Tag: เดือดร้อน
-
สนุกมากมั้ย? กลุ่มวัยรุ่น “วิ่งเหยียบหลังคารถ” ขอโทษ เผยเชื่อว่าทุกคนจะสนุกด้วย…
เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2561 ทางเฟซบุ๊ก Wanchalerm Permasem ได้มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งออกไปวิ่งป่วนบ้านเมืองเพื่อความสนุกสนานและความบันเทิง มีทั้งวิ่ง กระโดด ปีนป่ายในสถานที่สาธารณะ และที่หนักที่สุดและกลายเป็นที่วิจารณ์มากที่สุดก็คือการที่งหนึ่งในเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้ วิ่งเหยียบรถหลายๆ คันที่ติดไฟแดงอยู่นั่นเอง ต่อวันที่ 13 มิถุนายน อมรินทร์ทีวี ได้เข้าไปสัมภาษณ์ นายวันเฉลิม เปรมเกษม อายุ 19 ปี หนึ่งในสมาชิกกลุ่ม Oslate (โอสเลท) กลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุดังกล่าว ถึงสาเหตุที่รวมกลุ่มกันออกมาเล่นอะไรเช่นนี้ นายวันเฉลิมเล่าว่า อยู่บ้านเฉยๆ มันทำให้รู้สึกเครียดและเศร้า จึงชักชวนเพื่อนสมัยเรียนอีก 3 คนมาหากิจกรรมทำ เขาเผยว่าขณะที่ถ่ายคลิปหลายครั้งก็มีเจ้าหน้าที่มาไล่ให้ไปเล่นที่อื่น แต่ตนก็กลับรู้สึกสนุก . เมื่อถามถึงประเด็นที่มีการออกไปวิ่งเหยียบรถที่ติดไฟแดงกันอยู่นั้น นายวันเฉลิมก็เผยว่าตนไม่ได้รู้จักกับเจ้าของรถ เพียงแค่เห็นตรงกันกับเพื่อนๆ ก็เลยลงมือทำทันที ตอนที่ออกไปวิ่งแบบนั้นไม่ได้รู้สึกกลัวอุบัติเหตุ รู้สึกเพียงว่าสนุกเท่านั้น คิดว่าเจ้าของรถอาจจะตกใจนิดหน่อย แต่คงจะ “รู้สึกสนุกไปด้วย” เพราะในวันที่ตนไปวิ่งเหยียบรถก็ไม่ได้มีใครออกมาว่ากล่าวหรือโวยวาย ยอมรับว่าที่ทำคลิปขึ้นมาเพราะความสนุกเท่านั้น แถมคาดว่าจะมีอีกในอนาคต เมื่อคลิปวิดีโอการละเล่นสุดพิเรนทร์ของเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้เผยแพร่ลงอินเทอร์เน็ต…
-
ทำบุญหรือทำบาป? เมื่อชาวบ้านขนไก่ขึ้นสิบล้อ นำไปปล่อยที่วัดเกือบ 200 ตัว!!
ธรรมดาเราอาจเคยเห็นคนนำสัตว์เลี้ยงไปปล่อยไว้ตามวัด เช่นเดียวกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน วัดเขาบายศรี ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จังหวัดชลบุรี แต่สิ่งที่คนนำมาปล่อยกลับไม่ใช่หมาแมวทั่วๆ ไป เพราะเขานำเอา “ไก่” มาปล่อยไว้ให้ทางวัดดูแล เป็นจำนวนเกือบ 200 ตัวเลยทีเดียว!! ไก่จำนวนมากถูกนำมาปล่อยที่วัด เรื่องราวดังกล่าวถูกนำเสนอผ่านรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ในวันที่ 29 เมษายน 2018 เมื่อมีคนขับรถเข้ามาสอบถามกับพระอนันต์ ปภงกโร เจ้าอาวาสวัดเขาบายศรี โดยมีจุดประสงค์ต้องการนำไก่มาปล่อยที่วัด ในตอนแรกพระอนันต์คิดว่าชาวบ้านจะนำมาปล่อยแค่ 2 หรือ 3 ตัว แต่ที่ไหนได้ วันต่อมากลับมีรถสิบล้อบรรทุกไก่จำนวนถึง 196 ตัวนำมาปล่อยที่วัดดังกล่าว สร้างความตกใจให้กับเจ้าอาวาสเป็นอย่างมาก พระจำเป็นต้องช่วยกันดูแล นี่จึงกลายเป็นความเดือดร้อนของทางวัดที่ต้องคอยดูแลไก่ทั้งหมด โดยทางเจ้าอาวาสจำเป็นต้องเลี้ยงพวกมันร่วมกันกับหมา แมว และหมูที่อยู่ในวัด ยิ่งไปกว่านั้นคือ ไก่ที่ถูกนำมาปล่อยทั้งหมดเป็นไก่ไข่ตัวผู้ซึ่งถูกเลี้ยงไว้กรงเล็กๆ ทำให้พวกมันไม่ชินกับการหาอาหารด้วยตัวเอง ทำได้เพียงแค่เดินตามพระผู้คอยให้อาหารพวกมันเท่านั้น เจ้าอาวาสอนันต์บอกว่าจำเป็นต้องนำอาหารไปซ่อน ปล่อยให้ไก่ไปขุดคุ้ยหาบ้าง เพื่อให้พวกมันได้ออกกำลังกายและสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนกับไก่บ้านทั่วๆ ไป พระอนันต์ยังพูดติดตลกอีกว่า…
-
เพื่อนโจรวางช่อดอกไม้ทำที่เคารพศพให้โจรที่โดนแทงตาย แถมปิดถนนเดือดร้อนชาวบ้าน
เมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมานาย Henry Vincent หัวขโมยวัย 37 ได้เสียชีวิตลงในโรงพยาบาลหลังจากที่ถูกแทงโดยนาย Richard Osborn-Brooks ชายวัย 78 ปีผู้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยเงินบำนาญกับภรรยาผู้พิการ ในระหว่างที่เขาลักลอบเข้าไปขโมยของ Richard Osborn-Brooks เจ้าของบ้าน (ซ้าย) กับ Henry Vincent หัวขโมยผู้เสียชีวิต (ขวา) หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางศาลได้มีการละเว้นโทษของนาย Richard ในคดีฆ่าคนตายโดยบอกว่าเป็นการลงมือเพื่อป้องกันตัว ทำให้บรรดาคนที่รู้จักของ Vincent ไม่พอใจเป็นอย่างมาก พวกเขาได้รวมตัวกันเพื่อนำช่อดอกไม้ไปวางที่รั้วบ้านของนาย Richard ซึ่งห่างจากที่เกิดเหตุไปราวๆ 18 เมตร ทำให้พื้นที่ในบริเวณที่ว่ากลายเป็นที่เคารพศพของนาย Vincent ไป . . เนื้อความในช่อดอกไม้นั้นมีตั้งแต่การแสดงความเสียใจต่อนาย Vincent ที่จากไป เรื่อยไปจนถึงจดหมายจากลูกสาวของเขาและจดหมายที่ระบุว่าเพื่อนๆ ของเขาจะทำการล้างแค้นให้แก่เขาให้ได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเนื้อความในจดหมายที่พบสร้างความไม่สบายใจให้แก่ชาวบ้านในละแวกนั้นมาก ชาวบ้านบางส่วนถึงกับออกมาบอกว่าการกระทำที่ทำเหมือนกับว่านาย Vincent เป็นเหยื่อคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว เขามีความคิดที่จะทำร้ายร่างกายคนชรา และคนพิการมันเป็นอะไรที่น่าขยะแขยงมาก นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านที่ออกมาบอกด้วยว่าเหล่าเพื่อนๆ ของนาย Vincent ได้ออกมาทำการปิดถนน สร้างความเดือดร้อนจนต้องมีการขอร้องให้ตำรวจทำอะไรสักอย่าง อย่างไรก็ตามทางตำรวจได้ออกมาบอกว่าการสร้างที่เคารพศพแก่คนตายในครั้งนี้ไม่ได้ขัดต่อหลักกฎหมายทำให้ทางตำรวจไม่สามารถรื้อถอนที่เคารพศพนี้ออกไปได้ สถานการณ์ล่าสุดของเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่ทนไม่ไหวกับการปิดถนนได้เข้าไปพยายามทำลายที่เคารพศพของนาย Vincent …
-
รวมความเห็นของ พ่อค้าแม่ค้าในตลาด จากกรณีที่ตลาดจะถูกปิด พวกเขาคิดอย่างไรบ้าง!?
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หนึ่งในเหตุการณ์ที่หลายๆ คนให้ความสนใจและกลายเป็นประเด็นร้อนของสังคมก็คงจะหนีไม่พ้นกรณีของคุณป้าทุบรถ ที่ทำให้กลายเป็นกระแสพูดถึงกันอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องของกฎหมายการใช้ที่ดิน หรือการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง และถ้าหากใครที่ติดตามเรื่องราวนี้ก็อาจจะพอทราบข้อมูลและรายละเอียดจากทางฝั่งของคุณป้าบุญศรีกันมาป้างแล้ว และคราวนี้เรา ลองมาฟังความคิดเห็นจากทางฝั่งพ่อค้าแม่ค้าดูบ้างว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวจนมีข่าวว่าอาจจะต้องมีการปิดตลาด พวกเขามีความรู้สึกและความคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง คุณป้าผู้รายหนึ่งผู้ได้รับความเดือดร้อนถ้าหากมีการปิดตลาดให้สัมภาษณ์กับทาง Voice Tv ว่า เธอรู้สึกเป็นกังวลอย่างมากที่จะไม่ได้ขายของ พร้อมกับบอกว่าเจ้าของบ้านน่าจะมีความอะลุ่มอล่วยกันให้มากกว่านี้หน่อย และตนคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดคือการสร้างภาพของเจ้าของบ้าน “ป้าว่าเรื่องรถที่มาจอดเป็นการสร้างภาพนะ รถที่โดนฟันก็ไม่เห็นมาออกสื่อเลย จะให้ยุบตลาดแบบนี้ป้าก็เดือดร้อน” แม่ค้ารายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับทาง Voice TV “ตอนนี้ยังไม่รู้เลย นอนไม่หลับตั้งแต่วันมีข่าวแล้ว มีหลายร้อยคนที่ได้รับผลกระทบจากปิดตลาดนี้” หนึ่งในแม่ค้าที่อยู่ใน 3 ตลาดรอบๆ บ้านของคุณป้าบุญศรี ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว Spring News “ถ้าเกิดตลาดปิดพี่ไม่รู้จะไปขายที่ไหนเลย เครียด คิดทุกวันเลยว่าเราจะได้ขายของไหม ถ้าหากไม่ได้ขายก็คงจะต้องหาที่ทำงาน ที่ทำมาหากินใหม่” แม่ค้ารายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับ Spring News ส่วนทางคุณบังอร สุขมงคลแม่ค้าอีกหนึ่งรายที่ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันก็ได้ให้สัมภาษณ์กับทางช่อง AMARIN TV ว่าเธอเองก็คิดมากหลังจากที่มีข่าวเกี่ยวกับการปิดตลาดเพราะต้องดูแลครอบครัวและแม่ที่ป่วย พร้อมกับเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นการจัดฉากเนื่องจากผู้ที่ถูกทุบรถไม่มีการตอบโต้ใดๆ เลย และรู้สึกโกรธเจ้าของรถที่เป็นต้นเหตุเรื่องนี้ด้วย “ถามว่าโกรธไหม โกรธ เดือดร้อนไหมเดือดร้อน…
-
คุณแม่รู้สึกแย่… เมื่อมีจดหมายติถึงลูก ‘ออทิซึม’ ส่งเสียงดังเกินไป และใช้คำเรียกว่า ‘มัน’
สู่ประเด็นการตั้งคำถามของชาวเน็ต เกี่ยวกับความเหมาะสมของเรื่องนี้ หลังจากที่คุณแม่ได้รับจดหมายเตือนจากเพื่อนบ้าน เกี่ยวกับการส่งเสียงดังยามค่ำคืนของลูกชายตัวน้อยที่ป่วยเป็นออทิซึม โดยเว็บไซต์ Dailymail ได้รายงานว่า คุณแม่วัย 27 ปี Jessica Green ออกมาเรียกร้องถึงความถูกต้อง หลังจากที่เพื่อนบ้านส่งจดหมายเตือนมาหาเธอ โดยใช้สรรพนามแทนลูกของเธอว่า ‘มัน’ Jessica Green และลูกชายวัย 3 ขวบ Henry คุณแม่ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า เธอรู้สึกหวาดระแวงและกลัวว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับลูกน้อยของเธอ หลังจากที่มีเพื่อนบ้านเอาจดหมายเตือนเกี่ยวกับปัญหาเรื่องเสียงดังในยามค่ำคืน โดยเนื้อหาในจดหมายมีดังนี้: “ถึงเพื่อนบ้าน… ในฐานะที่เราเป็นเพื่อนบ้านของคุณ เราอยากรบกวนให้คุณช่วยจัดการกับเสียงกรีดร้องที่มักจะดังขึ้นมาในยามค่ำคืนจากบ้านของคุณ และในระหว่างที่มันกำลังออกมาวิ่งเล่นข้างนอกส่งเสียงดัง ได้โปรดรับรู้ไว้ด้วยว่าเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ทนฟังเสียงกรีดร้องของมันไม่ไหวเช่นกัน” “จนตอนนี้หลายคนเริ่มสงสัยแล้วว่า… ตกลงแล้วคุณเลี้ยงลูกอย่างถูกต้องจริงๆ รึเปล่า? เพราะเชื่อว่าคงไม่มีพ่อแม่คนไหนปล่อยให้ลูกออกมากรีดร้องแบบนี้แน่ๆ ถ้าหากคุณยังไม่แก้ปัญหาที่มันค้างคามานานนับปี เราจะเอาเรื่องนี้ไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่รัฐและอาจนำมาซึ่งการย้ายคุณออกจากพื้นที่นี้ได้เลย ตอนนี้ไม่มีเพื่อนบ้านคนไหนกล้าที่จะออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน เพราะเสียงกรีดร้องจากลูกของคุณ และปัญหานี้ก็คาราคาซังมานานนับปีแต่ไม่มีวี่แววว่าจะเบาลงเลย มีแต่ดังขึ้นทุกวัน ยังไงเราก็หวังว่าคุณจะช่วยแก้ปัญหานี้ให้เราได้นะ จากเพื่อนบ้านในละแวกนี้ทุกคน” ภาพจดหมายดังกล่าว จากประเด็นดังกล่าวคุณแม่ก็ออกมาเรียกร้องถึงความเหมาะสม ที่เพื่อนบ้านใช้คำสรรพนามเรียกลูกชายเธอว่า ‘มัน’ แต่ถึงกระนั้นคุณแม่ก็ได้ชี้แจงคืนว่า คนส่วนใหญ่มักจะไม่เข้าใจความต้องการของเด็กที่ป่วยเป็นออทิซึม……
-
เจ้าของฟาร์มถึงกับเดือด หลังม้าตาย 2 ตัว เพราะกิน ‘ถุงอึสุนัข’ ที่มีคนโยนเข้ามาในฟาร์ม
เจ้าของฟาร์มที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน Warlingham เมือง Surrey ประเทศอังกฤษ ถึงกับหัวร้อนเมื่อมีคนมักง่ายโยนถุงอึ๊หมาเข้ามาในฟาร์มของตน จนทำให้ม้าของเขาเสียชีวิตไปแล้วถึง 2 ตัว เพราะกินอึ๊หมาเข้าไป ด้วยเหตุนี้เองเจ้าของฟาร์มจึงนำป้ายมาติดไว้ที่บริเวณข้างรั้วเพื่อป้องกันเหตุการณ์อันน่าเศร้าแบบนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก ในป้ายเขียนเอาไว้ว่า “คุณได้ฆ่าม้าที่อยู่ในฟาร์มนี้ไปแล้ว 2 ตัว ด้วยการโยนถุงอึสุนัขข้ามรั้วเข้ามาในสนามหญ้า ตัวแรกนั้นตายไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ และจากชันสูตรก็พบว่าในท้องของมันมีแต่ถุงอึหมาเต็มไปหมด และตัวที่สองก็เพิ่งจะตายไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งสัตวแพทย์ก็บอกว่าเกิดจากสาเหตุเดียวกันกับตัวแรก ม้ามันได้กลิ่นคล้ายธัญพืชที่เป็นอาหารของมันจากอึสุนัข และมันก็กินเข้าไปโดยที่ไม่รู้หรอก ตอนนี้เจ้าม้าตัวเล็กกลายเป็นลูกกำพร้าไม่มีแม่ของมันคอยดูแลอีกต่อไป ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะคุณไม่ยอมเก็บอึหมาของคุณกลับไปที่บ้านด้วย หรือโยนมันทิ้งลงถังขยะให้เป็นที่เป็นทาง” โฆษกขององค์กรช่วยเหลือสัตว์ RSPCA (Royal Society for the Prevention of Cruelty to Animals) ได้เห็นเรื่องดังกล่าวนี้ ก็เลยออกมาให้ข้อมูลเสริมอีกว่า การทิ้งถุงอึสุนัขบนสถานที่สาธารณะนั้นเป็นอะไรที่อันตรายมากๆ เพราะมันสามารถเข้าไปติดพันอยู่ในลำไส้ของสัตว์ที่เผลอกินมันเข้าไป นอกจากนี้ยังเสี่ยงที่ถุงนั้นจะติดไปกับจมูกของมันและทำให้ไม่สามารถหายใจได้อีกด้วย เพระาฉะนั้นเหล่าคนเลี้ยงหมาทุกคนควรทำก็คือ การทิ้งถุงอึสุนัขลงถังขยะ และต้องตรวจดูให้แน่ใจด้วยว่าผูกมันเอาไว้อย่างแน่นหนา และอยู่ในถังขยะเรียบร้อยดีแล้วทุกครั้ง เลี้ยงสุนัขแล้วก็ต้องดูแลให้ดี และต้องใส่ใจส่วนรวมด้วยนะจ๊ะ ที่มา : metro
-
ความเดือดร้อนเมื่อแถวบ้านคุณเป็นที่ ‘ฟาร์มโปเกมอน’ เทรนเนอร์มาวันละเป็นพันคน!!
หลังจากที่ ‘Pokemon Go’ เปิดบริการให้เหล่าเทรนเนอร์ทั้งหลายได้ทำตามความฝันกลายเป็นโปเกมอนมาสเตอร์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ไม่นาน ก็มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย และเหตุการณ์นี้ก็เช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยดีเอาซะเลยเพราะมันสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนเป็นจำนวนมาก จนเดือดร้อนไปถึงตำรวจเลยทีเดียว!! เรื่องมีอยู่ว่าที่ Rhodes แถบชานเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของนคร Sydney ในประเทศออสเตรเลีย เป็นที่พักอาศัยของคนจำนวนมากทั้งบ้านและอพาร์ทเม้นท์ต่างๆ มากมาย ผู้คนทั้งหลายใช้ชีวิตกันอยู่อย่างสงบเงียบ ได้พักผ่อนหย่อนใจในที่พักอาศัยของตัวเอง แต่หลังจากที่ Pokemon Go ได้เปิดให้ใช้บริการ เลห่าเทรนเนอร์ทั้งหลายก็ออกตามล่าหาโปเกมอนกันและก็พบว่าสถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่มีโปเกมอนหายากเกิดเยอะมากกก!! และที่สำคัญโปเกมอนแต่ละตัวที่จับได้ที่นี่จะมีค่าพลังต่อสู้ที่สูงมากๆ อีกด้วยเช่นกัน จนได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่ง ‘ฟาร์ม’ โปเกมอนเลยทีเดียว หลังจากนั้นไม่นานเมื่อมีคนมาพบเข้าเรื่อยๆ ก็ทำให้จำนวนเหล่าเทรนเนอร์ทั้งหลายหลั่งใหลกันเข้ามาเพื่อที่จะมาจับโปเกมอนหายากกันที่นี่ และสาเหตุที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าสถานที่แห่งนี้มีจุด PokeStop ถึง 3 จุดที่ตัดผ่านกัน นั่นหลายความว่ามันจะต้องมีโปเกมมอนให้จับมากมายมหาศาลเลยล่ะ แน่นอนว่าเหล่าเทรนเนอร์ทั้งหลายต้องเดินทางเพื่อที่จะมาจับมันเป็นการเพิ่มเลเวลตัวละครให้กับตัวเอง โดยผู้คนที่อยู่อาศัยที่นี่เล้าให้ฟังว่าในวันช่วงแรกๆ นั้นมีคนมาประมาณ 100 กว่าคนเท่านั้นเอง แต่หลังจากนั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นหลัก 500 จนตอนนี้มากกว่า 1,000 คนแล้ว และแน่นอนว่ามันมีปัญหาแน่นอน ทั้งในเรื่องของเสียงที่ดังจนผู้อยู่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นต้องเดือดร้อนเพราะว่าเหล่าเทรนเนอร์ทั้งหลายผลัดกันมาไม่ซ้ำหน้าเลย ทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นอยู่อย่างนี้ทั้งวัน นอกจากนี้ก็ยังมีเสียงรถเข้าออกบริเวณนี้ตลอดเวลา แถมยังมีขยะ…
-
คืนเขาเถอะครับ!! ร้านเน็ตโวย เด็กมาแข่งเกมในร้าน แอบถอดอุปกรณ์ของร้านกลับไปด้วย!?
ต้องบอกเลยว่าการลักเล็กขโมยน้อยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอาซะเลย เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังสร้างความเสียหายให้กับผู้อื่นอีกต่างหาก ฉะนั้นน้องๆ หนูๆ ไม่ควรทำกันนะจ๊ะ ซึ่งล่าสุดร้านเกม Nook Net ในจังหวัดปทุมธานีเองก็เพิ่งเป็นผู้เสียหายมาหยกๆ จากความมือบอนและมักง่ายของเหล่าเกมเมอร์แย่ๆ บางคน ที่ทำการลักขโมยอุปกรณ์ของทางร้านไป จากงานการแข่งขันเกมออนไลน์แนว FPS ชื่อดังอย่าง Spacial Force นั่นเอง การแข่งขันครั้งนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 18-19 มิถุนายน โดยทางร้านเป็นผู้จัดขึ้นมาเองและใช้ที่ร้านเป็นสถานที่ในการจัดแข่ง ซึ่งก็ทำให้มีผู้ที่ให้ความสนใจเข้ามาสมัครแข่งมากมาย จนมีคนเข้ามาแน่นร้านเลยทีเดียว ลองไปชมภาพบรรยากาศกันเลยดีกว่า . . . . หลังจากการแข่งขันวันแรกจบลงไป ก็เกิดเรื่องขึ้นเมื่อพบว่าอุปกรณ์ของเครื่องที่ใช้ในการแข่งขันได้สูญหายไปเป็นจำนวนมาก ทั้งหูฟัง คีย์บอร์ด เม้าส์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่ามีการแงะ ‘ปุ่ม’ ของคีย์บอร์ดออกไป ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายถึง 20 แป้น ด้วยกัน เท่านั้นยังไม่พีคพอ เพราะทางร้านแจ้งว่ามีคนเอาคีย์บอร์ดอันเก่ามาสับเปลี่ยนกับของทางร้านที่เป็นของดีราคาแพงไปอีกด้วย!! (โอ้โห อะไรจะใจดีขนาดน๊านนนน!!) และตอนนี้ทางร้านก็ได้ออกมาประกาศทางหน้าแฟนเพจเฟซบุ๊ค ว่าได้ทำการเปิดกล้องวงจรปิดและแคปหน้าจอคนร้ายไว้หมดแล้ว…
-
ดึงสติหน่อย!! เหล่าคณะจากนิคมอุตสาหกรรมไปบริจาคของให้โรงเรียนบนดอย แต่ดูเหมือนจะไปปาร์ตี้แทน
ในพื้นที่ห่างไกล ประสบกับปัญหาความขาดแคลนสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ก็มักจะมีกลุ่มหรือคณะอาสาที่คอยไปบริจาคสิ่งของและมอบความช่วยเหลือให้เป็นประจำกันทุกปี ซึ่งถ้ามองผิวเผินก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าการไปบริจาคสิ่งของให้กับผู้ยากไร้เดี๋ยวนี้เริ่มจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว สืบเนื่องจากกระทู้พันทิป ไปให้… หรือไปเที่ยว?? – มาบริจาค… หรือมาเพิ่มภาระ?? โดยคุณ jingparko ที่ตั้งประเด็นหัวกระทู้เป็นคำถามขึ้นมาทันที กับการไปบริจาคสิ่งของแท้จริงแล้วมาเป็นภาระของเจ้าของสถานที่รึเปล่า? ซึ่งในครั้งนี้เป็นการออกทริปบริจาคบริจาคของให้กับโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านหมันขาว อ.ด่านซ้าย จ.เลย ทั้งคณะมีทั้งหมด 12 คน มีทั้งครูและนักเรียนอาชีวะ ช่วยกันสอนทำข้าวเกรียบฟักแม้วให้กับชาวบ้าน และทำอาหารเย็น โกโก้ร้อน แจกขนมให้กับเด็ก ๆ อีกทั้งบริจาคเครื่องถ่ายเอกสารและเครื่องปรุงรสให้โรงเรียนด้วย จนกระทั่งมีกลุ่มผู้บริจาคอีกคณะหนึ่ง ประมาณ 20 คน มาจากนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ พอถึงช่วงเวลา 5 โมงเย็นก็เริ่มมีการเปิดเพลงเสียงดังไปทั่วบริเวณ ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าน่าจะเป็นการแสดงรอบกองไฟให้เด็กๆ ได้ชม แต่ทว่ามันไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด เพราะเสียงเพลงที่ดังขึ้นเป็นการเปิดเพลงเพื่อร้องคาราโอเกะ และกองไฟที่ก่อก็เป็นกองไฟเพื่อทำการปิ้งย่างอาหาร ไหนจะลำบากครู ตชด. ที่ต้องช่วยไปวิ่งหาของที่ต้องการมาให้อีก เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างมาก เพราะช่วงเวลานั้นเป็นเวลานอนของเด็กๆ และไม่มีการเก็บอุปกรณ์ใดๆ…
-
มนุษย์ป้าใจเหี้ยม จอดรถหรูขวางถนนจนรถติด บอก “ทำธุระแปปเดียว” !!!
หลายๆคนเราอาจได้ยินเกี่ยวกับวีรกรรมวีรเวรของเหล่ามนุษย์ป้าหรือมนุษย์ลุง ผู้สามารถทำทุกอย่างตามใจของตัวเองโดยไม่สนใจว่าคนอื่นๆจะเดือดร้อนอย่างไร และวันนี้เหมียวไปเจอเรื่องเล่าของคุณ Jakkree Khantee บนเพจ เหี้ยขับรถ เกี่ยวกับวีรกรรมของมนุษย์ป้า โดยเขาเล่าว่ามีผู้หญิงวัยกลางคนหนึ่งได้จอดรถหรูของตนเองกลางถนน เพื่อเข้าไปทำธุระในธนาคาร โดยไม่สนใจว่ารถคันหลังจะเดือดร้อนขนาดไหน แม้จะมีคนไปตาม แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด “มนุษย์ป้าขับเบนซ์ จอดกลางถนนหน้าธนาคาร แล้วเดินเข้ามาทำธุระในธนาคารหน้าตาเฉย (ธนชาตหน้าโฮมโปร บางใหญ่) จนมีคนขับคันหลังต้องมาตามในธนาคารให้ขยับรถให้หน่อย เจ๊แกบอกทำธุระอยู่รอแป้บนึงใกล้จะเสร็จละ พอดีมันไม่มีที่จอด ว่างั้น ป้าครับ ที่จอดรถใต้ดินที่จอดว่างเป็นร้อยคันครับ ไม่เห็นต้องมาทำตัวหน้าด้านเห็นแก่ตัวขนาดนี้ แล้วคันอื่นๆก็ต้องรอแกทำธุระต่อไปอีกประมาณ 5 นาทีครับ แล้วเจ๊แกก็เดินเชิดหน้ากลับมาขึ้นรถแบบคูลๆ เหยี๊ยดเปียดดด” เรียกว่าได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาวเน็ตเป็นอย่างมาก เหมียวว่าบางทีก็เกินไปนะ ไม่รู้ประเทศอื่นเขามีคนแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า ถ้าไม่มีเราคงต้องตั้งคำถามหน่อยแล้วละ ว่าทำไมคนแบบนี้ในประเทศไทยถึงมีเยอะจัง ที่มา Jakkree Khantee