Tag: อิสลาม
-
หนุ่มสาวอินโดฯ ถูกชาวบ้านราดด้วย “น้ำเน่าเสีย” หลังแอบมีเพศสัมพันธ์โดยไม่แต่งงาน
แต่ละวัฒนธรรมก็จะมี จารีต ที่แตกต่างกันออกไป การกระทำบางอย่างอาจถูกต้องในวัฒนธรรมหนึ่ง แต่ในอีกวัฒนธรรมหนึ่งมันอาจจะเป็นสิ่งผิด จนต้องถูกลงโทษก็เป็นได้ อย่างเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศอินโดนีเซีย เมื่อหญิงชายคู่หนึ่งถูกชาวบ้านราดด้วย น้ำเน่าเสีย ในท่อระบายน้ำ เป็นการลงโทษที่ทั้งคู่ มีเพศสัมพันธ์ กันโดยมิได้เป็นสามีภรรยาหรือไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานนั่นเอง คลิปเหตุการณ์ ชายหญิงถูกราดด้วยน้ำเน่า วิดีโอนี้ถูกถ่ายมาจากเมืองลังซา จังหวัดอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผู้คนต้องปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของ กฎชะรีอะฮ์ หรือกฎหมายศาสนาของอิสลาม ชายที่ถูกน้ำเน่าราดในวิดีโอ เผยชื่อมาเพียง TSF ถูกชาวบ้านรุมล้อมและใช้ถังตักน้ำเน่าเสียในท่อระบายน้ำขึ้นมาราดรดลงบนตัว ชายคนนี้พยายามจะหนี แต่ก็ถูกชาวบ้านไล่กลับให้ไปนั่งรับบทลงโทษต่อ ราดด้วยน้ำเสีย ตักน้ำเน่าจากท่อระบายน้ำโดยตรง แล้วราดลงไปบนร่างผู้กระทำผิด จากนั้น หญิงอีกรายที่สวมชุดฮิญาบก็ถูกเรียกให้เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งก็ถูกเผยเป็นชื่อย่อว่า DK ในวัย 30 ปี เธอถูกสั่งให้มานั่งอยู่ข้างๆ TSF แล้วเธอก็ถูกราดด้วยน้ำเน่าเสียจากท่อระบายน้ำเช่นเดียวกัน สื่อในท้องที่รายงานว่า DK ถูกกล่าวหาว่ามีเพศสัมพันธ์กับ TSF ผู้ที่เป็นหัวหน้างานของเธอและยังเป็นประธานคณะกรรมการวางแผนพัฒนาส่วนภูมิภาคอีกด้วย DK ก็ต้องรับโทษเช่นเดียวกับ…
-
‘บังโต’ ชี้แจงไม่ได้ว่าคนไหว้รูปปั้น ไม่ได้พาดพิงใคร ‘จุฬาราชมนตรี’ ไม่สบายใจจนต้องเตือน…
จากการที่ โต วีรชน ศรัทธายิ่ง’ อดีตนักร้องวงซิลลี่ ฟูลส์ ออกมาพูดในรายการ “โต ตาล” ในหัวข้อ “ทำไมอิสลามถึงไม่มีรูปปั้น เหมือนชาวพุทธไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ” จนกลายเป็นกระแสวิจารณ์ในโลกออนไลน์ ในช่วงเมื่อวานที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงวันนี้ เนื่องจากชาวเน็ตส่วนใหญ่มองว่า โต กำลังวิจารณ์ศาสนาอื่นอยู่… (อ่านข่าวเก่า) จนกระทั่งล่าสุดนี้ โต ซิลลี่ ฟูลส์ ก็ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “ทุบโต๊ะข่าว” ช่องอมรินทร์ทีวีผ่านทางโทรศัพท์ เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า… คลิปรายการที่จัดไปในวันศุกร์นั้นคือคำถามจากผู้ชม “ทำไมศาสนาอิสลามถึงไม่มีรูปปั้นไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ” โดยตามหลักศาสนาอิสลามแล้ว จะไม่เคารพสิ่งอื่นใดนอกจากผู้สร้าง ไม่ใช่สิ่งปลูกสร้าง จึงอธิบายได้ว่าทำไมรูปปั้นถึงไม่มีค่าในทัศนะของคนที่เป็นมุสลิม “เรื่องของผมคือคนถามว่าทำไมมุสลิมถึงไม่เอารูปปั้นไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ ผมก็ตอบในทัศนะของคนที่เป็นมุสลิมว่าเราไม่ยึดเหนี่ยวจิตใจกับรูปปั้น เพราะคุณลักษณะมันต่ำกว่าความเป็นมนุษย์ มันเป็นสิ่งปลูกสร้าง ถ้าใครจะยกขึ้นเหนือกว่ามนุษย์ผมว่าก็ประหลาดสำหรับผม ผมก็พูดตรง ๆ ไม่ได้ดูถูกอะไร” ใจความจากการให้สัมภาษณ์ผ่านรายการทุบโต๊ะข่าว ซึ่งบังโตเองก็ยืนยันว่าตนนั้น ไม่ได้พาดพิงถึงศาสนาพุทธ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการเข้าใจผิด กลายเป็นการสรุปกันเองว่ารูปปั้นที่พูดถึงคือพระพุทธรูป เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้น โตก็จะทำผิดหลักศาสนาอิสลาม ที่ห้ามไม่ให้วิจารณ์ศาสนทูต…
-
ชาวมุสลิมร้องเรียนและเผาผ้าอ้อม เหตุตัวการ์ตูนแมวบนซอง คล้ายอักษรอารบิก ‘มุฮัมมัด’
เรื่องของความคล้ายคลึงเป็นเรื่องของมุมมองของแต่คน ที่จะมองว่าสิ่งๆ นั้นเป็นอย่างไร แต่ใครจะไปคิดว่าความคล้ายจะสามารถทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้นได้ เหมือนกับเรื่องนี้ ที่ชาวมุสลิมได้ทำการเรียกร้องให้บริษัทผ้าอ้อมเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ เพราะว่าหนวดแมวบนซองมันดันไปคล้ายกับชื่อของศาสดาของพวกเขา โดยเรื่องราวนี้เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย เมื่อมีชาวมุสลิมกลุ่มหนึ่งได้ออกมาเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมยี่ห้อ Pampers หลังจากพวกเขาพบว่ารูปแมวที่อยู่บนซองบรรจุภัณฑ์มันมีความคล้ายคลึงกับชื่อของ นบีมุฮัมมัด ศาสดาของศาสนาอิสลาม จุดที่เป็นปัญหาสำหรับเรื่องนี้เมื่อเทียบกับชื่อ”นบีมุฮัมมัด” ที่เขียนเป็นภาษาอารบิก สำหรับส่วนที่มีความคล้ายก็คือส่วนหนวด จมูก ปาก และตาซ้ายของตัวการ์ตูนแมว ที่มีความใกล้เคียงกับชื่อของศาสดา เมื่อนำไปเขียนเป็นภาษาอารบิกหรือภาษาอารดู ซึ่งกลุ่มผู้ประท้วงกลุ่มนี้ถือว่าภาพที่อยู่ข้างซองนี้มันเป็นเสมือนกับการดูถูกศาสนาของพวกเขา จึงได้มีการเผาผ้าอ้อมเกิดขึ้น ต่อมาในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ก็มีนักเคลื่อนไหวจากกลุ่มอิสลามชื่อว่า Darsgah Jihad-o-Shahadat ได้เข้ามายื่นเรื่องร้องเรียนนี้อย่างเป็นทางการให้กับตำรวจที่สถานีตำรวจ Dabeerpura ในนครไฮเดอราบาด จากการรายงานของสื่อ Deccan Chronicle มีการเผาผ้าอ้อมเกิดขึ้น ซึ่งเนื้อความในจดหมายที่ส่งถึงตำรวจนั้น พวกเขากล่าวว่าผลิตภัณฑ์ Pampers ของบริษัท US multinational Procter & Gamble ได้ทำการเหยียบย่ำความรู้สึกของชาวมุสลิม และก็มีการร้องขอให้บริษัทดังกล่าว ช่วยนำผลิตภัณฑ์นี้ออกจากชั้นวางของให้เร็วที่สุดด้วย ยื่นแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ “แม้แต่ตาเปล่าก็ยังสามารถดูออกเลยว่า นี่คือชื่อของศาสดานบีมุฮัมมัดที่ได้รับการตีพิมพ์เอาไว้ด้วยภาษาอารบิก ท่านเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเรานับถือมากที่สุด ซึ่งการดูหมิ่นเป็นเรื่องไม่สามารถยอมรับได้” เนื้อความในจดหมายเขียนเอาไว้ …
-
มือปืนรัสเซียตะโกน ‘อัลลอหุ อักบัร’ ก่อนจะกราดยิงรอบโบสถ์บาดเจ็บ 5 เสียชีวิต 5 ราย
วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2018 ที่ผ่านมาได้เกิดการสังหารหมู่ ณ บริเวณโบสถ์แห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานบูชาของชาวคริสเตียนออร์ทอดอกซ์ ในเมือง Kizlyar ของสาธารณรัฐ จวนพิลที่อยู่ภายใต้การปกครองของประเทศรัสเซีย โดยมีผู้เสียชีวิตจำนวน 5 ราย พร้อมทั้งประชาชนอีก 5 รายได้รับความบาดเจ็บ นักบวชในโบสถ์กล่าวว่า ผู้ก่อเหตุขณะที่ใช้อาวุธปืนกราดยิงได้ตะโกนออกมาว่า “อัลลอหุ อักบัร” ที่แปลว่า “พระเจ้ายิ่งใหญ่ที่สุด” ผู้ก่อเหตุถูกระบุตัวว่าเป็นชายวัย 22 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง อ้างอิงจากคณะกรรมการสืบสวนทำให้ทราบว่า ชายผู้ก่อนเหตุได้เสียชีวิตลงแล้ว เขาถูกยิงโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่บริเวณใกล้เคียง เมื่อตรวจสอบศพของชายผู้เหตุ ทำให้พบปืนล่าสัตว์ กระสุนปืน และมีด ทางกระทรวงราชการภายในภูมิภาคกล่าวว่า “ชายนิรนามได้ก่อเหตุกราดยิงด้วยปืนล่าสัตว์บริเวณเมือง Kizlyar ทำให้มีหญิง 4 รายบาดเจ็บสาหัสจนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ” ขณะที่หญิงคนที่ 5 เสียชีวิตภายหลังที่โรงพยาบาล Russian News Agencies กล่าวว่าการกราดยิงได้เกิดขึ้นขณะที่สมาชิกในโบสถ์กำลังประกอบพิธีเฉลิมฉลอง Maslenitsa ซึ่งเป็นวันหยุดวันสุดท้ายก่อนจะเข้าวันเทศกาลมหาพรต มีรายงานว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอีก 2 รายเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และ…
-
ชายชาวเมเลย์พุ่งเข้าตบหญิงสาวผู้ไม่สวมฮิญาบ เมื่อเธอบอกว่ามีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ใส่
เมื่อเวลาผ่านไป ความเชื่อและระเบียบวินัยด้านศาสนาก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ยกตัวอย่างเรื่องที่พระสงฆ์ต้องซ้อนรถจักรยานยนตร์เพื่อเดินทางไกลแล้ว แม้ว่าในทางวินัยจะไม่ควรทำ แต่คนอีกส่วนหนึ่งก็เข้าใจว่าต้องปรับให้เข้ากับยุคสมัยตามสมควร อย่างไรก็ตามในสังคมของเราก็ยังมีทั้งกลุ่มคนที่เป็นพวกอนุรักษณ์นิยม ที่เชื่อว่าทุกอย่างควรจะเป็นไปตามกฎดั้งเดิมของศาสนาเท่านั้น และคนอีกกลุ่มที่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงแล้วอาศัยอยู่ร่วมกัน จึงอาจะทำให้เกิดความขัดแย้งกันได้ ชายหนุ่มสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงวอร์ม เข้าไปคุยกับหญิงชุดดำ เหตุการณ์นี้ก็เป็นผลจากความขัดแย้งเรื่องระเบียบของศาสนาเช่นกัน เรื่องเกิดขึ้นที่จุดรอรถประจำทางในประเทศมาเลเซีย โดยมีชายคนหนึ่งเดินเข้าไปต่อว่าและทำร้ายหญิงกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่รอรถอยู่ เนื่องจากพวกเธอไม่ยอมสวมผ้าโพกหัวตามความเชื่อของศาสนาอิสลาม คลิปนี้ถูกถ่ายไว้โดยคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ในคลิปจะเห็นว่าชายซึ่งสวมเสื้อกันหนาวแขนยาวและกางเกงวอร์ม ได้เข้าไปถามหญิงสาวที่แต่งตัวด้วยชุดสีดำว่าเธอนับถือศาสนาใด เมื่อเธอตอบเขาว่านับถือศาสนาอิสลาม เขาจึงถามต่อด้วยท่าทางโมโหว่าทำไมเธอถึงไม่สวมผ้าโพกหัว เขาไม่พอใจที่เธอไม่ยอมสวมผ้าโพกหัวตามความเชื่อดั้งเดิมของศาสนาอิสลาม หญิงสาวก็ตอบเขาว่าเธอไม่สวมผ้าโพกหัวเพราะมันเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะเลือกใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ ทว่าคำตอบของเธอทำให้เขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แล้วใช้หลังมือตบหน้าเธอทันที ทันทีที่คนรอบข้างเห็นดังนั้น พวกเธอก็ลุกขึ้นมาปกป้องหญิงสาว และต่อว่าชายคนดังกล่าวทันที โดยหญิงที่สวมผ้าโพกหัวและถือโทรศัพท์มือถืออยู่ได้ลุกขึ้นมาเถียงกับผู้ชายคนนี้แทนหญิงที่ถูกตบหน้า และคลิปวิดีโอก็จบลงเพียงเท่านี้ ชายหนุ่มตบหน้าหญิงสาวในที่สาธารณะทันทีที่ได้ยินคำตอบจากเธอ คลิปวิดีโอนี้ถูกเผยแพร่ลงในโซเชียลเน็ตเวิร์กของประเทศมาเลเซีย และได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก โดยคนที่ได้เห็นคลิปนี้แล้ว ส่วนหนึ่งรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของชายคนนี้เอาเสียเลย คลิปวิดีโอเหตุการณ์ ประชากรกว่า 30 ล้านคนในเทศมาเลเซียนั้นเป็นคนที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในประเทศเลยทีเดียว และตามความเชื่อดั้งเดิมแล้ว ผู้หญิงอิสลามก็ควรจะสวมผ้าโพกหัวเวลาออกไปข้างนอกบ้านด้วย ไม่เช่นนั้นจะถือว่าแต่งกายไม่มิดชิด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ คนในประเทศมาเลเซียมีความเชื่อเรื่องอนุรักษณ์นิยมของศาสนาอิสลามเพิ่มมากขึ้น ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงใดๆ…
-
นักบุญตุรกีพูดออกทีวี “ผู้ชายต้องไว้หนวด” เพราะจะได้แยกออกว่าคนไหนหญิงหรือชาย
กลายเป็นกระแสโจมตีกันพอสมควร เมื่อนักบุญตุรกีออกมาพูดกลางรายการทีวี Fatih Medreseleri เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ผู้ชายนั้นจำเป็นจะต้องไว้หนวดเพื่อที่จะได้แบ่งแยกความเป็นชายแลกหญิงออกจากกันได้… โดยนักบุญที่ออกมาพูดมีชื่อว่า Murat Bayaral ซึ่งเขาบอกว่าหนวดเป็นอวัยวะเพียงส่วนเดียวของมนุษย์ที่แยกความเป็นหญิงและชายอย่างชัดเจน Murat ได้ยกตัวอย่างว่า “ถ้าคุณผู้ชายผมยาวอยู่ใกล้ๆ คุณคงคิดว่าเขาเป็นผู้หญิงแน่ๆ โดยเฉพาะถ้าเขาไม่มีหนวด เพราะปัจจุบันผู้ชายและหญิงมีการแต่งตัวคล้ายกันมากๆ “ อ่านดูแล้วมันคงจะเป็นความคิดสุดโต่งที่ดูแย่และเหยียดมากๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันกลับไม่ได้เป็นเรื่องที่แปลกเลย เพราะว่า Magdalena Kirchner หญิงสาวที่ทำงานอยู่ใน Istanbul Policy Center บอกว่าก่อนหน้านี้ก็เคยมีข้อแนะนำแปลกๆ แบบนี้มาเหมือนกัน เช่น Recep Tayyip Erdoğan ที่เคยประกาศให้จะชูนโยบายคนรุ่นใหม่ หรือจะเป็น Bülent Arinç ที่ออกมาเสนอไม่ให้ผู้หญิงออกมาหัวเราะเสียงดังในที่สาธารณะ ก็ไม่รู้ว่าแนวคิดนี้ของ Murat จะถูกนำไปใช้จริงไหม หรือว่ามันจะเป็นแค่การเสนอแนะเฉยๆ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วใครจะคิดอย่างไรก็คงต้องขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคนนั่นเอง ที่มา dailymail
-
นักฟุตบอลสาวทีมชาติอิหร่านถูกแบนและประกาศจับ หลังจากไม่สวม ‘ฮิญาบ’ ขณะเล่นฟุตบอล
นักฟุตบอลสาวทีมชาติอิหร่านจำเป็นต้องลี้ภัยอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากเธอกำลังถูกดำเนินคดีและจับกุมตัว หลังปรากฎภาพของเธอระหว่างเล่นฟุตบอลโดยไม่สวมฮิญาบและใส่กางเกงขาสั้น Shiva Amini นักฟุตบอลสาววัย 28 ปี ถูกทางสมาคมฟุตบอลของประเทศอิหร่านตั้งข้อหาดังกล่าว ในระหว่างที่เธอกำลังพักผ่อนส่วนตัวในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยกฎการสวมผ้าคลุมศีรษะสำหรับสาวอิสลามนั้นถูกบังคับใช้ในอิหร่านหลังจากที่เกิดการปฏิวัติเมื่อปี 1979 นักฟุตบอลสาวคนดังกล่าวถูกสั่งแบนจากทีมชาติ และขณะนี้กำลังลี้ภัยอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เธอได้ให้สัมภาษณ์ว่าเธอไม่สามารถที่จะกลับประเทศบ้านเกิดได้แล้ว เนื่องจากเธอกลัวที่จะถูกจับกุม “ฉันไม่สามารถกลับไปที่อิหร่านได้แล้ว ฉันจะถูกจับทันทีเมื่อถึงสนามบิน และจากนั้นก็จะถูกส่งตัวเข้าคุก” หญิงสาวกล่าว ภาพของเธอที่ถูกทางสมาคมฟุตบอลของประเทศตั้งข้อหา อย่างไรก็ตามเธอไม่สามารถเปิดเผยที่อยู่ของตัวเองในสวิตเซอร์แลนด์ได้ เนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย แต่ทางการอิหร่านก็ได้ทำการติดต่อกับทางครอบครัวของเธอเพื่อสืบหาที่อยู่ของนักฟุตบอลหญิง Amini อธิบายว่าเธอถูกตั้งข้อหาดังกล่าวหลังจากที่อัพภาพของตัวเองระหว่างเล่นฟุตบอลลงสื่อโซเชียลมีเดีย เธอได้พูดคุยกับคนของสมาคมและเพื่อนๆ หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ซึ่งบางคนก็เข้าใจในสิ่งที่เธอทำ แต่ขณะที่บางคนบอกว่าสิ่งที่เธอทำนั้นเป็นการต่อต้านรัฐอิสลาม “เจ้าหน้าที่ระดับสูงบอกกับฉันว่าภาพดังกล่าวนั้นมันค่อนข้างชัดเจนว่าฉันทำงานให้กับพวกกลุ่มฝ่ายค้าน และต่อต้านรัฐบาล” หญิงสาวกล่าว นักฟุตบอลสาวเริ่มกังวลในความปลอดภัยของเธอ หลังจากที่สื่อต่างๆ เริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ Voice of America ได้รายงานเรื่องของเธอในภาษาเปอร์เซีย ในทุกๆ เช้า Amini จะออกไปวิ่งและใช้เวลาเล่นฟุตบอลกับผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ เธอยังหวังจะได้กลับไปเล่นฟุตบอลอาชีพและตามหาความท้าทายในฐานะนักกีฬาอาชีพอีกครั้ง นอกจากนี้เธอยังได้พูดถึงกฎการสวมฮิญาบอีกว่ามันไม่ควรที่จะเป็นประเด็นสำคัญสำหรับนักกีฬาหญิง และเธอเองก็เสียใจมากที่ถูกตัดชื่อออกจากทีมชาติเพียงเพราะสาเหตุดังกล่าว “ฉันได้รับจดหมายจากสมาคมฟุตบอลเกี่ยวกับเรื่องสวมฮิญาบ และไม่เพียงแค่นั้นพวกเขายังบอกว่าฉันเล่นฟุตบอลกับพวกเด็กๆ ผู้ชายอีกด้วย ดังนั้นฉันจึงถูกตัดสิทธิ์จากทีมชาติ” นอกจากจะเสียใจที่ถูกตัดสิทธิ์จากทีมชาติแล้ว…
-
เจ้าเหมียวขัดจังหวะอิหม่ามกลางมัสยิด คัมภงคัมภีร์ไม่สนใจ เป้าหมายอยู่ที่โต๊ะอย่างเดียว!!
อย่างที่พวกเราทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่า เหล่าเจ้าเหมียวนั้นมักจะมีนิสัยซุกซนและชื่นชอบการสำรวจเป็นพิเศษ บางครั้งพวกมันก็มักจะซนในเวลาที่พวกเรากำลังยุ่งๆ อยู่ไม่ว่าจะเป็นตอนที่คุณกำลังทำกิจกรรมเข้าจังหวะ (เล่นดนตรีน่ะ อย่าคิดมาก) หรือเวลาที่คุณกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม (เย็บผ้าจ้า) พวกเจ้าเหมียวก็มักจะเข้ามาอยู่ใกล้ๆ และออดอ้อนคุณอยู่บ่อยๆ และเจ้าเหมียวตัวนี้เองก็เช่นกัน เมื่อมันกำลังเรียกร้องความสนใจจากอิหม่าม ในขณะที่เขากำลังอ่านคัมภีร์อยู่ แต่ถึงแม้ว่าจะถูกกวนใจแค่ไหน อิหม่ามก็ยังคงแน่วแน่ในพระคัมภีร์ แถมไม่ได้ไล่เจ้าเหมียวไปไกลๆ อีกด้วย คลิปวิดีโอความยาวเกือบๆ 2 นาทีจากช่องยูทูบ Ahmad Al-fahad ได้เผยให้เห็นถึงความน่ารักของเจ้าเหมียวตัวน้อยที่เข้ามาระหว่างการอ่านพระคัมภีร์ของอิหม่ามและชาวมุสลิม แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเหมียวตัวน้อยจะไม่ได้สนใจฟังพระคัมภีร์เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะดูเหมือนกับว่ามันกำลังจ้องหาที่ปีนอยู่และเหมือนกำลังคิดว่า “นี่ฉันจะขึ้นไปข้างบนโต๊ะได้ยังไงกันนะ!?” และหลังจากที่หาช่องทางอยู่นาน ในที่สุดเจ้าเหมียวก็สามารถขึ้นไปบนโต๊ะได้สำเร็จ เอ๊า!! แบบนี้มันต้องฉลอง ชมความน่ารักน่าเอ็นดูของเจ้าเหมียวตัวนี้ได้ที่คลิปวิดีโอด้านล่างนี้เลย… น่ารักจริงๆ เลยน๊าาา เจ้าเหมียว ที่มา iizcat
-
ชายหนุ่มถูกตัดสินโทษจำคุก 15 ปี เพราะเอา ‘เบคอน’ ไปวางไว้หน้ามัสยิด
ทุกคนรู้ว่าตามหลักศาสนาอิสลาม ชาวมุสลิมนั้นไม่สามารถบริโภคหมูได้เลย แต่ชายคนนี้กลับทำในสิ่งที่คุกคามผู้นับถือศาสนาดังกล่าว โดยการนำเบคอนไปวางเอาไว้ด้านหน้าทางเข้ามัสยิดที่ตั้งอยู่ในเมือง Titusville รัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา เขาคนนี้มีชื่อว่า Michael Wolfe วัย 37 ปี เขาทำสิ่งนั้นลงไปในวันที่ 2 มกราคม 2016 และถูกกล้องวงจรปิดเก็บภาพสิ่งที่ทำเอาไว้ ก่อนที่เขาจะถูกจับกุมตัวเพื่อดำเนินคดีในการก่ออาชญากรรมคุกคามสถานที่เกิดเหตุ และข้อหาการกระทำความผิดที่มีบ่อเกิดมาจากความเกลียดชัง กล้องวงจรปิดถ่ายภาพขณะที่เขากำลังก่อคดีอาชญากรรมเอาไว้ได้ ภาพชัดๆ จากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นชายคนดังกล่าวนำเบคอนไปวางเอาไว้ที่ประตูหน้าของมัสยิด และใช้มีดเล่มใหญ่ทำลายหน้าต่าง หลอดไฟ และกล้องที่ติดตั้งอยู่บริเวณดังกล่าว ล่าสุดในวันที่ 5 ธันวาคม 2017 หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นกว่า 1 ปี ตัวแทนสำนักงานเขตตุลาการปกครอง Todd Brown ได้ออกมากล่าวว่า ผู้กระทำผิดได้รับการตัดสินโทษจำคุก 15 ปี พร้อมกับคุมความประพฤติหลังจากที่ออกจากคุกมา เพื่อไม่ให้เขาทำแบบนี้อีก สภาความมั่นคงระหว่างอเมริกันกับอิสลามแห่งรัฐฟลอริด้า เห็นด้วยกับสิ่งที่ศาลตัดสินให้จำคุกนาย Michael แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาบอกว่า “ชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในรัฐต้องเจอกับอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชังอยู่นับไม่ถ้วน” ปัจจุบันแนวคิดต่อต้านศาสนาอิสลามกำลังแพร่กระจายไปทั่วสหรัฐอเมริกา จนมีเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน และหลายครั้งเลยเถิดจนเป็นกลายเป็นเหตุอาชญากรรม…
-
อินโดนีเซียให้เพชฌฆาตเฆี่ยนฟาด ผู้ประพฤติผิดผัว-ผิดเพศ ท่ามกลางสาธารณชน
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2017 เว็บไซต์ Daily Mail ได้มีการนำเสนอภาพของหญิงชายในจังหวะอาเจะฮ์ ประเทศอินโดนีเซีย ถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนตีต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก โดยจังหวัดอาเจะฮ์ ถือว่าเป็นเพียงจังหวัดเดียวในประเทศอินโดนีเซียที่ใช้กฎหมายชารีอะห์ในการปกครอง ทำให้ทุกคนในเมืองนี้เคร่งครัดกับธรรมเนียมประเพณีตามหลักศาสนาอิสลามอย่างมาก และการลงโทษด้วยการเฆี่ยนตีแบบนี้มีอยู่มานานกว่า 30 ปี และเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับจากทุกคนในเมืองและกฎหมายก็ได้คุ้มครองในเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2005 . . การกระทำที่ต้องถูกลงโทษก็มีอย่างเช่น หญิงชายที่ไม่ได้เป็นสามีภรรยาอยู่ด้วยกันตามลำพัง เล่นการพนัน ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีอะไรกับคนที่ไม่ใช่คู่แต่งงานของเรา หรือแม้แต่การยืนใกล้กับคนรักมากจนเกินไปในที่สาธารณะเองก็ต้องโดนเฆี่ยนเหมือนกัน ซึ่งผู้ที่ทำการตีคนเหล่านั้นถูกเรียกว่า Algojo โดยจะทำการเฆี่ยนตีประมาณ 10-29 ครั้ง แต่จะร้ายแรงกว่านั้นมากถ้าหากมีใครทำผิดกฎมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน คนคนนั้นต้องถูกเฆี่ยนถึง 100 ครั้ง จำคุกอีก 100 เดือนหรือเสียค่าปรับเป็นทองคำหนัก 1,000 กรัม . สิ่งที่เกิดขึ้นอาจทำให้ใครหลายคนมองว่าเป็นการลงโทษที่โหดร้าย แต่สำหรับผู้ที่ดูแลเกี่ยวกับความเป็นประเพณีของเมืองนี้กลับมองว่านี่เป็นการลงโทษในระดับปานกลางเท่านั้นเอง ไม่ได้หนักหนาอะไร . . เหตุการณ์นี้ก็คงขึ้นอยู่กับความเชื่อและกรอบกฎหมายของแต่ละประเทศ ต่างสถานที่กันก็อาจมองบางสิ่งบางอย่างไม่เหมือนกันก็ได้ ที่มา: dailymail
-
ปฏิกิริยาสุดฮาของ “ทั่นปูติน” หลังรัฐมนตรีเกษตรแนะนำให้ส่งหมูไปขายอินโด…..
กลายเป็นกระแสโลกอินเตอร์เน็ตกันอย่างรวดเร็ว เมื่อมีคลิปจากงานประชุมสภารัสเซียที่ท่านผู้นำรัสเซีย ‘Vladimir Putin‘ ขำจนหยุดไม่อยู่ แสดงให้เห็นภาพน่ารักๆ ของเขาจนชาวเน็ตสงสัยว่าเขาขำอะไรกันนะ? เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2017 ระหว่างประชุมสภา ซึ่งมีช่วงหนึ่งที่รัฐมนตรีเกษตรของรัสเซียได้เสนอแนวทางบริหารประเทศ ด้วยการส่งออกเนื้อหมูไปยังประเทศอินโดนีเซีย!? โดยรายละเอียดเนื้อหาจากทาง Alarabiya บอกว่ารัฐมนตรีเกษตร Alexander Tkachev บอกว่าเขามีแผนจะเพิ่มกำลังการส่งออกของรัสเซียไปยังประเทศอื่นๆ ด้วยการส่งเนื้อหมู พร้อมยกตัวอย่างว่าประเทศเยอรมันยังส่งออกหมูไปในหลายๆ ประเทศทางเอเชียเลย เช่น จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซียเป็นต้น และหลังจากที่ท่านผู้นำ Vladimir Putin ได้ยินเช่นนั้น เขาจึงอดขำไม่ได้ พร้อมถามกลับ Alexander ว่า “นี่นายรู้ใช่ไหมว่าอินโดนีเซียเขาไม่กินหมู” พร้อมยืนยันกับรัฐมนตรีดังกล่าวว่าประเทศอินโดนั้นเป็นประเทศมุสลิมที่ใหญ่ที่สุด เพราะฉะนั้นพวกเขาไม่กินหมู (และถ้าเน้นส่งออกหมูอย่างเป็นทางการ นอกจากจะรายได้น้อยแล้ว อาจจะโดนอินโดด่ากลับมาแน่ๆ) ด้าน Alexander Tkachev ก็ดันตอบกลับท่านผู้นำของเราว่า “พวกเขาจะกินแน่ๆ” ด้วยคำตอบดังกล่าวท่านผู้นำจึงอดใจไม่ไหว พร้อมหัวเราะออกมาแล้วตอบกลับไปว่า “ไม่ พวกเขาจะไม่กินแน่ๆ” พร้อมขำต่อยกใหญ่ . สุดท้ายนาย Alexander…
-
สาวมุสลิมใจรักคอสเพลย์ โชว์ให้โลกเห็นว่าเธอสามารถปรับเปลี่ยนให้ ‘ฮิญาบ’ เข้าได้กับทุกตัวละคร
‘เพียงแค่คุณสวมฮิญาบ ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะแต่งคอสเพลย์ไม่ได้’ คอสเพลย์อาจจะเป็นวัฒนธรรมที่เริ่มมาจากญี่ปุ่น แต่ในปัจจุบันมันกลายเป็นอะไรที่รู้จักและครอบคลุมไปทั้งโลกเรียบร้อบแล้ว จนไม่ว่าใครๆ ก็สามารถจะลุกขึ้นมาแต่งคอสเพลย์ได้ เช่นเดียวกับ Misa หญิงสาวชาวมาเลเซียวัย 21 ปี ทีนับถือศาสนาอิสลามคนนี้ ซึ่งถ้าเราพูดถึงศาสนาดังกล่าวเราก็จะรู้กันว่าสาวๆ ต้องสวมฮิญาบตลอดเวลา ฉะนั้นการคอสเพลย์จึงเป็นเรื่องที่ตัดออกทันที แต่เธอไม่ปล่อยให้มันมาเป็นอุปสรรคในความชอบของเธอ เธอได้ทำให้ทุกคนเห็นว่า แม้จะสวมฮิญาบอยู่ก็สามารถคอสเพลย์และทำให้มันเข้ากันกันได้ โดยเธอโพสต์การคอสเพลย์ระหว่างสวมฮิญาบของเธอลงอินสตาแกรม โดยวิธีหลักๆ ในการคอสเพลย์ของเธอคือพยายามเลือกฮิญาบสีต่างๆ ให้เจ้ากับการคอสเพลย์ในตัวละครนั้นๆ เป็นตัวละครจาก Attack on Titan ก็ยังได้ และด้วยการใช้ไอเดียดังกล่าว จึงทำให้ไอเดียในการคอสเพลย์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไอเดียใหม่ๆ บังเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ และมันก็ออกมาดูดีมากๆ ไม่ว่าเธอจะคอสเพลย์เป็นอะไรก็ตาม ใช้ฮิญาบสีต่างๆ มาเป็นทรงผมของตัวละคร ถือเป็นหนึ่งในไอเดียที่น่าสนใจ อย่างมิซากิจากนารูโตะที่ผมสีฟ้า เธอก็ใช้ฮิญาบสีฟ้าก็สามารถคอสเพลย์ได้ไม่ยากแล้ว ถ้าตัวละครผมดำ ก็ใช้ฮิญาบดำ นารูโตะก็เหมือนกัน ใช้ฮิญาบสีเหลืองมาเป็นผม เท่ไม่หยอก ได้ลงหนังสือด้วยนะ ธรรมดาที่ไหน เอาเป็นว่าถ้าใครชื่นชอบอยากจะติดตามเธอแล้วละก็ สามารถเข้าไปกดติดตามได้ที่อินสตาแกรมของเธอที่ miisa_mhc และสุดท้ายอย่าปล่อยให้อะไรมาปิดกั้นความชื่นชอบของคุณ…
-
ร่วมลิ้มลองอาหารฮาลาล จากฝีมือของผู้ลี้ภัยชาวซีเรียและอัฟกัน ที่พำนักชั่วคราวในไทย…
หลายๆ คนอาจเคยได้ทราบข่าวคราวของสงครามซีเรีย ที่มีความขัดแย้งกันยาวนานมาเกือบ 7 ปี การปะทะกันจากหลายๆ ฝ่ายกลางเมืองซีเรีย ทำให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่กลายมาเป็นคนไร้บ้าน ต้องอพยพออกจากบ้านเกิดเพื่อลี้ภัยไปยังประเทศอื่นๆ มีชาวซีเรียและชาวอัฟกันส่วนหนึ่งได้เดินทางมาลี้ภัยที่ประเทศไทย โดยได้รับการช่วยเหลือจาก องค์การ The UN Refugee Agency หรือ UNHCR ให้ที่พำนักชั่วคราว เพื่อเตรียมส่งตัวไปยังประเทศที่สามต่อไป และในระหว่างที่ผู้ลี้ภัยบางส่วนที่ได้มาพำนักอยู่ภายในประเทศไทย ก็ได้พยายามทำในสิ่งที่พวกเขาพอจะทำได้เพื่อประทังชีวิต หาเลี้ยงตัวเองด้วยการทำอาหารออกมาขาย โดยที่ไม่รอเงินช่วยเหลือจากองค์กรต่างๆ เพียงอย่างเดียว ทางด้านสมาชิกเว็บพันทิปหมายเลข 1811852 จึงได้ตั้งกระทู้เพื่อประชาสัมพันธ์ได้ชาวเน็ตได้รับรู้ หลังจากที่ได้ไปแวะเวียนเยี่ยมชม และซื้ออาหารที่ศูนย์กลางอิสลามในซอยรามคำแหง 2 โดยอาหารที่นำมาขายล้วนแต่เป็นอาหารที่มาจากฝีมือของผู้ลี้ภัยชาวซีเรียและชาวอัฟกันทั้งสิ้น อาหารที่ทางผู้ลี้ภัยได้นำมาขายแต่ละอย่างนั้น มีความน่ากินมากๆ อย่างแรกคือ Pastry รสชาติกลมกล่อม หอมเครื่องเทศ มีทั้งไส้เนื้อ ไส้ไก้ และไส้ชีส ในราคาเพียงชิ้นละ 20 บาท ส่วนคุณลุงท่านนี้ขายฮัมมัสเป็นอาหารประเภทจิ้ม ไว้ทานกับแป้งนาน ในราคา 50 บาท อีกทั้งยังมีเคบับไก่ในราคา 60 บาทอีกด้วย …
-
ครอบครัวมุสลิมเดือด โดนพนักงานร้านฟาสต์ฟู้ด แอบใส่เบคอนชิ้นเล็กๆ ซ่อนไว้ในแซนด์วิชไก่!!
ใครมีเพื่อนเป็นชาวมุสลิมกันบ้างเอ่ย แต่ถึงไม่มียังไงสิ่งที่เราแทบทุกคนจะรู้กันก็คือศาสนาอิสลามนั้นไม่กินเนื้อหมูตามความเชื่อทางศาสนา แล้วถ้าพวกเขาต้องมาพบว่าตัวเองได้กินไปโดยไม่ตั้งใจไปแล้วล่ะ? เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจากร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดังอย่าง McDonald’s ที่ซึ่งชาวมุสลิมได้เข้าไปสั่งอาหารอย่างที่พวกเขาสามารถทานตามปกติ แต่เมื่อกินเข้าไปก็ต้องพบกับกลิ่นรมควันอันน่าสงสัยในเมนูขึ้นมา และแล้วก็เซอร์ไพรส์ทันทีกับการได้เห็นชิ้นเบคอนแผ่นเล็กๆ ซ่อนอยู่ในแซนด์วิชไก่ของพวกเขา หลังจากนั้นลูกค้าก็ได้ถ่ายคลิปไว้เพื่อเผยแพร่ให้ทุกคนได้เห็นของแถมที่พวกเขาไม่ได้ต้องการเลย จนกระทั่งเรื่องดังกล่าวก็ถูกแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในโลกออนไลน์ กรรมการบริหารองค์กรศาสนาอิสลามในประเทศอเมริกาได้ออกมาพูดว่า “มันไม่น่าจะเป็นความผิดพลาด เพราะนี่มันเกิดขึ้นกับแซนด์วิชจำนวนถึง 14 ชิ้น อยู่บนไก่บ้าง ซ่อนอยู่ใต้แซนด์วิชบ้าง ในจุดที่ลูกค้าจะมองเห็นได้ยาก นั่นจึงเหมือนเป็นการตั้งใจซ่อนเอาไว้” โดยก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น แซนด์วิชไก่จำนวนมากที่ถูกจำหน่ายออกไป ไม่อาจทราบได้เลยว่าจะมีเบคอนชิ้นเล็กๆ อยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า… ทางร้านก็ได้ออกมาพูดว่า “เรารับประกันได้เลยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากความตั้งใจของพนักงาน เราเอาใจใส่กับลูกค้าทุกคน และพยายามทำให้มั่นใจทุกครั้งกับรายการอาหารที่ถูกต้องครบถ้วน ซึ่งหลังจากนี้เราจะหาสาเหตุกันต่อไป” คลิปวิดีโอสั้นๆ ที่ลูกค้าชาวมุสลิมได้ถ่ายเอาไว้ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนี้ก็คงจะทำให้หลายคนต้องตรวจสอบอาหารที่เราจะนำเข้าปากกันให้ดีซะแล้ว เพราะหากมีอะไรที่เรากินไม่ได้โผล่ขึ้นมาในนั้นละก็คงจะเป็นเรื่องที่ลำบากกันไปเลยทีเดียว ที่มา: metro
-
ฮีโร่ชาวมุสลิม เข้าห้ามปรามกลุ่มวัยรุ่นมุสลิม 3 ราย ที่จ้องทำร้ายร่างกายชาวคริสต์ได้สำเร็จ!!
ฮีโร่ในการ์ตูน ในหนัง หรือในจินตนาการของเราสิ่งเหล่านั้นคงเป็นภาพของฮีโร่ที่เคยชินในการนิยามเอาไว้ แต่ไม่ได้แปลว่าในชีวิตจริงนั้นเราจะไม่ได้มีโอกาสเจอเลย เมื่อชายคนนี้ได้กลายเป็นฮีโร่ของใครหลายๆ คน Edris Nosrati หนุ่มมุสลิมวัย 35 ปี เจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ฟังดูเหมือนเป็นคนทั่วไป แต่ความไม่ธรรมดาเกิดจากที่เขาจัดการกับกลุ่มวัยรุ่นชาวมุสลิมที่คอยรังควานชาวคริสต์ เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืนขณะที่เขากำลังเดินกลับบ้าน ก็เจอกับกลุ่มวัยรุ่นในอาการเมามายเข้าไปรังควานด้วยภาษาอิสลามกับชายผิวขาวกับแฟนสาว และจ้องจะทำร้ายร่างกายชาวคริสต์ โดยที่เขาคิดว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก เมื่อเขาได้เข้าไปห้ามก็ถูกรังควานถามเช่นเดียวกัน หลังจากที่เขาตอบด้วยประโยคภาษาอารบิคก็ถูกต่อว่าอย่ามายุ่งกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งในตอนนั้นเขารู้สึกกลัวคนกลุ่มนี้เพราะไม่รู้ว่าจะเป็นผู้ก่อการร้าย ISIS หรือไม่ แต่เขาก็เลือกที่จะแอบตามคนเหล่านั้นไป และเพราะกลุ่มวัยรุ่นอิสลามจ้องที่จะทำร้ายผู้ร่างกายผู้อื่นอีก ระหว่างนั้นก็ได้โทรแจ้งตำรวจถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น จนมือถือแบตฯ หมด แต่ก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่ว่าสามคนนั้นได้มีการทำร้ายร่างกาย และถ่ายคลิปเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือของพวกเขาเองด้วย จนเมื่อตำรวจมาถึงสามคนนั้นกลับไหวตัวทัน ทำตัวเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น ในขณะที่ Faruq หนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นพยายามจะลบคลิป Edris ก็ได้สังเกตเห็นและพยายามเข้าไปแย่งมือถือมา ในจังหวะนั้นเขาก็โดนต่อยเข้าที่หน้าไปอย่างจัง สุดท้ายเขาจึงทำการล็อคคอ Faruq กดลงพื้นและแย่งมือถือมาได้ เมื่อตำรวจได้เห็นคลิปวิดีโอดังกล่าวก็ได้ทำการจับกุมชายทั้งสามทันที ผู้ต้องหา Mohmed และ Mohammed โดนตั้งข้อหาโจมตีสร้างความแตกแยกในเรื่องศาสนาจนทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายผู้อื่น ถูกจำคุก 3 ปีครึ่ง…
-
พ่อชาวคริสต์สังหารลูกสาว หลังเธอมีแฟนเป็นชายชาวมุสลิม และมีแพลนจะเปลี่ยนศาสนา
ก่อนเข้าสู่เนื้อหา แจ้งก่อนนะคะว่าเรื่องนี้อาจมีเนื้อหาที่ค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากเกี่ยวกับความขัดแย้งทางศาสนา… ศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเปราะบางมากๆ และไม่ว่าศาสนาไหนก็สอนให้เป็นคนดีเสมอ แต่บางครั้งความไม่ลงรอยของศาสนาที่ต่างกันก็อาจกลายเป็นปัญหาที่บานปลายได้ อย่างกรณีนี้ ที่คุณพ่อที่เป็นชาวคริสต์ได้ลงมือฆ่าลูกสาวตัวเอง เนื่องจากเธอไปคบกับแฟนหนุ่มที่เป็นมุสลิม และมีแพลนที่จะแต่งงานกับเขา Sami Karra วัย 58 ปี ถูกจับกุมหลังพบว่าลูกสาวของเขา Henriette Karra วัย 17 ปี เสียชีวิตในบ้านที่ Ramle ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน การการชันสูตรศพพบว่า Henriette ถูกแทงซ้ำที่คอหลายจุด เนื่องจากเธอได้วางแผนว่าจะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามหลังแต่งงานกับแฟนหนุ่มที่กำลังติดคุก แต่เรื่องนี้ทางครอบครัวไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อที่สั่งห้ามให้เธอเลิกคบกับเขาหลายต่อหลายครั้ง เนื่องจากเป็นคนต่างศาสนา สำนักข่าว Jerusalem Post รายงานว่า หญิงสาวเคยหนีออกจากบ้าน เพราะถูกพ่อตีและข่มขู่ด้วยวิธีการต่างๆ เธอจึงหนีไปอยู่บ้านแม่ของแฟน ในระหว่างที่หนีออกจากบ้าน หญิงสาวได้ส่งข้อความไปหาเพื่อนว่า “เธอต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าครอบครัวส่งคนมาฆ่าฉันพวกเขาออกตามหาฉันทุกที่ เธออาจจะไม่เข้าใจว่ามันน่ากลัวแค่ไหน แต่ฉันต้องทำทุกทางเพื่อหนีให้ไกลจากพวกเขา” แต่ก็หนีได้ไม่นาน เธอก็ถูกตามตัวจนเจอและพากลับบ้านในที่สุด… ไม่นานหลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ดังที่รายงานไป ทำให้พ่อแม่พร้อมกับลุงของเธอถูกจับกุม เพราะตำรวจเคยติดตั้งเครื่องบันทึกเสียงไว้ในบ้านพวกเขา หลังได้รับการแจ้งความเกี่ยวกับเรื่องนี้มาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ไม่มีหลักเพียงพอให้จับกุมได้ ในเทปบันทึกเสียง มีเสียงพ่อพูดกับผู้เป็นแม่ว่า “ลืมเธอซะ แล้วปล่อยเธอไปลงนรก” “มันไม่คุ้มหรอกที่เราจะเลี้ยงดูเธอต่อไป เธอไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง…
-
หนุ่มมุสลิมอัดคลิปกินขนม ‘แบบไม่มีตราฮาลาล’ เพื่อต่อต้านการบังคับจ่ายภาษีฮาลาล!!
เรียกได้ว่าเป็นข่าวคราวที่ถูกพูดถึงไปทั่วโลก หลังจากที่มีหนุ่มชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในเมือง Adelaide ประเทศออสเตรเลีย ได้โพสต์วิดีโอของตัวเองที่กำลังทดสอบการทานช็อกโกแลตแบบที่ไม่มีตราฮาลาลติดอยู่ โดยเว็บไซต์ Dailymail ได้รายงานว่า เมื่อวันอังคาร 18 กรกฎาคม 2017 ผู้ใช้เฟซบุ๊กนามว่า Imam Mohammad Tawhidi ได้โพสต์วิดีโอของตัวเองกำลังทานช็อกโกแลต พร้อมระบุเอาไว้ว่า… “ผมรู้สึกว่ารสชาติมันดีกว่าเยอะเลยถ้ามันไม่มีตราฮาลาลติดอยู่ เพราะผมยังสามารถทานมันได้อยู่โดยที่ไม่ต้องไปบังคับให้ประชาชนคนอื่นต้องมาจ่ายภาษีเพื่อตราฮาลาล และนี่ก็เป็นวิถีชีวิตในแบบออสซี่ที่ผมภูมิใจเป็นอย่างมาก” Imam Mohammad Tawhidi หลังจากได้ชิมช็อกโกแลตที่ไม่มีฮาลาลแล้ว เจ้าตัวก็บอกว่ารู้สึกอร่อยกว่าแบบที่มีฮาลาลซะอีก เนื่องจากรายได้ส่วนหนึ่งของสินค้าที่มีตราสัญลักษณ์ฮาลาลติดอยู่ จะถูกนำไปใช้เป็นสาธารณะประโยชน์ให้แก่กลุ่มผู้นับถือศาสนาอิสลาม ทว่าทางด้านของหนุ่มมุสลิมคนนี้ เจ้าตัวได้ให้เหตุผลว่า บริษัทและประชาชนในประเทศออสเตรเลีย ไม่ควรจะถูกหักภาษีเพิ่มจากสินค้าที่มีตราฮาลาล “เพราะอะไรรู้มั้ย? เพราะผมมองว่าการกระทำแบบนี้ยังเป็นเหมือนการแบ่งแยกกลุ่มคนอิสลามออกจากศาสนาอื่นๆ นั่นเอง” ทว่าแนวคิดที่ดูทันสมัยของเขา กลับทำให้เจ้าตัวถูกกลุ่มชาวมุสลิมอนุรักษ์นิยมหลายๆ คนมองว่ากำลังทำผิดกฎของศาสนาอยู่เช่นกัน หลังจากที่เจ้าตัวโพสต์วิดีโอดังกล่าว ทางเฟซบุ๊กก็ได้ดำเนินการลบวิดีโอออกทันที ทำให้กลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงมากยิ่งขึ้นไปอีก คลิปวิดีโอที่ถูกลบไป คิดว่าพี่มาร์กคงกลัวว่าจะกลายเป็นดราม่าระดับโลกแน่ๆ ถึงได้รีบลบวิดีโอออกอย่างไว ที่มา: Dailymail
-
เปิดเผยเรื่องราวความรักและการแต่งงานระหว่าง “คู่รักเกย์มุสลิม” คู่แรกของอังกฤษ
ความรักเป็นเรื่องที่เกิดได้ทุกที่จริงๆ แม้แต่ศาสนาที่ดูเหมือนจะเป็นกำแพงกั้นที่สูงใหญ่ แต่พวกเขาสองคนนี้กลับพังทลายมันลง และเริ่มที่จะสานสัมพันธ์รักที่บริสุทธิ์ หนุ่มข้ามเพศชาวมุสลิมที่คิดจะฆ่าตัวตายแต่ก็มีชายคนหนึ่งที่ช่วยปลอบโยนจนทำให้เขากลับมามีชีวิตที่ดีขึ้นอีกครั้ง เรื่องราวเหล่านี้จะมาเป็นแรงบันดาลใจให้คุณ และคนที่กำลังท้อแท้ในชีวิต Jahed Choudhury เป็นชายอายุ 24 ที่มีรสนิยมทางเพศที่ชอบชายด้วยกัน เขาถูกชุนชมมุสลิมด้วยกันส่งไปแสวงบุญเพื่อเปลี่ยนรสนิยมทางเพศของเขา เมื่อ 2 ปีที่แล้วหลังจากที่ Choudhury โดนชุมชนของเขาเหยียดอย่างหนัก เขาได้คิดที่จะปลิดชีพตัวเองลง จึงได้นั่งร้องไห้อยู่ที่ม้านั่งแห่งหนึ่ง ในเมือง Darlaston ของทาง West Midlands ประเทศอังกฤษ แต่ในขณะนั้นก็มีหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่า Sean Rogan อายุ 19 ปีเข้ามาปลอบโยนจนเขารู้สึกดีขึ้น Rogan ช่วยปลอบโยน Choudhury ให้มีกำลังขึ้นและไม่นานหลังจากวันนั้นพวกเขาก็ได้กลายเปนคู่รักกัน และเข้าพิธีแต่งงานที่เมือง Walsall โดยทั้งคู่สวมชุดแต่งงานในแบบบังคลาเทศดั้งเดิม พวกเขากล่าวว่า “เราจะแสดงให้โลกรู้ว่าคุณสามารถเป็นเกย์และเป็นมุสลิมได้ในเวลาเดียวกันได้” ซึ่งพิธีภายในงานมีการจัดตามประเพณีของชาวมุสลิมแบบดั้งเดิม นาย Choudhury เกิดมาในครอบครัวที่มีพ่อและแม่เป็นชาวบังคลาเทศและพี่น้องสามคนที่เป็นมุสลิมแบบดั้งเดิม จึงทำให้ เขาคิดว่าเขาเป็นแกะดำเพียงคนเดียวในบ้าน นาย Choudhury เล่าว่า “ผมร้องไห้อยู่บนม้านั่งจากนั้นเขาก็เข้ามาหาผม แล้วถามว่าโอเครึเปล่า เขาเป็นเหมือนแสงสว่างในจุดที่ต่ำสุดของชีวิตผมและยังคอยยืนอยู่เคียงข้างเสมอๆ” “ผมไม่เคยชอบการเล่นฟุตบอล ผมชอบดูแฟชั่นโชว์ในรายการทีวี เมื่อผมไปโรงเรียนก็จะมีเพื่อนๆ…
-
หนุ่มชาวอังกฤษ ผู้เอา “เบค่อน” ตบหน้าสาวมุสลิม ถูกศาลตัดสินจำคุก 6 เดือนเรียบร้อย!!
เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์จากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ที่ฮือฮาไปทั่วโลกอินเตอร์เน็ตหลังจากที่มีหนุ่มใช้เบค่อนทำร้ายร่างกายหญิงสาวชาวมุสลิม โดยผู้กระทำความผิดในครั้งนี้เป็นนาย Alex Chivers วัย 36 ปี ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวถูกศาลตัดสินให้จำคุก 6 เดือน โทษฐานไม่เคารพศาสนาผู้อื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว Alex Chivers เว็บไซต์ Dailymail ได้รายงานว่า จากคลิปวิดีโอที่เพื่อนของ Alex Chivers เป็นคนถ่าย เผยให้เห็นภาพของสองแม่ลูกชาวมุสลิมกำลังเดินอยู่ข้างถนน หลังจากนั้นหนุ่มผู้ต้องหาสวมใส่หมวกกันน็อคเพื่ออำพรางใบหน้า และนำเบค่อนปาใส่หญิงสาวแม่ลูกชาวมุสลิม มิหนำซ้ำเจ้าตัวก็ได้ตะโกนออกมาว่า ‘พวกมุสลิมเxี้ย’ และ ‘พวกเอ็งสมควรได้รับสิ่งนี้’ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้การในชั้นศาลว่า หญิงสาวทั้งสองคนพยายามที่จะเดินหนีและไม่ต้องการความรุนแรง ทว่าพวกเขากลับรู้สึกกลัวที่จะต้องใช้ชีวิตอย่างไม่ปกติสุขต่อจากนี้ James Payne จาก Enfield Community Safety Unit ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นว่า “นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจมาก โดยผู้เคราะห์ร้ายไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับใคร และการกระทำดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดความขัดแย้งภายในสังคม” นอกจากคนร้ายจะถูกสั่งจำคุก 6 เดือนแล้ว ศาลยังสั่งให้เขาต้องทำสาธารณะประโยชน์ให้แก่สังคมอีกเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ต้องจ่ายค่าปรับให้ผู้เสียหาย 115 ยูโร และต้องถูกคุมประพฤติอีก…
-
ชายหนุ่มโพสต์ภาพเหยียด ชายชาวซิกข์บนเครื่องบิน และตั้งแง่ให้เขาเป็น ‘ผู้ก่อการร้าย’
กลายเป็นเรื่องที่สร้างกระแสความเกลียดชังบนโลกออนไลน์อีกครั้ง เมื่อหนุ่มชาวเน็ตรายหนึ่งได้โพสต์รูปของชายผู้นับศาสนาซิกข์ พร้อมกับข้อความที่ดูถูกและกล่าวหาว่าชายคนนี้เป็นผู้ก่อการร้าย… ผู้ใช้ Snapchat คนดังกล่าวได้โพสต์ภาพของเขาระหว่างอยู่บนเครื่องบิน ซึ่งในภาพเหล่านั้นมีรูปของชายชาวซิกข์ท่านหนึ่งปรากฏอยู่ด้วย แต่ด้วยเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการหรืออย่างไร พี่แกกลับใส่แคปชั่นแบบไม่คิดหน้าคิดหลังตลอดการเดินทาง แต่เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อชายชาวซิกข์คนดังกล่าวมานั่งที่เบาะหลังของเขา ชายหนุ่มก็ยังคงถ่ายรูปพร้อมกับข้อความที่บอกว่า “ผมยังมีชีวิตอยู่ ” และในภาพต่อมาเขายังคงไม่หยุดการกระทำดังกล่าว ชายหนุ่มจับภาพของชายชาวซิกข์ท่านเดิมพร้อมกับแคปชั่นว่า “ได้โปรดพระเจ้า ปล่อยให้เขาหลับเถอะ” ก่อนที่ภาพสุดท้ายชายคนดังกล่าวจะลาไปด้วยภาพของตัวเองและบอกว่า “เมื่อกี้ เขาเดินไปที่ท้ายเครื่องแล้วก็วนไปที่หน้าเครื่อง ก่อนที่จะกลับมานั่งที่เดิม” และปิดประโยคนี้ด้วยรูปใบหน้าแสดงความตกใจ ภาพจากแอพฯ Snapchat ที่ถูกเผยแพร่ออกมา . ภาพชุดดังกล่าวเชื่อว่ามีการโพสต์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และหลังจากนั้นนาย Simran Jeet Singh นักวิชาการเกี่ยวกับศาสนาจากมหาวิทยาลัย Trinity ซึ่งนับถือศาสนาซิกซ์เช่นกัน ได้โพสต์ภาพชุดดังกล่าวลงบนทวิตเตอร์ของเขา พร้อมกับข้อความที่เปรียบเทียบกับความคิดของคนทั่วไปที่มักจะคิดแบบนี้ชาวมุสลิมเช่นกัน หลังจากนั้นข้อความของคุณ Singh ก็ได้รับความสนใจจากชาวเน็ตอย่างมาก มีผู้เข้ามารีทวีตถึง 6,800 ครั้งและแสดงความคิดเห็นอย่างล้นหลาม บางคนบอกว่า “ฉันหวังว่าพวกเราควรจะได้รับการเดินทางอย่างอิสระ โดยไม่ต้องกังวลว่าใครจะคิดอย่างไร” หรือบางคนก็บอกว่าการกระทำของชายคนดังกล่าวนั้นไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก จากเหตุการณ์ 9/11…
-
ครอบครัวชาวมุสลิมได้รับ “หัวหมู” จากเพื่อนบ้าน เพราะไม่อยากให้มาสร้างบ้านอยู่ใกล้ๆ
ต้องบอกก่อนว่าเหตุการณ์ที่เรานำเสนอต่อไปนี้ ไม่ได้ต้องการสร้างความแตกแยก หรือเอามาล้อเล่นเป็นเรื่องตลกอะไรหรอกนะ แค่อยากให้เห็นว่ามันไม่สมควรจะเกิดขึ้นเลย ถ้าเราอยากอยู่ร่วมกันแบบสงบสุข โดยเว็บไซต์ Dailymail ได้รายงานว่า เดิมทีครอบครัวของ Adnan Ali ผู้ย้ายถิ่นฐานจากอิรัก มาอาศัยอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ได้รับหัวหมู และคำด่าทอมากมายจากเพื่อนบ้าน เพียงเพราะไม่อยากให้พวกเขาสร้างบ้านอยู่ในละแวกนั้น เจ้าตัวเล่าว่า บ่อยครั้งที่เขากลับมาที่รถพร้อมกับเห็นหัวหมูวางอยู่แบบนี้ โดยครอบครัวของ Adnan Ali และลูกๆ อีก 5 คน ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ที่ออสเตรเลียตั้งแต่ 20 ปีก่อน และปัจจุบันพวกเขาวางแผนที่จะสร้างบ้านที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในย่าน Toongabbie ทางตะวันตกของซิดนีย์ แต่ดูเหมือนว่าความฝันที่อยากจะมีบ้าน และได้อยู่อย่างสงบสุขจากครอบครัวจะกลายเป็นฝันร้าย เมื่อเขาได้รับข้อความเชิงด่าทอเสียหาย และการเหยียดหยาม หนึ่งในป้ายที่พวกเขาได้รับ ‘ออกไปซะตอนนี้ อย่าเสียเวลา และเสียเงินของแกเลย ไอ้หมูอ้วน!!’ ‘เราก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงเกลียดเรานักหนา ทั้งที่เราไม่เคยสร้างความเดือดร้อนอะไรให้เลย และผมคิดว่าหัวหมูน่าจะหมายถึงสัญลักษณ์การต่อต้านความเชื่อทางศาสนาของเรา’ Adnan กล่าว พวกเขารู้สึกว่าตนเองถูกคุกคาม จึงเข้าแจ้งความกับสถานีตำรวจ นอกจากจะได้รับคำด่าทอเชิงเสียหาย…
-
หนุ่มถูกตั้งข้อหา “เหยียด” หลังส่งข้อความให้พ่อบุญธรรมที่นับถืออิสลามว่า ‘ไปกินเบคอนซะ!!’
เรื่องศาสนาและการเมืองนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะทั้งสองนั้นมีพื้นฐานมากจาก ‘ความเชื่อถือ’ ล้วนๆ เลยก็ว่าได้ และกรณีนี้ก็คงเป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์ให้เราทุกๆ คนได้ระวังเกี่ยวกับเรื่องนี้กัน… เหตุการณ์ล่าสุดนี้เกิดขึ้นที่ประเทศสกอตแลนด์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2016 ที่ผ่านมา หลังจากชายหนุ่มคนหนึ่งถูกตั้งข้อหาเหยียดชาติพันธุ์และศาสนา เพราะเขาบอกให้พ่อบุญธรรมที่พึ่งเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามใหม่ๆ ของเขา ‘ไปกินเบคอนซะ!!’ Dean McAndrew วัย 28 ปีเข้ารับการพิพากษาที่ศาลใน Forfar Sheriff หลังจากส่งข้อความขำๆ ไปให้กับพ่อบุญธรรมของเขา Christopher McAndrew ชายผิวสีที่กำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม และกำลังจะทำการเปลี่ยนชื่อของเขาให้เป็นชื่อของชาวมุสลิมเพื่อเข้าศาสนา “ไปกินเบคอนซะ!!” สำหรับการเปลี่ยนศาสนาของ Christopher McAndrew นั้นกำลังจะเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ โดยเหลือแค่กระบวนการทางเอกสารเท่านั้น ซึ่งคาดว่าเรื่องดังกล่าวได้สร้างความไม่พอใจให้กับ Dean ลูกบุญธรรมของเขาอย่างมาก ขั้นต้นนั้นทางลูกบุญธรรมก็ได้ออกมายอมรับข้อหาแต่โดยดี แต่ทาง Christopher พ่อบุญธรรมของเขานั้นก็ไม่ได้มีความต้องการที่จะดำเนินคดีกับลูกชายของเขา ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสอบสวนหลักฐานเพิ่มเติม และเปลี่ยนสำนวนเพื่อไม่ให้เขาต้องรับโทษในคดีที่มีข้อหารุนแรงมากนัก ศาลใน Forfar Sheriff “ผมจะทำการสืบสวนและค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมและเปลี่ยนสำนวนฟ้องใหม่ให้กับเขา และถึงแม้โทษของคดีนี้จะเบาลง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องที่เขาทำนั้นเป็นเรื่องเล่นๆ และที่สำคัญที่สุด มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ตลกเลยแม้แต่น้อย…” เจ้าหน้าที่ Murray กล่าว สำหรับตอนนี้ทาง Christopher ก็ได้ทำการประกันตัวลูกชายของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้ หรือติดต่อกับพ่อบุญธรรมของเขาเด็ดขาด โดยจะมีกำหนดการฟังคำตัดสินในวันที่…
-
โบสถ์คริสต์ ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับ มัสยิด ที่นี่ไม่มีความรุนแรง แต่เต็มไปด้วยมิตรภาพ…
บ่อยครั้งที่เรามักจะได้เห็นข่าวเกี่ยวกับการก่อการร้าย จากกลุ่มหัวรุนแรง ตามสถานที่ต่างๆทั้งในยุโรป ตะวันออกกลาง และสหรัฐอเมริกาเองเช่นกัน ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้หลายๆคน รู้สึกเกรงกลัวต่อผู้นับถือศาสนาอิสลาม (Islamophobia) ซึ่งอันที่จริงเราควรจะแยกกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ใช้ศาสนาเป็นข้ออ้าง ออกจากกลุ่มผู้บริสุทธิ์ที่มีจิตใจศรัทธาต่อศาสนาอิสลาม ไม่ใช่หรือ?! และสำหรับสังคมแห่งนี้ ที่นี่มีโบสถ์ของชาวคริสต์ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับมัสยิดของชาวอิสลาม และพวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกันบนความแตกต่าง อย่างมีความสุข… เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อ Memphis Islamic Center ตัดสินใจซื้อที่ดินบนถนนตรงข้ามกับโบสถ์ Heartsong “ครั้งแรกที่เห็นผมกลับรู้สึกแปลกๆ มีทั้งความกลัว และความรู้สึกที่เราบอกกับตัวเองว่า อย่าไปสนใจจะดีกว่า” บาทหลวง Steve Stone กล่าว นอกจากบาทหลวงแล้ว สมาชิกคนอื่นๆในโบสถ์ก็ต่างรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง “ผม และภรรยาเคยคิดว่าจะไม่มาที่โบสถ์นี้อีก เพียงเพราะเราไม่เปิดใจยอมรับถึงการเปลี่ยนแปลง” Mark Sharpe สมาชิกคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ ซึ่งแม้แต่ผู้นำทางศาสนาของอิสลาม Dr. Bashar Shala กลับเข้าใจถึงสถานการณ์ดี ทำให้เค้าไม่แปลกใจที่ใครหลายๆคนอาจรู้สึกไม่ต้อนรับกลุ่มผู้นับถืออิสลาม “มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับชาวมุสลิมในอเมริกา ซึ่งผมเข้าใจว่าในสถานการณ์แบบนี้ พวกเขาคงไม่อยากจะต้อนรับเราสักเท่าไหร่” ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปเมื่อช่วงเดือนรอมฏอนของชาวมุสลิมมาถึง… Shala ต้องการที่จะให้มัสยิดแห่งใหม่สร้างเสร็จก่อนช่วงถือศีลอดมาถึง แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง ทำให้พี่น้องชาวมุสลิมในชุมชน ยังไม่มีสถานที่สำหรับการทำพิธีทางศาสนา…
-
โลกออนไลน์ร่วมปกป้องชาวมุสลิม ‘ผู้ก่อการร้ายไม่มีศาสนา’ จากการถูกเหมารวมในด้านลบ
ไม่ว่าจะเกิดการก่อการร้ายที่ใดบนโลก สิ่งแรกที่จะถูกประณามเลยก็คือ ชาวมุสลิม รวมไปจนถึงศาสนาอิสลามทันที เพราะภาพลักษณ์ที่สื่อต่างๆ เปิดเผยให้ได้รับรู้นั้น จะถูกเชื่อมโยงกับศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมทันที แต่ที่จริงแล้วชาวมุสลิมก็ไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายไปซะหมด ชาวมุสลิมนั้นมักจะถูกมองในแง่ร้ายเสมอมา ทั้งนี้ในความจริงคือการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นส่วนมาก มักจะนำศาสนามาเป็นสิ่งบังหน้า อ้างศรัทธาต่างๆ ในอีกแง่มุมหนึ่ง #TerrorismHasNoReligion ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อปกป้องชาวมุสลิมผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายเลย มองในอีกแง่หนึ่งคือ ผู้ก่อการร้ายเป็นพวกไม่มีศาสนา ‘ใครก็ตามที่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ ผู้นั้นก็เท่ากับเข่นฆ่ามวลมนุษยชาติ’ ทางด้านชาวมุสลิมที่ไม่เกี่ยวข้อง ต่างก็ต้องการความสันติ การใช้ศาสนาและอุดมการณ์ความเชื่อมาเป็นข้ออ้างในการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์นั้น เป็นยิ่งกว่าพวกขี้ขลาด แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังมีผู้คนที่เห็นต่างและเหมารวมว่าชาวมุสลิมทั้งหมดคือผู้ก่อการร้าย ชาวมุสลิมต่างต้องปกป้องในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้กระทำ อย่างไรก็ตามขอให้ทุกท่านแสดงความคิดเห็นที่สุภาพไม่กระทบกระทั่งกันนะจ๊ะ เพราะยังไงเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ที่มา : unilad
-
ฉากหลังกีฬา ‘ทัชมาฮาล’ จุดประเด็น พระชี้ใช้มัสยิดเป็นเครื่องเหยียดหยาม อย่าหัวนอก!!
เป็นเรื่องปกติเมื่อมีการจัดแข่งขันกีฬาเพื่อกระชับมิตรความสัมพันธ์ (แม้จุดประสงค์จริงๆ ก็ว่างั้นก็เถอะ) หนึ่งสิ่งที่สร้างสีสันให้กับกองเชียร์ได้อย่างสะดุดตานั่นก็คือ ‘ฉากหลัง’ อันสวยงามและสร้างสรรค์ แต่ในคราวนี้กลับกลายเป็นตัวจุดประเด็นขึ้นมาซะงั้น ภาพดังกล่าวนี้ไม่มีที่มาแน่ชัดว่าเกิดขึ้นที่ไหน ในจังหวัดใด ซึ่งได้มีการโพสต์ภาพผ่าน Facebook ของ สมบัติ มูลแก้ว โดยกำกับเอาไว้ว่าจังหวัดน่านมีการจัดแข่งขันกีฬา แต่ฉากหลังที่ใช้นั้นเป็นรูปทัชมาฮาล มีสัญลักษณ์อื่นๆ อีกมากมายทำไมไม่เลือกใช้ เหมือนกับเป็นการเหยียดหยาม!! พี่น้องครับ จังหวัดน่านจะมีการแข่งขันกีฑากัน แต่ใช้รูปมัสยิดเป็นฉากหลัง อ้างว่าเป็นรูปทัชมาฮาล สมควรหรือไม่ นี่เป็นการเ… Posted by สมบัติ มูลแก้ว on Wednesday, November 11, 2015 ทั้งนี้เคยเป็นประเด็นมาก่อนหน้าที่ภายในจังหวัดน่านเกี่ยวการก่อตั้งมัสยิด จนมีการต่อต้านอย่างรุนแรง แต่สำหรับในกรณีนี้แล้ว การนำรูปภาพทัชมาฮาลมาเป็นฉากหลังสำหรับกองเชียร์กีฬาก็น่าจะมองเป็นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์มากกว่า ที่มา : สมบัติ มูลแก้ว
-
Sadaf Taherian นักแสดงสาวถูกเนรเทศจากอิหร่าน เพราะโพสต์ภาพไม่ใส่ผ้าคลุมฮิญาบ!!
ประเด็นละเอียดอ่อนทางศาสนาภายในประเทศที่เคร่งครัดสูงมากอย่างประเทศอิหร่าน ที่ได้นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งทางประเทศอิหร่านออกก็ได้ออกกฏหมายที่ว่าสตรีจะต้องสวมผ้าคลุมศีรษะ (ฮิญาบ) ในที่สาธารณะรวมไปถึงหญิงสาวชาวต่างชาติด้วย ทั้งนี้กฏหมายฉบับดังกล่าวนั้นมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปีค.ศ. 1979 หลังการปฏิวัติศาสนาอิสลามในอิหร่าน ทั้งนี้เรื่องราวของนักแสดงสาวชาวอิหร่านที่ชื่อว่า Sadaf Taherian เธอได้ทำการโพสต์รูปภาพของเธอผ่านอินสตาแกรมโดยคลุมผ้าฮิญาบมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอได้ทำการโพสต์รูปภาพตัวเธอเองอีกครั้ง แต่ในคราวนี้ไม่ได้ทำการสวมผ้าคลุมฮิญาบ และเมื่อกระทรวงวัฒนธรรมอิหร่านรู้ว่าเธอทำแบบนี้ ก็ได้สั่งแบนทันที เพิกถอนใบอนุญาต ห้ามแสดงภาพยนตร์ใดๆ ในประเทศอิหร่าน และถูกขับไล่ออกนอกประเทศ จนถึงขนาดต้องลี้ภัยไปยังเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กันเลยทีเดียว เธอเองก็ได้กล่าวไว้ว่า ‘ฉันไม่เคยคิดเลยว่าผู้คนในอิหร่าน จะรุมด่าสาปแช่งได้มากมายถึงเพียงนี้ ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ ฉันก็แค่อยากใช้ชีวิตในแบบที่ฉันมีความสุข’ อย่างไรก็ตามสื่ออิหร่านประกาศเตือนเอาไว้ว่าการที่ผู้หญิงไม่สวมผ้าคลุม เป็นต้นเหตุของการทำร้ายร่างกายด้วยความรุนแรง เนื่องจากไปกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของผู้ชาย ทั้งนี้ Sadaf Taherian ก็เปิดเผยว่าในระหว่างการแสดงภาพยนตร์ ถึงแม้จะใส่ผ้าคลุมเธอก็ยังถูกลวนลามจากผู้กำกับอยู่ดี ที่มา : independent, telegraph