Tag: เตือน
-
ร้านอาหารมาเลย์ เตือน “ราคาอาหารผันตามนิสัยลูกค้า” ใครขี้กร่างคิดเงินเพิ่ม เข้มมาก!!
ปกติเมื่อเราไปยังร้านอาหารต่างๆ เราก็จะพบการต้อนรับที่ดี หรือบางร้านอาจจะไม่ดีนักแต่ก็คงไม่ถึงกับขัดใจลูกค้าอย่างแน่นอน กลับกัน ร้านอาหารแห่งหนึ่งในประเทศมาเลเซียไม่ได้มีวิธีเช่นนั้น ทางร้านมีป้ายเตือนต่างๆ แปะเต็มไปหมดโดยเฉพาะ ป้ายที่บอกว่าจะ คิดเงินเพิ่ม หากลูกค้าทำตัวยะโสโอหัง ร้านอาหารดังกล่าวมีขื่อว่า Piao Xing Claypot Chicken Rice ตั้งอยู่ในเมืองโจโฮร์บะฮ์รู เป็นร้านที่ลบล้างคำพูดที่ว่า “ลูกค้าคือพระเจ้า” ได้อย่างหมดจด เพราะว่าทางร้านจะคิดเงินเพิ่ม 10 ริงกิตมาเลเซีย (เกือบ 80 บาท) หากลูกค้าประพฤติตนไม่เหมาะสมหรือแสดงพฤติกรรมไม่ดีต่อหน้าพนักงานในร้าน “ถ้าคุณเป็นคนหยิ่ง ทะนงตน อารมณ์ร้าย หรือชอบกร่าง ทางเราจะขอคิดเงินเพิ่ม 10 ริงกิตมาเลเซียเป็นค่าเสียหาย” นอกจากนี้ทางร้านยังไม่สนับสนุนลูกค้าที่ชอบมอบเงินให้กับขอทานอีกด้วย พร้อมเผยว่าหากใครมีทัศนคติไม่ตรงกับทางร้าน ราคาอาหารก็อาจมีการเปลี่ยนแปลง “ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามทัศนคติของลูกค้า” “ให้เงินขอทานไม่ได้เป็นการแสดงความเมตตา แต่เป็นการแสดงออกถึงลักษณะของคนที่ถูกหลอกได้ง่าย” “คนธรรมดาจะบริจาคเงินด้วยเหตุทางการกุศล แต่คนโง่จะบริจาคเงินให้ขอทาน เพื่อให้มีขอทานเพิ่มมากขึ้น แล้วพวกคุณล่ะเป็นคนธรรมดาหรือเปล่า?” หลังจากภาพของร้านนี้ถูกนำไปเผยแพร่บนโลกออนไลน์ ชาวเน็ตก็แห่มาให้ความสนใจกันเพียบ ลองไปชมตัวอย่างความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้กัน… “ชอบจัง เจ๋งมาก!”…
-
หนุ่มญี่ปุ่นโป๊ะแตก โดนแฟนสาวจับได้ว่ามีคนอื่น เพราะ ‘แผ่นดินไหว’ เป็นเหตุแท้ๆ!!
เหตุเพราะ ‘แผ่นดินไหว’ หนุ่มญี่ปุ่นเลยถูกแฟนสาวจับได้ว่านอกใจ!! ในประเทศญี่ปุ่นนั้น การเกิดแผ่นดินไหวถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ ซึ่งพวกเขาก็จะมีมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันเหตุภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่นจะทำการส่งสัญญาณเตือนไปยังโทรศัพท์แต่ละเครื่องเพื่อเตือนให้รู้ว่า ‘กำลังจะมีเหตุแผ่นดินไหว’ เกิดขึ้น จากการตรวจจับความคลื่นที่เกิดจากการสั่นสะเทือน เสียงเตือนของมันก็จะดังประมาณนี้ แต่เรื่องมันพีคคือ มีผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งโพสต์เล่าเรื่องราวของคู่รักหนุ่มสาวคู่รัก ที่ความรักของพวกเขาได้จบลงเพราะ ‘สัญญาณเตือนแผ่นดินไหว’ นี้เป็นเหตุแท้ๆ @MeinerLacrima ได้โพสต์ข้อความเล่าว่า “ในวันนั้นฉันกำลังขึ้นรถไฟกลับบ้าน จู่ๆ เสียงสัญญาณเตือนแผ่นดินไหวก็ดังขึ้น ทุกคนต่างก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กดู โชคดีที่แผ่นดินไหวในครั้งนั้นไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรเลยแม้แต่น้อย ทุกคนต่างก็ถอนหายใจกันเฮือกใหญ่” “เว้นแต่ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเจอกับปัญหาใหญ่ เขายืนอยู่ในรถไฟกับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่น่าจะเป็นแฟนสาวของเขา หญิงสาวคนนั้นถึงกับตกใจเพราะจากสัญญาณเตือนภัยที่ดังขึ้นมานั้น ทำให้เธอจับได้ว่าแฟนหนุ่มของเธอพกโทรศัพท์มือถือถึงสองเครื่อง!?” “เดี๋ยวนะ ทำไมนายถึงพกโทรศัพท์ 2 เครื่องล่ะ? นายไม่เคยบอกฉันเลยนะว่ามีโทรศัพท์อีกเครื่องนะ มันคืออะไร อธิบายมาเดี๋ยวนี้!!” “บทสรุปของเหตุการณ์นี้ก็คือ พ่อหนุ่มคนนั้นใช้โทรศัพท์อีกเครื่องเพื่อติดต่อกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง จะเรียกว่าเป็นกิ๊กก็ได้นะ” ทวีตดังกล่าว ได้รับความสนใจจากชาวเน็ตเป็นจำนวนมาก มีคนเข้ามากดไลก์กว่า 177,000 ครั้ง และรีทวีตไปอีกกว่า 58,400 ครั้งเลยทีเดียว!!…
-
คนงานเหมืองชิลีเตือน 13 ชีวิตติดถ้ำ “ให้ระวังกลุ่มคนที่หวังผลประโยชน์เอาไว้ให้ดี”
หลังจากที่ภารกิจการช่วยเหลือ 13 ชีวิตออกจากถ้ำสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ส่วนเรื่องราวต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร ก็ต้องคอยติดตามชมกันต่อไปอย่างใกล้ชิด แน่นอนว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้กลายเป็นที่จับตามองจากผู้คนมากมายทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ย่อมมีเรื่องของ ‘ผลประโยชน์’ เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ และด้วยความหวังดีจากคนงานเหมืองจากชิลี ที่เคยเป็นผู้มีประสบการณ์เผชิญกับเคราะห์ร้ายแบบนี้มาก่อน พวกเขาก็เลยออกมาเตือนเด็กๆ ทีมหมูป่าและโค้ช ว่า ‘ให้ระวังกลุ่มคนที่หวังผลประโยชน์เอาไว้ให้ดี’ ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีก่อน คนงานเหมืองกว่า 33 คน ติดอยู่ในเหมืองซาน โฮเซ่ ประเทศชิลี นานกว่า 69 วัน เรื่องราวของพวกเขาโด่งดังไปทั่วโลก ทุกแรงใจถูกส่งไปเพื่อเอาใจช่วยให้พวกเขารอดชีวิตออกมา หลังจากที่ช่วยชีวิตออกมาได้ เรื่องราวของพวกเขาก็เหมือนกับที่กำลังจะเกิดขึ้นกับทีมหมูป่าแบบเป๊ะๆ เลย คือค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่าง Hollywood ได้นำเรื่องราวของพวกเขาไปสร้างเป็นหนัง หนังเรื่องนั้นมีชื่อว่า The 33 และมันประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทำรายได้ไปมากกว่า 25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราวๆ 831 ล้านบาท แต่เม็ดเงินเหล่านั้นไม่ได้ตกมาถึงพวกเขาเลยแม้แต่บาทเดียว ตัวอย่างหนังเรื่อง The 33 “ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะนำเรื่องราวนี้ไปสร้างหนัง…
-
จริงหรือปลอม!? หนุ่มอ้างย้อนเวลามาจากปี 2130 พกคลิปวิดีโอมาเป็นหลักฐานด้วยนะเออ!!
มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่อ้างว่าตนนั้นเป็นผู้ที่เดินทางข้ามกาลเวลามาจากอนาคต แต่สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นเรื่องหลอกลวง ล่าสุดก็มีชายอีกคนที่กล่าวอ้างว่าตนนั้นเดินทางย้อนเวลากลับมาจากโลกยุค 2130 นายคนนี้มีชื่อว่า Noah เขาได้อธิบายในคลิปวิดีในหนึ่งของแชแนลยูทูบ ApexTV ว่าเขาย้อนมาปี 2018 นี้ได้เพราะเขา “ทำภารกิจพลาด” คลิปวิดีโอของ Noah ชายผู้มาจากปี 2030 ผู้ที่มาเตือนชาวโลกปัจจุบันถึงอันตราย ทั้งนี้ Noah อธิบายว่าเขาตั้งใจจะย้อมเวลามายังปี 2120 และปี 2016 และเขาเองก็ได้เอาคำเตือนมาฝากมนุษย์โลกยุคปัจจุบันอีกด้วย เขาเล่าว่าขณะที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในปี 2120 เขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย แถมยังบอกอีกว่า เขามีข้อมูลมากมายจากอนาคตที่เตรียมเอาไว้มาเตือนคนปัจจุบัน “พวกคุณคงได้ยินเรื่องที่ประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้จับมือเป็นพันธมิตรกันแล้วใช่ไหมล่ะ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต พวกเขากลับมาแตกคอกันอีกครั้ง ขอโทษที่ผมต้องพูดแบบนี้ แต่มันคือความจริง พวกเขาจะทำให้เกิดสงครามอีกครั้ง มันไม่ใช่สงครามโลก แต่เป็นสงครามระหว่างหลายประเทศ หนึ่งในนั้นมีสหรัฐอเมริการวมอยู่ด้วย” Noah เล่าผ่านคลิปวิดีโอ เขากล่าวว่าไม่สามารถให้ข้อมูลได้มากกว่านี้ ถึงแม้เขาต้องการจะบอกก็ตาม แต่เขาไม่สามารถทำได้เนื่องจากการย้อนเวลาถือเป็นวงเวียนแห่งความย้อนแย้ง (Paradoxes) และแล้วก็ถึงเวลาที่ Noah จะโชว์หลักฐานของเขาเสียที คลิปวิดีโอที่เขาบันทึกมาจากโลกในปี 2120…
-
อ่านไว้เป็นอุทาหรณ์!! ชาวเน็ตแชร์ประสบการณ์ จะ “เปลี่ยนงาน” ต้องรอบคอบ!!
ในชีวิตของการทำงาน โดยเฉพาะนักศึกษาจบใหม่ด้วยแล้วนั้น การเปลี่ยนงานคงเกิดขึ้นได้อย่างไม่น่าแปลกใจ นักศึกษาจบใหม่ส่วนมากจะมีความกลัวที่ว่า “หางานทำไม่ได้” ฉะนั้นได้งานอะไรก็ทำๆ ไว้ก่อน ผลสุดท้ายกลับมาพบว่า “มันไม่ตรงสาย” แล้วก็ต้องเปลี่ยนงานในที่สุด แต่การจะลาออกจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แถมพลาดกันมานักต่อนักแล้วด้วยเช่นกัน อย่างเช่นตัวอย่างในวันนี้ โดยคุณ รู้หน้าไม่รู้ไต ได้ออกมาตั้งกระทู้ในเว็บไซต์พันทิปเชิงเล่าประสบการณ์ของตนเองโดยตั้งหัวข้อว่า “บริษัทหรือองค์กรต่างๆ ช่วยเห็นใจผู้สมัครงานสักนิดนึงเถอะ เจ็บใจแถมเสียความรู้สึกมากๆ” ซึ่งเรื่องราวที่เล่าผ่านกระทู้นี้ รวมไปถึงชาวเน็ตที่เข้ามาให้ความเห็นนั้นก็ได้เป็นความรู้และอุทาหรณ์ให้กับผู้อ่านที่ผ่านไปผ่านมาได้เป็นอย่างดี เนื้อหาจะเป็นอย่างไร ไปชมกันเลย… เรื่องย่อ เจ้าของกระทู้ลาออกจากงานเก่ามาได้ 2 เดือนเพราะงานไม่ตรงสาย แล้วก็หางานใหม่จนได้ไปสัมภาษณ์งานกับบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง 6-7 วันถัดมาบริษัทก็โทรมาตอบรับเข้าทำงาน แต่พออีก 1 วันก่อนเริ่มงานกลับขอเลื่อนไปอีก 10 วัน อ้างว่าบอสใหญ่ที่ญี่ปุ่นยังไม่อนุมัติ ซึ่งตอนนั้นเจ้าของกระทู้ยังไม่ได้เซ็นสัญญาจ้างเลย พอถามด้วยความสงสัยก็ทราบว่า บริษัทยังไม่รับพนักงานใหม่ตอนนี้ (จขกท. เงิบ) จึงถามต่อว่าวันที่นัดไว้ยังนัดอยู่หรือเปล่า คำตอบที่ได้มาคือไม่แน่ใจ ให้หางานใหม่รอไว้เลย (จขกท. เงิบอีกครั้ง) แล้วก็เล่าว่าตนเองเสียใจและเจ็บใจมากๆ เหมือนโดนหลอกว่าจะรับแต่กลับมาปฏิเสธ ทำให้ตนไม่ได้หางานใหม่รองรับไว้ เจ้าของกระทู้จึงออกมาเตือนบริษัทว่าให้คุยกันให้ดีก่อนรับพนักงาน ไม่งั้นก็จะทำให้คนคนหนึ่งต้องตกงานซ้ำซ้อนแบบนี้โดยไม่รับการรับผิดชอบใดๆ เลย …
-
รู้หรือไม่.. “การงีบหลับทับแขน” ทุกวัน อาจทำให้ต้องเข้ารับการผ่าตัดได้!! เช่นเดียวกับเธอคนนี้
การงีบหลับโดยใช้แขนตัวเองแทนหมอน เป็นสิ่งที่พวกเราหลายๆ คนนิยมทำกันมาตั้งแต่เด็ก เวลาที่เรารู้สึกอยากพักผ่อนในห้องเรียนสักแป๊บ หรือแม้แต่ตอนพักจากการทำงาน เรียกว่าเป็นท่ายอดฮิตสำหรับการงีบหลับโดยเฉพาะ แต่รู้หรือไม่ว่า หากทำท่าทางที่ว่านั้นบ่อยๆ เป็นเวลานาน มันอาจทำลายสุขภาพร่างกายของเราได้มากกว่าที่คิด จนถึงขั้นอาจต้องเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัด เช่นเดียวกันกับหญิงสาวคนนี้ ท่าทางการงีบหลับที่คนส่วนใหญ่นิยมทำกัน สาวแซ่จาง วัย 28 ปี คือพนักงานออฟฟิศคนหนึ่งในเมืองฮาร์บิน ประเทศจีน เธอเป็นคนที่ชอบงีบหลับตอนพักเที่ยงเป็นอย่างมาก ซึ่งเธอก็จะงีบหลับทับแขนซ้ายของตัวเองอยู่ทุกวันมาเป็นระยะเวลาหลายต่อหลายปี เมื่อไหร่ที่ตื่นมาก็จะรู้สึกเจ็บและชาบริเวณปลายนิ้วอยู่บ่อยๆ แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งเมื่อช่วงต้นปี 2018 เธอตื่นขึ้นมาจากการงีบหลับและพบว่าเธอไม่รับรู้ความรู้สึกใดๆ จากแขนซ้ายของตัวเองเลย ซึ่งอาการดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่เธอเคยเจอมาก่อนและจะหายไปเองหลังจากผ่านไป 1-2 นาที แต่ทว่าในครั้งนี้มันกลับไม่หายไปจนทำให้ไม่สามารถใช้งานแขนซ้ายได้เลย แม้แต่การหยิบของเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม ด้วยเหตุนั้น Zhang จึงเข้ารับการตรวจกับแพทย์และได้รับการวินิจฉัยว่า เส้นประสาทเรเดียล (ส่วนปลายแขน ไว้ควบคุมการเคลื่อนไหวข้อมือและนิ้ว) บริเวณแขนข้างซ้ายของเธอได้รับความเสียหายอย่างหนัก อันเป็นผลมาจากการที่งีบทับแขนตัวเองทุกวัน สาวแซ่ Zhang พนักงานออฟฟิศที่งีบทับแขนตัวเองทุกวัน ในความจริงแล้วอาการเจ็บหรือชาบริเวณปลายนิ้วนั้นสามารถแก้ได้ด้วยการหมั่นบริหารร่างกายตรงบริเวณนั้นอยู่เป็นประจำ แต่ Zhang กลับไม่เคยทำอย่างนั้นและฝืนใช้งานอย่างหนัก จนกลายเป็นเพิ่มแรงบีบคั้นตรงส่วนเส้นประสาทดังกล่าว ความเสียหายทำให้เธอไม่สามารถขยับแขนซ้ายได้ในที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นอาการขั้นรุนแรงของเธอคนนี้ก็สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเพียงอย่างเดียวอีกด้วย สุดท้ายแล้วแพทย์หลายๆ…
-
คุณแม่เตือนชาวเน็ต หยุดส่งลูกป่วยไปโรงเรียนเสียที เพราะอาจเกิดอันตรายกับเด็กคนอื่นๆ ได้!
ในตอนที่เด็กไม่สบายพ่อแม่บางคนจะให้ลูกได้นอนอยู่บ้านพักผ่อน แต่กับพ่อแม่บางคนกลับปล่อยให้ลูกได้ไปโรงเรียนตามปกติ ซึ่งการปล่อยให้เด็กที่ป่วยอยู่ไปโรงเรียนเล่นกับเเพื่อนๆ ก็อาจทำให้เด็กคนอื่นๆ ติดเชื้อได้ และเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้คุณแม่ชาวแคนาดาที่มีชื่อว่า Maria Jordan MacKeigan รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เธอคนนี้ได้โพสต์ลงในนเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2017 เพื่ออธิบายความรู้สึกของตัวเอง หลังจากที่ลูกสาวผู้ป่วยเป็นออทิสติกของเธอ Jordan Grace ได้ไปติดไข้หวัดมาจากเพื่อนในโรงเรียนและด้วยความที่เธอมีภูมิคุ้มกันต่ำจึงทำให้เด็กน้อยถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาลในทันที โพสต์ของ Maria บอกว่าลูกสาวของเธอได้ติดเชื้อหวัดมาจากเด็กคนอื่นๆ ในโรงเรียน ทำให้ลูกสาวผู้ป่วยเป็นออทิสติกและมีภูมิคุ้มกันต่ำ จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล Grace ลูกสาวของเธอที่ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เธอรู้สึกไม่ดีเวลาที่พ่อแม่คนอื่นๆ ปล่อยให้ลูกที่กำลังป่วยของตนเองมาโรงเรียน เพียงเพราะว่ามีงานหลายอย่างต้องทำ แทนที่จะดูแลลูกๆ ของตัวเองเป็นอันดับแรก เพราะเด็กต้องการการเอาใจใส่และความอบอุ่นจากผู้ปกครอง อย่าลืมว่าโรงเรียนไม่ใช่สถานดูแลเด็ก อีกอย่างที่เธอบอกให้ทุกคนได้คำนึงถึงก็คือการปล่อยให้เด็กป่วยมาโรงเรียน เท่ากับว่าเป็นการทำให้เด็กคนอื่นๆ ต้องเสี่ยงกับอาการป่วยนั้นๆ ไปด้วย และอาจเป็นหนักเหมือนกับลูกสาวของเธอเลยก็ได้ ลูกสาวที่น่ารักของเธอป่วยเป็นออทิสติกและมีภูมิคุ้มกันต่ำตั้งแต่กำเนิด . คนเป็นแม่ย่อมรักลูกของตัวเอง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอออกมาโพสต์แบบนี้และต้องการให้พ่อแม่ทุกคนหยุดความคิดที่จะปล่อยให้ลูกที่กำลังป่วยไปโรงเรียน ต้องย้ำว่าลูกสาวของเธอในตอนแรกมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงดี แต่เข้าโรงพยาบาลหลังจากได้รับเชื้อหวัดจากเด็กในโรงเรียน หลายๆ คนที่เข้ามาอ่านโพสต์ของเธอก็รู้สึกเห็นด้วยกับความคิดนี้ …
-
แพทย์เป็นห่วง… พฤติกรรมการ “บวชชีขนลับ” ของสาวๆ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้
จากรายงานฉบับล่าสุดของวารสารวิชาการ JAMA Dermatology พวกเขาได้ทำการสำรวจหญิงสาว 3,316 คน และพบว่าสาวๆ 62 เปอร์เซ็นทำการบวชชีขนลับของตนเองอย่างเป็นประจำ และ สาวๆ 82 เปอร์เซ็นกล่าวว่า แม้จะไม่ได้โกน แต่พวกเธอก็ทำซาลอนให้ขนลับของตัวเองอยู่บ่อยๆ…แต่การทำแบบนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วหรือ? คุณหมอ Tami S. Rowen กล่าวว่าสาวๆ มักเชื่อว่าการปล่อยให้ป่าผืนน้อยของตนเองรกรุงรังนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง โดยผู้หญิง 59 เปอร์เซ็นของคนที่ทำการโกนขนลับบอกว่า พวกเธอทำไปเพราะเป็นเรื่องของสุขลักษณะ ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ถูกต้อง ป่าผืนน้อยทำหน้าที่สำคัญบางอย่าง จริงๆ แล้วขนลับของเราทำหน้าที่ดักแบคทีเรียอันตรายบางอย่างไม่ให้เข้าไปในอวัยวะเพศของเรา รวมทั้งทำหน้าที่เหมือนถุงลมนิรภัยให้กับกระดูกที่อยู่แถวนั้น ฉะนั้น ถ้าคุณเอาพวกมันออกไป คุณอาจเกิดอาการแพ้ อักเสบ หรือแม้กระทั่งเกิดอาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะก็เป็นได้ อย่างไรก็คุณหมอ Jennifer Gunter กล่าวว่า “การโกนขนลับเป็นเรื่องปกติและเป็นสิ่งที่ต้องทำ ถ้าคุณทำเพราะคุณชอบและคุณไม่ได้รับผลกระทบทางด้านสุขภาพอะไรก็ทำไปเถอะ แต่อย่าคิดว่านั่นคือสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องทำเพื่อทำให้สุขภาพดี เพราะมันไม่จริง” ที่มา hellogiggles
-
ความจริงอันน่าตกใจ นักวิทย์ฯ เผยในสระว่ายน้ำมี “ปัสสาวะ” ปะปนเฉลี่ยมากถึง 77 ลิตร!!
เชื่อว่าเพื่อนๆ คงทราบกันดีว่าในสระว่ายน้ำที่เราใช้งานกันนั้น จะต้องมี “ปัสสาวะ” ปะปนอยู่ไม่มากก็น้อย เพราะหลายๆ คนก็เคยแอบถ่ายปัสสาวะลงสระว่ายน้ำกันคนละครั้งสองครั้งอย่างแน่นอน แต่เพื่อนๆ เคยสงสัยหรือไม่ว่า จริงๆ แล้วในสระว่ายน้ำแต่ละที่นั้น มีปัสสาวะปะปนอยู่มากน้อยแค่ไหน ทางนักวิทยาศาสตร์เขาได้ไขปัญหาออกมาให้เราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้การวัดค่าสารให้ความหวานเทียมที่พบในปัสสาวะ นำมาเป็นตัวชี้วัดหาสารปัสสาวะที่ปนเปื้อนในสระว่ายน้ำมีมากแค่ไหน ซึ่งพวกเขาพบว่าในสระว่ายน้ำขนาด 41,000 ลิตร จะมีปัสสาวะปะปนอยู่ประมาณ 26 ลิตร ในขณะเดียวกัน สระว่ายน้ำขนาด 831,000 ลิตร ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานที่ใช้ในการแข่งขันโอลิมปิก จะมีปัสสาวะปะปนอยู่ราว 77 ลิตร ซึ่งอัตราส่วนที่นักว่ายน้ำหรือผู้ที่มาเล่นน้ำปล่อยปัสสาวะออกมาจะอยู่ที่ 77 มิลลิลิตรต่อคน แม้ตัวปัสสาวะจะผ่านการฆ่าเชื้อโรคในร่างกายมาแล้ว แต่สารประกอบในปัสสาวะอาจทำปฏิกิริยากับคลอรีน จนกลายเป็นพิษและทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและดวงตาของผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ก็เป็นได้ Dr Xing-Fang Li จากมหาวิทยาลัยอัลเบอร์ต้า ประเทศแคนาดา ได้กล่าวว่า ควรจะมีการทบทวนเกี่ยวกับการใช้สารเคมีในสระว่ายน้ำรวมทั้งรณรงค์เกี่ยวกับสุขอนามัยในการใช้สระว่ายน้ำสาธารณะอีกด้วย ลองนึกภาพน้ำในสระว่ายน้ำที่กระจายตัวออกมากระทบผิวหนังของเรา อย่างน้อยๆ น้ำในสระก็ต้องมีปัสสาวะปนเปื้อนแน่นอน อ่านแล้วรู้สึกขมคอยังไงชอบกล คราวหลังไปสระว่ายน้ำก็อย่าขับถ่ายลองสระกันเลยนะ มันไม่ถูกสุขอนามัยจริงๆ ที่มา…
-
สาวท้องไม่เอะใจ ‘ถุงน้ำคร่ำ’ แตกก่อนกำหนด เจ้าหมาเห่าเตือนจนรอดมาได้ทั้งแม่ทั้งลูก
ว่ากันว่าเหล่ามะหมาทั้งหลายนั้นมีสัญชตญาณในการรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ และแน่นอนว่าความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับร่างกายของเราเองก็เช่นกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลย ที่จะมีข่าวสุนัขช่วยเหลือคนให้รอดตายจากโรคร้ายอยู่บ่อยๆ เช่นเดียวกับเรื่องราวของสาวท้องคนนี้ที่จู่ๆ ก็น้ำคร่ำแตกเร็วกว่ากำหนด แต่โชคดีที่เจ้าหมาสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง จึงได้ทำการเห่าเตือนจนดังลั่นบ้านทำให้ทุกคนตื่นนอนและมีความพร้อมที่จะพาไปส่งยังโรงพยาบาลอย่างทันท่วงที เรื่องมีอยู่ว่าในตอนนั้นคุณ Jade Ambrose กำลังท้องได้ประมาณ 7 เดือนครึ่ง อยู่มาคืนหนึ่งเธอก็ต้องสะดุ้งตกใจตื่นขุ้นมากลางดึกเพราะเสียงเจ้าหมาพันธุ์ Staffordshire bull terrier ชื่อว่า Lola เห่าซะเสียงดังลั่นบ้าน ทุกๆ ในบ้านตื่นเพราะเสียงเห่าของมัน แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่ามันอาจจะเห่าคนที่เดินผ่านไปมาหน้าบ้านเท่านั้น หลังจากที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้ว คุณ Ambrose ก็ตัดสินใจที่จะลุกไปเข้าห้องน้ำซักหน่อย แต่เธอก็ต้องตกใจหลังจากนั้นไม่นานก็พบว่าถุงน้ำคร่ำของเธอแตกแล้ว เลือดจำนวนมากค่อยๆ ไหลออกมา ดูเหมือนว่าจะต้องทำคลอดก่อนกำหนด สามีของเธอเห็นดังนั้นก็รีบพาไปยังโรงพยาบาลใกล้บ้านอย่างด่วนที่สุด และคุณหมอก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมเพื่อช่วยชีวิตของเจ้าตัวน้อยออกมา คุณหมอได้ให้ข้อมูลว่าถ้าคุณแม่ถูกพามาที่โรงพยาบาลช้ากว่านี้อีกซักนิดล่ะก็เรื่องมันอาจจะจบลงไม่สวยแบบนี้ก็เป็นได้ คุณ Ambrose ปลอดภัยและได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้หลังจากวันเกิดเหตุประมาณ 2 เดือนหลังจากนั้น พร้อมกับสมาชิกคนใหม่ที่ชื่อว่า Oliver คุณ Ambrose เชื่อว่าเจ้า Lola…
-
หนุ่มถูกเตือนว่าระวังโจรล้วงกระเป๋าในสเปน งานนี้เขาจึงคิดวิธีแก้เผ็ด เอาซะมุ้งมิ้ง!!
การเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วเจอโจรล้วงกระเป๋า มันคงเป็นอะไรที่โคตรเซง และโคตรซวยสำหรับนักท่องเที่ยวไม่น้อย เพราะไหนจะมีทั้งเงิน และบัตรสำคัญต่างๆ ในกระเป๋าอยู่เต็มไปหมด เฮ้อ…แค่คิดก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวแล้ว เหมือนดังเช่นชายคนนี้ ที่ได้วางแผนเดินทางไปท่องเที่ยวที่เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน แต่ก่อนที่จะไปถึงที่หมายนั้นเขาได้รับคำเตือนมากมายเกี่ยวกับโจรล้วงกระเป๋าที่นั่น เพราะฉะนั้นแล้ว เขาจึงปิ๊งไอเดียสุดแจ่มโดยการคิดหาวิธีแก้เผ็ดหัวขโมยซะเลย บอกเลยว่างานนี้หากหัวขโมยคนไหนที่ตกเป็นเหยื่อหนุ่มคนนี้ จะต้องมีหัวเสียบ้างแน่นอน เริ่มจากการหาซื้อกระเป๋าราคาถูกๆ มาสักใบ พร้อมกับการ์ดดนตรีชิคๆ กากเพชรอีกสักหนึ่งขวด จะได้ดูเป็นการแก้เผ็ดที่ฟรุ้งฟริ้ง จากนั้นก็นำการ์ด พร้อมกับกากเพชรใส่ลงไปในกระเป๋า และพยายามทำให้กระเป๋าของคุณดูปกติที่สุด ทีนี้ล่ะ!! เมื่อโจรเปิดกระเป๋าออกมา…ผ่างงงงง การ์ดดนตรีก็จะเริ่มบรรเลงเพลง พร้อมมีกากเพชรตกลงมาแบบนี้… เรียกได้ว่าเป็นไอเดียที่เจ๋ง และน่านำเอาไปใช้เหมือนกันนะเนี่ย งานนี้เล่นเอาหัวขโมยมีเงิบแน่นอน ฮร่าๆ ที่มา : boredpanda
-
เปิดข้อมูลวิจัยการเติมน้ำดื่มจากขวดเดิมซ้ำๆ โดยไม่ล้าง สกปรกกว่าเอาลิ้นเลียฝาชักโครก!?
เชื่อว่าหลายๆ คนที่ชื่นชอบการออกกำลังกายคงมีขวดน้ำหรือแก้วน้ำเป็นของตัวเอง แล้วก็ใช้มันเติมน้ำใช้ต่อกันอยู่บ่อยๆ เพราะคิดว่ามันคงไม่เป็นอะไร ใครๆ เค้าก็ทำกัน (รวมถึงเราก็ทำกันอยู่บ่อยๆ แถมไม่ล้างด้วย) แต่หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้วการใช้ขวดน้ำใบเดิมซ้ำๆ นั้นจะส่งผลให้เพิ่มปริมาณเชื้อโรคสะสม แล้วถ้าเราดื่มบ่อยๆ ก็อาจทำให้เราป่วยได้เลยทีเดียวล่ะ ทีมวิจัยจาก Treadmillreviews ได้เผยข้อมูลที่พวกเขาได้ทำการศึกษา ก็พบว่าการดื่มน้ำจากขวดน้ำที่ใช้ซ้ำโดยไม่ล้างนั้นก็เปรียบเสมือนกับเราเอาลิ้นไปเลียชักโครกยังไงยังงั้นเลย นักวิจัยได้ทำการทดลองตรวจสอบปริมาณเชื้อโรคจากขวดน้ำของนักกีฬาที่ใช้งานมาหนึ่งสัปดาห์ในห้องแล็บ และพบว่าเจ้าขวดนั้นมีตัวเลขของแบคทีเรียสูงมาก โดยมีมากถึง 900,000 CFU (หน่วยที่ได้จากวิธีตรวจนับปริมาณจุลินทรีย์) ต่อตารางเซนติเมตรเลยทีเดียว ซึ่งมีจำนวนมากกว่าค่าเฉลี่ยที่ตรวจพบบนฝาชักโครกซะอีก นั่นทำให้พวกเขาเกิดคำถามและตั้งขึ้นมาต่อสังคมว่า แล้วเราจะยอมเอาปากของเราไปสัมผัสกับปากขวดที่ใช้งานอยู่อีกหรือ?? (แค่คิดก็หยึยแล้ว) ค่าเฉลี่ยของเชื้อโรคที่อยู่บนขวดน้ำที่ใช้สำหรับออกกำลังกายของคนทั่วไปก็คือ 313,499 CFU ต่อตารางเซนติเมตร ซึ่งมันมากเกินกว่าที่จะนำขวดนั้นมาสัมผัสกับปากของเราได้แล้ว นักวิจัยได้ทำการทดลองกับชนิดของขวดน้ำสำหรับออกกำลังกายในแต่ละแบบแตกต่างกันออกไป และก็ได้ผลออกมาว่า ขวดที่มีฝาแบบสไลด์มีค่าแบคทีเรีย 933,340 CFU ต่อตารางเซนติเมตร ขวดแบบมีจุกดูดมีค่าแบคทีเรีย 161,971 CFU ต่อตารางเซนติเมตร ขวดแบบฝาเกลียวมีค่าแบคทีเรีย 159,060 CFU ต่อตารางเซนติเมตร และขวดแบบมีหลอดมีค่าแบคทีเรีย…
-
ลองเปลี่ยนเซเลปดังให้ ‘อ้วนฉุ’ หวังให้สังคม ตระหนักถึงปัญหาสุขภาพที่ตามมา!!
ถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากอ้วนหรอกจริงมั้ย?? ดูอย่างดาราดังหลายๆคน ต่างมีหุ่นที่ผอมเพรียว ล่ำบึก ใครๆ ต่างอยากมีหุ่นเหมือนกับพวกเค้า แต่ในขณะเดียวกัน กลับไม่ดูแลตัวเอง ปล่อยให้ร่างกายอ้วนจนมีปัญหาสุขภาพ เพื่อให้คนเราตระหนักว่า โรคอ้วน ไม่ได้ส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่มันยังทำให้เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพด้วย ดังนั้นศิลปินหลากหลายคน จึงร่วมกันตัดต่อรูปดาราดังทั้งหลายให้กลายมาเป็นคนอ้วน Taylor Swift โดย Fichtenbrenner Superman โดย Dolphinsdock Amy Winehouse โดย ThreeProngs Christina Aguilera โดย Sudiptatatha Jennifer Aniston โดย Baechi Catherine Zeta-Jones โดย Sbalou 96 Cameron Diaz โดย Chrisboo1974 Taylor Lautner โดย LikeAPeach …
-
รู้ไว้เถอะว่า การปล่อย ‘สัตว์เลี้ยง-เด็ก’ ไว้ในรถร้อนๆ มันจะมีอุณหภูมิสูงขนาดไหน!?
หากเราได้ติดตามข่าวบ่อยๆ ในหน้าร้อน เรามักจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับ การปล่อยเด็กไว้ในรถ จนทำให้เด็กเสียชีวิต หรือต้องทุบกระจกช่วยเหลือออกมา เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเกิดจากความสะเพร่า ไม่ทันระวัง สุดท้ายก็ต้องเจอกับความสูญเสีย และเรื่องที่ #เหมียวขี้ส่อง จะไปพาไปดูวันนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในหน้าร้อนเช่นกัน ไม่ใช่กับคน แต่เป็นสุนัข เรื่องนี้จะเป็นสิ่งที่จะย้ำเตือนให้เราระวังมากขึ้น หากเราเลี้ยงหมาด้วย เรายิ่งต้องใส่ใจให้มากๆ RSPCA (Royal Society for the Prevention of Cruelty to Animals) ได้เปิดเผยภาพของ Rottweilers 2 ตัวที่ถูกปล่อยไว้ในรถ ในขณะที่เจ้าของอยู่ในงานเทศกาล Creamfields โดยการเปิดเผยภาพนี้ เพื่อจะเตือนคนที่เลี้ยงหมาทั้งหลายว่า มันอันตรายแค่ไหน หากคุณปล่อยหมาไว้ในรถ โฆษกบอกว่า “อย่าปล่อยหมาของคุณไว้ในรถ หรือ ในห้องที่ปิดด้วยกระจก หรือที่ไหนก็ตามมีทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว” ตัวอย่างเช่น ‘อุณหภูมิข้างนอก 22 องศา แต่แค่ไม่ถึงชั่วโมง มันจะทำให้อุณหภูมิในรถสูงถึง 47 องศา ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่อาจทำให้ถึงตายได้’ ภาพนี้แสดงถึงให้เห็นถึงความน่ากลัวของอุณหภูมิที่ Rottweilers…
-
ปลอมทุกอย่าง!! ชาวญี่ปุ่นเตือน อย่างหลงเชื่อพระญี่ปุ่นเรี่ยไรเงิน แท้จริงเป็นชาวจีนปลอมตัวมา!!
ประเทศจีนนั้นถือว่าเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำของเลียนแบบ ว่ากันว่าพิมพ์เขียวของสิ่งของทุกอย่างบนโลก สามารถหาได้จากโรงงานในจีน แต่วันนี้ของจีนถือว่าพัฒนาไปอีกขั้นแล้ว เพราะไม่เพียงแต่ปลอมแค่สิ่งของเท่านั้น แต่พวกเขายังปลอม “พระ” อีกด้วย!! เรื่องราวมีอยู่ว่า เฟสบุ๊คของคุณ Akihiro Koki Tomikawa ได้ออกมาเตือนนักท่องเที่ยวที่กำลังจะไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นว่า อย่าหลงเชื่อพระญี่ปุ่นที่ออกมาเรี่ยไรเงินตามสถานที่ท่องเที่ยว เพราะแท้ที่จริงแล้วเป็นเกษตรกรชาวจีนปลอมตัวมา!! 日本で出没するニセ僧呂に注意(拡散希望) โปรดระวังพระสงฆ์ปลอมที่ญี่ปุ่นนะครับ (แชร์กันด้วยนะครับ) 中国は現在さまざまなコピーを作り出し輸出して国際問題になっていますが、今回僧侶のコ… โพสต์โดย Akihiro Koki Tomikawa บน 3 พฤษภาคม 2016 โดยชาวจีนเหล่านั้น โกนผมและแต่งตัวเหมือนพระญี่ปุ่น และคอยขายของอ้างว่านำเงินไปทำบุญตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เมื่อนักท่องเที่ยวเห็น ก็หลงเชื่อซื้อของบริจาคเงินกันไป ตอนนี้ทางตำรวจญี่ปุ่นได้จับกุมพระปลอมบางส่วนได้แล้ว ซึ่งทางตำรวจพบว่า พวกเขาสามารถหลอกเงินไปได้ถึง 450,000 เยนหรือนราว 150,000 บาทภายในระยะเวลาเพียง 10 วันเท่านั้น แบบนี้ก็มีด้วย ใครจะไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงนี้ก็ขอให้ระมัดระวังนะฮะ ตรวจสอบกันดีๆ ซะก่อน อย่าเพิ่งหลงเชื่อ ไม่งั้นอาจตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่ประสงค์ดีเหล่านี้ก็เป็นได้ ที่มา Akihiro…
-
ก้มหน้ากันนัก เยอรมนีเลยติดไฟสัญญาณคนข้ามไว้ที่พื้น อำนวยความสะดวกซะเลย!!
ว่ากันว่ายุคปัจจุบัน เป็นยุคของสังคมก้มหน้า ไม่ว่าจะไปทางไหน เราก็เห็นคนก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์สมาร์ทโฟนในมือโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ซึ่งมันคงจะไม่มีปัญหาอะไร หากพวกเขาไม่เดินไปก้มหน้าไป เพราะมันอาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้ ทาง Stadtwerke Augsburg บริษัทด้านพลังงานและสาธารณูปโภคพื้นฐานในประเทศเยอรมันนีเล็งเห็นถึงปัญหานี้ จึงติดตั้งสัญญาไฟข้ามถนนลงบนพื้น เพื่อคอยเตือนคนที่ชอบเดินก้มหน้าโดยไม่มองถนน!! โดยไฟจราจรดังกล่าวเป็นไฟ LED ที่เจาะฝังลงไปในพื้นดิน ซึ่งจะเชื่อมกับสัญญาไฟจราจรบริเวณนั้นๆ หากไฟจราจรเป็นสีแดง ไฟ LED ที่พื้นก็จะกลายเป็นสีแดง เพื่อเตือนไม่ให้ข้ามถนน แน่นอน พวกเขาออกแบบไฟมาเป็นอย่างดี เพื่อให้แสงแยงตาของผู้ที่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์โดยตรง ชนิดที่ว่าคนที่ไม่เห็น คงมีแต่คนตาบอดเท่านั้นแหละ!! ลองไปชมวิดีโอสาธิตกันดีกว่า ว่าไฟตัวนี้ทำงานยังไง ดูเค้าใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ดีนะฮะ ถ้าแก้พฤติกรรมคนไม่ได้ ก็ทำเท่าที่ได้ไปก่อนละกัน ส่วนประเทศเรานั้น คงต้องรออีกซักพักใหญ่ๆ เลยละ่ ถึงจะมีอะไรแบบนี้ (หรืออาจไม่มีเลย ฮาาา) ที่มา Huffingtonpost
-
โฆษณารณรงค์ไม่เล่นมือถือในสถานีรถไฟใต้ดินของญี่ปุ่น ‘ใครเผลอเล่นเรียกให้รู้ตัวทันที’
ในยุคที่ใครๆ ต่างก็สนใจแต่สิ่งที่อยู่ในหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ ของตน โดยที่ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้างเลยนั้นก่อให้เกิดอันตรายมานักต่อนักแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศญี่ปุ่นที่ถือว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ก็ยังประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นอยู่บ่อยๆ อันเกิดมาจากการเล่นสมาร์ทโฟน อย่างเช่นในกรณีการใช้บริการรถสาธารณะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่นเช่น รถไฟและรถไฟใต้ดินนี้ เมื่อเดินทางมาถึงสถานี เข้าสู่ชานชาลาเพื่อรอขบวนต่อไป มักจะหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเล่นในระหว่างที่กำลังเดินไปด้วย โดยไม่สนใจอะไรเลย มีสมาธิจดจ่ออยู่แค่หน้าจอ ลักษณะเดินก็เหมือนหุ่นยนต์ อาจจะเดินชนคนข้างหน้าหรือไม่ก็เดินตกลงไปในชานชาลาก็เป็นได้ ในการนี้ทางบริษัทรถไฟใต้ดิน Hanshin Electric Railways ก็ได้ทำการจัดทำโฆษณารณรงค์ชุดนี้ขึ้นมา โดยที่ทำการติดตั้งกล้องและไมโครโฟนเอาไว้ในบริเวณชานชาลา เพื่อทำการเตือนสติให้กับผู้โดยสารที่เข้ามาใช้บริการแบบไม่ระวังตัวมัวแต่เล่นสมาร์ทโฟน เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นว่ามีผู้โดยสารกระทำพฤติกรรมเสี่ยงอันตรายปุ๊บ ก็จะประกาศเตือนให้รู้ตัวทันทีเลย อย่างเช่น ‘คุณที่ใส่เสื้อสีชมพู การเดินแล้วพิมพ์ข้อความไปด้วยมันอันตรายนะ!’ และ ‘ในขณะนี้มีคุณแม่กำลังเข็นรถเข็นเด็กแล้วก็เล่นสมาร์ทโฟนไปด้วยในบริเวณชานชาลา’ เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการเตือนสติให้กับบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยงอันตรายให้เลิกทำซะ อาจจะเป็นการเตือนที่รุนแรงทำให้ขายหน้า แต่ก็ได้ผลดี ทำให้รู้สึกละอายใจและไม่ทำแบบนี้อีก ที่มา : rocketnews24