Tag: อาการทางจิต
-
Selena Gomez เข้ารับ “การบำบัดทางจิต” หลังป่วยทางอารมณ์ พร้อมพักโซเชียลยาวๆ
หลังจากที่นักร้องหนุ่ม Justin Bieber มีข่าวว่าแอบไปจดทะเบียนลับๆ กับ Hailey Baldwin เมื่อช่วงเดือนกันยายน 2018 ซึ่งผ่านมาได้ไม่กี่สัปดาห์ อดีตคนรักอย่าง Selena Gomez ก็กลับประสบกับความเจ็บป่วยทางอารมณ์และจิตใจ ล่าสุดมีรายงานว่านักร้องสาววัย 26 ปี Selena Gomez ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลถึง “สองครั้ง” ในช่วงสองสัปดาห์ที่แล้ว โดยครั้งแรกเพื่อนของ Selena เล่าว่าเธอมีอาการหมดหวังและอารมณ์อ่อนไหวหลังทราบว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวของเธอน้อยลงเนื่องจากการปลูกถ่ายไต ต่อมาเมื่อราวสัปดาห์ที่แล้วเธอก็ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอีกครั้งด้วยสาเหตุเดิม แต่ครั้งนี้อาการของ Selena นั้นย่ำแย่กว่าเดิมมาก มีรายงานว่าเธอพยายามขอออกจากโรงพยาบาลด้วยแต่ทางแพทย์ยืนกรานว่าด้วยสภาพอาการของเธอแล้ว เธอยังไม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ หลังจากที่ Selena มีอารมณ์และความรู้สึกที่ย่ำแย่จนมีการดึงสายน้ำเกลือออกจากแขนตัวเอง เธอก็ถูกส่งตัวไปยัง สถานบำบัดทางจิต East Coast เพื่อรับการบำบัดพฤติกรรมแบบวิภาษวิธี (DBT) เธอเคยเข้ารับการบำบัดชนิดนี้มาก่อนแล้ว เนื่องจากอาการเจ็บป่วยของสุขภาพจิตที่เกิดขึ้นในอดีต และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา Selena ก็ได้ถ่ายวิดีโอไลฟ์บนอินสตาแกรมอธิบายถึงอาการซึมเศร้าของเธอที่เป็นมาตลอด 5 ปีเต็ม “ความซึมเศร้าและวิตกกังวลเป็นจุดเริ่มต้องของทุกอย่างที่ฉันทำในชีวิต ทุกอย่างจริงๆ” ยังไงก็ขอให้อาการดีขึ้นเร็วๆ…
-
สถาบันสุขภาพ วิเคราะห์ตัวละครน่ารักจาก Winnie The Pooh อาจเป็นตัวแทนของ “ความผิดปกติทางจิต”
การ์ตูนแสนสดใสในวัยเด็ก ที่ชวนให้ผู้อ่านร่วมสนุกไปกับการผจญภัยของเด็กหนุ่มและหมีสีเหลืองพร้อมเหล่าผองเพื่อนสรรพสัตว์ตัวน้อยในป่าหนึ่งร้อยเอเคอร์ การ์ตูนเรื่องนี้ก็คือ Winnie The Pooh นั่นเอง ภาพที่เราจดจำเหล่าตัวละครจากเรื่องนี้ได้ก็คงจะหนีไม่พ้นความน่ารักที่แตกต่างกันไปตามแต่ละตัว อย่างเช่น หมีพูห์ ก็จะดื้อ ไม่ค่อยฉลาด และซุกซน ส่วน พิกเล็ต ก็จะขี้กลัวขี้ระแวง เป็นต้น หารู้ไม่ว่า ตัวละครน่ารักๆ เหล่านี้ แท้จริงแล้วมันคือสัญลักษณ์และตัวแทนของ ความผิดปกติทางจิต ที่เป็นไปตามงานวิจัยของ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ ของสหรัฐอเมริกา ส่วนตัวละครไหนเป็นตัวแทนของโรคอะไร ไปดูพร้อมๆ กันเลย!! 1. พิกเล็ต หลายคนที่เคยรับชมหรืออ่านการ์ตูน Winnie The Pooh ก็คงจะรู้ดีว่าเจ้าลูกหมูพิกเล็ตนี้ค่อนข้างขี้กังวลและขี้กลัว เขากลัวสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้จักและกังวลเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเสมอ แน่นอนเพราะว่าเขาเป็นตัวแทนของ อาการวิตกกังวล และ ความภูมิใจแห่งตน ยังไงล่ะ 2. ทิกเกอร์ เจ้าเสือจอมกระโดดสุดร่าเริงนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์ของ โรคสมาธิสั้น (ADHD) และอาการ ขาดการควบคุมความต้องการของตนเอง สังเกตดูดีๆ จะพบว่าทิกเกอร์มักทำอะไรโดยไม่คิดและไม่ค่อยเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด นอกจากนี้ทิกเกอร์ยังอารมณ์เสียง่ายและใจเย็นลงได้ยากแม้ในสถานการณ์ที่เขาควรจะใจเย็น นี่เป็นอาการจริงๆ ของโรคสมาธิสั้น 3. แรบบิท ปกติแล้วแรบบิทจะดูเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในกลุ่มเพราะเขาดูเป็นคนจู้จี้และจอมวางแผน…
-
ทำไมต้องใช้คำว่า “โลลิ” คนรักเด็กกลุ่มนี้คืออะไร แล้วเป็นคนดีหรือคนไม่ดีกันแน่นะ!!?
ปัจจุบันหลายๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า โลลิ อย่างแน่นอน เพราะคำนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลาย เช่น ใช้เรียกตัวการ์ตูนเด็กหญิงน่ารักๆ หรือคำว่า โลลิคอน ที่ใช้เรียกชายอายุมากที่ชอบหญิงอายุน้อย เป็นต้น แล้วไอ้คำว่า “โลลิ” แท้จริงแล้วมันแปลว่าอะไรกันแน่ และมันมีความหมายเชิงบวกหรือว่าลบ ไอ้เจ้า #เหมียวโลลิ มันเป็นคนไม่ดีหรือเปล่านะ? เราคงต้องลองมาเจาะลึกกันสักหน่อยแล้วล่ะวันนี้!! เมื่อพูดคำว่า “โลลิ” หลายคนอาจนึกภาพอะไรประมาณนี้ (ซึ่งถูกแล้ว 55) อะไรคือโลลิ? คำว่า “โลลิ” หรือ “โลลิคอน” เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มคนที่มีอาการ โลลิตาคอมเพล็กซ์ (Lolita complex) กล่าวคือ ชายที่มีความรู้สึกสเน่หาและรักใคร่เด็กสาวที่มีอายุน้อยกว่าตน โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นที่จะให้ความหมายของ “โลลิคอน” ว่าเป็นชายที่มีความรู้สึกลึกซึ้งส่วนตัวกับหญิงที่มีอายุตั้งแต่ก่อน 10 ปีจนถึง 20 ปี ไม่เกินกว่านี้ ในหลายประเทศยังให้ความหมายของคำว่า “โลลิ” ว่าเป็น เด็กสาววัยกระเตาะ ที่มักทำตัวเย้ายวนและเซ็กซี่เกินวัยอีกด้วย โลลิต่างจากโรคใคร่เด็กอย่างไร? โรคใคร่เด็ก (Pedophilia) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติทางจิตและทางเพศที่ทำให้ผู้ป่วยมี ความต้องการทางเพศ อย่างเฉพาะเจาะจงและสม่ำเสมอกับเด็กก่อนวัยเริ่มเจริญพันธุ์…
-
7 เซเลบชื่อดังที่ออกมาเปิดเผยกับสื่อว่า ตัวเองมีอาการผิดปกติทางจิต
โรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์นั้นมีอยู่มากมายหลายโรคเยอะจนเราอาจจะคาดไม่ถึง ซึ่งแต่ละโรคไม่ได้มีเพียงโรคที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ยังมีโรคที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตอีกมากมายที่มนุษย์หลายล้านคนบนโลกนี้กำลังประสบอยู่ อย่างเช่นคนดังจากหลายๆ วงการทั้ง 7 ท่านต่อไปนี้ 1. Mariah Carey โรคไบโพลาร์ คุณแม่มารายห์ เคยเปิดเผยกับนิตยสาร People ว่าเธอปิดบังเรื่องที่เธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไบโพลาร์มาเป็นเวลากว่า 17 ปี เพราะกลัวว่ามันจะมาทำลายอาชีพการงานของเธอ เมื่อปี 2001 เธอเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยอาการทางประสาทและความอ่อนเพลียทางร่างกาย เธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไบโพลาร์ แต่เธอก็ปฏิเสธการรักษามาตลอด จนในที่สุดเธอออกมาเปิดใจและเข้ารับการรักษา 2. J.K. Rowling ภาวะซึมเศร้า นักเขียนชื่อดังกล่าวว่า หลังจากที่เธอหย่าร้างกับสามีคนแรก เธอไม่มีเงิน ไม่มีความสุข และอยากฆ่าตัวตาย แต่เธอก็รอดพ้นมาได้ด้วยลูกสาวตัวน้อยของเธอเอง “ฉันไม่เคยรู้สึกอับอายจากการเป็นโรคซึมเศร้า ฉันสามารถเดินผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนั้นมาได้ และภูมิใจที่ได้ผ่านมันมา” 3. David Beckham โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) โรคย้ำคิดย้ำทำของเขาทำให้เขานั้นกลายเป็นคนเจ้าระเบียบมาก เขาต้องทนทรมานจากอาการทางจิตที่รู้สึกว่าต้องตรวจเช็กทุกสิ่งทุกอย่างซ้ำๆ ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบในระเบียบเป๊ะๆ แม้กระทั่งการจัดเรียงอาหารในตู้เย็น 4. Emma Stone โรคแพนิค (Panic attacks)…
-
เผยภาพหลอนจากโรงพยาบาลบ้าในอดีต ของผู้ป่วยโรค ‘ฮิสทีเรียหญิง’ จากศตวรรษที่ 19
ในยุคสมัยความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์ยังไม่เอื้ออำนวย อาการผิดปกติทางระบบประสาทและจิตนั้นจะถูกมองว่าเป็นผลของเวทมนตร์คาถาในสายตาของผู้คนทั่วไป แต่ทว่าทางด้านการแพทย์นั้นจะถูกมองโดยรวมว่าเป็นบ้าแทน… สิ่งสำคัญที่ทำให้แพทย์สามารถวิเคราะห์อาการของผู้ป่วยได้ก็คือภาพถ่าย หนึ่งในการเก็บข้อมูลผู้ป่วยเพื่อใช้ในการวินิจฉัยและหาหนทางรักษา ซึ่งในอดีตนั้นภาพถ่ายเก่าๆ ก็จะมีความซีดจางบวกการแสดงอาการของผู้ป่วยก็ยิ่งทำให้ดูหลอนได้อีก!! หนึ่งในผู้ป่วยที่กำลังกรีดร้องต่อหน้ากล้องถ่ายภาพ ภาพถ่ายชุดนี้คาดว่าถูกถ่ายไว้ในช่วงปีค.ศ. 1878 – 1910 จากโรงพยาบาล ปีเต-แซลแปตริแยร์ (Pitié-Salpêtrière) ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และอาการของผู้ป่วยหญิงเหล่านี้ถูกจำกัดความด้วยชื่อโรค “ฮิสทีเรียหญิง” หรือชื่อพฤติกรรมการกินผิดปกติในปัจจุบัน ประวัติของผู้ป่วยนั้นไม่ได้รับการเปิดเผยแต่อย่างใด โดยที่รูปถ่ายเหล่านี้เป็นฝีมือของ Albert Londe ช่างภาพที่ถูกจ้างจากนักประสาทวิทยา Jean-Marie Charcot เพื่อถ่ายภาพของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาอาการทางจิต นานนับศตวรรษ โรคฮิสทีเรียหญิงถูกจัดให้เป็นโรคทั่วไปและจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงเท่านั้น พร้อมทั้งอาการที่กระทบต่อสุขภาพจิตหลากหลายทาง… เช่น หงุดหงิดง่าย, มีความต้องการทางเพศ, นอนไม่หลับ, ถ่ายของเหลวไม่ออก, หายใจถี่, ปวดช่องท้องรุนแรง รวมไปถึงนิสัยการก่อปัญหาต่างๆ ผู้ป่วยหญิงกับอาการทางจิต ที่ก่อตัวมาจากโรคฮิสทีเรีย ในอิริยาบถพนมมือสวดภาวนา จนกระทั่งในศตวรรษที่ 19 โรคฮิสทีเรียนั้นมีความเกี่ยวข้องกับมดลูก และได้รับการกล่าวกันว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความวุ่นวายออกมาจากร่างกายของผู้หญิง เหล่าหญิงผู้โชคร้ายที่ประสบกับโรคฮิสทีเรียจะถูกนำไปกักตัวในโรงพยาบาลบ้าทันที…
-
สาววัย 20 ชีวิตเหลวแหลก เสียใจดรอปเรียน แฟนทิ้ง เสพยาหลอนหนัก จนควักเบ้าตาออก…
อย่างที่เราทราบกันดีว่า ‘ยาเสพติด’ ที่ถูกเรียกกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่เคยส่งผลดีอะไรให้กับสุขภาพร่างกาย และวิถีชีวิตของผู้เสพเลย นอกจากจะสูญเสียความเป็นตัวตนแล้ว ซ้ำร้ายไปยิ่งกว่านั้นก็คือหมดอนาคตในสังคม และอาจใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ภายในห้องขัง ซึ่งในหลายกรณีของผู้ที่เบนเข็มทิศชีวิตมาเสพยา นั่นก็เป็นเพราะหมดหนทางในการแก้ปัญหา จึงเลือกที่จะให้ยาเสพติดกลืนกินชีวิตตนไปอย่างช้าๆ… Kaylee Muthart เรื่องราวของ Kaylee Muthart วัย 20 ปี จากรัฐเซาท์แคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา กลายเป็นพาดหัวข่าวใหญ่ไปทั่วประเทศ หลังจากที่เธอทำการควักนัยน์ตาของตัวเองออกทั้งสองข้าง สืบเนื่องมาจากผลของการเสพยาไอซ์ถึงขั้นประสาทหลอน Muthart ได้เปิดเผยเรื่องราวของตัวเองผ่านเว็บไซต์ Cosmopolitan ว่าเธอดรอปเรียนตั้งแต่อายุ 17 ปี เนื่องจากมีปัญหาหัวใจเต้นผิดจังหวะ ทำให้ขาดเรียนบ่อยจนผลการเรียนย่ำแย่ เธอจึงตัดสินใจที่จะหยุดเรียน ดีกว่าปล่อยให้มีผลการเรียนแย่ติดตัว พร้อมกับออกหางานทำเพื่อเก็บเงินไปเรียนวิทยาลัยด้านชีววิทยาทางทะเลแทน แต่แล้วในช่วงอายุ 18 ปี เธอเข้าสู่สังคมติดเหล้าและเสพกัญชาบ่อยครั้ง จนเมื่ออายุ 19 ปี เธอได้เสพกัญชากับคนรู้จักที่บ้านของเขา และมีอาการเมาที่ผิดแปลกไปจากเดิม ซึ่งในครั้งนั้นมันทำให้เธอรู้สึกใกล้ชิดกับพระเจ้ามากกว่าแต่ก่อน จนเธอคิดว่ากัญชาที่เสพเข้าไป มีส่วนผสมของโคเคนหรือยาบ้า โดยที่ไม่เคยมองกัญชาเป็นสารเริ่มต้นที่ทำให้เข้าสู่วังวนยาเสพติดมาก่อน จนกระทั่งสารที่เธอไม่เคยต้องการได้เริ่มเข้ามาทำลายชีวิตเธอแล้ว …
-
นี่แหละคือความจริงทั้ง 9 ข้อของ ‘โรคจิตเภท’ ที่คุณอาจเข้าใจผิดมาตลอดชีวิต…
โรคจิตเภท คืออาการทางจิตของมนุษย์เรา ทำให้ผู้ที่เป็นโรคนี้เกิดความคิดและความเชื่อแปลกๆ ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง บางครั้งอาจทำให้เกิดภาพหลอน มองเห็นอะไรที่ไม่เป็นความจริง หลายครั้งมนุษย์เราเรียกคนที่เป็นโรคจิตเภทว่า “คนบ้า” แน่นอนว่า อาการทางจิตทั้งหลายเป็นเรื่องเข้าใจยาก โดยเฉพาะโรคจิตเภททีี่ถือว่าเป็นโรคค่อนข้างรุนแรง ยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นการที่คนเราไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “โรคจิตเภท” นั้นยิ่งทำให้ผู้ที่เป็นโรคนี้ยิ่งใช้ชีวิตอยู่บนโลกได้ลำบากมาขึ้น วันนี้เราจึงขอเสนอ 9 ความจริงเกี่ยวกับโรคจิตเภทที่หลายคนยังเข้าใจผิดอยู่ ว่าแต่มีความจริงอะไรบ้าง เชิญไปรับชมกันได้เลย… 1. คนเป็นโรคจิตเภทจะมีหลายบุคลิก ถ้าจะพูดให้ถูกจริงๆ แทนที่จะใช้คำว่ามีหลายบุคลิก ควรใช้คำว่า “จิตใจซับซ้อน” มากกว่า เพราะไม่ใช่ผู้ป่วยโรคจิตเภททุกคนจะมีหลายบุคลิกหรือหูแว่ว การมีจิตใจซับซ้อนและหลายรูปแบบนั้นทำให้ผู้ป่วยมีอารมณ์แปรปรวน เช่น เดี๋ยวชอบเดี๋ยวเกลียดสิ่งเดียวกันในเวลาอันสั้น หรืออาจจะเสียใจอย่างหนักกับเรื่องเล็กๆ แต่กลับเฉยชากับความโศกเศร้าที่รุนแรง เป็นต้น 2. โรคจิตเภทเป็นโรคที่หายาก ไม่เชิงเป็นจริงเสียทีเดียว จากประชากรทั้งหมด จะมีผู้เป็นโรคนี้เพียง 1 เปอร์เซ็นต์ซึ่งดูเหมือนน้อยก็จริง แต่มันกลับถูกพบเห็นได้บ่อยกว่าที่คิด ในทุกๆ 1,000 คน จะมีคนเป็นโรคจิตเภทประมาณ 5 คนได้ 3. ผู้คนที่เป็นโรคจิตเภทนั้นคาดเดาไม่ได้…
-
รู้ไหม ‘อาการติดเกม’ ตอนนี้ถูกตั้งให้เป็นอาการป่วยทางจิตชนิดหนึ่งแล้วนะเออ!!
ตามปกติแล้ว ถ้าคนเราทำอะไรมากๆ มากจนเข้าขั้นเสพติด จนไม่เป็นอันกินอันนอน นั่นก็ถือว่าเป็นอาการป่วยทางจิตแล้ว การเล่นเกมก็เช่นกัน ถ้าเราเล่นเยอะๆ มันก็อาจจะส่งผลต่อสภาพจิตของเราได้ นั่นจึงทำให้ล่าสุดทาง World Health Organisation (WHO) หรือองค์กรอนามัยโลกได้ยืนยันเป็นครั้งแรก ว่า ‘อาการติดเกม’ ถือว่าเป็นอาการป่วยทางจิตชนิดหนึ่ง การประกาศดังกล่าวจะส่งผลทันที หลังจากที่องค์กรอนามัยได้เตรียมทำการอัปเดตหนังสือคู่มือจำแนกโรคประเภทใหม่ในปีหน้า ซึ่งคู่มือดังกล่าวนั้นไม่ได้รับการอัปเดตมาตั้งแต่ปี 1990 Vladimir Poznyak ได้บอกว่า “ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพต้องการให้อาการติดเกมนั้นเป็นที่จดจำ ว่ามันสามารถส่งผลต่อสุขภาพของเราได้ แม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่เล่นเกมนั้น จะไม่ได้รับผลร้ายแรงจนเกิดเป็นโรคทันทีเหมือนๆ กับคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่ได้รับโรคทันทีหลังจากดื่ม แต่ว่าเมื่อเยอะและนานเข้ามันก็จะส่งผลในขั้นต่อๆ ไปนั่นเอง” นอกจากนี้ทาง ESET ยังเคยทำผลสำรวจผู้คนจำนวน 500 คน ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเขาพบว่ามีคนมากกว่า 10% ที่ยอมรับว่าพวกเขาเล่นเกมอยู่หน้าจอทีวีและคอมนานกว่า 12 ชั่วโมง ซึ่งนั่นถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลย ยังไม่หมดเท่านั้น เมื่อปี 2016 ทางมหาวิทยาลัย Oxford ยังได้ทำการวิจัยคนที่เล่นเกมกว่า 19,000 คน จากทั้งประเทศสหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา, แคนาดา และเยอรมนี ด้วยการให้ผู้ร่วมทดสอบเช็กว่าพวกเขามีอาการอะไรบ้างจากทั้งหมด 9 อาการตรวจสอบสุขภาพจากสมาคมจิตเภท …
-
จากการศึกษาและงานวิจัยบอกว่า ‘การเสพติดเซลฟี่’ อาจเป็นอาการผิดปกติของจิตใจก็ได้
ในโซเชียลมีเดีย เราอาจได้เห็นเพื่อนๆ เซลฟี่โพสต์ลงในโซเชียลมีเดียกันจนเป็นเรื่องปกติ แต่มันอาจจะไม่ปกติอีกต่อไป เมื่องานวิจัยได้ออกมาเผยว่าการเซลฟี่อาจเป็นความผิดปกติทางจิตอย่างหนึ่ง ย้อนกลับไปในปี 2014 สมาคมจิตเวชอเมริกัน หรือรู้จักกันในชื่อ APA ได้พูดถึงความผิดปกติทางจิตอย่างหนึ่งที่ชื่อว่า Selfitis คือคนที่ถูกการเซลฟี่เข้าครอบงำ ต่อมาในปี 2017 จึงได้มีงานวิจัยออกมาเพื่อยืนยันและจำแนกประเภทของอาการชนิดนี้ งานวิจัยดังกล่าวถูกตีพิมพ์ใน วารสารนานาชาติที่เกี่ยวกับสุขภาพจิตและการเสพติด เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน โดยนักวิจัยสองคนจากมหาวิทยาลัย Nottingham Trent University ในอังกฤษ และ Thiagarajar School of Management ในอินเดีย พวกเขาต้องการยืนยันว่าอาการทางจิตดังกล่าวนั้นมีอยู่จริงและต้องการแบ่งระดับความรุนแรงออกมาให้เราเห็นภาพกันได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตามเงื่อนไขต่างๆ ที่ถูกวางเอาไว้ ทั้งสองใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยจำนวนหลายร้อยคน เพื่อทำการสัมภาษณ์แบบกลุ่ม หลังจากนั้นพวกเขาก็แบ่งระดับความรุนแรงของพฤติกรรมการถูกครอบงำจากเซลฟี่ออกมาเป็น 3 ระดับดังนี้ ระดับ 1 ขั้นเริ่มต้น หมายถึงคนที่ถ่ายเซลฟี่อย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง แต่ไม่ได้โพสต์รูปเหล่านั้นลงโซเชียล ระดับ 2 ขั้นรุนแรง หมายถึงคนที่ถ่ายเซลฟี่อย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง…
-
หญิงผู้ตั้งใจใช้ชีวิตบนวีลแชร์ เพื่อเติมเต็มความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็น ‘คนพิการช่วงล่าง’
คนพิการแทบทุกคนอยากกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ยืน เดิน วิ่ง หรือทำอะไรหลายๆ อย่างได้เหมือนกับคนทั่วไป แต่เธอคนนี้กลับคิดไปอีกแบบหนึ่งเพราะเธอกลับต้องการที่จะใช้ชีวิตอย่างคนพิการซะเอง ความพิการและจะได้นั่งรถวีลแชร์นั้นคือความใฝ่ฝันของ Chloe Jennings สาววัย 61 ปีจากเมือง Salt Lake City ในรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา ทุกวันนี้ความใฝ่ฝันของเธอสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง เพราะเธอได้ใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นตามที่เธอต้องการแล้ว . สาเหตุที่ทำให้เธอมีความต้องการแบบนั้นก็เพราะเธอป่วยเป็นโรค Body Integrity Identity Disorder (หรือเรียกว่า BIID) ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอยากจะตัดแขนขาของตัวเองออกไป หรือมองว่าการได้เป็นคนพิการคือความสุขของชีวิต เธอถูกวินิจฉัยว่าป่วยเป็นอาการดังกล่าวตั้งแต่ปี 2008 ทำให้หลังจากนั้นเธอเลือกที่จะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับการนั่งรถเข็น แต่เธอก็ยังคงสามารถยืนและเดินได้ด้วยตัวเองหากจำเป็น อย่างเช่นเวลาขึ้นลงบันได . เธอยังคงมีบางกิจกรรมที่ออกไปทำเหมือนกับคนปกติ ยกตัวอย่างการเล่นสกีน้ำแข็ง การปีนเขา หรือการขับรถ ที่ทุกวันนี้เธอก็ยังคงออกไปเล่นอยู่บ้าง แต่สิ่งที่น่ากลัวจากความต้องการของเธอก็คือ เธอต้องการจะพิการมากจนถึงขั้นคิดว่าต้องการขับรถไปชนเพื่อให้ขาของตัวเองขยับไม่ได้ แม้แต่ตอนที่เธอรถชนในปี 2009 เธอก็บอกว่าสิ่งนั้นอาจเกิดขึ้นจากความตั้งใจของตัวเองก็ได้ เพราะอย่างนั้นจึงทำให้คนในครอบครัวและเพื่อนๆ รู้สึกกังวลว่าเธอจะพยายามวิ่งเข้าหาอันตรายเพื่อให้ตัวเองได้พิการอย่างที่ฝันไว้ แต่มันอาจจะไม่ได้จบแค่ความพิการเสมอไป มันอาจร้ายแรงมากกว่านั้นก็ได้ .…
-
ผลงานเมคอัพ Body Of Souls สะท้อนอาการ “ไบโพลาร์” ในจิตใจที่กำลังกัดกินมนุษย์
อาการทางจิตที่มีชื่อเรียกว่า ไบโพลาร์ หรืออีกชื่อคือ โรคอารมณ์สองขั้ว เป็นโรคที่หลายคนรู้จักกันว่ามันจะทำให้ผู้ป่วยต้องจมอยู่กับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาอยู่ตลอดเวลา จากร่าเริงอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นเศร้าและกลับมาร่าเริงอีกครั้ง สิ่งนั้นจึงได้กลายเป็นไอเดียให้กับศิลปินสาวชาวอังกฤษ Kelly Odell ผู้สร้างผลงานการถ่ายภาพที่สื่อให้เห็นว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคดังกล่าวหรืออาการทางจิตอื่นๆ เช่น โรคซึมเศร้ากับสมาธิสั้น พวกเขาเหล่านั้นจะต้องรู้สึกอย่างไรกันบ้าง เธอจึงใช้ยางทำหน้ากากและชิ้นส่วนต่างๆ นานถึง 9 วันให้ออกมาเป็นใบหน้าและมือของปีศาจที่ซ่อนอยู่ภายใน คอยฉุดจิตใจของเราลงไปให้ต่ำลง ชิ้นส่วนต่างๆ ที่เกิดจากฝีมือและระยะเวลา แปะติดกับทุกส่วนของร่างกายนางแบบ จากนั้นทั้งหมดก็จะได้ไปตกแต่งอยู่บนร่างของนางแบบที่ชื่อว่า Suzi Cumming นอกจากนั้นเธอคนนี้ยังมีส่วนร่วมในการออกแนวคิดต่างๆ ให้กับผลงานชิ้นนี้อีกด้วย นอกจากนั้นพวกเธอยังได้ร่วมมือกับ Rick Jones ช่างภาพมืออาชีพของสตูดิโอชื่อ Horrify Me ที่ทำให้การนำเสนอเพิ่มความหลอนมากขึ้นไปอีกจากเทคนิคเพิ่มเติมต่างๆ เช่น การใช้เลือดปลอมแต่งเติมเข้าไป หน้ากากที่สมจริงสมจัง เป็นผลงานที่เกิดจากความพยายามของทุกคน ในระหว่างนั้นทุกคนจะช่วยกันออกความคิดเพื่อเพิ่มให้งานมีความหมายมากยิ่งขึ้น อย่างการใส่หน้ากากเพื่อสื่อถึงการที่เราทุกคนซ่อนความรู้สึกภายในเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ สุดท้ายจากความช่วยเหลือของ Claire Jones ผู้ร่วมงานอีกคนหนึ่งก็ทำให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นลงได้ในเวลาเพียงแค่ 6 ชั่วโมง ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบและน่าดึงดูด ชวนให้ทุกคนค้นหาความหมายจากสิ่งต่างๆ ที่พวกเธอสื่อออกมา…
-
สาวเปิดเผยถึงโรคย้ำคิดย้ำทำของตัวเอง เป็นหนักซะจนต้องสระผมถึง 72 ครั้งภายในวันเดียว!!
หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ โรคย้ำคิดย้ำทำ กันมาก่อน โดยโรคดังกล่าวเป็นอาการทางจิตของผู้ป่วยที่ชอบทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ้ำๆ มากจนเกินไป แต่ในความเป็นจริงเราจะไม่ค่อยได้พบเห็นผู้ที่ป่วยเป็นโรคดังกล่าวนี้จริงๆ และคนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยรู้ว่าทำไมพวกเขาจึงมีอาการเช่นนั้น จนเมื่อ Serin Rayer Davies วัย 23 ปีผู้ที่มีอาการของโรคนี้ขั้นรุนแรงได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการทีวีประเทศอังกฤษ ชื่อว่า This Morning เพื่อเล่าถึงประสบการณ์ที่เธอต้องเจอมาตลอด หญิงสาวผู้ป่วยเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำขั้นรุนแรง อาการของโรคเริ่มต้นขึ้นเมื่อตอนเธออายุได้เพียง 7 ขวบ เธอใช้เวลานานมากกว่าจะออกจากบ้านไปโรงเรียนเพราะเธอมีความคิดขึ้นมาว่าพ่อแม่เธอจะตาย ทำให้เธอเปิดเข้าเปิดออกประตูบ้านเพื่อเช็คดูอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ กระทั่งในตอนนั้น Deny พ่อของเธอก็เข้ามาช่วยอธิบายให้ฟังว่าสิ่งเหล่านั้นมันจะไม่เกิดขึ้นจนอาการเหล่านั้นหายไป ก่อนที่จะกลับมาเป็นอีกครั้งในตอนที่เธออายุ 18 ปี เธอบอกว่า “อาการเหล่านั้นเกิดขึ้นจากความเครียด บางคนที่มีความวิตกกังวลอยู่ก่อนแล้วหากต้องไปเจอเรื่องเครียดหรือเรื่องแย่ๆ ผลลัพธ์ที่ได้คือจะต้องพยายามรับมือกับมันอยู่ตลอดเวลา” พ่อของเธอผู้คอยอยู่เคียงข้างเธอมาตลอด หลังจากนั้นเธอก็มีอาการของโรคที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอต้องซักผ้าวนไปมาอยู่ถึง 15 ครั้งหรือสระผมตัวเองมากถึง 72 ครั้งภายในวันเดียว เพราะเธอคิดว่าสิ่งรอบตัวมันไม่สะอาดและเต็มไปด้วยเชื้อโรคซึ่งเกิดจากจินตนาการของเธอเองทั้งหมด และทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างยากลำบาก การแต่งงานกับชายในฝัน อย่างไรก็ตามตอนนี้เธอได้เข้ารับการรักษาอาการดังกล่าวทำให้เธอสามารถใช้ชีวิตได้ดียิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังได้แต่งงานกับชายในฝันของเธออีกด้วย และถึงแม้ว่าสามีของเธอจะช่วยอะไรเธอไม่ได้เลยแต่อย่างน้อยเขาก็ยอมรับและคอยดูแล จัดการเรื่องต่างๆ เพื่อให้เธอมีอาการของโรคแสดงออกมาน้อยที่สุด…
-
สาวป่วยเป็นโรค ‘จิตหลงผิด’ ควบคุมตัวเองไม่ได้ เพราะคิดว่าตัวเองเป็นไดโนเสาร์หรือลิง!?
จะเป็นยังไงถ้าคุณต้องป่วยเป็นอาการทางจิต แล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นไดโนเสาร์หรือไม่ก็สิงมีชีวิตอย่างอื่นตลอดเวลา ซึ่งคุณคงคิดไม่ออกใช่ไหม แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ กับหญิงสาวชาวอังกฤษคนหนึ่งแล้วนั่นเอง Lucy Evans หญิงสาววัย 18 ปี จากเมือง Aberystwyth ประเทศเวลส์ ผู้ป่วยเป็นอาการทางจิตขั้นรุนแรง ซึ่งมันส่งผลให้ในบางครั้งเธอจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นไดโนสาร์ทีเร็กซ์ที่ก้าวร้าว หรือบางครั้งก็เป็นลิงจ๋อที่อยู่ในสวนสัตว์แล้วแต่ช่วงเวลา โดยก็ผลคือมันทำให้เธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย เธอบอกว่าอาการของเธอค่อยๆ รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในตอนที่คิดว่าเป็นทีเร็กซ์จะดุมากๆ นานวันเข้าก็แรงขึ้นๆ ซึ่งเธอก็ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แล้วว่าเธอป่วยเป็นโรค Anti-NMDA receptor encephalitis ซึ่งหายากมากๆ โดยจะพบแค่ 1 คน จาก 75,000 คนเท่านั้น เธอต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่โชคยังดีที่ที่ปรึึกษาของเธอเคยเจออาการแบบนี้มาก่อนจึงสามารถรับมือได้เป็นอย่างดี รวมถึงแม่ของเธอที่อยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา เธอยังเล่าว่าเธอรู้ตัวว่าเริ่มป่วยครั้งแรกก็ตอนที่เพื่อนบ้านเริ่มเห็นเธออาเจียนและมีอาการหวาดระแวงอย่างต่อเนื่อง โดยในตอนแรกทุกคนก็เริ่มคิดว่าเธอเป็นไบโพล่าร์ แต่ทว่ากลับไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด เพราะว่าในปี 2017 อาการของเธอก็ยังดำเนินต่อไปและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงปัจจุบัน มีช่วงหนึ่งอาการของเธอกำเริบหนักมากๆ เธอเริ่มมีอาการคลั่งอย่างรุนแรงและควบคุมร่างกายไม่ได้ ร่างกายเริ่มหายใจถี่ขึ้น โดยในตอนแรกเธอถูกส่งไปยังโรงพยาบาล Bronglais Hospital แต่ว่าที่นี่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญโรคดังกล่าวอยู่ เธอจึงถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาล Swansea’s Morriston…
-
ชายชราสมองเสื่อม ยังคงฝังใจถึงสมรภูมิเวียดนาม เพื่อนทหารจึงอาสาช่วยปลดประจำการ…
เราคงจะมีความหลังที่ฝังใจเรากันบ้าง ทั้งในเรื่องที่เรารู้สึกอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำ หรือแม้แต่เรื่องที่เราอยากลบมันออกไปจากสมอง แต่มันก็ยังคงฝังไว้ในส่วนลึกเองก็เช่นกัน หากเป็นเหตุการณ์ร้ายๆ ถ้าเราคิดถึงมันก็คงจะทำให้เรารู้สึกไม่ดีอย่างแน่นอน อย่างเช่น Lawrence ชายชราชาวอเมริกัน วัย 84 ปีท่านนี่ ตอนวัยหนุ่มเขาได้รับใช้ชาติให้กับประเทศบ้านเกิดนานถึง 20 ปี โดยเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพอากาศ และในช่วงเวลานั้น เขาก็ได้ออกรบที่เวียดนามด้วย ซึ่งนั่นคงจะเป็นความทรงจำที่ไม่ดีซักเท่าไหร่ ด้วยอายุที่มากขึ้น จึงทำให้สุขภาพจิตของยิ่งถดถอยลงไปเรื่อยๆ จนไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตประจำวันได้ด้วยตัวเอง แต่ก็ยังมีครอบครัวคอยดูแลเขาอยู่เสมอให้ผ่านวันแต่ละวันไปได้ด้วยดี จนเมื่อ 2 ปีก่อนที่เขาได้รับการบาดเจ็บที่สะโพกและการฟื้นฟูที่เป็นไปอย่างยากลำบาก รวมไปถึงไม่อาจเชื่อใจลูกๆ และภรรยาด้วยอาการที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น รัฐวอชิงตันจึงรับเขามาดูแลแทนในฐานะทหารผ่านศึก เพื่อไม่ให้อารมณ์ของเขาระเบิดออกมาทำร้ายครอบครัวของเขาเอง ลูกสาวและลูกเขยของเขาได้เข้ามาดูแล นำอาหารที่เขาชอบมามอบให้ที่บ้านพักทหารผ่านศึก ในฐานะคนที่ไม่รู้จักกัน เพราะด้วยความที่เขาไม่เชื่อใจคนในครอบครัวอีกต่อไปแล้ว เขาได้เริ่มที่จะพูดถึงเรื่องอดีตที่บางเรื่องก็ไม่ได้มีสาระอะไร หรือกับเรื่องที่จำถูกแล้ว ก็จะยังคงมีปัญหาจำไม่ได้ว่าเรื่องนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เหมือนกับเรื่องที่คิดว่าตัวเขาเองนั้นต้องถูกส่งกลับไปในสงครามที่เวียดนามอีกครั้ง ความคิดที่เชื่อว่าทางกองทัพได้โทรมาตามให้เขากลับเข้าสู่สงครามในวันก่อนหน้านั้น และยังคงพูดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมาในแต่ละวัน ขณะที่พูดนั้นก็จะร้องไห้ไปด้วยโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะยังคงเชื่อว่าจะต้องกลับไปสู่เหตุการณ์เหล่านั้นอีก ลูกเขยของเขาจึงเสนอวิธี ให้พานายทหารที่เกษียณอายุไปแล้วเช่นเดียวกัน กลับมาเยียวยาเรื่องนี้ เขาจึงได้โพสต์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าไปในกลุ่มเฟซบุ๊คของเมือง ซึ่งก็ได้รับการตอบกลับให้ความช่วยเหลือมามากมาย ภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง และในเช้าวันต่อมาก็ได้มีอดีตนายทหารชั้นพันโทมาหาเขาทันที…
-
ศิลปินผู้มีอาการแพริโดเลีย และจัดการปัญหาด้วยการวาดหน้าที่เห็น ให้ออกมาเป็นการ์ตูน!!
Pareidolia หรือ แพริโดเลีย คืออาการทางจิตอย่างหนึ่งที่จะทำให้ผู้เจอกับปัญหานี้เห็นภาพหรือเสียงแปลกๆ อยู่บ่อยๆ เช่นบางครั้งอาจจะเห็นสิ่งข้องมีหน้ามีตาขึ้นมาหรือมันสามารถพูดได้อะไรทำนองนั้น ด้วยเหตุนี้ Keith Larsen ศิลปินผู้ป่วยเป็นปัญหาทางจิตดังกล่าวจึงจัดการคิดวิธีรับมือปัญหาที่เขาต้องเจอ ด้วยการวาดภาพสิ่งที่เขามองเห็นออกมาให้คนอื่นได้รับรู้ รวมถึงยังทำให้มันเป็นภาพแนวการ์ตูนพร้อมกับใส่เรื่องราวเข้าไป เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องกลัวกับสิ่งที่เขาต้องเจอ และสามารถที่จะสนุกไปกับได้ นี่คือภาพที่เขาเห็นเวลาเอาผ้าไปใส่เครื่องซักผ้า เขาเห็นส่วนต่างๆ กลายเป็นเป็ดที่พยายามจะสื่อสารกับเขา เจ้าเครื่องกดน้ำที่กลายเป็นตู้ที่มีหน้าขนาดใหญ่ ลองคิดดูว่าถ้าเขาไม่วาดให้มันน่ารัก แต่วาดให้น่ากลัวหรือในแบบที่เขาเห็นจริงๆ มันจะเป็นยังไงกันนะ ยิ่งมะเขือเทศครึ่งหน้าอันนี้ ขนาดทำให้เป็นการ์ตูนก็ยังดูน่ากลัว ไม่อยากจะคิดถึงสิ่งที่เขาเห็นจริงๆ เจ้าที่แขวนเสื้อนี้ เขาได้แต่งเรื่องให้มันมีหน้ามีตาและมันมีเป้าหมายสำคัญคือมองไปข้างหน้าเพื่อดูแลเสื้อผ้าที่เอามาแขวนไว้ ส่วนเตาไฟตัวนี้ก็ได้รับชื่อจากเขาว่า Frankie พร้อมเติมแต่งเรื่องราวเจ๋งๆ ให้กับมัน เจ้ากำแพงกั้นนี้ได้รับชื่อว่า Sharron ซึ่งจะว่าไปภาพที่เขาวาดมาส่วนปากที่เป็นเครื่องเป่ามือนี่แอบหลอนแปลกๆ แฮะ ส่วนบริเวณโถฉี่เขาก็ทำให้มันกลายเป็นสลอตอวกาศ เจ้านี่ดูไม่ค่อยน่ากลัวนะ ออกจะไปน่ารักเสียด้วยซ้ำ ใครชื่นชอบผลงานอยากจะติดตามอินสตาแกรมของเขา ก็เข้าไปได้ที่ keithlarsen เขายังมีผลงานของตัวเองให้ดูอีกเยอะแยะเลยล่ะ ที่มา demilked