Tag: เชื้อชาติ
-
ตำรวจออสเตรเลีย พูดเหยียดคนขับรถว่า “กลับจีนไปเลยไป” ทั้งที่ตนเองก็เป็นชาวเอเชีย…
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2018 ได้มีคลิปวิดีโอเผยแพร่ออกมาบนอินเทอร์เน็ต โดยเฟซบุ๊กที่ชื่อว่า Caleb Strik เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า การเหยียดชนชาติ ก็ยังคงมีให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในช่วงเวลาราว 06.30 น. บนถนน Marsden ใกล้กับสี่แยก Pennant Hills ในรัฐนิวเซาต์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เจ้าหน้าที่จราจรนายหนึ่งได้เดินเข้ามายังรถยนต์ Toyota Camry คันหนึ่งเพื่อสุ่มตรวจแอลกอฮอล์และถามคนขับรถว่ามาจากไหน ก่อนจะพูดออกมาว่า “กลับจีนไปเลยไป” พร้อมใช้มือผลัก ชมคลิปแรก ชมคลิปที่สอง ชมคลิปที่สาม ตัวของ Strik ผู้ถ่ายคลิปและผู้ที่เห็นเหตุการณ์นั้นให้สัมภาษณ์ว่า เขาตกใจมากที่เห็นการเหยียดแบบนี้ แถมวาจาเหยียดนั้นก็ออกมาจากปากของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นชาวเอเชียด้วยกัน หาใช่ชาวออสเตรเลียไม่ เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวจึงเข้ามาห้ามไม่ให้ Strik นั้นบันทึกวิดีโอ แต่ Strik ก็ตอบกลับไปว่าเขาจะถ่าย เขามีสิทธิ์เพราะเขาเป็นชาวออสเตรเลีย จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็หันไปขอความช่วยเหลือจากชายชาวเอเชียอีกคนหนึ่ง เพราะเขาไม่เข้าใจภาษาอังกฤษเท่าใดนัก ขณะนี้ วิดีโอดังกล่าวกำลังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแห่งนิวเซาต์เวลส์ …
-
โกรธใครมา… หญิงชี้หน้าด่าชูนิ้วกลาง ไล่ชายอัฟกันกลับประเทศ ถูกลงดาบไล่ออกหลังคลิปหลุด!!
การให้ความเคารพผู้อื่นดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากมากๆ สำหรับใครก็ตามที่ยังคงมองผู้คนจากภายนอก ภาพลักษณ์ภาพจำที่คนคนนั้นมีเชื้อชาติแตกต่างไปจากตน ต่อให้เป็นพลเมืองในชาติเดียวกันภายหลังก็ตามที… เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับนาย Monir Omerzai และผองเพื่อน ที่ต้องเผชิญหน้ากับหญิงชาวแคนาดานามว่า Kelly Pocha ภายในร้านอาหาร Denny ณ เมืองเลทบริดจ์ รัฐแอลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา หญิงแคนาดาเดือด ใช้วาจาและกิริยารุนแรงไล่กลับประเทศ คลิปทั้งหมดถูกบันทึกและเผยแพร่ผ่านโลกอินเทอร์เน็ตมาได้ไม่นานนัก และกลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อนาย Omerzai ผู้มาจากอัฟกานิสถานเมื่อ 13 ปีที่แล้ว พร้อมกับเพื่อนอีก 3 คน ใช้ภาษาท้องถิ่นพูดคุยภายในร้าน ก็เจอกับคู่กรณี Pocha เดือดดาลชี้หน้าด่าแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “หุบปากเน่าๆ ของเอ็งซะ” Pocha เปิดบทสนทนาที่ดูเหมือนจะเป็นการด่าในต้นคลิป “พวกเอ็งรู้มั้ยว่า กำลังเผชิญหน้ากับหญิงชาวแคนาดาตัวจริง กรูจะปีนข้ามโต๊ะไปต่อยปาก*งเดี๋ยวนี้แหละ” แม้ว่าทางฝั่ง Omerzai จะคลี่คลายความเดือดด้วยเสียงหัวเราะกลบเกลื่อน แต่อีกฝั่งไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น “กลับประเทศ*งไปเลย พวกกรูไม่ต้องการพวก*งอยู่ที่นี่” ฝ่ายผู้เป็นสามีของนาง Pocha ก็ห้ามปรามทั้งภรรยาตัวเอง และบอกให้อีกฝ่ายใจเย็น…
-
หญิงผิวขาวเหยียดรุนแรง ด่ากราดลูกครึ่งเอเชียอเมริกัน ลั่นวาจาไล่ “กลับประเทศบ้านเกิด”
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการรณรงค์ความคิดยุคใหม่ในเรื่องของ ‘การเหยียดเชื้อชาติ’ แต่ทว่าปัญหาดังกล่าวยังคงไม่จางหายไป เพราะประเด็นของการถกเถียงในเรื่องเลือดแท้หรือเลือดผสมนั้น ยังมีความรุนแรงในประเทศเสรีอย่างสหรัฐอเมริกาอยู่ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับ Tony Kao และครอบครัวในเมืองลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อพวกเขาได้พูดคุยกับหญิงผิวขาวรายหนึ่ง โดยเป็นคลิปเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ ต่างฝ่ายต่างโต้เถียงกันในเรื่องของความไม่เข้าใจเรื่องเชื้อชาติ และมีการดูถูกเหยียดหยาม… ใจความระหว่างสองฝ่ายได้พูดคุยกันนั้น กล่าวถึงประเด็นที่ว่าทำไมหญิงรายนี้ต้องลั่นวาจาไล่เขากลับประเทศ ทั้งๆ ที่เขาก็เกิดและเติบโตในสหรัฐอเมริกา… Tony: “ผมก็แค่อยากจะให้คุณบอกกับทุกคนว่า ทำไมคุณถึงบอกให้เรากลับประเทศบ้านเกิดล่ะ” หญิงผิวขาว: “คุณต้องกลับไปที่ประเทศของตัวซะ” Tony: “แทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดในช่วงนี้เลย ทั้งๆ ที่เราเกิดและโตในสหรัฐฯ และคุณบอกให้ผมกลับบ้านเกิดเนี่ยนะ?” หญิงผิวขาว: “ฉันจะไม่มีวันบอกคุณหรอก” ทางด้าน Tony ได้ชี้แจงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ว่า “เราเจอกับคนแบ่งแยกเชื้อชาติ ในย่านที่พักอาศัยของเรา ระหว่างที่กำลังเดินเล่นช่วงบ่ายกับภรรยาและลูกสาว จนมาพบกับหญิงผิวขาวที่เดินผ่านมาพร้อมกับพูดแบบนี้โดยที่ไม่หยุดเลย ผมอยากจะขอโทษภรรยาและลูกสาวที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ครั้งแรก คุณอาจจะเคยได้ยินเรื่องการเหยียดในสังคมของเรามาบ้าง… แต่เมื่อคุณได้เจอเข้าจริงๆ เป็นครั้งแรกพร้อมกับคนที่คุณรัก มันทำให้ทั้งวันของคุณพังได้ในพริบตา แทบไม่อยากจะเชื่อว่าความคิดแบบนี้ยังมีอยู่ในสหรัฐ และเมืองที่เปิดกว้างทางความหลากหลายและวัฒนธรรม” หลังจากที่คลิปถูกเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตต่างก็รู้สึกไปในทำนองเดียวรู้สึกช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้น แทบไม่อยากจะเชื่อ รู้สึกภูมิใจกับคุณนะ Tony คุณควบคุมสถานการณ์ด้วยความนอบน้อม…
-
คุณพ่อชาวจีนหัวเก่า สนับสนุนให้ลูกคบกับคนผิวขาว แทนที่จะคบกับคนผิวสี
เรื่องของเชื้อชาติหรือสีผิวยังคงเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันอยู่ตลอด ไม่ใช่เพียงเพราะความแตกต่างในเรื่องของภาษาหรือวัฒนธรรม หากแต่ยังมีคนบางกลุ่มที่มองว่า เชื้อชาตินี้ดีกว่าอีกเชื้อชาติหนึ่ง เหมือนอย่างความคิดของคุณพ่อชาวจีนคนนี้ ที่อยากให้ลูกสาวของตัวเองคบกับคนผิวขาว และไม่ให้คบกับคนผิวสี แนวคิดของคุณพ่อคนนี้ถูกนำเสนอออกมาผ่านการพูดคุยกับลูกสาวของตัวเอง และเธอก็ทำการถ่ายคลิปแบบให้ได้ยินแต่เสียง ไม่เห็นหน้า ก่อนที่จะนำมาโพสต์ใน Reddit เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2018 ภายในคลิปหญิงสาวถามพ่อของเธอว่า “ถ้าน้องสาวคบกับคนผิวสีพ่อจะโกรธใช่มั้ย แต่ถ้าเป็นคนผิวขาว-” แล้วพ่อเธอก็ตอบแทรกมาว่า “ใช่ เพราะปกติแล้วคนจีนไม่ชอบคนผิวสี” ลูกสาวยังถามพ่ออีกว่า “ไม่ใช่แค่ผิวสี แต่รวมถึงคนแขกฝั่งอินเดียด้วยหรือเปล่า” พ่อเธอก็ตอบว่า “ใช่ พ่อไม่ชอบพวกเขาเหล่านั้นเลย” เธอจึงถามหาเหตุผลว่าทำไมพ่อของเธอถึงคิดเช่นนั้น เขาจึงตอบกลับมาแบบคลุมเครือว่า “พ่อจะอธิบายว่ายังไงดี คนพวกนั้นทำให้พ่อรู้สึกไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่” หญิงสาวจึงมุ่งประเด็นไปว่าทำไมพ่อของเธอถึงคิดว่าคู่รักชาวจีนกับคนผิวขาว ถึงดีกว่าคู่รักชาวจีนกับคนผิวสี แล้วคุณพ่อจึงอธิบายว่า “พ่อไม่ได้บอกว่าคนขาวดีกว่าคนจีน แต่คู่รักคนจีนกับคนผิวขาวยังไงก็ดีกว่าคนจีนที่คบกับคนผิวสีหรือคนแขก” จากนั้นลูกสาวจึงถามประโยคสุดท้ายว่า “พ่อคิดว่าลูกครึ่งชาวจีนกับผิวขาวดูสวยงามมากที่สุดแล้วใช่มั้ย?” พ่อเธอจึงยกตัวอย่างถึงคนคนหนึ่งที่ชื่อว่า Gabby และบอกว่าคนคนนั้นมีใบหน้าที่ขี้เหร่เมื่อตอนเป็นเด็ก แต่พอโตขึ้นมากลับน่ารัก ซึ่งคาดว่าคนที่พ่อของเธอพูดถึงจะเป็นลูกครึ่งชาวจีนกับคนผิวขาว วิดีโอดังกล่าวได้กลายเป็นที่พูดถึงเกี่ยวกับความคิดที่หลายๆ คนมองว่าเป็นการถูกปลูกฝังของคนในยุคเก่า ที่มองว่าเชื้อชาติหนึ่งดีกว่าอีกเชื้อชาติหนึ่ง ซึ่งในที่นี้หมายถึงคนขาวดีกว่าคนผิวสี แน่นอนว่าเชื้อชาติที่ต่างกัน…
-
“คนข้ามเชื้อชาติ” อาจเป็นสิ่งที่คนนิยมในปี 2018 หรือนี่อาจเป็นเรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจใหม่?
บางครั้งเราก็เลือกเพศที่จะเกิดมาไม่ได้ แต่วิถีชีวิตของเราเองก็ไม่อาจถูกกำหนดด้วยเพศสภาพได้เช่นกัน อย่างที่เห็นกันว่า ถึงแม้บางคนเกิดมาเป็นเพศชาย แต่หากว่าจิตใจของเขาเป็นเพศหญิง เขาก็ย่อมเลือกที่ใช้ชีวิตแบบผู้หญิงได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนส่วนมากนั้นยอมรับแล้วกับการข้ามเพศที่เรียกกันว่า “Transgender” แต่ปัจจุบันกลับมีสิ่งที่ล้ำไปกว่านั้น สำหรับคนที่คิดว่าตนเองนั้นจริงๆ แล้วไม่ได้เป็นคนในชนชาติที่ตนเกิดมา แต่กลับเป็นคนอีกชนชาติหนึ่งอย่างสมบูรณ์ จึงเกิดสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า “การข้ามชนชาติ” หรือ “Transracial” ขึ้นมา มีใครเคยสงสัยไหมว่า ที่จริงแล้วบรรพบุรุษของเรามาจากที่ไหนกันแน่? เช่น คุณปู่ หรือคุณปู่ของปู่ หรือเก่ากว่านั้น ที่จริงแล้วเขามี “ชนชาติ” เดียวกับเราหรือไม่ อย่างเช่น ตัวเราเป็นคนไทยแบบนี้ ทวดของทวดเราอาจจะเป็นชาวยุโรปก็ได้นะ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราคงรู้สึกแปลกหากเราจะบอกว่า เราเป็นชาวยุโรป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครทำแบบนั้นหรอกนะ มีหญิงข้ามเพศผิวขาวคนหนึ่งจากเมืองนิวออร์ลีนส์ ในอเมริกา ชื่อว่า Ja Du ซึ่งเมื่อเธอแนะนำตัว เธอจะบอกกับคนอื่นๆ เสมอว่าเธอนั้นเป็นหญิงข้ามเพศที่เป็นชาว “ฟิลิปินส์” หลังจากเรื่องราวของเธอถูกเผยออกไป ไม่มีใครสงสัยเรื่องการข้ามเพศของเธอ แต่ผู้คนกลับตั้งคำถามกับการที่เธอบอกว่าเธอเป็นชาวฟิลิปินส์มากกว่า เพราะเธอดูไม่เหมือนชาวฟิลิปินส์เท่าไหร่ Ja Du (ชื่อเดิม Adam Wheeler)…
-
เป็นเรื่อง!! เมื่อมีมือดีเข้าไปเปลี่ยนข้อมูลของตัวละคร Rose จากเรื่อง Star Wars VIII ในเชิงเหยียด
เข้าฉายกันไปครบ 1 สัปดาห์แล้วนะครับสำหรับ Star Wars: The Last Jedi ซึ่งก็มีเสียงตอบรับออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นทั้งในด้านดีๆ หรือด้านไม่ดี แน่นอนว่าจะมีความเห็นเป็นยังไงก็ล้วนเกิดขึ้นตามความชอบของแต่ละคน เพียงแต่ว่าเรื่องมันดันรุนแรงขึ้นเมื่อแฟนหนังที่ไม่ชอบในภาค 8 นี้ หันไปโจมตีตัวละครชาวเอเชียที่ชื่อ Rose Tico โดยพวกเขาเข้าไปแก้ไขข้อมูลของเธอในเว็บไซต์ FANDOM เป็นข้อความเชิงเหยียดนั่นเอง มือดีดังกล่าวนั้นได้เปลี่ยนข้อมูลหลายส่วนเลยทีเดียว โดยชื่อตัวละครของเธอนั้นจากเดิมที่เป็น Rose ได้ถูกเปลี่ยนเป็น Ching Chong Wing Ton ซึ่งเป็นสัญลักษณ์การเหยียดเชื้อชาติว่าคนเอเชียคือคนจีน ทั้งๆ ที่ Kelly Marie Tran นักแสดงที่รับบท Rose เป็นชาวเวียดนามแท้ๆ นอกจากนี้คำพูดของเธอก็ยังเป็น “ฮิตเลอร์จงเจริญ ฉันไม่รู้เลยว่าทำไมฉันถึงถูกแคสให้มาแสดงในหนังดีๆ อย่าง Star Wars ได้” นอกจากนี้คำอธิบายก็ยังถูกเปลี่ยนเป็นคำพูดเหยียดหยามตัวละครนี้อย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นการแช่งให้เธอตายอย่างทรมาน หรือจะเป็นคำอธิบายทำนองที่บอกว่าตัวละครของเธอไม่สำคัญเลยสักนิดไม่จำเป็นต้องใส่มาก็ได้ รวมถึงการให้เธอรักกับ Finn ก็เป็นอะไรที่ดิสนีย์ตัดสินใจได้แย่มากๆ ส่วนถ้าใครสงสัยว่าทำไมเว็บไซต์ FANDOM…
-
เรื่องราวของสองพี่น้องบ้านเดียวกัน แต่กลับต้องแข่งฮอกกี้ในโอลิมปิกฤดูหนาวให้คนละประเทศ
หากใครมีพี่มีน้องก็คงจะเคยทะเลาะกันมาบ้างหรือในบางครั้งก็อาจจะมีการแข่งขันกันเองอย่างเช่นสองพี่น้องสาวคู่นี้ ที่พวกเธอต้องแข่งขันกันในระดับชาติเลยทีเดียว เมื่อสองพี่น้อง Marissa วัย 24 ปี และ Hannah Brandt วัย 23 ปี สองพี่น้องที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งแม้จะอยู่บ้านเดียวกันแต่กลับต้องแข่งขันกีฬาโอลิมปิกให้กับประเทศที่แตกต่างกันซะงั้น . จุดเริ่มต้นของความสับสนนั้นเกิดขึ้นเพราะว่า Greg และ Robin Brandt สองสามีภรรยาในสหรัฐอเมริกา ได้รับเลี้ยงเด็กคนหนึ่งนั่นคือ Marissa เด็กสาวชาวเกาหลีใต้ที่มีอายุเพียงแค่ 4 เดือน หลังจากนั้นเธอก็มีน้องสาวที่อายุห่างกันหนึ่งปีชื่อ Hannah ซึ่งในวัยเด็กทั้งคู่จะได้ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันอยู่เสมอเช่นการเต้น เล่นสเกตลีลา หรือยิมนาสติก รวมถึงการเข้าค่ายฝึกวัฒนธรรมเกาหลีที่แม่ของพวกเธอพาไป ในขณะที่คนพี่ตอนนั้นอายุ 10 ขวบรู้สึกไม่ค่อยชอบการไปค่ายนั้นเท่าไหร่แต่น้องสาวกลับรู้สึกชอบมันเอามากๆ นอกจากนั้นผู้คนรอบข้างก็มักจะไม่เชื่อว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ยังคงอยู่เคียงข้างกันมาตลอดจนกระทั่งเข้าเรียนวิทยาลัยและต้องแยกทางกัน . เมื่อทั้งสองได้เล่นฮอกกี้น้ำแข็งและรู้สึกชอบมากๆ โดยเฉพาะ Hannah ที่มีความฝันจะเป็นนักกีฬาโอลิมปิก ส่วน Marissa เองในตอนนั้นขณะที่กำลังศึกษาอยู่ปีสุดท้ายที่วิทยาลัยศิลปศาสตร์ Gustavus Adolphus ในรัฐมินนิโซตา เธอก็ได้ถูกชักชวนให้ไปอยู่ในทีมชาติของเกาหลีใต้ โดยโค้ชผู้รักษาประตูของเกาหลีใต้ Rebecca…
-
Born With It หนังสั้นเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของเด็ก ‘ผิวสี’ ในสังคมญี่ปุ่นที่ไม่ยอมรับในเชื้อชาติ
การเหยียดเชื้อชาติในประเทศญี่ปุ่น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายในสังคมและเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก เรื่องนั้นทำให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้ามาศึกษาวัฒนธรรมอันสวยงามไม่ได้รับการต้อนรับจากคนในประเทศนี้ซักเท่าไหร่ ซึ่งพวกเขาบอกว่ามันเกิดจากความไม่รู้ถึงความแตกต่างไม่ใช่ความเกลียดชังอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เพราะอย่างนั้นจึงทำให้นักทำหนังชาวแอฟริกัน-อเมริกันจากเท็กซัสที่ชื่อว่า Emmanuel Osei-Kuffour ได้ใช้ประสบการณ์กว่า 6 ปีที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นมาถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ที่เขาต้องเจอมาตลอดผ่านหนังสั้น Born With It (生まれつき) หนังสั้นที่พูดถึงเรื่องราวของเด็กประถมผิวสีคนหนึ่งที่ต้องเจอกับเพื่อนร่วมห้องที่แสดงถึงการเหยียดเชื้อชาติตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้าไปในโรงเรียน โดยในหนังเด็กคนนี้ต้องพยายามพิสูจน์ให้เพื่อนเห็นว่าสีผิวไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ คลิปที่ถูกตัดมาจากตอนต้นเรื่องของหนัง เขาบอกว่าการที่เขาถ่ายทอดผ่านมุมมองของเด็กก็เพราะเวลาที่เราเห็นใครสักคนสูญเสียความความไร้เดียงสาของตัวเองไป มันคือสิ่งที่มีพลังต่อความรู้สึกเราอย่างมาก “เป็นเรื่องราวของอคติและการได้เห็นเด็กๆ แสดงพฤติกรรมออกมาเหมือนกับผู้ใหญ่หลายคนที่ทำกับผมมาโดยตลอด เพียงเพราะผมเป็นนักท่องเที่ยวต่างเชื้อชาติจึงทำให้ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างจนเหมือนกับว่าผมไม่ใช่มนุษย์” เขากล่าว นอกจากนั้นชาวญี่ปุ่นหลายคนคิดว่าเขาไม่สามารถเข้าใจถึงแนวคิดและวัฒนธรรมของที่นี่ได้ในเมื่อไม่ได้เป็นคนญี่ปุ่น ซึ่งเขาสามารถสังเกตได้จากเวลาไปประชุมกับบริษัท งานเลี้ยง หรือการพูดคุยกับหลายๆ คน จากเรื่องราวสะท้อนสังคมทำให้หนังสั้นความยาว 17 นาทีเรื่องนี้ได้รับรางวัลจากงานเทศกาลหนังต่างๆ ทั่วโลกเช่นรางวัล The Best Film & Social Impact จากเทศกาลหนังสั้น NBC-Universal แม้ว่าเราจะเกิดมาแตกต่างกันแต่เราต้องไม่ลืมว่าถึงอย่างไรเราก็คนเหมือนกัน ที่มา: nextshark , japansubculture
-
เน็ตไอดอลสาวแคนาดาสุดแซ่บ เปิดตัวแฟนเป็น ‘หนุ่มเอเชีย’ เจอกระแสชาวเน็ตวิจารณ์เพียบ!?
ความรักของคนสองคนแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดีและเป็นสิ่งสวยงาม แต่ในบางครั้งผู้คนโดยรอบอาจไม่ได้คิดเช่นนั้น จนถึงกับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเลยก็มี นี่เป็นเรื่องราวของสาวแคนาดาสุดฮอต Lisa Vannatta เธอเป็นเน็ตไอดอลผู้โด่งดังจากการสตรีมวิดีโอเกมบวกกับความแซ่บของหุ่นอันเซ็กซี่ที่ทำให้มีผู้ติดตามอินสตาแกรมเธอมากกว่า 400,000 คน แน่นอนว่าเธอจะต้องเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆ หลายคน แต่เมื่อไม่นานมานี้เธอก็ได้โพสต์คลิปตอนที่เธอไปงาน Anime Expo ที่แคลิฟอร์เนีย จนทำให้ทุกคนได้เห็นกันว่าเธอมีแฟนหนุ่มที่รักกันมากอยู่แล้ว!! แต่สิ่งที่กลายเป็นกระแสจนทำให้ชาวเน็ตต้องออกมาแสดงความไม่พอใจก็เพราะว่า Jay แฟนหนุ่มของเธอเป็นคนเอเชีย จากนั้นมาเธอและหนุ่มเกาหลีคนนี้จึงต้องเจอกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรง เช่นเรื่องความแตกต่างของรูปร่างและเชื้อชาติ “ทำไมเธอถึงออกเดทกับหนุ่มเอเชียที่สูงแค่ 172 เซนติเมตรเองละ? ฉันคงรู้สึกแย่ถ้าพวกเขามีลูกพันธุ์ผสมออกมา” “ผิวเหลืองเป็นที่นิยมขนาดทำให้เธอไปเดทกับชาวเอเชียเลยหรอ?” . หรือแม้แต่การแสดงความคิดเห็นที่บอกว่าเธอคบกับเขาเพียงเพราะเรื่องเงิน “ไม่น่าเชื่อเลยว่าหนุ่มเอเชียหน้าตาขี้เหร่จะไปเป็นแฟนกับสาวผิวขาวสุดเซ็กซี่คนนี้ได้ ทั้งคู่ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยนะเพราะฉะนั้นเขาต้องรวยมากแน่นอน” อีกความคิดเห็นหนึ่งก็บอกว่าชายผิวขาวจะคบสาวเอเชียก็ไม่แปลก แต่หนุ่มเอเชียจะคบกับสาวผิวขาวน่ะมันไม่ได้ “ตรรกะความเป็นจริงบนโลกคือชายผิวขาวสามารถคบสาวเอเชียได้ แต่หนุ่มเอเชียจะมาคบกับสาวผิวขาวมันเป็นไปไม่ได้” . จากความคิดเห็นส่วนใหญ่บอกได้เลยว่า การเหยียดเชื้อชาติและสีผิวยังคงมีอยู่เสมอไม่ว่าโลกจะหมุนไปไกลแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นอย่างนั้น คนที่เห็นด้วยกับทั้งสองอยู่ก็มี “ทั้งสองเป็นคู่รักที่น่ารักมากขอให้รักกันให้นานๆ นะ คนที่เกลียดชังคุณเขาจะพยายามดึงคุณลงมาเพียงเพราะว่าเขาอิจฉา เพราะฉะนั้นก็อย่าไปสนใจพวกเขาเลย” คลิปวิดีโอไปงาน Anime Expo และเปิดตัวแฟนหนุ่มของเธอ . การจะแสดงความคิดเห็นกับเรื่องอะไรต้องทำลงไปอย่างมีสติและเหตุผลจะใช้แต่อารมณ์อย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ…
-
ชาวเน็ตเดือดหลัง “เกมร้านอาหารจีน” ให้คนไล่จับหมาแมวไปทำอาหาร ว่าเหยียดเชื้อชาติ
กลายเป็นประเด็นสุดเดือดบนโลกโซเชียลเลยทีเดียว สำหรับเกม “Dirty Chinese Restaurant” จากค่าย Big-O-Tree Games เมื่อชาวเน็ตเห็นว่าเกมดังกล่าวนำเสนอเนื้อหาเหยียดเชื้อชาติอย่างรุนแรง และเกมดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับสมาชิกสภาคองเกรสเชื้อสายเอเชียเป็นอย่างมาก Dirty Chinese Restaurant จะให้เราบริหารร้านอาหารจีนในสหรัฐอเมริกาให้สามารถอยู่รอดปลอยภัยโดยใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด รวมทั้งต้องบริหารไม่ให้พนักงานของเราทำผิดกฎหมาย จนโดนส่งกลับประเทศอีกด้วย ซึ่งในการบริหารร้านนี้เอง เราสามารถจับหมาแมวในร้านมาประกอบอาหารเพื่อเป็นการลดต้นทุนได้ รวมทั้งเราต้องคอยห้ามไม่ให้ลูกจ้างชาวจีนของเราทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นพนันหรืออื่นๆ จนต้องถูกส่งตัวกลับประเทศ . เกมดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับสมาชิกสภาคองเกรสชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอย่าง Grace Meng เป็นอย่างมาก โดยเธอคิดว่ามันเป็นการเหมารวมและเหยียดเชื้อชาติอย่างไม่น่าให้อภัย และอาจสร้างค่านิยมผิดๆ ให้กับคนทั่วไปได้ โดยเฉพาะการที่ร้านอาหารสามารถนำหมาแมวมาทำอาหาร และเธอยังเรียกร้องให้เจ้าของแพลตฟอร์มอย่าง Apple และ Google ถอดเกมออกจากสโตร์ของตนเองด้วย อย่างไรก็ตามทางทีมผู้พัฒนาก็ออกมาแถลงว่าเกมของพวกเขาไม่ได้มีเจตนาเหยียดเชื้อชาติแต่อย่างใด ซึ่งพวกเขาคิดว่ามุขตลกในเกมของเขา อยู่ในระดับเดียวกับซีรี่ส์ Family Guy หรือ South Park เท่านั้น แล้วเพื่อนๆ ล่ะคิดเห็นอย่างไรกับประเด็นนี้บ้าง ลองแสดงความเห็นกันเข้ามานะฮะ ที่มา Dailymail
-
สาวกลายเป็นฮีโร่… หลังเห็นมนุษย์ป้าพูดเหยียดผิวใส่พนักงานโรงแรม จนนำไปสู่การวางมวย
การได้เห็นคนอื่นทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง หลายๆ คนอาจจะมีวิธีการจัดการกับสถานการณ์ในวิธีที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งหลายๆ ครั้งก็มักจะมองข้ามไป ไม่อยากยุ่ง เพราะไม่อยากจะมีปัญหาซะมากกว่า แต่สำหรับ Colleen Dagg แล้วต้องขอบอกเลยว่าเธอไม่ได้คิดแบบนั้น…. เพราะหลังจากที่ได้เห็นคุณป้ารายหนึ่งชื่อว่า Summer Cortts วัย 39 ปี กำลังพูดจาในเชิงเหยียดสีผิวกับพนักงานรักษาความปลอดภัยที่เป็นชาวเฮติ อยู่ในบริเวณล็อบบี้ของโรงแรม La Quinta ภายในเมืองฟอร์ตลอเดอร์เดล รัฐฟลอริดา Colleen จึงอดไม่ไหวที่จะพูดเตือนเธอออกไปว่า ‘เงียบซะ’ จากนั้นมนุษย์ป้ารายนั้นก็หันมาด่ากราดเธอรัวๆ หลังจากที่ Summer กำลังพูดหาเรื่องและท้าทาย Colleen ก็คิดว่าอีกไม่นานคงได้ลงไม้ลงมือกันแน่ๆ เธอจึงเตรียมพร้อมด้วยการก้มลงไปถอดรองเท้า “เธอถอดรองเท้าออกมาทำไม จะเอามันมาตีชั้นเหรอ? คิดว่าชั้นกลัวเหรอ? เดี๋ยวชั้นก็จะตบเธอบ้างหรอก” Summer กล่าวท้าทายขณะที่เห็น Colleen กำลังถอดรองเท้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นท่าทีไม่ดี ก็รีบเข้ามาห้ามปรามเพราะกลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ Colleen ได้เล่าถึงสาเหตุที่เธอถอดรองเท้าว่า “ที่ฉันถอดรองเท้าออกก็เพราะตอนนั้นดูท่าไม่ดีแล้ว ถ้าหากว่าอีกฝ่ายมาแตะต้องตัวเมื่อไหร่ ฉันก็สามารถป้องกันตัวเองได้” พอเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาห้ามไม่ทันไร Summer ก็เดินเข้ามาผลัก Colleen…
-
25 ภาพบุคคลธรรมดาๆ ที่มีหน้าตาคล้ายกับเหล่าเซเล็บคนดัง จนชาวเน็ตนำมาบอกต่อ…
รู้หรือไม่ว่าบนโลกของเรา มีจำนวนประชากรมากถึง 7 พันล้านคนเลยนะ และแน่นอนว่าเมื่อประชากรบนโลกหนาแน่นขนาดนี้ มันก็จะต้องมีคนที่มีใบหน้าเหมือนกันเป็นธรรมดา ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ได้เป็นญาติ พ่อแม่ หรือพี่น้องกันเลย เหมือนดังเช่นเซเล็บคนดังเหล่านี้ ถึงพวกเขาจะมีชื่อเสียง และกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ยังมีผู้คนที่หน้าตาเหมือนกับพวกเขาอยู่ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ บางคนก็เหมือนดาราดังเป๊ะซะจนโด่งดังไปชั่วข้ามคืนเลยทีเดียว ว่าแต่จะมีใครบ้างนั้น มารับชมไปพร้อมๆ กันเลยจ้า 1.George Clooney จากตุรกี 2. Danny DeVito จากบราซิล 3. ชายชาวเม็กซิกันที่ดูคล้าย Morgan Freeman เหลือเกิน 4. Barrack Obama จากอินโดนีเซีย 5. หนุ่มชาวสวีเดนที่หน้าตาเหมือนกับนักแสดงดัง Leonardo Di Caprio 6. Hugh Laurie จากรัสเซีย 7. Matt Damon เวอร์ชั่นผิวสี…
-
James Meredith นักศึกษาผิวดำคนแรก ในประวัติศาสตร์อเมริกา เรื่องจริงที่เราควรได้รับรู้…
ย้อนกลับไปในอดีตการเหยียดผิวในประเทศอเมริกานั้นเป็นเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่ารุนแรงมากๆ เลยล่ะ เหล่าคนผิวสีทั้งหลายไม่สามารถมีสิทธิมีเสียงเป็นของตัวเองถูกลดทอนคุณค่าให้เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ย่อท้อต่อสู้เพื่อเสิทธิเสรีภาพในการใช้ชีวิตของตัวเองจนในที่สุดก็สามารถผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายมาได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่กว่าจะเป็นเหมือนปัจจุบัน (ซึ่งในปัจจุบันเองก็ยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่) และหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ที่เรียกได้ว่าเป็นก้าวใหม่ที่เปลี่ยนแนวคิดเรื่องของการเหยียดผิวเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็คือเหตุการณ์ที่ James Meredith นักศึกษาผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกาที่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ในช่วงที่ความรุนแรงในการเหยียดผิวกำลังครุกกรุ่น ชีวิตในมหาวิทยาลัยของ James จะเป็นอย่างไรบ้างนะ? เราลองไปชมเรื่องราวของเขาพร้อมๆ กันเลยดีกว่า ช่วงชีวิตก่อนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย James เกิดเมื่อปี 1933 ในเมือง Kosciusko รัฐ Mississippi เป็นลูกครึ่ง African กับ American หลังจากจบการศึกษาในระดับมัธยมปลายแล้วได้เข้ารับการเกณฑ์ทหารและรับใช้ชาติในกองทัพอากาศนานกว่า 9 ปี ภาพระหว่างเรียนในมหาวิทยาลัย หลังจากที่ปลดประจำการมาแล้วเขาก็ได้ชมการปราศรัยของท่านประธานาธิบดี John F. Kennedy ถึงการผลักดันให้มหาวิทยาลัย University of Mississippi ที่เป็นมหาวิทยาลัยประจำรัฐ ให้กลายเป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดกว้างมากขึ้น ทำให้ James ตัดสินใจที่จะยื่นใบสมัครเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่นี่ โดยครั้งแรกได้เขียนในใบสมัครไว้ด้วยว่า… “ไม่มีใครรับผมเข้าเรียนหรอก ผมเชื่อว่าอย่างนั้น และก็เชื่อมาจนถึงทุกวันนี้ มันเป็นความรับผิดชอบของผมต่อการกระทำของพระผู้เป็นเจ้า ผมมีความคุ้นเคยกับความยากลำบากที่น่าจะเกิดขึ้นในระหว่างการเรียนในมหาวิทยาลัย…
-
หนุ่มอะบอริจิน เจอโต๊ะข้างๆ นินทาเหยียดเชื้อชาติ… เขากลับ ‘เลี้ยงน้ำชา’ ตอบแทนซะ!!!
ในส่วนของการเหยียดผิวหรือเชื้อชาตินั้น ถึงแม้จะมีการรณรงค์จากทั่วโลกว่าเป็นการกระทำที่ไม่ดี ไม่น่าเชิดชู และไม่ควรฝังความคิดลงไปให้กับเด็กๆ รุ่นใหม่ แต่กระนั้น ในสังคมเราก็ยังคงเห็นผู้คนทำเรื่องแบบนี้ต่อกันอยู่ดี Jared Wall ก็เป็นหนึ่งในนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนสัญชาติออสเตรเลีย แต่โดยพื้นเพแล้ว เขาเป็นชาวอะบอริจิน ที่เป็นชนพื้นเมืองเดิมของประเทศแห่งนี้ก่อนการเข้ามาของชาวตะวันตก ในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่เขาและเพื่อนไปนั่ง เขาเผอิญไปได้ยินผู้หญิงผิวขาวสองคนกำลังพูดจาเกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติอะบอริจินของเขาอยู่… โพสต์ของเขาที่กล่าวถึึงเรื่องนี้ ข้อความจากโพสต์คือ ‘วันนี้เราไปทานข้าวกลางวันที่ร้าน อาหารอร่อยมาก แต่โชคร้ายหน่อยที่เราดันไปได้ยินหญิงชราสองคนที่นั่งข้างๆ พูดคุยเกี่ยวกับเชื้อชาติของเรา (อะบอริจิน) ในเชิงเหยียดๆ พูดจริงๆ เราสามารถบันดาลโทสะตอนนั้นเสียก็ได้ แต่ผมเลือกอีกทางนั่นก็คือเลี้ยงน้ำชาให้กับพวกเขา พร้อมกับโน๊ตเล็กๆ น่ารักติดไปด้วย หวังว่าคราวหลังทั้งสองจะพูดก่อนคิดและที่สำคัญที่สุดก็คือเลิกทำพฤติกรรมแบบนี้เสีย’ Jared Wall ใครได้ยินเรื่องอะไรแบบนี้ก็คงจะโกรธหัวร้อนเป็นฟืนเป็นไฟกันอยู่แล้ว แต่แทนที่ Jared จะเข้าไปต่อว่าผู้หญิงทั้งสอง เขากลับทำสิ่งที่แปลกออกไป คือซื้อน้ำชาในร้านเลี้ยงเธอทั้งสองซะเลย พร้อมกับข้อความสั้นๆ แต่ทรงพลังเขียนติดไปกับใบเสร็จรับเงิน ‘Enjoy the tea! Compliments of the 2 aboriginals sitting…
-
ดิสนีย์เวิลด์ยอมเปลี่ยนนโยบาย จากการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานไปรษณีย์ของบริษัท!!
เรื่องของการเลือกปฏิบัติ ตามนโยบายทางด้านรูปลักษณ์ของดิสนีย์เวิลด์นั้น ทำให้นายเกอร์ดิท ซิงห์ พนักงานไปรษณีย์ซึ่งนับถือศาสนาซิกข์ที่จะต้องโพกผ้าพันหัวและไว้หนวดเครานั้น ต้องทำงานในส่วนที่ลับตาผู้คน กีดกันทุกทางในสวนสนุกดิสนีย์ในฟลอริดาตั้งแต่พ.ศ. 2551 ย้อนกลับไปเมื่อปีพ.ศ. 2548 เขาเคยมาสมัครงานกับดีสนีย์ และต้องทำงานในส่วนการเงิน ทำความสะอาดลานจอดรถและในครัวตลอดเวลา โดยไม่อาจเปิดเผยตัวตนของเขาให้กับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมสวนสนุกได้ ในที่สุดทางดิสนีย์ก็ได้ออกมาแถลงการณ์ว่า นายซิงห์นั้นสามารถออกมาส่งเอกสารได้ในทุกเส้นทาง สามารถให้ผู้คนพบเห็นได้ตามปกติ โดยที่ทางดีสนีย์นั้นยอมรับในความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติและความเชื่อทางศาสนาแล้ว และจะไม่มีการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานอีกต่อไป ทางด้านนายซิงห์เองก็ได้ขอบคุณที่ทางบริษัทยอมเปลี่ยนโยบาย ให้ความเป็นธรรมกับเขา เนื่องจากผ้าโพกหัวและหนวดเครานั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาในศาสนาของเขานั่นเอง ที่มา : บีบีซีไทย – BBC Thai