Tag: เชื้อโรค
-
10 สุขนิสัยที่คุณอาจจะคิดว่าดี แต่มันอาจจะทำร้ายสุขภาพของคุณโดยไม่รู้ตัว!!
การใช้ชีวิตประจำวันในแต่ละวันของเรานั้นเราอาจจะคิดว่ามันดีและปลอดภัยกับสุขภาพของเราแล้ว แต่รู้ไหมว่าบางสิ่งบางอย่างที่เราคิดว่าทำแล้วดีต่อสุขภาพแต่ว่าในความจริงนั้นมันกลับส่งผลร้ายให้กับร่างกายเราโดยไม่รู้ตัว เหล่าบรรดานักวิทยาศาสต์และนักวิจัยหลายท่าน ได้ช่วยกันหาข้อมูลเพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ที่สุด โดยการศึกษารวบรวมข้อมูลจากพฤติกรรมของมนุษย์ที่ทำกันบ่อยๆ จนกลายเป็นนิสัย และเข้าใจผิดว่าสิ่งที่เราทำมันอาจถูกสุขลักษณะ เหมือนดังพฤติกรรมต่อไปนี้ 1. แช่จานชามไว้ในอ่างนานๆ ซิงค์ล้างจานเป็นแหล่งเพาะพันธุ์แบคทีเรียชั้นเยี่ยม คุณสามารถพบเจอแบคทีเรียได้แทบทุกชนิด ซึ่งอาจจะเป็นตัวการที่ทำให้เกิดความผิดปกติของกระเพาะอาหารและลำไส้ เมื่อทานอาหารเสร็จควรจะล้างโดยทันที ไม่ควรแช่ทิ้งไว้นะจ๊ะ 2. ล้างมือด้วยน้ำร้อน นักวิจัยได้กล่าวว่าอุณหภูมิของน้ำไม่ส่งผลต่อการฆ่าเชื้อโรค การล้างมืออย่างถูกวิธีต่างหากที่จะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ และควรล้างมืออย่างน้อย 30 วินาที การใช้น้ำร้อนหรือน้ำอุ่นล้างมือบ่อยๆ จะลดการทำงานของผิวหนังทำให้เกิดการระคายเคืองและทำให้ผิวหนังอักเสบได้ 3. แต่งหน้าไปออกกำลังกาย หลายๆ คนอาจจะใช้เวลาหลังการเลิกงานเพื่อไปเข้ายิมโดยที่ไม่ได้ลบเครื่องสำอางออกจากใบหน้า การออกกำลังกายโดยที่ยังมีเครื่องสำอางอยู่บนผิวจะทำให้ผิวเกิดการอุดตันและไม่ส่งผลดีต่อใบหน้าเท่าไหร่นัก เนื่องจากผิวต้องการอากาศหายใจตอนออกกำลังกาย ลองหน้าสดไปยิมดูก็ไม่เสียหายนะ 4. ใช้เครื่องเป่าลมร้อน เครื่องเป่าลมร้อนสำหรับทำให้มือแห้งอาจจะดูเหมือนว่าเป้นเครื่องที่ทำให้มือของเราปราศจากเชื้อโรค แต่รู้ไหมว่า ในเครื่องเป่าลมร้อนนั้นเป็นแหล่งรวมแบคทีเรียจำนวนมากและกระจายแบคทีเรียเหล่านั้นด้วยอากาศ ถ้าอยากจะให้มือแห้งจริงๆ เลือกใช้กระดาษทิชชูซับมือจะดีกว่า 5. ใช้ถุงเดิมซ้ำๆ การใช้ถุงผ้าซ้ำๆ ทำให้เกิดการสะสมของเชื้อโรคจากสิ่งของที่คุณซื้อมา และมันจะสะสมไปเรื่อยๆ ปนเปื้อนสิ่งของที่คุณซื้อมาใหม่ไปอีกโดยเฉพาะผักและผลไม้ หากจำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็ควรจะซักก่อนใช้ทุกครั้ง…
-
ผลการทดสอบเครื่องเป่ามือสาธารณะ แสดงผ่านตัวอย่างจานเพาะเชื้อ หยี๊!! สกปรกจริงๆ เล๊ย
สิ่งหนึ่งที่เรามักจะพบเห็นได้อยู่บ่อยครั้งตามห้องน้ำสาธารณะนั่นก็คือ เจ้าเครื่องเป่าลมที่ช่วยทำให้มือแห้ง ซึ่งแขวนไว้ตามฝาผนังนั่นเอง ดูเพียงผิวเผินแล้ว เจ้าเครื่องนี้ไม่น่าจะมีความอันตรายสักเท่าไหร่ใช่ไหมล่ะ แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าเครื่องเป่ามือนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวซ่อนอยู่!! กลายเป็นเรื่องช็อกโลกอินเตอร์เน็ตเลยทีเดียว หลังจากที่มีการเผยแพร่ภาพของถาดเพาะเชื้อโดยนักศึกษาจากเมืองคาร์ลสแบด รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคต่างๆ มากมายที่น่าสยดสยองไม่น้อย Nichole Ward เจ้าของภาพถาดเพาะเชื้อดังกล่าว ได้โพสต์ภาพถาดเพาะเชื้อที่เต็มไปด้วยเชื้อราและแบคทีเรียลงบนเฟซบุ๊กของเธอเมื่อวันที่ 31 มกราคมปี 2018 โดยเธอได้ทำการเพาะเชื้อเหล่านี้จากเครื่องเป่ามือในห้องน้ำสาธารณะ และนี่คือภาพของถาดเพาะเชื้อที่ว่า…. หญิงสาวอธิบายว่า นี่คือภาพของถาดเพาะที่หลังจากที่ผ่านไป 48 ชั่วโมง “นี่คือภาพของถาดเพาะเชื้อเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ฉันเปิดมันทิ้งไว้ในเครื่องเป่ามือของห้องน้ำสาธารณะเป็นเวลา 3 นาที ใช่แล้วเพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้นเอง ดังนั้นอย่าใช้เครื่องเป่ามือเลย คุณอาจจะคิดว่ามือของคุณนั้นสะอาดแล้ว แต่อันที่จริงคุณกำลังเดินออกจากห้องน้ำพร้อมกับเชื้อราและแบคทีเรียโดยที่ไม่รู้ตัวเลย นี่เป็นโพสต์ที่อยากทำความเข้าใจเท่านั้น ไม่ได้ต้องการให้เกิดความกลัวแต่อย่างใดนะ” ข้อความจากเฟซบุ๊กของ Nichole Ward จากการทดลองดังกล่าว หญิงสาวได้ทำการทดลองกับเครื่องเป่ามือยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งเธอบอกว่าอันที่จริงแล้วเครื่องเป่ามือยี่ห้ออื่นๆ ก็ได้ผลลัพธ์ที่ไม่แตกต่างกัน “อันที่จริงแล้วเครื่องเป่ามืออื่นๆ ก็แย่ไม่แพ้กัน เพราะมันมีมือของผู้คนมากมายที่ใช้กดปุ่มและสอดเข้าไปในนั้น ซึ่งสปอร์ของเชื้อราก็ยังคงกระจายอยู่ในนั้น การล้างมือด้วยสบู่ในห้องน้ำนั้นเพียงพอแล้ว” เธอกล่าว แต่อย่างไรก็ตามทางด้านบริษัทของเครื่องเป่ามือที่หญิงสาวทำการทดสอบนั้น ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าพวกเขารู้สึกตกใจอย่างมากที่ได้เห็นผลการทดสอบกังกล่าว…
-
เทรนด์ต่อต้านวิทยาศาสตร์ ชาวบ้านมะกันหันมาดื่ม “น้ำดิบ” แถมราคาของมันก็เอาเรื่องอยู่!!
น้ำถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของร่างกายเรา แน่นอนว่าการขาดน้ำนั้นย่อมส่งผลเสียต่อร่างกายเราในหลายๆ ด้าน และการเลือกคุณภาพของน้ำที่ดื่มนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีบริษัทสตาร์ตอัปแห่งหนึ่งได้เกิดไอเดียที่จะมอบน้ำดื่มคุณภาพดีให้กับผู้บริโภค ซึ่งพวกเขามีความเชื่อว่าน้ำที่ดีนั้นจะต้องเป็นน้ำดิบและไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ!! บริษัท Live Water สตาร์ตอัปจากสหรัฐอเมริกาได้นำเสนอไอเดียเพื่อตอบนองความต้องการของกระแสต่อต้านวิทยาศาสตร์ในแคลิฟอร์เนีย หลังจากที่ผู้คนเริ่มหันมาดื่มน้ำดิบกัน โดยสนนราคาของน้ำดิบจาก Live Water นั้นอยู่ที่ 1,200 บาทต่อ 2.5 แกลอนพร้อมถังใส่ ส่วนราคารีฟิลอยู่ที่ประมาณลิตรละ 50 บาท บริษัทดังกล่าวถูกก่อตั้งโดยนาย Mukhande Singh ชายหนุ่มผู้เชื่อว่าการได้บริโภคน้ำดิบนั้นก็เหมือกับเราได้ทานของสดๆ “การดื่มน้ำที่ผ่านการกรองนั้นสิ่งสกปรกกว่า 99 เปอร์เซ็นต์จะถูกกรองออกไป และตอนนั้นคุณก็เหมือนดื่มน้ำที่ไม่มีความสด โดยปรกติทั่วไปนั้นน้ำพวกนั้นจะอยู่ได้แค่เดือนเดียวเท่านั้น และน้ำที่ไม่สดจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวแต่ผู้คนส่วนมากไม่เคยเห็นมันเปลี่ยนสีเท่านั้นเอง” ผู้ก่อตั้งบริษัทกล่าว แต่อย่างไรก็ตามทางด้านผู้เชี่ยวชาญเองก็ได้ออกมาเตือนถึงอันตรายของการดื่มน้ำดิบที่ไม่ผ่านกระบวนการกรองว่าอาจจะมีแบคทีเรียอย่าง E. coli หรือไวรัสอื่นๆ ปะปนมากับน้ำดิบได้ “น้ำที่ไม่ผ่านการกรองนั้นมีความเสี่ยงและเป็นอันตรายต่อร่างกายของเรา มีงานวิจัยมากมายที่เป็นหลักฐานว่าทำไมเราถึงควรดื่มน้ำที่สะอาด” ดอกเตอร์ Hensrud จาก Mayo Clinic กล่าว การบำบัดน้ำของสหรัฐอเมริกานั้นช่วยกำจัดเชื้อที่ทำให้เกิดโรคอหิวา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยระบาดอย่างหนัก และปัจจุบันมันยังคงคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกมากกว่า 143,000 คนต่อปีเลยทีเดียว ที่มา odditycentral
-
สาวจีนไม่ซักปลอกหมอนมานานกว่า 5 ปี จนทำให้ใต้ขนตามีไรอาศัยอยู่กว่า 100 ตัว!!
การดูแลตนเองให้มีสุขอนามัยที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพราะมันคือตัวช่วยหลักที่ทำให้เรามีสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัยจากเชื้อโรค ดังนั้นความเป็นอยู่ทั่วๆ ไปและความสะอาดของสิ่งต่างๆ ภายในบ้านก็ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่อยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นคุณอาจต้องเจอปัญหาเหมือนกับเธอคนนี้ได้ เรื่องราวนี้เริ่มขึ้นเมื่อปี 2015 หญิงสาวแซ่ Xu ในมณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน เธอรู้สึกระคายเคืองและมีอาการตาแดง จึงไปปรึกษากับแพทย์ แต่ด้วยอาการของเธอแพทย์จึงไม่ได้แนะนำวิธีใดๆ ให้มากนัก นอกจากการให้เธอใช้ยาหยอดตาช่วยบรรเทาอาการไป พอเวลาผ่านไป ในเดือนพฤศจิกายน 2017 เธอต้องกลับไปพบแพทย์อีกครั้ง เพราะเธอรู้สึกว่าตาเธอแห้งมาก และขนตาของเธอก็เริ่มที่จะติดกันไปเป็นยวง เมื่อแพทย์ได้ตรวจอีกครั้งก็พบว่า มีไรจำนวนมากอาศัยอยู่ในรูขุมขนบริเวณขนตาของเธอ และนั่นจึงทำให้ต้องเข้ารับการรักษาที่เหมาะสม เพราะแม้มันจะไม่ได้อันตรายถึงชีวิต แต่ก็เป็นปัญหาที่ไม่ควรปล่อยผ่านไปได้ หลังจากตรวจผ่านกล้องจุลทรรศน์ ทำให้เห็นว่ามีไรกว่า 10 ตัวอาศัยอยู่ในรูขุมขนของขนตาหนึ่งเส้น นั่นหมายความว่าบริเวณขนตาของเธอมีไรมาอาศัยอยู่มากกว่า 100 ตัวเลยทีเดียว แล้วลองคิดดูว่าไรพวกนั้นอาศัยอยู่ตรงนี้มานานถึง 2 ปีอีกต่างหาก สุดท้ายเธอได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคตาแดงและ Blepharitis หมายถึงสภาพที่เปลือกตาอักเสบเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ถูกปล่อยออกมาจากตัวไร แต่หลังจากได้รับการรักษาแล้ว หญิงสาวก็กลับมาหายเป็นปกติในที่สุด หมอบอกว่ากรณีของ Xu นั้นมาจากการถ่ายเทอากาศภายในห้องของเธอที่ไม่เพียงพอ รวมถึงสุขอนามัยส่วนตัว ซึ่งนั่นหมายถึงปลอกหมอนของหญิงสาวที่ถูกใช้มากกว่า 5 ปี…
-
ชมภาพ ‘เชื้อโรค & ไรฝุ่น’ ที่อยู่รอบตัวเรา จากกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน จะทำให้คุณรู้จักโลกนี้มากขึ้น…
เพราะเชื้อโรคนั้นอยู่รอบๆ ตัวเราเสมอ และวันนี้ #จ่าสิบเหมียว ก็จะพาเพื่อนๆ ไปรู้ซึ้งประจักษ์ถึงแก่นของเรื่องนี้กันล่ะ!! ไม่ว่าจะเป็นโซฟา พรม หรือแม้แต่บนเตียงของคุณ สิ่งมีชีวิตเล็กๆ เหล่านี้ล้วนแต่อาศัยอยู่ทั้งสิ้น บ้างก็กัดกินเซลล์ผิวหนังที่ร่วงแล้วของคุณเพื่อดำรงชีวิตของมัน โดยการใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนส่องดู นี่คือรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเหล่าเชื้อโรคที่อาศัยอยู่รอบตัวเรา ว่าแล้วเรามาดูแต่ละชนิดกันเลยดีกว่า ผลงานนี้เป็นของ Steve Gschmeissner นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญในการส่องกล้องจุลทรรศน์ชนิดนี้ และเป็นหัวกะทิของโลกเลยล่ะ!! นี่คือภาพซูมของเชื้อโรคที่อาศัยอยู่ในฟองน้ำ แบคทีเรียธรรมดานั้นสามารถสังเกตเห็นได้ในสีม่วงและเขียว เชื้อราจะเป็นสีม่วงและแดง ส่วนรายีสต์จะมีสีเหลืองและเขียว นี่คือ Dust Mites หรือไรฝุ่น ไรฝุ่นนับล้านๆ ตัวอาศัยอยู่รอบตัวเรา อาหารที่มันกินก็คือเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วของมนุษย์ และร้อยละ 10 ของมนุษย์ทั่วโลกมีอาการแพ้โปรตีนที่เกิดจากของเสียของไรฝุ่นเหล่านี้ และเป็นที่มาของอาการภูมิแพ้นั่นเอง Pseudoscorpions หรือเรียกกันในภาษาไทยว่าแมงป่องเทียม แมงป่องเทียมถือว่าส่วนหนึ่งแล้วมีประโยชน์ต่อมนุษย์ นั่นก็เพราะว่ามันคอยจัดการ ตัวอ่อนผีเสื้อกลางคืน ตัวอ่อนของด้วงในพรม ไร และเหาหนังสือ ที่มักถูกพบในพรมและห้องน้ำของบ้าน Chiggers หรือไรอ่อน ไรอ่อนสามารถพบได้ที่นอกบ้าน พวกมันจะติดอยู่บนตัวสัตว์หลายชนิด ทั้งกระต่าย กบ เต่า…
-
เปิดข้อมูลวิจัยการเติมน้ำดื่มจากขวดเดิมซ้ำๆ โดยไม่ล้าง สกปรกกว่าเอาลิ้นเลียฝาชักโครก!?
เชื่อว่าหลายๆ คนที่ชื่นชอบการออกกำลังกายคงมีขวดน้ำหรือแก้วน้ำเป็นของตัวเอง แล้วก็ใช้มันเติมน้ำใช้ต่อกันอยู่บ่อยๆ เพราะคิดว่ามันคงไม่เป็นอะไร ใครๆ เค้าก็ทำกัน (รวมถึงเราก็ทำกันอยู่บ่อยๆ แถมไม่ล้างด้วย) แต่หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้วการใช้ขวดน้ำใบเดิมซ้ำๆ นั้นจะส่งผลให้เพิ่มปริมาณเชื้อโรคสะสม แล้วถ้าเราดื่มบ่อยๆ ก็อาจทำให้เราป่วยได้เลยทีเดียวล่ะ ทีมวิจัยจาก Treadmillreviews ได้เผยข้อมูลที่พวกเขาได้ทำการศึกษา ก็พบว่าการดื่มน้ำจากขวดน้ำที่ใช้ซ้ำโดยไม่ล้างนั้นก็เปรียบเสมือนกับเราเอาลิ้นไปเลียชักโครกยังไงยังงั้นเลย นักวิจัยได้ทำการทดลองตรวจสอบปริมาณเชื้อโรคจากขวดน้ำของนักกีฬาที่ใช้งานมาหนึ่งสัปดาห์ในห้องแล็บ และพบว่าเจ้าขวดนั้นมีตัวเลขของแบคทีเรียสูงมาก โดยมีมากถึง 900,000 CFU (หน่วยที่ได้จากวิธีตรวจนับปริมาณจุลินทรีย์) ต่อตารางเซนติเมตรเลยทีเดียว ซึ่งมีจำนวนมากกว่าค่าเฉลี่ยที่ตรวจพบบนฝาชักโครกซะอีก นั่นทำให้พวกเขาเกิดคำถามและตั้งขึ้นมาต่อสังคมว่า แล้วเราจะยอมเอาปากของเราไปสัมผัสกับปากขวดที่ใช้งานอยู่อีกหรือ?? (แค่คิดก็หยึยแล้ว) ค่าเฉลี่ยของเชื้อโรคที่อยู่บนขวดน้ำที่ใช้สำหรับออกกำลังกายของคนทั่วไปก็คือ 313,499 CFU ต่อตารางเซนติเมตร ซึ่งมันมากเกินกว่าที่จะนำขวดนั้นมาสัมผัสกับปากของเราได้แล้ว นักวิจัยได้ทำการทดลองกับชนิดของขวดน้ำสำหรับออกกำลังกายในแต่ละแบบแตกต่างกันออกไป และก็ได้ผลออกมาว่า ขวดที่มีฝาแบบสไลด์มีค่าแบคทีเรีย 933,340 CFU ต่อตารางเซนติเมตร ขวดแบบมีจุกดูดมีค่าแบคทีเรีย 161,971 CFU ต่อตารางเซนติเมตร ขวดแบบฝาเกลียวมีค่าแบคทีเรีย 159,060 CFU ต่อตารางเซนติเมตร และขวดแบบมีหลอดมีค่าแบคทีเรีย…
-
ผลวิจัยชี้ ‘เด็กดูดนิ้ว แทะเล็บ’ มีประโยชน์ลดโอกาสเป็นภูมิแพ้ แต่ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป
พฤติกรรมอย่างหนึ่งของเด็กๆ ที่เรามักจะเห็นคือ พวกเขาชอบดูดนิ้ว หรือกัดแทะเล็บ ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นปัญหาที่พ่อแม่ได้พยายามแก้ไข เพราะกลัวว่า การเอามือเข้าปากนั้น อาจจะมีเชื้อโรคติดมา และทำให้เป็นภูมิแพ้ได้ แต่ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์พบว่า เด็กที่ชอบดูดนิ้วหรือแทะเล็บนี้ มีโอกาสเป็นภูมิแพ้ได้น้อยกว่าเด็กที่ไม่มีพฤติกรรมแบบนี้ซะอีก นักวิจัยจากประเทศนิวซีแลนด์ ได้ศึกษาพฤติกรรมของเด็กกว่า 1,000 คน ที่อยู่ในวัยเด็กตอนปลาย โดยศึกษาพฤติกรรมเกี่ยวกับช่องปาก และปัญหาโรคภูมิแพ้ ในการวิจัยนั้น ได้ทำโดยการหากรณีตัวอย่างจากคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่อยู่ในวัย 13 และ 32 ปี แล้วก็ย้อนไปดูในวัยเด็กว่า พวกเค้าเหล่านี้มีพฤติกรรมชอบดูดนิ้วหรือแทะเล็บหรือไม่ ผลการวิจัยพบว่า เด็กที่ชอบดูดนิ้วหรือแทะเล็บนั้นมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้เพียง 40% ส่วนเด็กที่ทั้งดูดทั้งแทะนั้น มีโอกาสลดลงไปอีกคือ 35% ในขณะที่ไม่ทำเลย มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ถึง 45 % เลยทีเดียว การวิจัยนี้สามารถนำไปปรับใช้กับเด็กที่ชอบเล่นสกปรกหรือเล่นหรือเล่นกับสัตว์เลี้ยง แต่เด็กในเมืองอาจจะต้องเสี่ยงกับโรคภูมิแพ้มากหน่อย เพราะมีกลิ่นหนูหรือกลิ่นแมลงซึ่งเป็นมลพิษทางอากาศ และเด็กอาจสูดดมเข้าไปได้ แต่แม้ว่าการวิจัยจะออกมาเป็นแบบนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่า พ่อแม่จะสนับสนุนให้เด็กทำพฤติกรรมแบบนี้ได้ เพราะบางทีอาจมีเชื้อโรคติดมากับมือด้วย ที่สำคัญหากดูดนิ้วนานเกินไป อาจทำให้มีปัญหาในช่องปากเมื่อฟันแท้ขึ้น เพื่อนๆ คิดยังไงกับการวิจัยนี้บ้างเอ่ย แต่…
-
เชื้อสายพันธุ์ใหม่ ‘ซูเปอร์บั๊ก’ ที่จะสามารถคร่าชีวิตคนได้ทุก 3 วินาทีภายในปี 2050
แม้ว่าปัจจุบันความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์จะพัฒนาไปมากแล้ว แต่กระนั้นเชื้อโรคต่างๆ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหายไปจากโลกและมันก็วิวัฒนาการตามด้วยเช่นเดียวกัน!! ล่าสุดนี้มีข่าวคราวอันน่าสะพรึงของเชื้อแบคทีเรีย ‘ซูเปอร์บั๊ก’ (Superbugs) ลักษณะที่คล้ายกับโรคระบาดที่ไม่มีทางรักษาได้ในยุคมืด กล่าวคือเป็นเชื้อที่ดื้อยาปฏิชีวนะ เริ่มก่อตัวขึ้นและแพร่กระจายไปทั่วโลก ณ ขณะนี้ และจะส่งผลรุนแรงมากที่สุดหากมีการติดเชื้อโรคติดต่อรุนแรงอย่าง วัณโรค มาลาเรีย เป็นต้น ทั้งนี้ได้มีการจำลองผลกระทบจากคอมพิวเตอร์ โดยหาค่าเฉลี่ยของผู้เสียชีวิตจากเชื้อดังกล่าว ผลก็คือจะมีผู้เสียชีวิตจำนวน 700,000 รายต่อปี และจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นไปอีก คาดว่าในปีค.ศ. 2050 จะเพิ่มจำนวนมากถึง 10 ล้านคนต่อปี เฉลี่ยแล้วก็คือทุกๆ 3 วินาที จะมีผู้เสียชีวิต 1 รายจากเชื้อร้ายนี้ Lord Jim O’Neill ผู้จัดทำรายงานทบทวนสถานการณ์เชื้อโรคดื้อยาปฏิชีวนะนี้ กล่าวถึงความรุนแรงของซูเปอร์บั๊กว่ารุนแรงกว่าการก่อการร้าย และโรคมะเร็ง หากไม่เร่งทำการค้นคว้าและวิจัยตัวยาชนิดใหม่เพื่อยับยั้งเชื้อดังกล่าว เพียงแค่มีดบาดเล็กน้อยก็อาจส่งผลถึงขั้นเสียชีวิตได้ ที่มา : bbc, unilad
-
สาระน่ารู้!! การอุ่นอาหารเหลือต้องทำอย่างไรถึงจะปลอดภัยต่อสุขภาพร่างกายของเรา
เป็นที่รู้กันดีว่าอาหารที่เราซื้อมาจากข้างนอก หากเราทานไม่หมดก็มักที่จะเลือกเก็บไว้เพราะเสียดายของที่ยังเหลืออยู่ แต่บางกรณีก็ทิ้งไปเลย แม้ว่าจะเหลือมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ทีนี้เรามาพูดถึงกรณีการเก็บอาหารที่เหลือกันดีกว่า เนื่องจากว่าอาหารที่เหลืออยู่นั้นมักจะถูกเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อรักษาสภาพให้นานเท่าที่จะนานได้ เมื่ออยากรับประทานก็ต้องนำมาอุ่นเสียก่อนผ่านไมโครเวฟ ถ้าไม่คิดอะไรมาก อุ่นเสร็จก็กินได้ไม่มีปัญหา แต่มันเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลย เพราะมันจะกลายมาเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคชั้นดีเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะข้าวที่เหลือเอาไว้จะมีเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า บาซิลลัส ซีเรียส ต้นเหตุของท้องเสียและอาเจียน (โรคอาหารเป็นพิษ) ซึ่งหากจะให้ปราศจากเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ก็ต้องอุ่นด้วยอุณหภูมิที่สูงถึง 82 องศาเซลเซียส เอาเป็นว่าหากใครมีแผนที่จะเก็บอาหารเหลือเอาไว้ ก็ควรเก็บในภาชนะที่สะอาดภายในเวลา 1 ชั่วโมง อีกทั้งอาหารที่เหลือนั้นไม่ควรนำมาอุ่นเกินมากกว่า 1 ครั้ง และในการอุ่นอาหารเหลือแต่ละครั้งต้องมั่นใจด้วยว่าทุกส่วนของอาหารได้รับความร้อนจากการอุ่นที่เพียงพอแล้ว ที่มา : rrune, gosocial, Brit Lab
-
ทฤษฎีกฏ 5 วินาที หลังจากอาหารตกพื้น ยังกินได้หรือไม่? มาพิสูจน์เพื่้อคลายข้อสงสัยกันเถอะ!!
นับว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ค้างคาในใจหลายคนมากๆ อย่างในกรณีของอาหารที่ตกพื้นแล้วยังสามารถนำมารับประทานได้หรือไม่? บางคนก็บอกว่าไม่ได้ เพราะมันปนเปื้อนเชื้อโรค แบคทีเรียและพยาธิที่อยู่บนพื้นแล้ว บางคนก็บอกว่าได้ เพราะว่าพยาธิยังไม่ทันเห็น อะไรประมาณนี้ เอาล่ะ ทีนี้เราลองมาคิดกันดูว่าถ้าอาหารตกลงบนพื้น ในแง่ของเวลา 3 วินาที 5 วินาที หรือมากกว่านั้น ยังจะมีความสะอาดปลอดภัยอยู่หรือไม่ หรือว่าอาหารที่ตกพื้นแล้วยังไงก็รับประทานไม่ได้ เสี่ยงต่อสุขภาพทันที อยากรู้แล้วใช่มั้ยล่ะ? วิศวกรจาก NASA นามว่า Mike Meacham ออกไปทำการทดลองที่ว่านี้ โดยนำคุ๊กกี้ไปแจกให้กับผู้คนที่ผ่านไปมาบนถนน ซึ่งในขณะที่กำลังจะยื่นคุ๊กกี้ให้ ก็แกล้งทำตกพื้น โดยหลายคนปฏิเสธที่จะรับประทานคุ๊กกี้ชิ้นที่ตกพื้น เพราะมันสกปรกไปแล้ว แต่บางคนกลับยินดีที่จะกิน เพราะมันตกพื้นแห้งๆ แค่ไม่กี่วินาทีเอง โดยปกติแล้ว แบคทีเรียที่อยู่บนพื้นจะกระโจนเข้าหาอาหารทันทีที่มันสัมผัสกับพื้น ซึ่งถ้าหากว่าเป็นพื้นเปียกๆ จะมีอัตราเสี่ยงที่สูงกว่าพื้นแห้ง ‘อาหารที่ถูกทิ้งไว้ให้ตกพื้นและได้รับความชื้นมากกว่า 30 วินาทีจะมีแบคทีเรียสะสมเป็น 10 เท่าของอาหารที่ตกพื้นเพียงแค่ 3 วินาที…
-
ผู้เชี่ยวชาญแนะ อย่าใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเดิมติดต่อกัน นอกจากจะไม่สะอาด ยังเสี่ยงกับเชื้อโรคอีก
ว่ากันด้วยเรื่องของผ้าเช็ดตัวผืนน้อยที่ใช้กันอยู่เป็นประจำ จะขาดไปก็ไม่ได้ เพราะว่าหลังอาบน้ำเสร็จก็ต้องใช้เช็ดตัวให้แห้ง ทำความสะอาดเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการอาบน้ำ แต่ส่วนมากก็จะใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเดิมเป็นประจำ อาบน้ำทุกครั้งก็ใช้ผืนนี้ หากว่าใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเดิมมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป โดยที่ไม่ได้นำไปซักหรือทำความสะอาดเลย ทางผู้เชี่ยวชาญแนะเลยว่านอกจากจะเช็ดตัวไม่สะอาดหมดจด แถมยังเสี่ยงต่อโรคทางผิวหนังเป็นอย่างมาก เพราะเป็นแหล่งสะสมของเหล่าเชื้อแบคทีเรียชั้นเยี่ยม วิธีการหลีกเลี่ยงง่ายๆ เลยก็คือให้นำผ้าเช็ดตัวที่ใช้หลังอาบน้ำเสร็จแล้วประมาณ 3 ครั้ง ไปซักให้สะอาดซะ หรือถ้ายังไม่ว่างซัก ก็นำไปตากให้โดนแดดเพื่อฆ่าเชื้อโรค ไม่ควรที่จะตากทิ้งไว้ให้ห้องน้ำ ห้องที่ไม่มีอากาศถ่ายเท หรือทิ้งไว้บนพื้นห้องน้ำ มันอันตรายร้ายแรงแค่ไหนกับการใช้ผ้าขนหนูที่ไม่สะอาด เหตุผลก็คือผ้าขนหนูที่ยังเปียกน้ำหมาดๆ นั้นเต็มไปด้วยเชื้อโรคซึ่งอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อจากการสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง ส่วนมากมักจะพบโคลิฟอร์มแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของโรคอุจจาระร่วง ทั้งนี้จากการใช้ผ้าเช็ดตัวนั้น เราจะทำการเปลี่ยนผ่านสสารต่างๆ มากมายระหว่างผ้าเช็ดตัวกับผิวหนัง เช่น เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว เชื้อรา ปัสสาวะ เศษอุจจาระและอื่นๆ อีกมากมาย ล้วนมีแบคทีเรียด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งทิ้งผ้าเช็ดตัวไว้ในที่อับ หรือบนพื้นห้องน้ำเชื้อแบคทีเรียก็จะขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว แค่นึกภาพตามก็อี๋แล้ว!! ผู้เชี่ยวชาญยังบอกด้วยว่า หากได้กลิ่นอับจากผ้าเช็ดตัวเมื่อไหร่ ก็ควรที่จะเลิกใช้แล้วนำไปซักทันที เพราะนั่นเป็นสัญญาณเตือนจากแบคทีเรียนั่นเอง ศาสตราจารย์…
-
เรื่องง่ายๆ ที่ไม่ควรมองข้ามกับการ ‘ล้างมือ’ ให้สะอาด จะต้องใช้เวลากี่วินาที!?
ในแต่ละวันเราจะต้องพบเจอกับมลพิษต่างๆ มากมาย และหนึ่งสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือการหยิบจับสิ่งของหรือสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ผ่านมือของเราเอง ทั้งๆ ที่เราคิดว่าสะอาดแล้ว แต่พอนานๆ เข้าก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดีเลยแหละ โดยภาพนี้แสดงให้เห็นถึงมือของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยเชื้อโรค โดยมือนี้ยังไม่ได้ทำการล้างแต่อย่างใด จะสังเกตเห็นได้ว่าเต็มไปด้วยสีขาวโพลนเลย!! สภาพของมือหลังจากที่ล้างแบบผ่านๆ มาต่อกันที่สภาพของมือหลังจากที่ล้างด้วยการแช่น้ำเป็นเวลา 6 วินาที ถัดมาคือการล้างมือด้วยสบู่อีก 6 วินาที สีขาวๆ เริ่มจางหายไปแล้ว ถึงแม้จะล้างด้วยสบู่แต่ก็ยังไม่สะอาดพอ ต้องล้างให้นานกว่านี้อีกเป็นระยะเวลา 15 วินาที แต่ถ้าจะให้สะอาดหมดจดจริงๆ ก็ควรที่จะล้างมือด้วยสบู่เป็นระยะเวลา 30 วินาที อย่างมากก็กำจัดเชื้อโรคออกไปได้เกือบหมดแล้วล่ะ อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเลย เพราะว่าเราจำเป็นที่จะต้องใช้มือในการสัมผัส และก็คงไม่อยากนำเชื้อโรคมาสัมผัสตัวกันใช่มั้ยเอ่ย? ที่มา : thechive
-
การลวกช้อนส้อม ในน้ำที่ร้อนไม่พอ ไม่ได้ช่วยกำจัดเชื้อโรค แถมยังเพิ่มจำนวนให้มากกว่าเดิม!?
เวลาที่เราไปรับประทานอาหารตามโรงอาหารต่างๆ หรือตามศูนย์อาหารภายในห้างสรรพสินค้า จะสังเกตได้ว่ามีการตั้งหม้อน้ำร้อนไว้ให้บริการลวกช้อนส้อม ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการกำจัดเชื้อโรคที่ติดอยู่กับช้อนส้อมที่มีไว้ให้บริการนั่นเอง งานนี้ก็กลายมาเป็นประเด็นกันอีกครั้งเมื่อมีการแชร์ข้อความจาก Facebook ส่วนตัวของ ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน ที่ได้มีการโพสต์ข้อความเตือนเกี่ยวกับการลวกช้อนส้อมด้วยหม้อหุงข้าวตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งการลวกช้อนส้อมเพื่อฆ่าเชื้อโรคต่างๆ นั้นจะต้องใช้อุณหภูมิสูงกว่า 98 องศาเซลเซียส และใช้เวลาประมาณ 4 นาที ผมขอบอกว่า ผมไม่เคยลวกช้อนส้อมด้วยหม้อหุงข้าวเลย เหตุผลคือ เราต้องการทำลายเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสต่างๆใช่มั้ยครับ เช่น ไ… Posted by ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน on Wednesday, March 12, 2014 โดยการที่จุ่มช้อนส้อมลงในหม้อตามศูนย์อาหารต่างๆ นั้นไม่มีอุณหภูมิที่สูงพอ และพฤติกรรมการจุ่มช้อนส้อมลงในหม้อนั้นก็ทำเพียงแค่ไม่กี่วินาที ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยทำให้ช้อนส้อมสะอาดและปราศจากเชื้อโรคแล้ว ยังเป็นการเพิ่มเชื้อโรคทั้งในน้ำภายในหม้อและติดขึ้นมากับช้อนส้อมมากกว่าเดิมอีก อย่างไรก็ตาม ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน ก็ได้กล่าวเพิ่มเติมเอาไว้ว่าหากลวกในน้ำร้อนที่เดือดพอ ก็น่าจะโอเคกว่าการที่จุ่มช้อนส้อมในน้ำร้อนปกติและใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ที่มา : ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน
-
รู้ไว้ใช่ว่า!? จุดต่างๆ ภายในบ้าน มีความสกปรกมากกว่าที่คุณคิดไว้ซะอีก!!
รู้หรือไม่ว่าจุดต่างๆ ภายในบ้านของเรา ที่เราสัมผัสทุกวัน มีจำนวนแบคทีเรียมากกว่าที่คุณคิด มาดูกันว่ามีจุดไหนบ้างที่เราควรระวังและทำความสะอาดมากยิ่งขึ้น เพื่อสุขอนามัยห่างไกลแบคทีเรีย หลายคนคงคิดว่าสิ่งที่ดูสกปรกน่าจะเป็นที่อยู่ของเชื้อโรคและเชื้อแบคทีเรียมากที่สุด แต่รู้หรือไม่ว่าบางสิ่งที่คุณมองข้ามไปกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคที่มากกว่าเสียอีก มีอะไรบ้างลองมาดูกัน ตู้เย็น แหล่งเก็บรักษาเสบียงอาหารของพวกเรา กลับกลายเป็นแหล่งเติบโตของเชื้ออีโคไลมากที่สุด คีย์บอร์ด คอมพิวเตอร์ที่เราใช้งานอยู่ทุกวัน และเกือบทั้งวัน กลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียที่มีมากกว่าฝาส้วมถึง 200 เท่า โทรศัพท์มือถือ / โทรศัพท์บ้าน เครื่องมือสื่อสารที่กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ที่เราต้องสัมผัสทั้งฝ่ามือและใบหน้า กลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียที่มีมากกว่าฝาส้วมถึง 10 เท่า ก๊อกน้ำฝักบัวอาบน้ำ แหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่ามายโคแบคเทอเรียม เอเวียม ซุกซ่อนอยู่มากมาย และจะไหลออกมาตามสายน้ำสัมผัสกับร่างกาย ผิวหนัง และใบหน้าของเราโดยตรง อ่างล้างจาน คราบเศษอาหารต่างๆ ตกค้างเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียที่เกาะติดตกค้างอยู่ตามอ่างล้างจาน มีเชื้อโรคอาศัยอยู่ถึง 500,000 ตัว ซึ่งมาจากเชื้อแบคทีเรียจากเนื้อสัตว์ จุลินทรีย์จากเศษอาหาร สวิตช์ไฟ / ลูกบิดประตู มีแบคทีเรียมากถึง 200 ตัว / ตารางนิ้ว ของเล่น ที่เด็กต้องคลุกคลีแทบทุกวันเป็นแหล่งเชื้อโรคที่มากับคราบน้ำลาย น้ำมูก หรือคราบโคลนที่เด็กๆ…