Tag: อเมริกัน
-
18 ตัวอย่างคำศัพท์ “ชวนสับสน” ระหว่างภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน VS แบบบริทิช!
ภาษาอังกฤษนั้นแม้จะไม่ใช่ภาษาที่ยาก แต่ก็ไม่สามารถพูดว่า “ง่าย” ได้เต็มปากเช่นกัน เพราะภาษาอังกฤษนั้นถูกใช้ในหลายๆ ประเทศบนโลก ทำให้มีภาษาอังกฤษหลายสไตล์และแต่ละสไตล์ก็จะมีคำศัพท์เฉพาะของตัวเองอีกด้วย รูปแบบภาษาอังกฤษที่ใช้กัน 2 รูปแบบใหญ่ๆ ก็คือ อังกฤษแบบอเมริกัน (American English) และ อังกฤษแบบบริทิช (British English) โดยทั้งสองแบบนี้หลายครั้งมันก็ก่อความสับสนให้ผู้ใช้เพราะว่า คำบางคำดันมีความหมายคนละแบบกันเสียนี่ วันนี้ เราจะพาเพื่อนๆ ไปชม 18 ตัวอย่างคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่มีความแตกต่างกันระหว่างแบบอเมริกันกับแบบบริทิช แล้วจะรู้เลยว่าภาษาอังกฤษมันไม่ง่ายอย่างที่คิด 1. Pants อเมริกัน: กางเกง บริทิช: กางเกงชั้นใน 2. Stuffed อเมริกัน: อิ่ม บริทิช: เซ็กส์ 3. Fanny อเมริกัน: ก้น บริทิช: จิ๊มิ 4. Buff อเมริกัน: คนกล้ามโต บริทิช: คนโป๊เปลือย 5.…
-
รู้จักกับ Ella Gross นางแบบ 10 ขวบครึ่งเกาหลี-อเมริกัน เซ็นสัญญาดาวรุ่ง K-Pop!!
นางแบบสาวน้อยครึ่งเกาหลีอเมริกันวัย 10 ขวบ Ella Gross ปัจจุบันไปทำการเซ็นสัญญากับ The Black Label ค่ายศิลปินเคป็อปอันดับต้นๆ ของเกาหลี ภายใต้การดูแลของโปรดิวเซอร์ Teddy สวยแต่เด็กเลยนะหนูเอ๊ยยย The Black Label เป็นบริษัทสาขาย่อยของ YG Entertainment ค่ายเพลงเคป็อบยักษ์ใหญ่ ค่ายเดียวกับวงเกิร์ลกรุ๊ปสุดดังแห่งยุคอย่างวง Blackpink นั่นเอง ทั้งนี้สัญญาการเข้าฝึกเป็นศิลปินเคป็อปสำหรับ Ella นั้นเริ่มเป็นข่าวดัง หลังจากที่เธอโพสต์ภาพหนึ่งลงบนอิสตาแกรม ภาพดังกล่าวเป็นภาพที่เธอถ่ายคู่กับสาว Jennie สมาชิกวง Blackpink นั่นเอง Jennie Blackpink (ซ้าย) Ella Gross (ขวา) หนูน้อย Ella เป็นสาวลูกครึ่งเกาหลี-อเมริกัน พ่อของเธอเป็นชาวอเมริกัน ส่วนแม่นั้นมีสัญชาติเกาหลี ก่อนหน้านี้ Ella เป็นนางแบบให้กับแบรนด์เสื้อผ้าดังต่างๆ เช่น GAP, Levi’s, และอื่นๆ…
-
เมื่อให้ชายเกาหลีมาดู ‘หนังโป๊เมกัน’ ครั้งแรก ถึงกับอุทาน ‘มันไม่ใช่จู๋ มันต้นไม้โว้ย’
ถ้าเราพูดถึงหนังโป๊ เราจะนึกถึงหนังโป๊จากที่ไหนกัน? ญี่ปุ่นเหรอ หรือว่าจากไทยเอง จากฝั่งตะวันตกก็น่าสนใจนะ แต่เราเคยดูหนังโป๊ที่ให้ชายอเมริกันผิวสีมาเล่นกันบ้างไหม แน่นอนว่าหนังแนวนี้หลายคนคงจะข้ามมันไปเพราะมันทั้งดุดัน โหดเหี้ยม และใหญ่ยักษ์ไม่ถูกกับสไตล์ของใครหลายคน ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่แค่กับในไทยนะ เพราะโอปป้าเกาหลีก็ไม่สันทัดในแนวนี้เช่นกัน งานนี้ความสนุกจึงเกิดขึ้น!! เมื่อยูทูบช่อง moomootv ได้จับเอาเหล่าโอปป้าหลายคนหลายสไตล์มาไว้ด้วยกันและจับให้พวกเขาดูหนังโป๊สไตล์อเมริกันเป็นครั้งแรก บอกเลยว่ารีแอ็กชั่นของแต่ละคนมันทั้งสุดและทั้งฮาของจริง เพราะส่วนใหญ่อปป้าก็จะมีความนิยมแบบเดียวกับชายไทยคือ ชอบหนังจากฝั่งญี่ปุ่นนั่นเอง โอปป้าหน้าเป๊ะคนนี้บอกว่า เขาชอบสไตล์เอเชีย แน่นอนว่าเขาดูฝรั่งด้วยแต่อเมริกันผิวสีนี่ไม่เคยเลยจริงๆ และเมื่อถามกับเหล่าโอปป้าว่าพวกเขาคาดหวังจะเจออะไรในหนังโป๊สไตล์อเมริกัน พวกเขาก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ทุกอย่างต้องใหญ่ชัวร์!!’ และเมื่อมันใหญ่ งานนี้เป็นใครก็ต้องคิดว่านางเอกคงจะเจ็บแน่นอน โอปป้าคนนี้ถึงกับอ้าปากค้าง พี่คนนี้ถึงกับยกนิ้วให้ เพราะงูของคนอเมริกันมันเทพจริงๆ เมื่อถึงฉากที่จะพระเอกของเรื่องต้องเลียก้น งานนี้โอปป้าถึงกับกุมขมับ จุดพีคคือ โอปป้าถึงกับบอกว่า ของพี่กันเขาไม่ใช่อวัยวะแล้ว มันคือต้นไม้!! ถ้าใครที่ดูจากฝั่งอเมริกันบ่อยๆ คงจะทราบกันดีว่าพวกเขาเป็นแฟนตัวยงเรื่องประตูหลัง ฉะนั้นเมื่อฝั่งเอเชียแบบเราๆ ได้ดูส่วนใหญ่ก็จะมีสีหน้าแบบนี้แหละ ใช่ว่าโอปป้าทุกคนจะไม่ชอบนะ อย่างพี่คนนี้ถึงกับออกปากชมเลยทีเดียว สุดท้ายเมื่อถามว่าอะไรคือความต่างของหนังโป๊จากเอเชียและอเมริกัน โอปป้าหน้าเป๊ะก็บอกว่า เอเชียอ่อนกว่าจริงๆ ของเขานี่สตรองมากๆ…
-
ภาพแรงงานเด็กของอเมริกา จากยุคอุตสาหกรรมรุ่งเรือง ถูกย้อมให้กลับมามีสีสัน
“มีงานที่ทำกำไรให้กับเด็กๆ และงานที่ทำกำไรให้เพียงนายจ้างเท่านั้น เป้าหมายของการจ้างเด็กไม่ได้เป็นการฝึกฝนพวกเขา แต่เป็นเพียงการหาผลกำไรสูงสุดจากการทำงานของพวกเด็กๆ เท่านั้น” – Lewis Wickes Hine (1874-1940) Lewis Wickes Hine นักสังคมวิทยาและช่างถ่ายภาพชาวอเมริกัน เขาใช้งานของตนเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงกฎหมายการใช้แรงงานเด็กของอเมริกา ผลงานที่ Lewis ได้ทำไว้คือ การถ่ายภาพการใช้แรงงานเด็กจากหลายๆ เมืองในสหรัฐอเมริกา เป็นเหตุให้ตัวเขาถูกเหล่าหัวหน้าคนงานของโรงงานที่ใช้แรงงานเด็กขู่ฆ่า ซึ่งภาพถ่ายขาวดำที่เขาถ่ายเก็บไว้ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นต่อเด็กๆ ในอเมริกาอย่างมาก Tom Marshall ช่างภาพ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ศรัทธาและยกย่องผลงานของ Lewis เขาจึงได้นำผลงานภาพถ่ายของ Lewis มาแต่งเติมสีสันจากภาพขาวดำในสมัยนั้นมาเป็นภาพที่มีสีสัน ราวกับว่าเราได้เข้าไปอยู่ในโลกของอดีตจริงๆ เดือนมีนาคม 1911 เด็กชาย Johnnie อายุ 9 ปี กับงานแกะเปลือกหอย ภาพถ่ายที่เมือง Dunbar รัฐหลุยส์เซียนา เดือน มิถุนายน 1910 Michael McNelis อายุ 8 ปี เด็กส่งหนังสือพิมพ์ เมือง Philadelphia…
-
กระทบใครรึเปล่า!? Christian Bale เผยว่าอเมริกันจะเจ๋งขึ้น หาก “คนขาว” มีอำนาจน้อยลง..
Christian Bale ชายผู้มากความสามารถได้ผู้เคยรับบทฮีโร่อย่าง “แบทแมน” ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อระหว่างออกไปโปรโมตหนังเรื่องใหม่ว่า สังคมอเมริกามันจะดียิ่งขึ้น หากคนขาวมีอำนาจน้อยลง คำพูดดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นกลางรายการ AOL Build โดยนักแสดงดัง Christian Bale, Rosamund Pike และ Wes Studi ได้เดินทางไปโปรโมตหนังยุคคาวบอยเรื่อง Hostiles ที่จะเข้าฉายในปีหน้า โดย Bale ได้พูดว่า “สังคมอเมริกามันจะดีขึ้น ถ้าคนขาวมีอำนาจในการทำอะไรน้อยลง อำนาจที่ว่าผมหมายถึงทุกวงการไม่ว่าจะเป็นในฮอลลีวูดหรือในวอชิงตันก็ตาม” “ถ้าเราสามารถทำแบบนั้นได้จริงๆ ในวงการฮอลลีวูดเราจะได้เห็นหนังที่มีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจและหลากหลายมากยิ่งขึ้น และอเมริกาก็จะเป็นอเมริกาแบบที่มันควรจะเป็น คนทั้งโลกก็จะมองเราในอีกมุมมองที่ดียิ่งขึ้นซึ่งมันทำให้เราดูพิเศษ” ถึงแม้เราฟังคำพูดของเขาเราอาจจะดูเหมือนเขาอวยอเมริกา แต่เชื่อไหมว่าจริงๆ แล้ว Christian Bale ไม่ใช่คนอเมริกาโดยกำเนิด เขาเกิดและโตที่อังกฤษและก็เป็นคนอังกฤษแท้ๆ ทว่าที่เขาออกมาพูดเพราะเขาบอกว่าเขาหลงรักในประเทศนี้จริงๆ เขากับครอบครัวถึงกับย้ายมาอยู่และลงหลักปักฐานที่อเมริกาเลยทีเดียว ฉะนั้นการพูดของ Bale จึงเป็นการพูดที่บ่งบอกว่าเขาต้องการความเปลี่ยนแปลงจริงๆ ไม่ใช่เฉพาะการเมืองแต่กับทุกวงการในอเมริกา และเขาก็พูดด้วยความหวังดีนั่นเอง อย่างไรก็ตามถ้าใครที่เป็นแฟน Christian Bale ก็อย่าลืมติดตามหนังเรื่อง Hostiles หนังใหม่ของเขาที่จะเข้าฉายในช่วงเดือนมกราคมปีหน้ากันด้วยล่ะ พี่แกถึงกับลงทุนเปลี่ยนร่างอีกรอบเลยนะเออ… ที่มา ladbible
-
พิธี Quinceañera การฉลองวันเกิดสาวชาวละตินวัย 15 ปี ที่ครอบครัวต้องเสียสละกับความฟุ่มเฟือย
บนโลกของเรามีวัฒนธรรมประเพณีแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ซึ่งทำให้มีวัฒนธรรมอีกเป็นร้อยๆ แบบที่เราอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน เช่น Quinceañera หรืออีกชื่อคือ Fiesta de quince años ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชาวละตินอเมริกัน ประเพณีดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองให้กับเด็กสาวในวันเกิดอายุครบ 15 ปีของพวกเธอ โดยในงานเธอจะได้แต่งตัวราวกับเจ้าหญิงท่ามกลางคนจำนวนมาก ได้เต้นรำกับหนุ่มๆ และมีอาหารมากมายพร้อมกับเค้กก้อนโต แต่งานที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นก็ต้องแลกมาด้วยเงินจำนวนมหาศาล ทว่าแทบทุกครอบครัวก็พยายามจัดงานนี้ให้ได้แม้จะต้องทำงานหนักเพื่อเก็บเงินนานเป็นปีก็ตาม ประเพณีที่ว่านี้มีความสำคัญต่อครอบครัวและเด็กสาวมากขนาดนั้นเลยหรือ? คำถามนี้ทำให้ช่างภาพสาวชื่อ Delphine Blast ออกเดินทางไปถึงโคลัมเบีย เพื่อหาคำตอบ นั่นจึงทำให้เธอนำเสนอผลงานที่ให้ทุกคนเห็นระหว่างการจัดงานที่ดูฟุ่มเฟือยกับครอบครัวที่มีฐานะยากจนว่าทั้งสองอย่างนั้นมันขัดแย้งกันมากเพียงใด เธอได้ถ่ายรูปเด็กสาวจำนวน 15 คนในชุดราตรีที่พวกเธอใส่กันภายในงาน เราลองไปดูเรื่องราวส่วนหนึ่งของพวกเธอเหล่านั้นกัน Laura Cristina Zarta เธอเป็นคนที่ชอบเล่นฟุตบอลมากจนได้ไปอยู่ในทีมเยาวชนทีมชาติ และเมื่อโตขึ้น เธออยากเป็นตำรวจสืบสวน พ่อของเธอขายผลไม้ซึ่งเป็นรายรับเดียวภายในบ้าน ทำให้พวกเขาต้องเก็บเงินเป็นเวลาถึง 6 เดือนเพื่อจัดงานนี้ให้กับเธอและผู้คนในงานอีก 200 คน Luna Valentina Arias Beltrán หญิงสาวผู้ฝันจะเป็นนางเอกละครคนนี้ พ่อของเธอเป็นช่างทำรองเท้า ส่วนแม่เป็นคนเก็บขยะมารีไซเคิล…
-
เรื่องราวของ Bessie Coleman นักบินหญิงผิวสีคนแรกของกองทัพสหรัฐ สู่แรงบันดาลใจให้คนรุ่นต่อไป…
ช่วงฤดูร้อนปี 1922 เป็นวันที่สภาพอากาศดูสดใสเป็นปกติ คลื่นวิทยุมีการรายงานข่าวถึงการทดสอบเครื่องบินรุ่นใหม่โดยมีชาวเมืองนิวยอร์กยืนมุงกันอยู่บนพื้นโลก ก่อนจะมีการรายงานข่าวตามมาว่า “เครื่องยนต์ 220 แรงม้า L.F.G ได้ทำการบินผ่านเหนือน่านฟ้าอย่างไร้ข้อติดขัดใดๆ ครับผม!!” ผิวเผินอาจจะดูเหมือนเป็นวันปกติที่ไม่มีอะไรพิเศษ ทว่าน้อยคนนักที่จะรู้ว่านี่เป็นการทดสอบนักบินหญิงผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ‘Bessie Coleman’ ผู้สามารถทำลายขนบธรรมเนียมเดิมและกลายเป็นแรงบันดาลให้แก่สาวๆ ทั่วโลก Bessie เป็นบุตรสาวคนที่ 10 ของครอบครัวชาวไร่ที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของรัฐเท็กซัส ในช่วงที่โรงเรียนปิดระหว่างฤดูเก็บเกี่ยว เธอก็มักจะวุ่นอยู่กับการหาหนังสือในห้องสมุดและนำมาศึกษาต่อด้วยตนเอง สำหรับเธอแล้ว ‘มหาวิทยาลัย’ ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของชีวิต ช่วงแรกเธอต้องทำงานในร้านซักรีดเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเทอม ทว่าเธอสอบตกในเทอมแรกสุดระหว่างศึกษาอยู่ที่ Langson University รัฐโอคลาโฮม่า เมื่อทางที่คิดไม่เป็นไปตามที่หวัง เธอจึงเปลี่ยนแผนมาอาศัยอยู่กับญาติที่เมืองชิคาโก้ ในระหว่างนี้เธอก็ยังคงหาเลี้ยงชีพด้วยการทำงานเป็นช่างทำเล็บอยู่ในซาลอนแห่งหนึ่ง สงครามโลกครั้งที่ 1 ปะทุขึ้น… ในช่วงเวลานั้นเองที่เธอได้เห็นภาพเครื่องบินของกองทัพเป็นครั้งแรก ทำให้เธอรู้สึกว่า… นี่คือหนทางที่เธออยากจะเป็นและเฝ้าตามหามาโดยตลอด เธอพยายามติดต่อโรงเรียนสอนการบินหลายต่อหลายแห่งในสหรัฐฯ แต่เธอกลับถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดีด้วยเหตุผลหลักที่ว่าเธอเป็นผู้หญิงผิวสี แต่โชคดีที่มีสถาบันแห่งหนึ่งในฝรั่งเศสตอบรับให้เธอเข้าไปศึกษาได้ ช่วงปี 1920 ที่เธอได้ย้ายไปอาศัยอยู่ที่เมือง Le Crotoy เธอเป็นนักเรียนหญิงเพียงคนเดียวในละแวกนั้นที่มีเชื้อสายเป็น แอฟริกัน-อเมริกัน อีกทั้งเธอยังต้องเดินเท้าไกลกว่าวันละ 16…
-
รู้จักกับ “หมอคิม” ลูกครึ่ง อเมริกัน-เกาหลี เห็นแล้วอยากจะป่วยเลยค่ะคุณหมอขาาา…
จะมีอะไรที่ผู้หญิงต้องการไปกว่ามีสามีที่ดีทั้งนิสัยและหน้าตา แล้วถ้าแถมอาชีพการงานที่ดีมาด้วยนั้นแทบจะบอกได้เลยว่าเพอร์เฟกต์สุดๆ เหมือนเป็นพระเอกในซีรีส์ยังไงอย่างงั้น ซึ่งในวันนี้เราจะของสานฝันของสาวๆ ให้เป็นจริง โดยการพาไปพบกับหลัวแห่งชาติคนใหม่ ที่มีดีกรีเป็นถึงคุณหมอเลยทีเดียว!!! จำดีๆ สามีแห่งชาติคนต่อไปนี้มีชื่อว่า Joey Kiho Kim เป็นคุณหมอลูกครึ่งเกาหลี-อเมริกัน ที่มีหน้าตาและหุ่นที่แซ่บ เผ็ช ร้อน แตกต่างจากหนุ่มเกาหลีหน้าตี๋ K-Pop ทั่วๆ ไป เห็นแล้วอยากเอามือไปลูบที่ซิกแพคเบาๆ สาวๆ หลายคนคงสงสัยวาคุณหมอโจอี้นั้นสามารถรักษาอะไรได้บ้าง?? ก็ต้องขอตอบแบบจริงจังเลยว่าคุณหมอรักษาหัวใจ ไม่ได้ล้อเล่นนะเขารักษาหัวใจจริงๆ นะ ที่เรียกว่า Cardiology หรือคุณหมอที่ทำการวินิจฉัยและรักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจนั่นเอง . งานวิจัยที่คุณหมอโจอี้ทำก็ได้รับการรับรองด้วย แบบนี้เรียกว่าทั้งเก่งทั้งหล่อจริงๆ เลยนะ “ผมทำงานเกี่ยวกับการรักษาหัวใจในช่วงฤดูร้อนหลังจากที่ปีแรกของการเรียนที่ Medical School ซึ่งในอนาคตผมคิดว่างามวิจัยของผมจะเป็นที่ยอมรับและได้ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ดีที่สุด” คุณหมอกล่าว . ถึงแม้ว่าหมอโจอี้จะต้องทำหน้าที่อย่างหนัก แต่เขาก็มีงานอดิเรกที่เขารักอย่างการถ่ายแบบ ซึ่งแน่นอนว่าเขาทำมันออกมาได้ดีทีเดียว สาวๆ คิดว่าไง??? . . . . อื้อหือออ…
-
ภาพโฆษณาชวนเชื่อจากเกาหลีเหนือ บอกเล่าความโหดร้ายของทหารอเมริกันในช่วง ‘สงครามเกาหลี’
ช่วงนี้ถ้าพูดถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศนั้น คงไม่มีประเทศไหนที่จะดุเดือดเท่าอเมริกาและเกาหลีเหนืออีกแล้ว เรียกว่าออกมาจิกกัดโจมตีกันอย่างต่อเนื่องเลยก็ว่าได้ จนหลายคนคิดว่าจะเกิดการสู้กันเป็นสงครามครั้งใหม่ได้ทุกเมื่อ… จนกระทั่งล่าสุดได้มีการปล่อยภาพโฆษณาชวนเชื่อจากเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นภาพวาดที่คาดว่ามาจากช่วงปี 2005 โดยเป็นภาพที่เล่าย้อนไปถึงสมัยหลายสิบปีก่อน ว่าด้วยเรื่องราวของทหารอเมริกาที่ทรมานชาวเกาหลีเหนืออย่างโหดเหี้ยมในช่วงสงครามเกาหลี นอกจากนี้ยังมีการคาดว่า ภาพส่วนใหญ่ได้จัดโชว์ในพิพิธภัณฑ์ Sinchon Museum of American War Atrocities ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองเปียงยาง 110 กิโลเมตร นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์ระลึกถึงการเสียชีวิตของผู้คนกว่า 35,000 คนในการสังหารหมู่เหตุการณ์ Sinchon ปี1950 ซึ่งเป็นการฆาตกรรมพลเรือนที่โหดเหี้ยมโดยทหารชาวอเมริกัน และยังมีรายงานว่าผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จอง-อึน เคยพาลูกสาวไปเยี่ยมชมเมื่อช่วงปี 2014 พร้อมกับพูดถึงภาพเหตุการณ์เหล่านี้ว่า ทหารชาวอเมริกานั้นมีความสุขจากการฆ่าอย่างโหดเหี้ยม… ภาพนี้เป็นภาพที่ดูโหดจริงๆ นะ ภาพการทรมาน และทหารอเมริกันที่ยิ้มอย่างมีความสุข ก็ไม่รู้ว่าภาพนี้มันเกินจริงหรือเปล่า แต่ที่รู้แน่นอนคือเป็นภาพที่ทำออกมาได้โหดสุดๆ ภาพของทหารที่พรากเด็กไปจากแม่ และยังทำร้ายผู้หญิงคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ในภาพหลายภาพ ก็จะเป็นการทำร้ายเด็กและผู้หญิงเป็นหลัก . ภาพของชายที่ถูกเผาทั้งเป็นพร้อมสายตาอันมุ่งมั่น กับยิงสาวที่ถูกมัดแน่นและมีปืนจี้ข้างลำตัวเพื่อให้เธอทำตามคำสั่ง…
-
ตำรวจลงมือสังหารหนุ่มลูกครึ่งเอเชียวัย 20 ปี เพียงเพราะสงสัยว่าเขาพกอาวุธมีด
เหตุการณ์น่าสลดนี้เกิดขึ้นกับหนุ่มน้อยวัย 20 ปี Tommy Le เขาถูกเจ้าหน้าที่นายหนึ่งยิงเสียชีวิต หลังจากที่ถูกสงสัยว่าพกอาวุธมีด แต่สุดท้ายกลับพบว่าเขาไม่ได้มีอาวุธซ่อนไว้แต่อย่างใด ทางสถานีตำรวจ King County ในเมืองซีแอตเทิลกล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมาเด็กหนุ่มคนดังกล่าวได้เดินเข้ามาใกล้เจ้าหน้าที่พร้อมกับถือบางอย่างไว้ในมือ เจ้าหน้าที่สงสัยว่า Tommy จะมีอาวุธมีดอยู่ในมือจึงได้ยิงไปที่หนุ่มน้อยลูกครึ่งเวียดนาม – อเมริกันถึง 3 นัด Tommy ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมาเจ้าหน้าที่กลับเปิดเผยว่าสิ่งที่อยู่ในมือ Tommy เมื่อวันเกิดเหตุนั้นเป็นเพียงแค่ปากกา หนุ่มน้อยผู้ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า ก่อนหน้าวันที่เขากำลังจะเข้าพิธีสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมที่โรงเรียน South Seattle College Tony Dinh เพื่อนของหนุ่มน้อยคนหนึ่งกล่าวว่า “ภาพของเหตุการณ์ที่ Tommy ถูกยิงถึง 3 นัดยังคงติดอยู่ในใจผมอยู่เลย ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมเขาถึงถูกยิง ทั้งๆ ที่ในข่าวบอกว่าเขาแค่ถือปากกาเท่านั้น มีคำถามมากมายสำหรับการตายของเขา แล้วใครจะรับผิดชอบกับการตายของเขา” ส่วนทางด้านคุณครูของ Tommy ก็ออกมาบอกว่าเขาเป็นเด็กที่เรียบร้อยและไม่เคยกร้าวร้าวเลยแม้แต่น้อย “ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเขา เขาไม่เคยทำเรื่องแย่ๆ เลยในโรงเรียนและไม่เคยทำนิสัยก้าวร้าวเลย” คุณ Peterson กล่าว ที่มา nypost
-
สถิติเผย วัยรุ่นอเมริกัน หันมาอาศัยอยู่กับครอบครัวมากขึ้น แทนที่จะย้ายไปหาที่อยู่เอง…
เชื่อว่าหลายๆ คนต้องเคยได้ยินว่า ค่านิยมของสังคมครอบครัวอเมริกัน วัยรุ่นส่วนใหญ่มักจะย้ายออกจากบ้านของพ่อแม่ ทันทีที่จบการศึกษาชั้นมัธยมปลาย เพราะพวกเขาถือว่าตนเองนั้นโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงจำเป็นหาเลี้ยงชีพโดยไม่พึ่งในบุญนำพาของพ่อแม่อีกต่อไป ซึ่งค่านิยมดังกล่าวถือว่าเป็นแบบอย่างที่วัยรุ่นหลายๆ ประเทศทั่วโลกอยากทำตาม แต่ดูเหมือนว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ค่านิยมนี้ค่อยๆ เปลี่ยนไปแล้ว เพราะล่าสุดทาง Wall Street Journal ได้เปิยเผยตัวเลขสถิติออกมาพบว่า วัยรุ่นอเมริกันอายุ 18-35 ปี กว่า 40 เปอร์เซ็น ยังคงอาศัยอยู่กับครอบครัว ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1940 เลยทีเดียว โดยสาเหตุหลักๆ มาจากค่าใช้จ่ายสำหรับอสังหาริมทรัพย์ที่สูงขึ้นนั่นเอง ทำให้วัยรุ่นที่เพิ่งก่อร่างสร้างตัว แทบไม่สามารถเช่าหรือซื้อบ้านได้เลย เปรียบเทียบจากช่วงยุค 1950 ราคาบ้านเฉลี่ยอยู่ที่ 2.3 ล้านบาท และเงินดาวน์ซื้อบ้านอยู่ที่ 500,000 บาทเท่านั้น แต่ขณะเดียวกัน ราคาบ้านเฉลี่ยในปี 2014 พุ่งทะยานไปถึง 12 ล้านบาท และเงินดาวน์ซื้อบ้านอยู่ที่ 1.9 ล้านบาทเลยทีเดียว ราคาห่างกันหลายเท่าตัว!! …
-
ตัวจริงของ ‘ลุงแซม’ พาไปรู้จัก Samuel Wilson ชายอเมริกัน ผู้เป็นต้นแบบภาพ I Want You!!
เชื่อว่าคนเจนเอ็กซ์ หรือแม้แต่วัยรุ่นในยุคนี้บางคนน่าจะเคยเห็นป้าย “I Want You For U.S. Army” พร้อมกับมีภาพชายใส่เสื้อสีน้ำเงินกำลังชี้หน้ามาที่คุณ ซึ่งคนส่วนใหญ่รับรู้และเข้าใจกันว่าเขาคือ “ลุงแซม” อันที่จริงแล้วมันคือป้าย Propaganda หรือการการโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนึ่ง ที่ทำให้ชายอเมริกันในช่วงสงครามโลกรู้สึกฮึกเหิมเป็นที่ต้องการ และอยากเข้าร่วมกับกองทัพสหรัฐ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วชายที่อยู่ในป้ายโฆษณาที่เราเห็นมาหลายทศวรรษคนนี้ มีตัวตนอยู่จริงๆ เมื่อประมาณร้อยกว่าปีก่อนด้วยนะ ในเว็บไซต์ต่างประเทศได้มีข้อมูลของชายคนนี้บอกเอาไว้อย่างละเอียด โดยชื่อเต็มๆ ของเขาคือ Samuel Wilson ประวัติคร่าวๆ เขาเกิดเมื่อวันที่ 13 กันยายน ปี 1766 ที่รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 1854 แม้จะจากโลกนี้ไปกว่า 162 ปีแล้วก็ตาม แต่ใบหน้าและรูปลักษณ์ของเขาก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของอเมริกันชนไปแล้ว ในช่วงที่นาย Samuel มีชีวิตอยู่นั้น เขาทำหน้าที่เป็นคนบรรจุและขายเนื้อในรัฐนิวยอร์ค ก่อนที่จะแต่งงานกับนาง Betsey Mann ในปี 1797 และมีลูกด้วยกัน 4 คน…
-
คุณแม่จับลูกน้อยมาแต่งตัวตอนหลับปุ๋ย เป็นชุดภาพสุดน่ารัก ที่เห็นแล้วยิ้มตาม…
ถ้าใครกำลังหาวิธีถ่ายภาพน่ารักๆ ของบุตรหลานของตนเอง วันนี้ #เหมียวอ๊อดโด้ มีไอเดียเจ๋งๆ จากคุณแม่นักถ่ายภาพชาวญี่ปุ่นอเมริกัน ที่จะทำให้ทุกท่านต้องละลาย เราไปชมพร้อมๆ กันเลยดีกว่า นี่คือ “Laura Izumikawa” ตากล้องลูกครึ่งญี่ปุ่นอเมริกันกับลูกสาววัยสี่เดือนของเธอ “Joey Marie” เธอบอกว่า ลูกสาวของเธอเป็นเด็กที่หลับลึกมาก เธอจึงหาไอเดียมาทำอะไรน่ารักๆ ด้วยการจับแต่งตัวเป็นทั้งตัวละครในหนัง การ์ตูน หรือเหล่าคนดัง แล้วแชร์ให้เพื่อนๆ และครอบครัวคนอื่นๆ ได้ชมกัน ซึ่งชุดต่างๆ ที่นำมาแต่งนั้น ส่วนใหญ่ถ้าไม่ยืมเพื่อนมา ก็หยิบเอาของที่มีในบ้านนั่นแหละมาแต่ง อย่างชุดนี้แต่งเป็นนักร้องสาวชื่อดัง Sia ซึ่งเธอบอกว่าบางทีเธอก็หยุดขำไม่ได้จริงๆ เวลาเห็นลูกสาวแต่งตัวเป็นแบบนี้ Eleven จากเรื่อง Stranger Things Jon Snow ก็มาเหมือนกัน ซุน โกคูก็มี บางทีก็กลายเป็นโปเกมอน ซินเดอเลร่ามั้ยละ แอเรียล ทั้งเวอร์ชั่นในน้ำและบนบก …
-
ชาวสหรัฐฯ ทำป้ายขอโทษ หลังเจ้าหน้าที่ฐานทัพโอกินาว่า ก่อเหตุฆาตกรรมสาวญี่ปุ่นวัย 20 ปี
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หนึ่งในข่าวที่กลายเป็นที่พูดถึงไปทั่วโลก คือข่าวเจ้าหน้าที่จากฐานทัพสหรัฐอเมริกาบนเกาะโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น ได้ก่อเหตุข่มขืนฆ่าหญิงสาวชาวญี่ปุ่นวัย 20 ปีคนหนึ่งอย่างโหดเหี้ยม จนกลายเป็นที่ไม่พอใจของคนญี่ปุ่นจำนวนมาก นับตั้งแต่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพสหรัฐฯ ได้สร้างฐานทัพไว้หลายแห่งบนเกาะโอกินาว่า ซึ่งเคยเป็นสมรภูมิสำคัญในช่วงสงครามโลก และในฐานทัพเหล่านั้น มีทหารอเมริกันประจำอยู่กว่า 47,000 นาย ซึ่งนับตั้งแต่มีการตั้งฐานทัพขึ้นมา เหล่าทหารและเจ้าหน้าที่ในฐานทัพ ก็มีเรื่องกระทบกระทั่งกับชาวเมืองท้องถิ่นมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอาชญากรรม ข่มขืน ชนแล้วหนี และอื่นๆ มากมาย จนบางครั้งก็ลุกลามเป็นปัญหาใหญ่โตเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่นานนี้ ประเด็นดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับคนญี่ปุ่นในพื้นที่เป็นอย่างมาก และก่อให้เกิดเป็นดราม่าเล็กๆ ซึ่งมีประเด็นเรื่องของเชื้อชาติมาเกี่ยวข้อง แต่อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความมืดมนก็ยังมีความสวยงาม ล่าสุดมีรายงานว่าชาวอเมริกันในญี่ปุ่นหลายสิบคน ยืนถือป้ายแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เกาะโอกินาว่า จนกลายเป็นที่ประทับใจแก่ชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก . . แม้จะเป็นประเด็นใหญ่มากของคนบนเกาะโอกินาว่า อย่างไรก็ตามมีชาวเน็ตแสดงความเห็นว่า ภาพดังกล่าวไม่เคยปรากฎในสื่อหลักของญี่ปุ่นแม้แต่น้อย เพราะอะไรละ!? มีคนวิเคราะห์ถึงสาเหตุ อาจเป็นไปได้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นได้ถือโอกาสพอมีโอกาสที่เจ้าหน้าที่สหรัฐทำไม่ดีกับคนญี่ปุ่นแบบนี้ ในการสร้างแรงกดดันให้ทางสหรัฐอเมริกา รีบดำเนินการย้ายฐานทัพโอกินาว่าออกไปให้เร็วที่สุด หลังมีความพยายามเรียกร้องมาอย่างยาวนาน (พวกเราเสียใจกับเรื่องที่โอกินาว่า) . . ส่วนสำหรับคดีอาชญากรมที่เกิดขึ้น…
-
โถๆๆ หนุ่มมะกันเขียนจดหมายถึงควีนอังกฤษ ขอกลับเข้าอาณานิคม หลังเห็นรายชื่อผู้สมัครประธานาธิบดี
เหมียวพนันได้เลยว่าเพื่อนๆ คงพอรู้กันมาบ้างแล้ว ว่าประเทศสหรัฐอเมริกานั้น เป็นประเทศเกิดใหม่ไม่กี่ร้อยปีมานี่เอง ซึ่งก่อนหน้านั้นได้เคยเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษมาก่อน เรื่องราวสุดฮานี้เกิดขึ้นเมื่อมีชาวอเมริกันคนหนึ่ง ชมการโต้วาทีเพื่อคะแนนเสียงของผู้สมัครประธานาธิบดีของประเทศ ในปี 2016 นี้ จากพรรคการเมืองต่างๆ หลังจบรายการนั้น….เขาคงรู้สึกแย่มากๆ กับเหล่าผู้สมัคร จนถึงกับเขียนจดหมายนี้ขึ้นมา ส่งตรงไปยังควีน Elizabeth ที่ 2 แห่งประเทศอังกฤษ และ David Cameron นายกของประเทศ ใจความในจดหมายก็ราวๆ ว่า ‘ในนามของประชาชนชาวอเมริกัน ข้าพเจ้าขอร้องให้ควีนแห่งประเทศอังกฤษ ทรงรับเรากลับเข้าเป็นประเทศอาณานิคมอีกครั้ง เพราะตัวเลือกผู้สมัครแต่ละคนในตำแหน่งประธานาธิบดีในครั้งนี้ ใช้ไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว…’ อื้อหืออ อินเนอร์มาเต็ม แล้วควีนอลิซาเบ็ธล่ะ จะทรงคิดเห็นเป็นประการใด?? แต่ที่แน่ๆ ต้องทรงขำก๊ากสักทีสองทีก่อนอย่างแน่นอน >< จดหมายตอบกลับจากทางสำนักพระราชวัง เนื้อหาในจดหมายตอบกลับก็ราวๆ ว่า ‘ในนามของควีนแห่งประเทศอังกฤษ ข้าพเจ้าได้รับอำนาจให้ตอบจดหมายฉบับนี้ เราได้ทราบถึงเจตนาและจุดประสงค์ของท่านอย่างแจ่มชัด แต่ทางสำนักพระราชวังมั่นใจว่า พระองค์ไม่มีประสงค์ที่จะแทรกแทรงการเมืองของประเทศที่มีอธิปไตยเป็นของตัวเองอย่างแน่นอน…ด้วยความนับถือ จุ๊บๆ’ แหม่ ทางสำนักพระราชวังก็เป็นคนตลกมาก -*-…
-
ศิลปินหวังเปลี่ยนนิยาม “ความงามแบบอเมริกัน” ด้วย 14 ภาพรูปร่างหญิงที่แตกต่าง!!
ช่างภาพชาวอเมริกันนามว่า Carey Fruth ได้สร้างภาพชุดหนึ่งขึ้นมา เพื่อที่จะเปลี่ยนนิยามของคำว่า ‘American Beauty’ หรือความงามแบบอเมริกัน ซึ่งชื่อมันเหมือนหนังดังเรื่องหนึ่งนั่นเอง เขาได้เชิญนางแบบผู้หญิงที่มีรูปร่างแตกต่างกันถึง 14 คนมาถ่ายรูปท่ามกลางดอกไม้เหมือนในปกหนัง American Beauty แต่เพียงเปลี่ยนชนิดและสีของดอกไม้จากสีแดงเป็นสีม่วง เราไปดูผลงานของเขากันเลย ติดตามผลงานของเขาได้ที่ careyfruthphotography.com | Tumblr | Instagram | Twitter ที่มา huffpost,demilked