรือเธอคนนั้นไปแล้ว เพราะว่าการที่เราจ้องอะไรสักอย่างอยู่ นั่นคือกำลังให้ความสนใจกับสิ่งๆ นั้น กับคนที่เรารักเองก็เช่นกัน การศึกษาพบอีกว่าคู่รักที่มักจะสบตากันไม่ยอมละสายตาไปไหน แสดงว่าทั้งสองคนมีสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกว่าคู่ที่ไม่ได้ทำ ขณะเดียวกันหากคนแปลกหน้าสองคนสบตากันนานกว่า 1 นาที ความรักของทั้งสองอาจกำลังเบ่งบานอยู่ก็เป็นได้ รู้สึกเหมือนกำลังมึนเมา เมามายและหลงใหลไปกับความรักนั้นคือเรื่องจริง เพราะจากการศึกษาของสถาบัน Kinsey บอกไว้ว่า สมองของผู้ที่กำลังมีความรักจะดูเหมือนสมองของคนที่เสพโคเคน ส่วนหนึ่งเกิดจากสารโดพามีน (Dopamine) ที่หลั่งออกมาเหมือนกัน ข้าวใหม่ปลามันทั้งหลายถึงได้ดูเหมือนรักกันปานจะกลืนกินยังไงละ คิดถึงแต่คนคนนั้น เวลาที่รักใครสักคนก็เป็นเรื่องยากที่จะเอาเขาออกไปจากสมองของเราได้ นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะก็เป็นสิ่งที่ร่างกายทำให้เราเป็นแบบนั้น เมื่อสมองหลั่งสารฟีนิลเอธิลามีน (Phenylethylamine) หรืออีกชื่อคือสารแห่งความรัก เจ้าตัวนี้แหละที่ทำให้คุณหลงใหลในตัวของคนๆ นั้น และอาจคุ้นเคยกันดีสำหรับบางคน ในเมื่อมันเป็นสารเดียวกันกับที่มีในช็อกโกแลต ที่จะทำให้คุณไม่อาจหยุดกินมันได้เลย ต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุข ความรักคือความเท่าเทียม…
-
หญิงสาววัย 30 ปี มีอาการผิดปกติ ทำให้เธอถึงจุดสุดยอด มากกว่า 180 ครั้ง ใน 2 ชั่วโมง!!
เราทุกคนต่างรู้ดีว่า ‘ออกัสซั่ม’ เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยทำให้สมองเราขับสารแห่งความสุขออกมา ทว่าบางทีมันก็ไม่ใช่เรื่องดีถ้าหากในหนึ่งวันเราสำเร็จความใคร่บ่อยครั้งจนเกินไป อาการผิดปกติที่เรียกว่า PGAD (Persistent Genital Arousal Disorder) ส่งผลให้ Cara Anaya สาววัย 30 ปี จากรัฐอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา มีอาการออกัสซั่มเกือบตลอดทั้งวัน Cara Anaya ในช่วงชีวิตวัยเด็กสำหรับคนปกติทั่วไปแล้ว พวกเขาอาจจะใช้เวลากับเพื่อนๆ ในสนามเด็กเล่น หรือไม่ก็ออกไปทำกิจกรรมต่างๆ กับครอบครัว ทว่าสำหรับ Cara แล้วนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอมีอาการผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้น เธอก็ไม่สามารถออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านได้อีกเลย เพราะเมื่อไหร่ที่เธอเผลอความรู้สึกซาบซ่านตรงโคนขาจะเริ่มแพร่กระจายจนทำให้เธอรู้สึกออกัสซั่มในที่สุด เธอเคยนับว่าตลอด 2 ชั่วโมงอาการผิดปกติของเธอจะปรากฎออกมามากถึง 180 ครั้งเลยทีเดียว!! ไม่ใช่แค่เรื่องของความรู้สึกตรงจุดเร้นลับเท่านั้นที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของเธอ เพราะอาการผิดปกติยังส่งผลให้เธอรู้สึกวิตกกังวลกับทุกสิ่งอย่างรอบตัวเธอ “เวลาออกไปช็อปปิ้งฉันไม่สามารถแม้แต่จะหยิบจับสิ่งของบางชนิด เพราะมันจะทำให้เรากลับมารู้สึกออกัสซั่มได้อีกครั้ง ต้องยอมรับเลยว่ามันส่งผลต่อการใช้ชีวิตของดิฉันมากๆ ค่ะ” Cara ให้สัมภาษณ์ ถึงแม้ว่าทุกวันนี้เธอจะอาศัยอยู่กับสามีสุดที่รัก และลูกชายวัย 10 ขวบผู้เข้าใจคุณแม่ แต่เมื่อถึงเวลากิจกรรมนอกบ้านเธอกลับต้องรู้สึกผิดเพราะไม่สามารถไปดูแลลูกได้…
-
ปรับโหมดไม่ทัน!! นักข่าวสาวนั่งเหม่อขณะออกอากาศสด รู้ตัวก็ทำหน้าเหวอ มะ…ไม่ทันแล้ว
คุณอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อของ Natasha Exelby มาก่อน แต่เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้กลายเป็นบุคคลที่ได้รับความสนใจไปทั่วโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในประเทศออสเตรเลียเอง หลังจากที่มีคลิปวีดีโอ ขณะที่เธอกำลังเผลอนั่งเหม่อออกอากาศตอนกำลังรายงานข่าว งานนี้เรียกได้ว่าคลิปวีดีโอของเธอได้สร้างเสียงหัวเราะ และรอยยิ้มให้กับผู้คนไปทั่วโลกเลยละ เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2560 ทางเว็บไซต์ต่างประเทศมีรายงานว่า คลิปวีดีโอของผู้ประกาศข่าวสาวรายดังกล่าว ได้รับความนิยมจากชาวเน็ต และถูกแชร์ออกไปเป็นจำนวนมาก คลิปได้แสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาที่ตกใจสุดขีดของ Natasha ผู้ประกาศข่าวจากสำนักข่าวเอบีซี ในขณะที่เผลอเหม่อลอยในรายการข่าว จนมีภาพหลุดออกกลางอากาศ แหมๆๆ ใจลอยไปไหนเนี่ย ฮร่าๆ สำหรับ Natasha เธอมักจะได้รับมอบหมายให้กล่าวโยนเข้าช่วงข่าวกีฬาตามปกติ แต่ในวันนั้นเธอกลับพลาด เพราะมัวแต่นั่งเล่นปากกาจนลืมไปว่าตัวเองกำลังรายงานข่าวสดอยู่ งานนี้เลยเกิดเป็นภาพสุดขำอย่างที่เห็น… โอ้ววว ทำตัวไม่ถูกกันเลยทีเดียว ทางด้านชาวเน็ต เมื่อได้เห็นคลิปวีดีโอดังกล่าว ก็พากันเข้ามาแสดงความเห็นกันอย่างมากมาย หลายคนบอกว่านี่อาจจะเป็นการจัดฉาก ในขณะที่หลายๆ คนได้เข้ามายืนยันว่า พวกเขาได้ดูแบบสดอยู่จริงๆ แถมยังนับถือในความเป็นมืออาชีพของเธออีกด้วย แม้ว่าในช่วงแรก เธออาจจะทำท่าตกใจสุดขีด แต่เพียงไม่กี่วินาที Natasha ก็สามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ ถือเป็นอีกช่วงวินาทีสุดขำ ที่อาจจะทำให้เธอลืมเหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ลงไปตลอดชีวิตเลยก็เป็นได้…
-
รู้จักกับ Apeirophobia โรคกลัว “ความเป็นอมตะ” และ “ความไม่มีที่สิ้นสุด”
สำหรับหลายๆ คน การได้ค้นพบความลับของความเป็นอมตะ หรือ การได้ไปอยู่ในดินแดนที่มีความสุขนิรันดร์ (เช่นการไปอยู่กับพระเจ้าในศาสนาคริสต์) ถือว่าเป็นความสุขสูงสุดของชีวิต แต่สำหรับหลายๆ คน ความเป็นอมตะหรือความสุขนิรันด์ใช่เป้าหมายในชีวิตของพวกเขา แถมมันยังทำให้พวกเขากลัวอีกด้วย อาการดังกล่าวมีชื่อว่า Apeirophobia แม้จะไม่ค่อยมีรายงานหรือวิจัยเกี่ยวกับโรคนี้มากมายเท่าไหร่นัก ไม่มีแม้กระทั่งหน้าวิกิพีเดียของตนเอง แต่มีการพบว่า มีการพูดถึงโรคดังกล่าวในโซเชียลมีเดีย บล็อก และในเว็บบอร์ดต่างๆ หลายต่อหลายเว็บ โดยผู้ที่มีอาการของโลกดังกล่าวเล่าว่า พวกเขารู้สึกกลัวการมีชีวิตอมตะและกลัวสิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด จนมีอาการตื่นตระหนก วิตกกังวล นอนไม่หลับ และมีอาการของโรคซึมเศร้า โดยชีวิตอมตะดังกล่าวไม่ได้หมายถึงการมีชีวิตอมตะบนโลกเท่านั้น แต่ยังหมายถึงชีวิตบนสวรรค์หรือดินแดนหลังความตายอีกด้วย “หากผมเป็นอมตะ มันจะต้องมีจุดหนึ่งที่ผมได้มีประสบการณ์กับทุกๆ สิ่ง เรียนรู้ทุกๆ สิ่ง ทำทุกๆ อย่าง รู้จักทุกๆ คน จนสุดท้ายผมก็เบื่อ แต่ผมก็ไม่สามารถทำอย่างอื่น หรือ ตายเพื่อให้พ้นๆ ไปได้” Pual หนึ่งในผู้มีอาการโรค Apeirophobia เล่าบนเว็บไซต์ Phobia Fear Release “สำหรับชาวคริสต์ ชีวิตนิรันด์กับพระเจ้าอาจเป็นเป้าหมายสูงสุดของพวกเขา แต่มันไม่ใช่กับผม ผมนอนอยู่บนเตียงแล้วก็คิดถึงเรื่องชีวิตอมตะ…
-
ชาวเน็ตญี่ปุ่นเผยเทคนิค “บรรเทาอาการปวดหลัง” ด้วยผ้าห่ม ได้รับความนิยมอย่างสูง
ในยุคสังคมปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่มักจะมีอาหารปวดหลังกันมากยิ่งขึ้น นั่นอาจมีสาเหตุมาจากการนั่งนาน เช่น การนั่งทำงาน หรือนั่งขณะดูหนัง ซึ่งก็อาจจะส่งผลให้เกิดอาการดังกล่าวได้ง่ายเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ทางผู้ใช้ทวิตเตอร์ชาวญี่ปุ่นนามว่า @itiitiY จึงได้ออกมาเผยเทคนิคง่ายๆ ที่สามารถช่วยลดอาการปวดหลังได้ และไม่น่าเชื่อเลยว่าวิธีของเธอนั้นจะทำให้ชาวเน็ตคนอื่นๆ ชื่นชอบ จนมีการรีทวิตและถูกใจรวมกันกว่าไปมากกว่า 50,000 ครั้ง เธอบอกว่าก่อนหน้านี้เธอเองก็มีอาการปวดหลังอยู่บ่อยๆ อันมีสาเหตุมาจากการนั่งดูหนังในโรงหนังเป็นเวลานาน ดังนั้น เธอจึงได้หาวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านั้น โดยการเข้าไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และพบว่าจริงๆ แล้วผ้าห่มก็สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้นะ แอร์โรงภาพยนตร์มันอาจจะหนาวจับใจ ดังนั้นโรงภาพยนตร์ที่ญี่ปุ่นหลายๆ แห่ง มักจะมีการใช้เช่าผ้าห่มตอนดูหนัง เพื่อที่จะทำลูกค้าได้ชมภาพยนตร์อย่างสบายใจมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามชาวเน็ตผู้ใช้ชื่อคุณ @itiitiY ได้ออกมาบอกว่า นอกจากจะใช้ห่มแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกด้วย หลังจากนั้น เธอโพสต์ภาพวิธีการใช้ผ้าห่มเพื่อช่วยลดอาการปวดหลังลงในทวิตเตอร์ พร้อมอธิบายประกอบด้วยว่า เพียงแค่ใช้ผ้าห่ม และม้วนมันแค่ไม่กี่ครั้ง จากนั้นก็นำไปวางไว้ตรงกลางเบาะ และนั่งทับลงไป เพียงเท่านี้คุณก็จะสามารถเพลิดเพลินไปกับการรับชมภาพยนตร์ โดยที่ไม่ต้องปวดหลังอีกต่อไปแล้ว ม้วนให้ถูกวิธีด้วยนะ เดี๋ยวจะปวดยิ่งกว่าเดิม… นอกจากนี้ เธอยังแนะนำอีกว่า คุณสามารถนำเทคนิคง่ายๆ เหล่านี้ ไปใช้บนรถ หรือเก้าอี้ที่บ้านขณะนั่งทำงาน เล่นเกม…
-
เคยสงสัยหรือไม่ว่า “อาการหมั่นเขี้ยว” เกิดขึ้นจากอะไร ทุกๆ ครั้งที่เราเจอสิ่งของน่ารัก?
เชื่อว่าหลายๆ คนต้องเคยเกิดอาการหมั่นเขี้ยวอยากเข้าไปกัดสิ่งของน่ารักต่างๆ เช่น เด็กทารก สัตว์เลี้ยงต่างๆ ซึ่งบางทีเวลารู้สึกแบบนี้ก็แอบคิดไม่ได้ว่า ตัวเองมีอาการโรคจิตรึเปล่าที่อยากกัดคนอื่นไปทั่ว (ฮา) แล้วเพื่อนๆ เคยสงสัยหรือเปล่าว่าอาการแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง เราไปฟังผู้เชี่ยวชาญกันดีกว่า น่ารักมั้ยอ่ะงับ ไม่น่ารักเดี๋ยวจิ้มเลยนะ นักวิจัยเผยว่า ในบางครั้ง สมองของเราตอบสนอง “การได้รับรู้สิ่งน่ารัก” สับสนกับ “ความอยากอาหาร” จิตใต้สำนึกของเราจึงทำให้เรารู้สึกอยากกัดสิ่งของเหล่านั้น แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวเท่านั้น…. ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม Susan Perry กล่าวว่า อาการอยากงับหรือกัดสิ่งของที่น่ารักของมนุษย์ อาจเป็นหนึ่งในพฤติกรรมที่เรียกว่า “การแกล้งกัด” ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยเธอและทีมงานนักวิจัยได้สังเกตเห็นว่า ลิงคาปูชินมักกัดลิงตัวอื่นอย่างนุ่มนวลโดยไม่สร้างความเจ็บปวด เพื่อแสดงความเป็นมิตรซึ่งกันและกัน ซึ่งพฤติกรรมนี้สามารถพบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ ด้วย นั่นแปลว่าการกัดไม่ได้แสดงถึงความหิวและความโกรธเกรี้ยวเท่านั้น นอกจากนี้เธอยังบอกอีกว่า การกัดของสัตว์หลายชนิดๆ เทียบได้กับการเลีย การนำหัวมาถู หรือการดม เพื่อแสดงความเป็นมิตรของสัตว์หลายๆ ชนิด ซึ่งอาจจะสรุปโดยรวมได้ว่าเป็นพฤติกรรมที่แฝงไปด้วยความเอ็นดู เพื่อเป็นการแสดงความสนิทสนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั่นเอง และเหล่ามนุษย์ทั้งหลายที่แสดงอาการเหล่านี้ก็เป็นอาการปกติจ๊ะ แบบนี้นี่เอง อย่างนี้เราคงไม่ได้โรคจิตแล้วสินะ ฮาาา ที่มา scientificamerican
-
หมั่นเขี้ยว!! คลายข้อสงสัยที่ว่า ทำไมคุณถึงเกิดอาการ “อยากบีบ” เวลาดูอะไรน่ารักๆ
คุณเคยรู้สึกอยาก “บีบ” อะไรที่มันน่ารักๆ บ้างไหม? เช่นเห็นแมวน่ารักๆ ก็อยากจะเข้าไปขย้ำ เห็นเด็กทารกก็อยากเข้าไปกอดแรงๆ สักที? อาการเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งผิดปกตินะ และคุณไม่ได้เป็นอยู่คนเดียวแน่ๆ งานวิจัย ในปี 2015 นักจิตวิทยา Oriana Aragon จากมหาวิทยาลัย Yale University ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วพบว่าคนที่มีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงกับภาพเด็กน่ารักๆ จะมีการแสดงอารมณ์ความก้าวร้าวอย่างรุนแรงด้วย อย่างเช่นความอยากหยิกแก้มเด็กๆ เหล่านั้น เมื่อพูดถึงการ “หยิก” เมื่อไม่นานมานี้ทีมวิจัยได้มีการศึกษากับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง โดยการจับกลุ่มผู้เข้าร่วมมาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกนั้งดูวิดีโอลูกสัตว์น่ารักๆ ส่วนกลุ่มที่สองดูสัตว์แก่ๆ จากนั้นก็ให้ผู้เข้าร่วมถือแผ่นกันกระแทก (Bubble Wrap) เอาไว้ในมือ ผลปรากฎว่ากลุ่มคนที่ดูวิดีโอลูกสัตว์น่ารักๆ จะบีบแผ่นกันกระแทกมากกว่ากลุ่มคนที่ดูวิดีโอสัตว์แก่ๆ การผลการทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าถ้าพวกเขามีโอกาสที่จะบีบบางสิ่งบางอย่างขณะดูภาพน่ารักๆ ได้ พวกเขาก็จะทำ แต่ก็ไม่ได้หวังจะทำอันตรายให้สิ่งมีชีวิตจริงๆ ข้อดี ข้อเสีย และความน่ารัก แล้วอะไรล่ะที่มันจะสามารถอธิบายแรงกระตุ้นความอยาก “บีบ” สัตว์หรือเด็กน่ารักๆ ได้? Aragon กล่าวว่า…
-
ชาวสวนพบลูกแมวกำพร้า 4 ตัว ก็นึกว่าเป็นแมวธรรมดา แต่ทว่ามันคือแมวป่าพัลลัส!!
ลองคิดดูนะว่าหากเจอลูกแมวตัวน้อยๆ ที่กำพร้าแม่ถูกทิ้งเอาไว้อย่างโดดเดี่ยว โดยที่ไม่สามารถหาอาหารกินเองได้ หรืออาจจะโดนสัตว์อื่นทำร้ายได้ทุกเมื่อ คุณจะทำอย่างไร? หากปล่อยเอาไว้มันจะต้องตายแน่ๆ แต่เราเชื่อนะว่าคนส่วนใหญ่จะต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหมือนมันอย่างแน่นอน เหมือนดังชาวนาจากประเทศรัสเซียคนนี้ เขาบังเอิญได้พบกับ 4 ลูกแมวกำพร้าตัวน้อยๆ ที่เพิ่งจะเกิดมาลืมตาดูโลกในโรงนาของเขา ในตอนแรกเขาคิดว่าพวกมันก็คงจะเป็นแมวบ้านธรรมดาๆ แต่พอลองมองเข้าใกล้ๆ เขาก็สังเกตเห็นถึงความแตกต่างบางอย่าง แต่ถึงอย่างไรเขาก็คิดว่าพวกมันจะต้องได้รับการดูแล เพื่อที่จะได้เติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ และแข็งแรง เขาได้ติดต่อไปยัง Daursky Nature Reserve ซึ่งอยู่ใกล้กับฟาร์มของเขา และหลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่มาถึง พวกเขาก็บอกว่าเจ้าเหมียวเหล่านี้เป็นแมว พัลลัส (Pallas) แมวป่าพื้นเมืองของเอเชียกลางนั่นเอง และถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เหมือนแมวป่าทั่วๆ ไป แต่เจ้าแมวพันธุ์นี้มีใบหน้าที่โดดเด่น และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แถมยังมีใบหูที่กว้าง และตำแหน่งหูต่ำกว่าแมวตัวอื่นๆ อีกด้วย พวกเขาสันนิษฐานว่า แม่แมวได้คลอดลูกๆ ของมันทิ้งไว้ในโรงนาซึ่งเป็นอยู่ใกล้กับที่จอดรถ แต่เมื่อมันได้ยินเสียงรถมันอาจจะตกใจ และจำเป็นต้องทิ้งลูกๆ ของมันไป ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่จึงได้ตัดสินใจนำลูกแมวทั้ง 4 กลับไปยังที่ทำงานของพวกเขา แม้ว่าพวกมันจะมีขนาดตัวที่เล็กมาก เพราะเพิ่งจะเกิดได้ไม่นาน แต่มันก็ยังมีความดุร้ายตามสัญชาติญาณ โดยการส่งเสียงร้อง และงับคนที่เขามาใกล้พวกมันมากเกินไป…
-
Rosa แม่หมาจิตใจบอบช้ำ ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ หลังถูกช่วยมาจากฟาร์มเนื้อในเกาหลีใต้
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2560 ทางเว็บไซต์ Thedodo ได้เผยภาพพร้อมเรื่องราวของ Rosa แม่สุนัขสีขาวตัวหนึ่งที่เคยโชคร้ายเพราะอาศัยอยู่ในฟาร์มค้าเนื้อสุนัขในประเทศเกาหลี แต่ก็ยังโชคดีที่มันได้รับการช่วยเหลือออกมาจนทำให้รอดชีวิตมาได้ และถึงแม้ว่าจะรอดพ้นมาจากสถานที่อันแสนเลวร้าย แต่เจ้า Rosa ก็ยังคงอยู่ในอาการหวาดกลัว นั่นแสดงว่าก่อนหน้านี้มันคงได้เจอกับเรื่องราวที่แสนเลวร้ายมาแน่ๆ เลย ทางด้าน Nash McCutchen ผู้ประสานงานด้านการตลาดของ Humane Society of Tampa Bay ได้เผยว่า “ถึงเราจะเคยเห็นสุนัขที่มีอาการหวาดกลัวมามากมายแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่เคยเห็นสุนัขที่มีอาการหวาดกลัวไปมากกว่าเจ้า Rosa…มันอยู่กับเรามาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมมองพวกเราเลย” Rosa สุนัขวัย 10 เดือน ที่ได้รับการช่วยเหลือออกมาจากฟาร์มค้าเนื้อสุนัขใน Wonju ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งที่ฟาร์มแห่งนั้นเต็มไปด้วยความน่ากลัว และโหดร้าย เพราะผู้คนหวังเพียงต้องการนำเนื้อของมันไปส่งขาย และที่เลวร้ายไปกว่านั้นมีน้องหมาอีกหลายต่อหลายตัวที่อาศัยอยู่ในกรงแคบๆ ณ สถานที่แห่งนั้นด้วย ฟาร์มค้าเนื้อสุนัข ถือเป็นสถานที่อันแสนเลวร้ายสำหรับน้องหมาเป็นอย่างมาก เพราะพวกมันจะต้องถูกฆ่าอย่างทรมาน บางครั้งก็ถูกต้มทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ โชคดีที่มูลนิธิช่วยเหลือสัตว์ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเจ้า Rosa และสุนัขตัวอื่นๆ…
-
แปลกแต่จริง อาการ ‘Cenosillicaphobia’ หรือการกลัวแก้วว่าง มาดูกันซิว่าเพื่อนของคุณมีอาการนี้กันไหม!?
ไม่แน่นะ อาการนี้อาจเป็นที่มาของจุดจบสายแข็งในหลายๆ ครั้งก็ได้… โรคแปลกที่มีอยู่จริง Cenosillicaphobia หรือที่อ่านว่า เซโนซิลลิก้าโฟเบียนั้น คืออาการกลัวแก้วน้ำที่ไม่มีอะไรอยู่ภายใน หรือแก้วน้ำเปล่านั่นเอง ลองสังเกตดูซิว่ามีเพื่อนๆ ที่มีอาการแบบนี้กันมั้ย?? (พาไปกินเหล้าด้วยนี่งอกแน่นอน ฮร่าา) อาการกลัวแก้วว่าง คำว่า ‘cenosillicaphobia’ นั้น เกิดจากการผสมของคำสองคำ นั่นก็คือ “cenotaph” ซึ่งแปลว่า หลุมศพที่ว่าเปล่า และ “sillica” ซึ่งอาจแปลได้ว่าเป็นแก้ว พอประกอบกันแล้วเลยมีความหมายว่าอาการกลัวแก้วว่างนั่นเอง มาลองทดสอบกันดูหน่อย!! สำหรับอาการหลักของผู้ที่มีความกลัวแบบนี้อยู่ จะรู้สึกกระอักกระอ่วน เกิดความกังวลขึ้นทันทีเมื่อเห็นแก้วที่ว่างเปล่า วิธีการแก้ง่ายๆ น่ะเหรอ ก็คือการเติมแก้วที่ว่านั้นให้เต็มยังไงล่ะ!! ถ้าเห็นแบบนี้แล้วล่ะก็ พวกเขาก็จะรู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว!! มาทดสอบกันอีกครั้ง ว่าเพื่อนๆ มีอาการกระวนกระวายกันบ้างมั้ย!? แหม๊ ไม่แน่เหมือนกันนะว่าเพื่อนๆ ของคุณอาจจะมีอาการแบบนี้กันก็ได้ ลองสังเกตเวลาพาไปดริ้งสิ หึหึ ใครที่เป็นสายปีชงให้ทั้งตัวเองและเพื่อนๆ เรื่อยๆ ล่ะก็ คนนั้นแหละ!!! ที่มา: brookstone,…
-
พาไปรู้จักกับโรค Thalassophobia หรือ ‘อาการกลัวทะเล’ แล้วคุณเป็นหนึ่งในนั้นด้วยรึเปล่า!!?
ก่อนอื่นเลยเพื่อนๆ อาจจะงงว่า เอ๊ะ…โรคแบบนี้ก็มีอยู่จริงๆ บนโลกด้วยเหรอ? กับ Thalassophobia หรือโรคกลัวทะเล วันนี้ #จ่าสิบเหมียว เลยอยากจะเข้ามาให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ และท้าพิสูจน์ไปพร้อมๆ กันเลย Thalassophobia นั้นมาจากภาษากรีก นั่นก็คือ ‘Thalassa’ ซึ่งหมายถึงภูตผีในทะเลตามความเชื่อโบราณ และอย่างที่เราทราบกัน ‘Phobia’ แปลว่าอาการกลัว ซึ่งผันมาจากภาษากรีก ‘Phobos’ อีกนั่นน่ะแหละ รวมๆ แล้วก็คืออาการกลัวทะเลนั่นเอง อาการก็มีทั้งการที่ต้องไปอยู่ในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ หรือกลัวความกว้างของทะเล กลัวว่าจะมีสัตว์ประหลาดอะไรใหม่ๆ หรือแปลกๆ ใต้ผืนน้ำหรือเปล่า กลัวการออกจากผืนที่ยืนอยู่และต้องไปลอยเคว้งคว้าง ถ้าเพื่อนๆ มีอาการเหล่านี้ ก็ใช่แล้วล่ะ!! วันนี้เราเลยมี 19 ภาพทดสอบเพื่อนๆ ว่ามีอาการ ‘กลัว’ กันรึเปล่า?? ลองชมไปทีละภาพ ถ้ามีหลอนๆ ล่ะก็ ใช่แน่นอน!! …
-
หญิงสาวเสียชีวิตด้วย ‘จูบสุดท้าย’ ของแฟนหนุ่ม เนื่องจากอาการแพ้ถั่วลิสงอย่างรุนแรง
หื้ออออ!? แค่เห็นหัวข้อก็ตกใจแล้ว การจูบสามารถฆ่าคนได้ด้วยหรือ? อีกทั้งยังมีสาเหตุของอาการแพ้เนยถั่วอีกต่างหาก เอ๊ะ มันชักจะพิลึกกึกกือชอบกล ว่ามันมีแบบนี้จริงๆ ด้วยเร๊อะ อาจจะฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อยมากๆ สำหรับใครบางคน แต่อาการแพ้อย่างรุนแรงนั้นถึงขั้นสามารถทำให้เสียชีวิตได้เลยล่ะ อย่าง Myriam Ducré-Lemay สาววัยรุ่นวัย 20 ปี คนนี้ ที่แพ้ถั่วลิสงเป็นอย่างมาก ย้อนกลับไปในปีค.ศ. 2012 เธอได้ไปที่บ้านของแฟนหนุ่มหลังจากงานปาร์ตี้ ในขณะนั้นแฟนหนุ่มของเธอกำลังทานแซนด์วิชเนยถั่วด้วย หลังจากที่เขาทานเสร็จ ทั้งสองก็หันมาจูบกัน โดยที่ฝ่ายชายได้บอกว่าทานเนยถั่วมา และตัวเธอเองก็ลืมเตือนเขาด้วยว่าตัวเองมีอาการแพ้ ภายหลังจากการจูบเพียงไม่นาน เธอก็เริ่มมีอาการทรมานจากการหายใจถี่ รถพยาบาลตามมาหลังจากนั้น 8 นาที แม้จะพยายามช่วยยื้อชีวิตเธอมากแค่ไหน สุดท้ายเธอก็เสียชีวิตจากเหตุสมองล้มเหลวเนื่องจากขาดออกซิเจน เอกสารยืนยันการเสียชีวิตจากอาการแพ้อย่างรุนแรง ในตอนนั้นเครื่องช่วยหายใจของเธอขัดข้อง และไม่ได้รับยา EpiPen (ยาฉีดอะดรีนาลีน) สำหรับแก้อาการแพ้แบบฉุกเฉิน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้อาการของเธอทรุดลงอย่างรวดเร็ว ทางด้านคุณแม่ของเธอ Micheline Ducre จึงอยากจะให้เรื่องราวของลูกสาวเธอเป็นอุทาหรณ์สอนใจกับผู้อื่นว่าอย่าละเลยอาการแพ้ของแต่ละคน…
-
[เหมียวเข้าครัว] ชวนทำ “กัมมี่แบร์” แบบโฮมเมด ทำเองง่ายๆ แถมอร่อยหนึบหนับ
หากใครเคยซื้อขนมเยลลี่รูปหมีหนึบหนับ จนติดใจในรสชาติของมันแล้วล่ะก็ วันนี้#เหมียวมีสูตรการทำขนมเยลลี่แบบนั้นมาฝากกันล่ะ ขอบอกเลยว่าทำไม่ยาก อุปกรณ์ก็ไม่เยอะ ส่วนวิธีจะเป็นไงเราลองไปดูกันเลยจ้า สิ่งที่ต้องเตรียม 1. น้ำมันพืช 2. แม่พิมพ์รูปหมี 3. ผงเจลาตินแบบไร้รสชาติ 4. ผงเจลาตินแบบมีรสชาติ 5. น้ำเปล่า ขั้นแรกให้นำทิชชู่จุ่มน้ำมันพืชแล้วทาลงไปบนแม่พิมพ์ จากนั้นเทผงเจลาตินแบบไม่มีรสชาติลงไป 7 กรัมต่อ 1 ถ้วย (ประมาณหยิบมือ) จากนั้นเติมเจลาตินรสชาติต่างๆ ตามใจชอบลงไปถ้วยละประมาณ 80 กรัม ต่อมาเติมน้ำลงไปในถ้วยประมาณครึ่งแก้ว แล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที นำไปเข้าไมโครเวฟประมาณ 30 วินาที เสร็จแล้วนำกลับไปเวฟต่ออีก 30 วินาที จากนั้นใช้ช้อนตักแล้วหยอดลงไปในแม่พิมพ์ทีละอันๆ เมื่อเทลงไปในแม่พิมพ์แล้ว ให้นำเข้าตู้เย็นประมาณ 20 นาที เท่านี้กัมมี่แบร์แบบโฮมเมดก็เสร็จเรียบร้อย!!…
-
เตือนภัยอู่ซ่อมรถย่านดอนเมือง ซ่อมยังไงอาการก็ไม่หาย ชิ้นส่วนกระจายไม่เหลือเค้าเดิม!!
ว่ากันด้วยเรื่องของยานพาหนะที่เราเก็บหอมรอมริบซื้อมาใช้งาน ก็ไม่อยากให้มีอาการงอแงเอะอะร้องหาช่างตลอด แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้ ซึ่งในแต่ละครั้งการนำรถเข้าไปตรวจเช็คอาการที่ศูนย์บริการก็น่าจะไว้วางใจได้มากที่สุด แต่ถ้าหากมันเกิดสุดวิสัยจริงๆ ก็จำเป็นที่จะต้องหาอู่บริเวณใกล้เคียงแทน เรื่องราวของคุณ samurais จากพันทิปที่เกิดเหตุรถยนต์ขัดข้องระหว่างขับไปทำธุระ จู่ๆ รถก็ดับกลางทาง ในขณะที่กำลังจะลองสตาร์ทอีกรอบ ก็มีคนผ่านมาตบไฟกระพริบช่วยลากรถเข้าอู่ให้ เมื่อไปถึงอู่แล้วก็วินิจฉัยอาการว่าน่าจะมาจากเซ็นเซอร์สตาร์ทเสีย เปลี่ยนแล้วน่าจะหาย ซึ่งก็สตาร์ทติดจริง แต่ตามมาด้วยอาการเครื่องสั่น อู่ก็เลยบอกว่าปั๊มติ๊กน่าจะเสียด้วย ก็เลยจัดการเปลี่ยนไปสองรายการ แต่ไม่มีการรับรองคุณภาพของที่เปลี่ยนจากอู่เลย เพียงไม่นาน ขับรถออกมาได้ 300 เมตรรถก็ดับอีก สุดท้ายก็โดนลากกลับไปที่อู่เดิม ช่างก็ทำการวัดไฟที่ฟิวส์ในกล่องคอนโทรลรถ แต่กลับใช้ฟิวส์คนละขนาด โดยตัวรถใช้ 15 แอมป์ แต่ช่างใช้ 7.5 แอมป์ แล้วอ้างว่ามีกลิ่นไหม้มาจากฝาน้ำมันเครื่อง คราวนี้ก็จัดการเปลี่ยนฟิวส์ไปอีกรอบ แต่อาการก็ยังไม่หาย สตาร์ทติดแต่ก็ดับเหมือนเดิม จนต้องทิ้งรถไว้ให้ช่างจัดการ เขาโดนปฏิเสธความคืบหน้าของการซ่อมไปหลายครั้ง ผลัดวันประกันพรุ่งจากอู่ โทรไปตามจนโดนตัดสายทิ้ง สุดท้ายก็ต้องไปดูด้วยตัวเองให้เห็นกับตา สภาพที่เห็นก็คือเครื่องยนต์ถูกรื้อไม่เหลือเค้าเดิมเลย เพียงแค่อาการเครื่องดับถึงกับต้องรื้อกันขนาดนี้เลย!! เมื่อสอบถามอีกครั้งว่าซ่อมทั้งหมดจะประมาณเท่าไหร่ เจ้าของอู่บอกเลยว่า 20,000…
-
เหตุผลที่ว่าทำไมเหล่าชายฉกรรจ์ทั้งหลาย ถึงมีอาการ ‘นกเขาขัน’ ในช่วงเวลาที่ไม่จำเป็น!?
อาการตื่นตัวเคารพทุกชาติบนที่นอนนั้นถือว่าเป็นอาการปกติของเหล่าชายที่ยังมีความปึ๋งปัง ไม่นับว่าแปลกอะไรหรอก แต่ด้วยอาการตื่นตัวแบบนี้ มักจะมาในช่วงเวลาที่ไม่พึงประสงค์ตลอด ซึ่งในบางครั้งเกิดขึ้นกลางที่สาธารณะโดยที่ไม่มีสิ่งเร้าใดๆ มากระตุ้นเลยด้วยซ้ำ!? ใครเคยประสบกับเหตุการณ์แบบนี้บ้างรึเปล่า? แบบว่า เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าก็ตั้งโด่ขึ้นมาเฉยๆ หรือแม้แต่ในเวลาทำงาน ในเวลาขับรถก็ตั้งชันขึ้นมาโดยที่ไม่ตั้งใจ คือแบบว่ามันจะตั้งชูชันขึ้นมาเฉยๆ ซะอย่างงั้น จนทำให้เกิดอาการเขินอาย ไม่กล้าเดินไปไหนมาไหนเลยทีเดียว แล้วแบบนี้มันเกิดขึ้นมาจากอะไรกันล่ะ!? Stephen J. Winters จาก University of Louisville ได้ทำการวิเคราะห์ออกมาแล้ว อาการดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากฮอร์โมนเทสทอสเทอโรนในเพศชายทุกราย ที่จะช่วยปลุกความเป็นชายในตัวคุณให้ตื่นตัวตามช่วงเวลาต่างๆ โดยที่ไม่ต้องการสิ่งเร้านั่นเอง ชาร์ทวิเคราะห์ตลอด 1 วัน หรือ 24 ชั่วโมง จะเห็นได้ว่าช่วงเวลาเช้าตั้งแต่ตี 4 จนถึง 8 โมงเช้าจะเป็นช่วงเวลาที่ฮอร์โมนพุ่งพล่านมากที่สุด จึงเป็นเวลาปกติที่ความเป็นชายจะตั้งชูชันขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรเลย และที่น่าสนใจก็คือช่วงเวลาบ่าย 1 เป็นเวลาที่พีคที่สุดเช่นกัน เพราะฉะนั้นหากคุณเกิดอาการนกเขาขันในระหว่างเรียนหรือทำงาน ก็ขอให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติของผู้ชายที่ยังมีแรงปึ๋งปั๋งนั่นเอง อิอิ ที่มา : theladbible, peaktestosterone,…
-
หญิงสาววัย 17 ป่วยประหลาด มีเลือดออกที่หูและตาทุกวัน แม้แต่แพทย์ก็หาสาเหตุไม่ได้
สำหรับอาการผิดปกติมีเลือดออกบนร่างกาย ที่เกิดขึ้นแบบหาสาเหตุไม่ได้นั้น เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีใครเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้แน่ๆ แต่ทว่ามันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป เพราะมันดันไปเกิดกับ Marnie Harvey หญิงสาวชาวอังกฤษวัย 17 ปีคนนี้ ซึ่งดูๆ แล้วเธอก็เหมือนกับหญิงสาวทั่วๆ ไปนั้นแหละ แต่ทว่าเมื่อปี 2013 เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับเธอ เพราะในขณะที่เธอตื่นขึ้นมาจู่ๆ ก็มีเลือดไหลออกจากดวงตาโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ… หลังจากที่พบว่าดวงตามีเลือดไหลออกมา Marnie ก็รีบไปพบแพทย์ทันที ซึ่งเธอก็ได้เข้ารับการทดสอบต่างๆ มากมาย แม้แพทย์จะยังหาข้อสรุปที่ชัดไม่ได้ว่า สิ่งที่เธอเป็นอยู่มันเกิดจากอะไร แต่แพทย์ก็ได้สันนิษฐานว่า Marnie อาจจะแพ้น้ำตาล หรือผลิตภัณฑ์จากนมก็เป็นได้ อาการของ Marnie ไม่ดีขึ้นเลย จนทางแพทย์ต่างก็จนปัญญา ที่จะสาเหตุเกี่ยวกับสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นบนร่างกายของเธอ หลังจากนั้นอีก 2 ปี อาการของเธอกลับแย่ลงกว่าเดิม เพราะมีเลือดออกมาจาก ดวงตา หู จมูก และ หนังศีรษะ มากถึง 5 ครั้งต่อวัน แถมยังทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดอีกด้วย …
-
Jason Padget จากอดีตเสือผู้หญิง โดนชกที่หัว ตื่นมาอีกทีกลายเป็นอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์!?
เรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อของชายวัย 44 ปี จากเมือง Tacoma รัฐ Washington ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาผู้นี้มีชื่อว่า Jason Padget ซึ่งปัจจุบันนี้เขากลายมาเป็นพ่อหนุ่มอัจฉริยะทางด้านคณิตศาสตร์แบบที่ว่าหาได้ยากมากๆ แต่เหตุการณ์ที่ทำให้เขาเป็นอัจฉริยะได้นั้นกลับไม่ใช่มาจากการศึกษาในตอนแรก เพราะในอดีตที่ผ่านมาของ Jason ไม่เคยสนใจที่จะเรียนหนังสือเลย ลาออกจากโรงเรียน มีนิสัยเกเร แถมยังเป็นเสือผู้หญิงตัวพ่ออีกต่างหาก โดยย้อนกลับไปในปีค.ศ. 2002 ระหว่างที่เขาเพิ่งออกมาจากผับ จู่ๆ ก็มีโจร 2 คนพุ่งเข้ามาทำร้ายเขาทั้งชกและเตะไปที่หัวของเขาอย่างจังและซ้ำอยู่หลายครั้ง ก่อนที่จะหลบหนีไป แพทย์ได้ทำการตรวจร่างกายของเขาและบอกว่า บริเวณศรีษะได้รับการกระทบกระเทือนนิดหน่อย ไม่จำเป็นต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล รับยาแล้วก็ไปพักที่บ้านได้ หลังจากพักฟื้นได้ซักพักเขาก็เริ่มมองเห็นรูปทรงเรขาคณิตแบบซับซ้อนกับทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นภาพวาดได้ แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงสมการต่างๆ ของรูปทรงเหล่านี้ เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้เรียนรู้มาก่อน และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ Jason ตัดสินใจเรียนทางด้านคณิตศาสตร์และฟิสิกส์อย่างจริงจัง ทั้งนี้ก็ได้มีการตรวจสอบสมองของ Jason อย่างละเอียดอีกครั้งก็พบว่า สมองของเขาได้รับการกระตุ้นอยู่ 2 ส่วนจากการถูกทำร้ายในคืนนั้นที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปอย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือส่วนคำนวณด้านคณิตศาสตร์และส่วนของจินตนาการภาพ โดยอาการแบบนี้เรียกว่า…
-
10 สัญญาณของน้องหมาที่มันต้องการจะสื่อสารกับคุณว่ามัน “รัก” คุณแล้วนะ
สำหรับคนที่เลี้ยงหมา คงประสบปัญหาว่าหมามันรู้สึกยังไงกับเราแน่นะ มันชอบเราหรือยัง หรือบางทีทำไมมันยังแสดงท่าทางแปลกๆกับเราอยู่ ซึ่งวันนี้เหมียวจะมาไขข้อข้องใจให้คุณเอง นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยได้ทำการทดลองเกี่ยวกับพฤติกรรมของสุนัข เพื่อศึกษาภาษาของมันที่แสดงความหมายว่ามันได้รักคุณเข้าแล้ว เราไปดูกันเลยว่าจะมีอะไรบ้าง 1. สุนัขมองตาคุณแบบตรงๆ Anderson Cooper ได้เข้าพบกับผู้ช่วยชาญเรื่องสุนัข Brian Hare เพื่อสนทนาเกี่ยวกับการแสดงออกเรื่องความรักของสุนัข แล้ว Brian ก็พบว่าเมื่อสุนัขได้จ้องตาคุณ มันก็เหมือนการกอดด้วยสายตาสำหรับมันแล้ว เมื่อสุนัขได้จ้องตาคุณในตอนที่กำลังเล่นหรือกอดกันอยู่นั้น ฮอร์โมนออกซิโทซินจะถูกปล่อยออกมา ซึ่งมันเป็นฮอร์โมนเดียวกันที่ทำให้แม่และทารกผูกพันกัน ถ้าคุณอยากลองทดสอบก็ทำได้เลย เพียงแค่จับมันอุ้มแล้วพยายามจ้องตา ถ้ามันบ่ายเบี่ยงที่จะไม่มองก็แสดงว่าคุณแห้วแล้วล่ะ แต่ข้อควรระวังคืออย่าพยายามบังคับให้มันมองตาบ่อยๆ ควรมองให้เป็นธรรมชาติเหมือนที่เรามองมันปกตินั่นแหละ เราจะได้เห็นมันตอบสนองที่แท้จริง 2. สุนัขหาวเมื่อคุณหาว เราคงรู้ว่าหาวนั้นเหมือนเป็นโรคติดต่อ แต่มันไม่ได้ติดเฉพาะคนด้วยกันเท่านั้น มันยังติดไปที่สุนัขได้อีกด้วย เนื่องจากมันได้เรียนรู้พฤติกรรมของมนุษย์ไปด้วยเหมือนกัน มันก็เลยรู้ว่านี่คือการหาว การหาวติดต่อแบบคนสู่คนนั้นอาจเกิดจากความรู้สึกร่วม แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่สุนัขจะมีความรู้สึกร่วมกับมนุษย์ ดังนั้นเหตุผลที่มันหาวตามเราก็อาจจะเป็นเพราะสายสัมพันธ์ที่เรามีกับมันนั่นเอง อีกทั้งยังมีการทดลองแล้วด้วยว่าสุนัขจะหาวตามเจ้าของมากกว่าหาวตามคนแปลกหน้า 3. สุนัขยืนพิงคุณ เหตุผลที่สุนัขจะมาพิงเราก็เพราะว่ามันกำลังกังวลอะไรบางอย่าง หรือมันต้องการทำอะไรบางอย่าง หรืออยากไปไหนสักที่ แต่บางครั้งการยืนพิง ก็เป็นอีกสัญญาณของความรัก ถึงแม้ว่ามันไม่ได้ยืนพิงเพราะเหตุผลข้างต้น แต่มันก็ยังทำ เพราะว่ามันคิดว่าคุณคือคนที่สามารถปกป้องมันได้นั่นเอง 4. เข้าไปซบคุณหลังจากที่กินอาหารเสร็จ ในหนังสือ…
-
ภัยของโรคคลั่งผอม เปลี่ยนจากสาวสวยกลายมาเป็นคนซูบผอมน้ำหนักเพียงแค่ 18 กิโลกรัม
ค่านิยมความงามของหญิงสาวปัจจุบันที่ว่าจะต้อง ‘ผอม’ ทำให้เกิดการลดน้ำหนักแบบหนักหน่วง จนนำไปสู่วิธีที่ผิดๆ อย่างเช่นการอดอาหาร และเมื่อสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่ยอมกินอะไรเลย ร่างกายไม่ได้รับสารอาหาร จึงกลายมาเป็นโรคที่น่ากลัวอย่างเช่นโรคคลั่งผอม (Anorexia) แบบนี้ หญิงสาวนามว่า Rachel Farrokh จาก California เป็นหนึ่งในผู้ที่ประสบกับโรคคลั่งผอมมาเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปีแล้ว ปัจจุบันเธอมีน้ำหนักตัวเพียงแค่ 40 ปอนด์ (ประมาณ 18 กิโลกรัม) เท่านั้น เธอเล่าเอาไว้ว่าตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เธอพยายามรักษาโรคคลั่งผอมมาโดยตลอด แต่ในตอนนี้กำลังอยู่ในภาวะที่จะอยู่หรือตาย ทางโรงพยาบาล Colorado Hospital พร้อมที่จะช่วยเหลือเธออย่างเต็มที่ ติดตรงที่เธอไม่มีเงินไปรับการรักษา เธอต้องการความช่วยเหลือทางด้านการเงินอย่างเร่งด่วน เพื่อที่จะไปโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา ซึ่งในปัจจุบันสามีของเธอเป็นผู้ดูแล ต้องลาออกจากงานเพื่อมาดูแลเธออย่างใกล้ชิด ทางด้านครอบครัวก็ประสบความย่ำแย่เช่นเดียวกัน ทางด้านสามีของเธอ Rod Edmonson ก็เผยว่าหลายโรงพยาบาลไม่รับเธอเข้ารักษาเนื่องจากมีน้ำหนักตัวที่ผอมเกินไป และเกรงว่าจะก่อหนี้สินให้กับทางโรงพยาบาลที่จะต้องแบกรับเอาไว้หลังจากรับรักษาแล้ว ดังนั้นเขาจึงคิดหาทางออกด้วยการระดมทุนผ่านเว็บไซต์ gofundme เพื่อนำเงินไปรักษาโรคร้ายให้กับภรรยาเป็นจำนวน 1 แสนดอลลาร์ และล่าสุดนี้ระดมทุนได้เกือบ 2 แสนดอลลาร์แล้ว หากไม่ได้รับการบริจาคช่วยเหลือจากน้ำใจที่หลั่งไหลมาจากทั่วโลก…
-
ผลการศึกษาเผย ผู้ชายมีความอ่อนแอมากกว่าผู้หญิง เมื่อต้องเจอกับอาการ ‘อกหัก’
ดูจากลักษณะทางกายภาพแล้วผู้ชายคือเพศที่มีความแข็งแกร่งกว่าผู้หญิง แต่ในวิทยาศาสตร์กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงเพราะจัดให้ผู้ชายเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าผู้หญิง เพราะด้วยเหุตผลที่ว่าผู้ชายไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ได้เมื่อต้องเจอกับการบอกเลิกหรืออกหัก ผู้ชายจะรู้สึกเสียใจมากกว่าผู้หญิง มิหนำซ้ำอาจจะกลายมาเป็นแผลในจิตใจของผู้ชายเลยก็ได้!! เรามักจะคิดว่าผู้หญิงไม่สามารถรับมือกับการโดนบอกเลิกหรืออกหักได้ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลย!! ด้วยผลการศึกษาที่ว่าเมื่อโดนบอกเลิก ผู้ชายจะเป็นฝ่ายที่รู้สึกเจ็บปวดที่สุด ผู้ชายจะรู้สึกถึงความสูญเสียและอ้างว้างเป็นระยะเวลานาน เพราะมันจะค่อยซึมซับเข้าไปในจิตใจเรื่อยๆ พอมารู้ตัวอีกทีก็สายไปเสียแล้ว ร้องไห้ไม่ต้องอาย!! สำหรับผู้หญิงจะรับรู้ถึงความเจ็บปวดทันทีเมื่อโดนบอกเลิก แต่จะค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ต่างกับผู้ชายที่ค่อยๆ จมอยู่กับความรู้สึกเจ็บปวด ก็เพราะผู้หญิงมีจิตใจที่แข็งแกร่งกว่ายังไงล่ะจ๊ะ!! ที่มา : fooyoh, nydailynews
-
มาลองเช็คกันดูว่า คุณจะแยกอาการของคนที่เป็น “โรคหัวใจ” ออกหรือเปล่า!!!
โรคหัวใจเป็นหนึ่งในโรคที่คร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมากในแต่ละปี เนื่องจากว่าเมื่อมีอาการกำเริบ น้อยคนนักจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที และคนทั่วไปยังแยกไม่ออกอีกว่า ใครที่กำลังมีอาการของโรคหัวใจกันแน่ จึงทำให้การช่วยเหลือเป็นไปได้อย่างยากลำบาก Heart Foundation จึงทำวีดีโอขึ้นมา เพื่อให้คุณได้สำเร็จตัวเองว่า คุณแยกคนที่มีอาการของโรคหัวใจออกหรือเปล่า ไปลองชมกันเลย เพื่อนๆแยกออกกันหรือเปล่า เหมียวแยกไม่ออกเลยนะ โรคนี้มันน่ากลัวจริงๆ ลองฝึกสังเกตอาการผู้อื่นดูนะ เราอาจช่วยชีวิตของคนอีกหลายคนเลยก็เป็นได้ ที่มา HeartFoundationNZ