Tag: เหยียดผิว
-
สาวโทรแจ้งตำรวจ เพราะเห็น ‘หนุ่มผิวสี’ พยายามไขกุญแจรถของตัวเขาเอง!?
เรื่องราวของชายผิวสีคนหนึ่ง ที่กำลังพยายามจะไขกุญแจรถของตัวเอง แต่กลายเป็นว่ามีผลเมืองผิวขาว ‘โทรศัพท์แจ้งตำรวจ’ เพราะกลัวว่าเขาจะเป็นขโมยซะงั้น!? นาย Corvontae Davis กำลังจอดรถและจ่ายค่าที่จอดรถในเมือง Milwaukee รัฐวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่แล้วจู่ๆ ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรแจ้งตำรวจ เพราะคิดว่านาย Davis กำลังจะขโมยรถ!! เหตุการณ์ดังกล่าวถูกบันทึกเอาไว้โดยนาย Davis เอง มีพยานผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่าเขาพยายามที่จะเปิดประตูรถยี่ห้อ Ford Mustang ปี 2016 ด้วยรีโมตเปิดรถแบบที่ไม่ใช้กุญแจ เขาพยายามเปิดประตูรถจากทั้งสองฝั่ง สักพักถึงจะเปิดได้ แต่แล้วหญิงสาวคนนั้นก็เดินผ่านมา แทนที่เธอจะเดินเข้าไปถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น ดันเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนที่จะโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ บอกว่า Davis กำลังพยายามขโมยรถ!? “ผมรู้สึกอับอายมาก ผมทำงานในรัฐวิสคอนซิน เป็นพนักงานคุมเรือนจำ แต่กลับถูกกระทำแบบนี้ มันรู้สึกแย่มากๆ เลยล่ะ” Davis กล่าว แต่เขาก็อยู่รอจนตำรวจมาถึง “เธอยืนอยู่ตรงนั้นแป๊บนึง ก่อนที่ตำรวจจะมาถึงเธอก็เดินหนีไป และไม่ยอมมาให้ปากคำกับตำรวจ หรือเข้ามาคุยกับผมเลยแม้แต่น้อย” “ผมต้องอธิบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าใจถึงสถานการณ์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” …
-
พนักงานร้อยคนเลิกทำงาน เพราะเพื่อนร่วมงาน ถูกนายจ้าง ‘เหยียดผิว’ และ ‘ไล่ออก’!!
ในยุคปัจจุบันที่โลกของเราพัฒนาความคิดเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ ทางเชื้อชาติ มาจนถึงขนาดที่ว่ายอมรับซึ่งกันและกันได้แล้ว นั่นทำให้พฤติกรรมต่างๆ ที่ส่อแววให้เห็นถึงความเหยียด การไม่ยอมรับกับความหลากหลายเหล่านั้น มักจะกลายเป็นเรื่องที่คนในสังคมไม่สามารถยอมรับได้ เช่นเดียวกันกับเรื่องราวต่อไปนี้เมื่อพนักงานคนหนึ่งในบริษัทถูกเหยียดสีผิวและถูกไล่ออก พนักงานคนอื่นๆ ก็เลยหยุดทำงานแล้วก็เดินออกจากบริษัทไปทั้งอย่างนั้นเลย เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ถูกบันทึกเอาไว้โดยนาย Antoine Dangerfield วัย 30 ปี เขาโพสต์วิดีโอดังกล่าวลงบนโลกโซเชียลพร้อมกับแคปชันว่า “ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน…พวกเขาคงคิดว่าจะทำเ*ยอะไรกับคนเม็กซิกันในที่ทำงานของผมก็ได้ โดนไปซะ!!” ตามรายงานระบุเอาไว้ว่าเหตุเกิดในอินเดียนาโปลิส รัฐอินเดียนา สหรัฐฯ ที่โรงเก็บพัสดุของ UPS แต่แล้วจู่ๆ พนักงานหลายคนก็ทิ้งงานของตัวเองแล้วเดินออกมามากกว่า 100 คน!! เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเจ้านายที่กระทำการเหยียดเชื้อชาติเพื่อนร่วมงานของพวกเขา Antoine เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า “มีหนึ่งในเจ้านายคนหนึ่งของเราที่ชอบเหยียดทุกคนที่ไม่ใช่คนผิวขาว เวลาที่เขามาตรวจงานพวกเราจะบอกกันว่าให้ระวังเอาไว้ เพราะเขามักจะคอยมาหาเรื่องเราตลอดเพื่อให้ถูกไล่ออก” “แล้ววันนั้นจู่ๆ เขาก็บอกให้พนักงานเม็กซิกันคนหนึ่งที่พูดภาษาอังกฤษได้ช่วยแปลคำพูดของเขา ให้กับคนเม็กซิกันอีกคนฟัง แล้วก็เป็นคำพูดที่ไม่ดี แต่พนักงานคนนั้นไม่ยอมทำ เจ้านายก็เลยโมโหแล้วไล่เขาออก” “จากนั้นเขาก็เดินไปไล่พนักงานที่เป็นเม็กซิกันออกทีละคน ทีละคนประมาณ 5 ถึง 6 คนได้” ชาวเน็ตหลายคนที่ได้เห็นคลิปวิดีโอเหตุการณ์นี้ต่างก็แสดงความเห็นชื่นชมเหล่าคนงาน ยูทูบเบอร์รายหนึ่งกล่าวว่า “ผมชอบมากเลย…
-
หญิงโทรแจ้งตำรวจ…เพราะเห็นชายผิวสี ‘ไขประตูเข้าบ้านของเขาเอง’!? เงิบสิครับ
จากเหตุการณ์ หญิงสาวโทรแจ้งตำรวจเพราะครอบครัวผิวสีจัดปาร์ตี้บาร์บีคิวในสวนสาธารณะ ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน กลายเป็นประเด็นที่ชาวเน็ตมากมายให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และล่าสุดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมาก็มีรายงานข่าวลักษณะเดียวกันผ่านทางเว็บไซต์เดลี่เมล ระบุว่ามีผู้หญิงผิวขาวรายหนึ่งโทรแจ้งตำรวจ หลังเห็นชายผิวสีพยายามไขกุญแจเข้าบ้านที่อยู่ข้างๆ บ้านของเธอ แต่เรื่องมันพีคตรงที่ว่า บ้านหลังนั้นเป็นของ ‘ชายผิวสี’ คนดังกล่าว ที่เพิ่งซื้อมาเมื่อไม่นานมานี้เอง!! นาย Michael Hayes เจ้าของบ้านหลังดังกล่าวได้ทำการถ่ายคลิปวิดีโอเหตุการณ์เอาไว้และโพสต์ลงเว็บไซต์ยูทูบ จนมีคนให้ความสนใจและเข้ามาชมมากกว่า 1.4 ล้านครั้ง เขาเล่าในคลิปว่าหญิงสาวคนดังกล่าวบอกว่าเขาไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ที่นี่ และขอให้เขาย้ายออกไปเสีย “เพื่อนบ้านวิ่งออกมาที่หน้าบ้าน ขณะที่ผมกำลังพยายามที่จะเปิดประตูบ้าน แล้วตะโกนว่า ‘มึ*ทำเหี้*อะไร!?’” “ผมพยายามอธิบายให้เธอฟังอย่างใจเย็นว่าผมมีหลักฐานการเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้นะ ที่มานี่ก็เพราะว่าผมจะตรวจดูบ้านเท่านั้นเอง” เขาเขียนเล่าตอนต้นคลิปวิดีโอ Hayes เล่าต่อว่าเธอกรี๊ดใส่เขาแล้วก็โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ “เธอโกหกว่ารู้จักกับเจ้าของบ้าน และเจ้าของบ้านที่เธอรู้จักก็ไม่ชอบให้ใครมาทำอะไรกับบ้านหลังนี้ อย่างไรก็ตามผมมีหลักฐานมายืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรว่าผมสามารถเข้าบ้านหลังนี้ได้” “เธอโทรแจ้งตำรวจต่อหน้าผม ผมก็เลยตัดสินใจที่จะรอพวกเขามา เพราะผมไม่มีอะไรปิดบัง” เขาถ่ายคลิปวิดีโอขณะรอเจ้าหน้าที่ตำรวจมา ขณะเดียวกันผู้หญิงคนดังกล่าวก็ตะโกนด่าเขาจากระเบียงบ้าน “รีบเข้าไปในบ้านแล้วก็ขโมยของที่แกต้องการไปซะ เร็วๆ เข้า รีบหน่อย!! เสร็จแล้วก็รีบหนีไปซะ”…
-
ชาวเมืองโอ๊คแลนด์รวมตัวออกมาจัด ‘ปาร์ตี้บาร์บีคิว’ ณ จุดเกิดเหตุ ‘สาวโทรแจ้งตำรวจ’
สืบเนื่องจากประเด็นเรื่องการเหยียดผิวของ หญิงสาวที่โทรแจ้งตำรวจเพราะครอบครัวผิวสีจัดปาร์ตี้บาร์บีคิวในสวนสาธารณะ เข้าไปอ่านข่าวเก่าได้ที่ : สาวโทรแจ้งตำรวจ เพราะเห็น ‘ครอบครัวผิวสี’ มาจัดปาร์ตี้บาร์บีคิวในสวนสาธารณะ ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2018 เว็บไซต์เดลี่เมล ได้รายงานว่ามีความเคลื่อนไหวของชาวเมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ร่วมกันออกมาปิ้งบาร์บีคิวจัดปาร์ตี้กันที่ริมทะเลสาบ Merritt กันเป็นจำนวนมาก ซึ่งริมทะเลสาบนั้นเป็นสถานที่เกิดเหตุที่ครอบครัวผิวสี ถูกหญิงสาวโทรแจ้งตำรวจว่าพวกเขามาปิ้งบาร์บีคิวพร้อมกับใช้ถ่าน โดยอ้างว่าสถานที่นั้นห้ามใช้ถ่านปิ้งบาร์บีคิว จนกลายเป็นกระแสโด่งดังไปทั่วโซเชียล ชาวเน็ตหลายคนที่ได้ชมคลิปเหตุการณ์ดังกล่าวต่างก็ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งกับการกระทำของหญิงสาว ตามรายงานระบุว่าในคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ชาวเมืองโอ๊คแลนด์จำนวนมากออกมาปิ้งย่างกันอย่างสนุกสนาน พร้อมกับมีการอัปคลิปวิดีโอเหตุการณ์ดังกล่าวลงโซเชียลเน็ตเวิร์ก มีการแคปชั่นคลิปวิดีโอเอาไว้ว่า “นี่คือสิ่งที่คนผิวสีในโอ๊คแลนด์ทำ เมื่อหญิงสาวผิวขาวโทรแจ้งตำรวจ เพราะเห็นครอบครัวผิวสีจัดปาร์ตี้บาร์บีคิว” จากในคลิปวิดีโอจะพบว่าในกลุ่มคนที่มาร่วมงานปาร์ตี้ประกอบไปด้วยทั้งคนผิวสี และผิวขาวมากมาย หลังจากที่ชาวเน็ตคนอื่นๆ ที่ได้เห็นคลิปวิดีโอเหตุการณ์นี้ ก็ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า “หญิงสาวคนนั้นทำให้เกิดคลื่นพลังที่ออกมาต่อต้านและสิ่งนี้เลยเกิดขึ้นมา ขอขอบคุณความเกลียดชังของเธอนะ” คลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างน้อยก็ทำให้เห็นว่า เรื่องของการ ‘เหยียดผิว’ นั้นไม่ได้เป็นที่ยอมรับของคนจำนวนมาก และผู้คนก็ออกมาทำอะไรบางอย่างที่แสดงให้เห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่มา : dailymail,…
-
สาวโทรแจ้งตำรวจ เพราะเห็น ‘ครอบครัวผิวสี’ มาจัดปาร์ตี้บาร์บีคิวในสวนสาธารณะ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัญหาการเหยียดผิวในประเทศอเมริกานั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ และเรามักจะเห็นตามข่าวอยู่บ่อยๆ เช่นเดียวกันกับเรื่องราวที่ #เหมียวหง่าว จะหยิบมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังต่อไปนี้… เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2018 เว็บไซต์เดลี่เมลรายงานว่าหญิงสาวคนหนึ่งถูกถ่ายคลิปวิดีโอขณะกำลังโทรแจ้งตำรวจ เพราะมีครอบครัวผิวสี มาย่างบาร์บีคิวกินกันอย่างมีความสุขที่สวนสาธารณะในเมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ตามรายงานระบุว่า หญิงสาวคนดังกล่าวบอกว่าครอบครัวนั้นใช้ถ่านในการปิ้งย่างบาร์บีคิว ซึ่งสถานที่ตรงนั้นอยู่ข้างทะเลสาบ Merritt และเป็นสถานที่ที่อนุญาตให้ทำการปิ้งย่างได้ หนึ่งในผู้อยู่ในเหตุการณ์ชื่อว่า Michelle Snider พบเห็นความปกติ และคิดว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจะสร้างความรังควานให้กับครอบครัวผิวสี ด้วยการโทรศัพท์แจ้งตำรวจ เธอก็เลยถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้ คลิปวิดีโอถูกนำไปโพสต์ลงโซเชียล และได้รับความสนใจจากชาวเน็ตเป็นจำนวนมาก ในคลิปดังกล่าว Snider ถามคำถามกับหญิงสาวที่โทรแจ้งตำรวจว่า “ทำไมคุณถึงโกรธนัก ที่พวกเขามาย่างบาร์บีคิวกันตรงนั้น?” ทางด้านหญิงสาวก็ตอบว่า “เพราะมันสร้างค่าใช้จ่ายให้กับเมืองของเรา เมื่อเด็กๆ ได้รับบาดเจ็บจากถ่านที่พวกเขาใช้ในการปิ้งย่าง” พอโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปได้สักพักหญิงสาวก็เดินหนีไปหาตำรวจที่อยู่ตรงร้านขายของชำที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่ง Snider ก็เดินถ่ายคลิปตามไปด้วย จากนั้นหญิงสาวก็เริ่มร้องไห้ และบอกเจ้าหน้าที่ว่าเธอ ‘ถูกคุกคาม’ เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวก็เข้าไปไกล่เกลี่ยสถานการณ์ และไม่ได้ทำการปรับครอบครัวผิวสีแต่อย่างใด พื้นที่ริมทะเลสาบ Merritt…
-
สตรีมเมอร์สาว ทำโยคะกับ ‘แฟนหนุ่มชาวเอเชีย’ กลับถูกกลุ่มคนเข้ามารุมคอมเมนต์ ‘เหยียด’
บนโลกนี้มีปัญหาเกี่ยวกับเพศ วัฒนธรรมหรือชาติพันธุ์กันมากมาย แต่หนึ่งในปัญหาสำคัญที่เรายังไม่สามารถแก้ไขได้ก็คือการเหยียด ปัญหาการเหยียดจริงๆ แล้วมีมานมนานมากแล้วตั้งแต่อดีตกาล ตั้งแต่สมัยประเทศไทยยังมีทาสหรือต่างประเทศยังมีการล่าอาณานิคมอยู่ ซึ่งการเหยียดก็ได้ลามมาถึงปัจจุบัน โดยที่ Lisa Vannatta สตรีมเมอร์เว็บไซต์ Twitch ชื่อดังที่รู้จักกันในนาม STPeach เธอและแฟนหนุ่มของเธอได้ตกเป็นเป้าของการเหยียดหลังจากที่ได้โพสต์วิดีโอการทำ Couples Yoga Challenge หรือโยคะคู่รักนั่นเอง “Couples Yoga Challenge” คือคำท้าทายที่เป็นเทรนด์ไปทั่วโลกออนไลน์ โดยที่จะให้คู่รักแต่ละคู่มาถ่ายวิดีโอการทำโยคะด้วยกัน และอัปโหลดลงในโซเชียลมีเดียอย่างยูทูบหรือเฟซบุ๊ก และแน่นอนว่า STPeach และ Jay แฟนหนุ่มได้ตกลงยอมรับคำท้าครั้งนี้และก็พร้อมถ่ายวิดีโอและอัปโหลดลงในยูทูบเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2018 ที่ผ่านมา แต่ ณ เวลาที่วิดีโอได้ถูกอัปโหลดลงในยูทูบแทนที่จะมีคนเข้ามาชื่นชมกลับกลายเป็นมีคนเข้ามาเหยียดแฟนของเธอกันเต็มไปหมด รวมถึงในอินสตาแกรมส่วนตัวของเธอด้วย เราจะยกตัวอย่างมาให้ได้ชมกันครับ “เชี่ยนี่แม่งโชคดีฉิบหายเลยว่ะ แต่ตูเดาว่ามันไม่รู้วิธีเยหญิงด้วยซ้ำ” “คนทรยศต่อชาติพันธุ์! ฉันขอให้เธอถูกแทงข้างหลัง กระปู๋ของฉันใหญ่กว่าเจ้าหมอนั่นแน่นอน” “เชี่ยจีนเอ๊ย” ซึ่งคนที่เข้ามาร่วมเหยียดไม่ใช่มีเพียงชาวอเมริกาอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีชาวสเปนที่เข้ามาร่วมให้ความเห็นในเชิงที่บอกว่าไอ้ชาวเอเชียคนนี้มันโชคดีสุดๆ ไปเลยว่ะ .…
-
ผู้กำกับ Thor 3 ออกมาบอกว่าประเทศนิวซีแลนด์บ้านเกิดของเขา มีนิสัยชอบ ‘เหยียด’ สุดๆ
ปัญหาการเหยียดชาติพันธ์ เหยียดสีผิว เหยียดอะไรก็ตามนั้นยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นทุกมุมโลก ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน คนจะออกมาพูดความเท่าเทียมเพียงใด หรือแม้แต่ประเทศที่ใครก็บอกว่าน่าอยู่แค่ไหนก็ยังคงมีการเหยียดอยู่เช่นเคยไม่เปลี่ยน นิวซีแลนด์ ประเทศที่ใครๆ ก็พากันบอกว่าการศึกษาดี ภูมิทัศน์สวยงามน่าอยู่นั้น เราเชื่อไหมว่าประเทศดังกล่าวนั้นมีการเหยียดชาติพันธ์อย่างจริงจังอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ถูกบอกเล่าโดย Taika Waititi ผู้กำกับ Thor 3 อันโด่งดังและยังเป็นคนนิวซีแลนด์แท้ๆ แถมยังเป็นชาวมาวรีขนานแท้ด้วย โดยเขาบอก ประเทศของเขานั้นมีนิสัยเหยียดสุดๆ เพราะถ้าคุณเป็นชนพื้นเมืองพวกเขาก็จะมองคุณต่างออกไป หรือแม้แต่การเป็นคนท้องที่เดียวกันก็ยังโดนเลย เขาได้ให้สัมภาษณ์กับทาง Dazed ว่า “ผมคิดว่านิวซีแลนด์คือประเทศที่สุดยอดที่สุดในโลก แต่เป็นเรื่องของการเหยียดนะ เพราะที่นี้มีการเหยียดที่แบบสุดๆ แม้พวกเขาจะรู้ว่าชนเผ่าเมารีอ่านออกเสียงยังไง แต่พวกเขาก็จะปฎิเสธที่จะอ่านให้มันถูกเสมอ และถ้าคุณเป็นชาวโพลีนีเซียน มันจะมีการวิเคราะห์รูปร่างหน้าตาเสมอ มันไม่เกี่ยวกับสีผิวหรอกนะ แต่แบบว่า ทุกคนจะพยายามมองคุณแล้วสังเกตรายละเอียดให้ได้มากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้” ยังไม่หมดเท่านั้น เขาบอกว่าชาวออกแลนด์จะรู้สึกผิดต่อพฤติกรรมในอดีตของบรรพบุรุษเกินควร โดยเฉพาะเวลาที่ชาวออกแลนด์เจอชนเผ่าพื้นเมือง พวกเขามักเข้ามาพูดประมาณว่า “นี่พวกเธอสบายดีนะ พวกเธอเติบโตมาอย่างดีใช่ไหม แล้วชนเผ่าของพวกเธอโอเคใช่ไหม” ด้วยเหตุนี้ Taika จึงพยายามหาทางที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวให้ได้ โดยเขาได้เข้าร่วมแคมเปญต่อต้านการเหยียดในนิวซีแลนด์ขึ้น และเจ้าตัวก็หวังว่ามันจะช่วยเปลี่ยนอะไรบางอย่างในประเทศได้ไม่มากก็น้อยนั่นเอง… …
-
แม้ทั่วโลกชอบ แต่จีนไม่ชอบ กับหนังราชาเสือดำเพราะตัวหนังมันดำเกินไป ทั้งคน ทั้งฉาก!!
แม้ว่าหนังเร่ือง Black Panther จะมีกระแสตอบรับที่ดีในหลายๆ ประเทศๆ ทั่วโลกแถมทำเงินไปแล้วกว่า 1 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ แต่กระแสมันกลับไม่ดีอย่างที่ควรเมื่อหนังเริ่มฉายในประเทศจีน… รายงานดังกล่าวนั้นเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์รีวิวหนังหลายสำนักของจีน ซึ่งคนจีนส่วนใหญ่ล้วนให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ตัวหนัง Black Panther มันมีความดำที่มากจนเกินไป ไม่ว่าจะฉากในเรื่องหรือนักแสดงเองก็ตาม ยกตัวอย่างคอมเมนต์จากทางเว็บไซต์ Douban ที่มีมีชาวเน็ตเข้ามารีวิวหนังว่า “บางทีคนจีนคงจะไม่เหมาะกับหนังที่มีแต่คนดำ” และ “หนังมีแต่คนดำเต็มไปหมด แล้วไหนจะโทนหนังที่มีสีมืดๆ อีก มันเล่นเอาทรมานสายตามากๆ สำหรับฉันที่ดูในแบบ 3มิติ” หรือจากเว็บไซต์ Quartz ที่บอกว่า “Black Panther ก็ดำ นักแสดงหลักก็ดำ ฉากส่วนใหญ่ก็ดำ ยิ่งซีนที่วิ่งไล่ตามรถก็ดำ คือตรงไหนก็ดำไปหมดมันเล่นเอาฉันดูแล้วง่วงนอนมาก” ยังไม่หมดเท่านั้น ในเว็บเดียวกันยังมีรีวิวที่เขียนไว้ว่า “ตอนที่ฉันเข้าไปดูหนังซึ่งมันตรงกับฉากที่ตัวละครผิวสีสู้กันอยู่นั้นมันมืดมากๆ มืดซะจนฉันไม่เคยรู้สึกมืดจนหาที่นั่งไม่ได้แบบนี้มาก่อน” ยังไม่หมดเท่านั้น ในเว็บไซต์ Hip-Hop Wired ก็ยังคงมีชาวจีนเข้ามาคอมเมนต์ไปในทิศทางเดียวกันว่า “ขนาดโรงหนังทำให้จอสว่างมากๆ แล้ว หนังก็ยังดูมืดอยู่ดี”…
-
ช่างภาพสรรค์สร้าง ‘นางแบบผิวสี’ ขึ้นมาโดยใช้โปรแกรม 3D โดนชาวเน็ตหาว่าเหยียดผิว!?
ในโลกโซเชียลมีเดียมีเหล่าคนดังอยู่มากมายที่เกิดขึ้นมา พวกเขาเหล่านั้นมีผู้คอยติดตามอยู่มากมาย บางคนก็เป็นแสน บางคนก็เป็นล้าน หรือหลักร้อยล้านก็มี เช่นเดียวกันกับนางแบบผิวสี Shudu Gram ที่มีผู้ติดตามมากถึง 40,000 คน แต่ติดอยู่ตรงที่ว่าเธอไม่ได้เป็น ‘คน’ แต่เป็นนางแบบดิจิตัลที่สร้างขึ้นมาโดยนาย Cameron-James Wilson หนุ่มชาวอังกฤษ วัย 28 ปี เขาใช้สกิล 3D ที่ร่ำเรียนด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมีการรวบรวมข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต และวิดีโอต่างๆ จากยูทูบ เพื่อสร้าง Shudu ขึ้นมา “Shudu เป็นมุมมองเรื่องความสวยความงามของผมมาตลอด แต่ผมก็คิดว่ามันยังไม่พอ แม้ว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ผู้คนมากมายต่างตั้งคำถามกันมากขึ้นว่าอะไรคือความสวยงามที่แท้จริงกันแน่” “เธอเป็นสิ่งที่ผมหลงใหล หลายสิ่งหลายอย่างที่เราเห็นในโลกโซเชียลมีเดียนั้นเริ่มที่จะห่างไกลจากความจริงไปเรื่อยๆ ด้วยฟิลเตอร์ต่างๆ และการแต่งเติม” “แต่ Shudu เกิดมาจากแนวคิดที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เธอเปรียบเสมือนเทพนิยายที่พยายามจะออกมาอยู่ในโลกแห่งความจริง และผมก็พยายามที่จะช่วยเหลือเธอ” James กล่าวถึงผลงานของเขา นอกจากนี้เขายังบอกอีกว่า สิ่งที่เขาต้องการก็คือการแพร่กระจายข้อความที่ซ่อนอยู่ใต้ผลงานของเขา เพื่อเรียกร้องสิทธิ์และเปลี่ยนมุมมองของผู้คนว่าแท้จริงแล้วคนผิวสีเองก็สวยงามเช่นกัน แน่นอนว่าชาวเน็ตหลายคนพอได้ชมผลงานของเขาแล้ว บางคนก็ชื่นชอบและชื่นชม ส่วนอีกฝ่ายก็ต่อต้านพร้อมให้เหตุผลว่าเขากำลังทำให้นางแบบผิวสีที่เป็นคนจริงๆ ตกงานนะ …
-
ชาวเน็ตบอกให้หญิงสาวเปลี่ยนชื่อหมา เพราะพวกคิดว่าชื่อของมันดูเหยียดผิวเกินไป!?
ถ้าจะให้พูดถึงกลุ่มคนที่มีอินธิพลมาที่สุดในยุคปัจจุบัน ก็คงจะไม่มีกลุ่มคนไหนที่ทรงพลังมากที่สุดเท่ากับชาวเน็ตอีกแล้ว เพราะในปัจจุบันนั้นอินเตอร์ถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้โลกหมุนไปและทำอะไรได้ง่ายขึ้นเยอะมากๆ เช่นเดียวกับการตามหาสุนัขหายสักตัวหนึ่ง ถ้าเป็นยุคสมัยก่อนการเอากระดาษไปติดเพื่อให้คนช่วยหาคงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ปัจจุบันการเสริมด้วยการโพสต์รายละเอียดลงบนเน็ตกลับช่วยได้เยอะมากกว่าเดิมเสียอีก ทีนี้ชาวเน็ตนามว่า Becky. ก็เลยโพสต์ประกาศตามหาสุนัขของเธอลงบนทวิตเตอร์ เผื่อว่าจะมีคนเคยเห็นหรือคุ้นกับสุนัขของเธอ แน่นอนว่ามันก็เป็นการตามหาสุนัขปกติแต่ชาวเน็ตดันไปติดใจตรงชื่อสุนัขของเธอเนี่ยสิ สุนัขของ Becky นั้นมีชื่อว่า Negro ซึ่งถ้าเราอ่านกันตามปกติมันก็จะเป็นนิโกรหรืออะไรทำนองนี้นั่นแหละ ซึ่งเป็นคำที่เราไม่ควรพูดเพราะมันเป็นคำที่ใช้ในการเหยียดผิวนั่นเอง ชาวเน็ตก็เลยเตือนพร้อมบอกกับสาวเจ้าว่า ขอให้เธอหาสุนัขไวๆ ก็แล้วกัน แต่เธอควรจะเปลี่ยนชื่อสุนัขนะเพราะถ้าไปเรียกแบบนี้ในที่สาธารณะมันอาจจะไม่เป็นผลดีกับตัวเธอเอง หนักหน่อยบางคนก็บอกว่าเธอนั้นเหยียดผิวกันเลยทีเดียว คุณไม่มีทางหาสุนัขของคุณเจอหรอกถ้ายังใช้ชื่อมันแบบนั้น ผมเข้าใจนะว่าคุณตั้งชื่อให้หมาว่าสีดำ แต่คุณควรจะตั้งชื่ออื่นแทนนะ เพราะถ้าเรียกด้วยชื่อนี้ข้างนอกมันคงจบไม่สวยและคุณจะเจ็บตัวเอา แต่ชาวเน็ตอีกกลุ่มกลับมองอีกด้านหนึ่ง ซึ่งพวกเขาบอกว่า Becky นั้นเป็นชาวเม็กซิโกและยังใช้ภาษาสเปนเป็นหลัก ส่วนหมาของเธอก็เป็นสีดำ ซึ่งมันประจวบกับคำว่า Negro ที่ภาษาสเปนแปลว่าสีดำพอดี ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นคำเหยียดอะไร จะมีแต่ชาวเน็ตอีกกลุ่มเท่านั้นที่คิดกันไปเอง คำดังกล่าวมันแปลได้ว่าสีดำ ซึ่งมันก็เหมือนเวลาเราเรียกหมาเราว่าเจ้าดำ เพราะตัวมันสีดำ เราไม่ได้ใช้เพราะเหยียดผิว จากนั้นก็มีชาวเน็ตจำนวนมากเริ่มออกมาต่อต้านกับกลุ่มที่บอกให้เปลี่ยนชื่อหมา พร้อมยกตัวอย่างชื่อมากมายที่คนอาจจะคิดว่าเหยียดเช่น Spot ที่คนมักจะคิดว่าเป็นคำเหยียดของคนมีสิวเยอะๆ ทั้งที่จริงสุนัขมันมีลายจุดบนตัว “มันหมายถึงสีดำในภาษาสเปนไม่ได้เหยียดผิวสักหน่อย” …
-
นักแสดงตลกชาวญี่ปุ่น ทาตัวดำสวมบท Eddie Murphy กลับกลายเป็นการเหยียดผิวรุนแรง…
เรื่องของสีผิว ลักษณะเฉพาะของบุคคล หรือเรื่องเชื้อชาติและศาสนานั้นถือเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก บางครั้งถ้าหากไม่ระมัดระวังให้ดีล่ะก็อาจจะกลายเป็นกระแสดราม่าเหมือนกับเหตุการณ์ต่อไปนี้ คุณ Masatoshi Hamada นักแสดงตลกชาวญี่ปุ่นถูกคอลัมนิสต์ชาวอเมริกันท่านหนึ่งบอกว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นคือการเหยียดผิว หลังจากที่เขาแต่งตัวและทาสีผิวเลียนแบบดาราตลกชื่อดังอย่าง Eddie Murphy คุณ Masatoshi และการแต่งตัวเลียนแบบ Eddie Murphy ที่ถูกวิจารณ์ คอลัมนิสต์ชาวอเมริกัน Baye McNeil ได้ทวีตภาพของนักแสดงตลกคนดังกล่าวพร้อมกับบอกว่า “การแต่งหน้าทาตัวสีดำโดยนักแสดงญี่ปุ่น ถ้าอยากเรียกเสียงฮาก็ควรให้นักแสดงผิวสีมาแสดงสิ มันดูไม่ดีเลย” นอกจากนี้เขายังได้ติดแฮชแท็ก #StopBlackfaceJapan เพื่อเรียกร้องให้หยุดการกระทำดังกล่าวด้วย ข้อความและภาพจากทวิตเตอร์ของคุณ Baye McNeil แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับข้อความจากทวีตเตอร์ของคอลัมนิสต์คนดังกล่าว พร้อมกับบอกว่าอันที่จริงแล้วในประเทศอื่นๆ นั้นไม่ได้มีพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ที่เหมือนกับสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษ และคุณก็ไม่ควรเอาความเชื่อของชาวอเมริกันไปตำหนิพวกเขาด้วย “คุณกำลังแก้ปัญหาที่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับประเทศญี่ปุ่น โดยการใช้ความเป็นอเมริกันของคุณไปโยนความผิดให้กับพวกเขา สิ่งที่ไม่เหมาะสมสำหรับอเมริกันไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับคนทั้งโลกหรอกนะ” ข้อความจากทวิตเตอร์ท่านหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีชาวเน็ตท่านอื่นๆ ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกว่า นักแสดงตลกท่านนั้นมีความตั้งใจอย่างมากที่จะแต่งตัวออกมาให้คล้ายกับ Eddie Murphy “คุณอยากให้ชาวญี่ปุ่นคิดว่านี่คือส่วนหนึ่งของการแสดง Minstrel Shows (การแสดงเหยียดผิวที่โด่งดังในศตวรรษที่ 19) อย่างนั้นหรือ คุณอยากให้พวกเรามองว่าการเล่นเป็น Eddie Murphy เป็นเรื่องไม่ดีอย่างนั้นใช่ไหม?” ความคิดเห็นจากชาวเน็ตท่านหนึ่ง อย่างไรก็ตามคอลัมนิสต์ชาวอเมริกันก็ได้ออกมาอธิบายว่าการแสดงดังกล่าวนั้นได้รับความนิยมแพร่หลายในญี่ปุ่นหลังจากที่ Minstrel Shows ถูกชาวอเมริกันนำเข้ามาในญี่ปุ่น จนกลายเป็นที่นิยม…
-
สาวนางแบบเล่าเรื่องราวในอดีต ที่เคยโดนกลั่นแกล้งเพราะ ‘สีผิวของเธอดำเกินไป’
เรื่องราวของนางแบบสาวผิวสีชาวซูดาน ที่กลายเป็นนางแบบชื่อดังหลังจากที่เธอย้ายมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา แต่กว่าที่จะกลายเป็นแฟชั่นไอคอนชื่อดัง นางแบบผิวสีผู้นี้ต้องเผชิญเรื่องราวต่างๆ มากมาย และคำสบประมาทว่าผิวของเธอนั้นดำเกินไป!! Nyakim Gatwech นางแบบสาววัย 24 ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังและมีคนติดตามในอินสตาแกรมของเธอมากถึง 325,000 คน บ่อยครั้งที่เธอมักโดนดูถูกเพราะสีผิว แต่ Gatweach กลับไม่สนใจและพยายามทำหน้าที่ของเธออย่างเต็มที่ นอกจากจะเป็นนางแบบแล้ว Gatweach ยังเป็นกระบอกเสียงสนับสนุนให้ผู้คนยอมรับในสิ่งที่ตัวพวกเขาเป็น และเธอยังออกมาต่อต้านการเหยียดผิวอีกด้วย Gatwech ย้ายมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่ตอนอายุ 14 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้เธออาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่เคนย่าและเอธิโอเปีย เนื่องจากภาวะสงครามในประเทศบ้านเกิด “แม่ของฉันหนีออกมาจากซูดานก่อนที่ฉันจะเกิดเนื่องจากภาวะสงคราม ตอนนั้นทหารกำลังจะมาที่หมู่บ้านของเราและฆ่าทุกคนทิ้ง” นางแบบสาวเล่าเรื่องราวที่ครอบครัวของเธอต้องเผชิญ Gatwech สูญเสียพี่สาวของเธอไปในระหว่างที่แม่ของเธอเดินเท้าไปยังประเทศเอธิโอเปีย และหลังจากที่ย้ายมาอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่เคนย่าพวกเขาก็ได้มีโอกาสเข้ามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สหรัฐอเมริกา แต่ถึงอย่างไรก็ตามการใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ครอบครัวของเธอต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและเรื่องสีผิวก็เป็นหนึ่งในประเด็นที่พวกเธอถูกกลั่นแกล้ง เธอเล่าถึงประสบการณ์การถูกเหยียดผิวในโรงเรียนว่า เธอมักจะถูกเพื่อนๆ บอกว่าเธอดำเกินไป หรือบางครั้งพวกเขาก็จะหัวเราะใส่เธอและพูดว่า “นี่ Gatwech พวกเรามองไม่เห็นเธอเลย” “ยกตัวอย่างในชั้นเรียน เมื่อฉันถูกคุณครูถาม เพื่อนๆ ก็มักจะพูดว่าคุณครูถามใครหรอ พวกเรามองไม่เห็นใครเลย และจากนั้นทั้งห้องก็จะหัวเราะกัน ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งร้องไห้” นางแบบสาวเล่าถึงประสบการณ์วัยเด็กของเธอ …
-
ช่างสักสร้างรอยสักแบบถมดำบนร่างกาย แต่กลับถูกชาวเน็ตวิจารณ์ว่า “เหยียดสีผิว”
Belle Atrix เป็นชื่อของช่างสักจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ผู้ที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากโลกออนไลน์อย่างหนัก ภายหลังจากที่เธอได้ตัดสินใจสักร่างกายของตัวเองด้วยรอยสักสไตล์ Blackwork หรือ รอยสักแบบถมดำ ภายหลังจากที่ Belle ได้แชร์ภาพถ่ายการสักดังกล่าวลงในอินสตาแกรม พร้อมโพสต์คลิปวิดีโอสั้นๆ เกี่ยวกับรอยสัก Blackwork งานนี้ทำเอาบรรดาชาวเน็ตหลายๆ กลับคนรู้สึกไม่พอใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ในขณะที่ Belle กลับเห็นว่าการสร้างศิลปะบนร่างกายของตัวเองเป็น “การบำบัดรักษา” ซึ่งก็มีผู้ที่ติดตามได้เข้ามาแสดงความเห็นกันมากมาย บางคนก็เข้ามาให้กำลังใจพร้อมบอกว่ามันงดงาม เยี่ยมยอด และเป็นแรงบันดาลใจของพวกเขา แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็ได้เข้ามาโต้แย้งว่า นี่มันเป็นการเหยียดสีผิวชัดๆ บางคนก็บอกว่ามันน่ารังเกียจ ซึ่งจริงๆ แล้วรอยสักแบบ Blackwork นั้นได้รับความนิยมและมีมานานมากแล้วนั่นเอง ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่าทำไมรอยสักดังกล่าวถึงไม่เป็นที่พอใจของผู้คนจำนวนมาก แล้วคุณล่ะคิดอย่างไร? คุณสามารถรับชมภาพและผลงานการสักแบบอื่นๆ ของเธอได้ในอินสตาแกรม atrixbelle เลยจ้า ที่มา : boredpanda
-
จีนจัดนิทรรศการภาพถ่าย ‘แอฟริกา’ เทียบชนพื้นเมืองกับสัตว์ป่า… จนกลายเป็นการเหยียดผิว
กลายเป็นประเด็นดราม่าในโซเชียลเมื่อพิพิธภัณฑ์จีนจัดนิทรรศการภาพถ่ายที่มีการเทียบภาพชนพื้นเมืองคู่กับสัตว์ป่า จนถูกมองว่าเป็นการเหยียดชนชาติอื่น นี่คือนิทรรศการภาพถ่ายที่จัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ Hubei Provincial Museum เป็นชุดภาพที่ทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความสามัคคีระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ซึ่งถ่ายโดยช่างภาพและนักธุรกิจระหว่างเดินทางไปแอฟริกาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นิทรรศการนี้มีชื่อว่า “This is Africa” ภายใต้หัวข้อ “One’s heart makes one’s appearance” โดยนำเอาภาพเด็กและผู้ใหญ่ที่เป็นชนพื้นเมืองของแอฟริกามาประกบคู่กับภาพสัตว์ป่าชนิดต่างๆ ในชุดภาพดังกล่าวนี้ประกอบด้วยภาพชายชราประกบคู่กับลิง อีกภาพเป็นรูปของชายชาวแอฟริกาในท่าที่มองผ่านไหล่ตัวเองประกบกับภาพเสื้อชีต้าที่ทำท่าคล้ายกัน มีภาพเด็กอ้าปากกว้างวางคู่กับภาพกอริลลา และอื่นๆ อีกมากมาย ในบรรดาภาพเหล่านั้นมีภาพของกลุ่มนักเรียนแอฟริกาในประเทศจีนอยู่ด้วย และเมื่อรู้ว่ามีคนเอาภาพพวกเขาไปแสดงที่พิพิธภัณฑ์โดยประกบคู่กับสัตว์ที่ทำท่าคล้ายกัน จึงได้มีการขอร้องไม่ให้ระบุชื่อของพวกเขา เพราะกลัวจะถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสงสัยว่าลักลอบเข้ามา หลังจากที่ถูกร้องเรียน ทางพิพิธภัณฑ์ก็ได้เอาภาพดังกล่าวออก อย่างไรก็ตามนักเรียนแอฟริกาได้แจ้งเรื่องนี้ให้ทางคณบดีของมหาวิทยาลัยทราบ ในขณะที่คนอื่นๆ ได้ทำเรื่องร้องเรียนไปยังสถานทูตแอฟริกาในจีน สำหรับนิทรรศการนี้ได้จัดขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้ว เพื่อเป็นการฉลองวันหยุดแห่งชาติ 8 วันของจีน ซึ่งมีคนเข้าเยี่ยมชมพิพิภัณฑ์นั้นไปแล้ว 133,000 คน ต่อมา Wang Yuejun ผู้วางแผนจัดนิทรรศการนี้ได้ออกมาแถลงว่า “เราเข้าใจทุกๆ ความเห็นที่ร้องเรียนเข้ามา แต่ผมอยากเรียนให้ทราบว่าผู้เข้าชมนิทรรศการส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ในทัศนะของคนจีนการเปรียบเทียบคนกับสัตว์นั้นไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจเลย” Wang ยังชี้ให้เห็นว่า ชาวจีนมักจะบูชาเทวรูปสัตว์ และในระบบจักรราศีเกิดของจีนก็มีความเกี่ยวข้องกับสัตว์ด้วย…
-
โฆษณาโลชั่นยี่ห้อดัง ถูกชาวเน็ตวิจารณ์เรื่องการเหยียดผิว เปลี่ยนจากคนดำกลายเป็นขาวได้!?
การเป็นกระแสวิพากย์วิจารณ์กันอย่างมากบนโลกอินเตอร์เน็ต หลังจากที่ทาง Dove ได้ออกโฆษณาครีมทาผิวตัวใหม่ของพวกเขา โดยมีเนื้อหาที่ดูเป็นการเหยียดผิว และล่าสุดทางบริษัทแชมพูชื่อดังก็ได้ออกมาขอโทษต่อการกระทำดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภาพโฆษณาดังกล่าวถูกโพสต์ลงบนเฟซบุ๊กของทาง Dove ซึ่งเป็นภาพของผู้หญิงผิวสีที่เมื่อเธอถอดเสื้อออกก็กลายเป็นผู้หญิงผิวขาวขึ้นมาทันที และนี่คือภาพโฆษณาดังกล่าว ทาง Dove ได้ลบภาพโฆษณาดังกล่าวออกไปทันทีหลังจากที่เกิดกระแสวิพากย์วิจารณ์อย่างหนัก และได้ทวีตข้อความว่า “สำหรับรูปภาพที่เราโพสต์ไปบนเฟซบุ๊กก่อนหน้านี้ มันเป็นข้อผิดพลาดในการเปรียบเทียบสีผิวของผู้หญิง และเรารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้น” อย่างไรก็ตามชาวเน็ตบางท่านก็ได้แสดงความคิดเห็นว่า โฆษณาชิ้นนี้ของทาง Dove ทำให้พวกเขานึกถึงโฆษณาสบู่ในสมัยก่อนที่มีการเหยียดผิวแบบนี้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Dove ไม่ใส่ใจเรื่องของการเหยีดผิว โดยข้างขวดโลชั่นของพวกเขายังมีการเขียนข้อความว่า “สำหรับผิวธรรมดาถึงผิวดำ” นอกจากนี้ยังมีโฆษณาอีกชิ้นหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสีผิวหลังจากการใช้โลชั่นดังกล่าว โดยให้ผู้หญิงผิวสีอยู่ในฝั่งก่อนใช้และให้ผู้หญิงผิวขาวอยู่ในฝั่งหลังใช้ และนี่ก็คือโฆษณาอีกชิ้นที่แสดงให้เห็นถึงการเหยียดผิว ข้อความข้างขวดโลชั่นที่เขียนว่า “สำหรับผิวธรรมดาถึงผิวดำ” หลังจากที่ทางบริษัทยักษ์ใหญ่ได้ออกมากล่าวขอโทษก็มีชาวเน็ตจำนวนมากเขามาแสดงความคิดเห็น คุณ La’Quell หนึ่งในชาวเน็ตท่านหนึ่งกล่าวว่า “พวกเขาใส่ใจที่จะอธิบายเรื่องการเหยียดผิวให้กับฉัน” แต่ในขณะที่คุณ Emma Louise Sinclair กลับไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว และรีทวีตข้อความดังกล่าวว่า “นี่คือโฆษณาของ Dove มันแย่จริงๆ ฉันไม่มีทางจะซื้อสินค้าจากบริษัทที่มีการเหยียดผิวแบบนี้แน่ๆ “ ประเด็นเรื่องการเหยียดผิวในต่างประเทศนั้นถือเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหวอย่างมาก บางครั้งการนำเรื่องเหล่านี้มาเปรียบเทียบและแสดงออกอย่างไม่ถูกต้องก็อาจจะทำให้กลายเป็นที่พูดถึงได้อย่างเช่นโฆษณาชิ้นนี้ ที่มา metro
-
สาวกลายเป็นฮีโร่… หลังเห็นมนุษย์ป้าพูดเหยียดผิวใส่พนักงานโรงแรม จนนำไปสู่การวางมวย
การได้เห็นคนอื่นทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง หลายๆ คนอาจจะมีวิธีการจัดการกับสถานการณ์ในวิธีที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งหลายๆ ครั้งก็มักจะมองข้ามไป ไม่อยากยุ่ง เพราะไม่อยากจะมีปัญหาซะมากกว่า แต่สำหรับ Colleen Dagg แล้วต้องขอบอกเลยว่าเธอไม่ได้คิดแบบนั้น…. เพราะหลังจากที่ได้เห็นคุณป้ารายหนึ่งชื่อว่า Summer Cortts วัย 39 ปี กำลังพูดจาในเชิงเหยียดสีผิวกับพนักงานรักษาความปลอดภัยที่เป็นชาวเฮติ อยู่ในบริเวณล็อบบี้ของโรงแรม La Quinta ภายในเมืองฟอร์ตลอเดอร์เดล รัฐฟลอริดา Colleen จึงอดไม่ไหวที่จะพูดเตือนเธอออกไปว่า ‘เงียบซะ’ จากนั้นมนุษย์ป้ารายนั้นก็หันมาด่ากราดเธอรัวๆ หลังจากที่ Summer กำลังพูดหาเรื่องและท้าทาย Colleen ก็คิดว่าอีกไม่นานคงได้ลงไม้ลงมือกันแน่ๆ เธอจึงเตรียมพร้อมด้วยการก้มลงไปถอดรองเท้า “เธอถอดรองเท้าออกมาทำไม จะเอามันมาตีชั้นเหรอ? คิดว่าชั้นกลัวเหรอ? เดี๋ยวชั้นก็จะตบเธอบ้างหรอก” Summer กล่าวท้าทายขณะที่เห็น Colleen กำลังถอดรองเท้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นท่าทีไม่ดี ก็รีบเข้ามาห้ามปรามเพราะกลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ Colleen ได้เล่าถึงสาเหตุที่เธอถอดรองเท้าว่า “ที่ฉันถอดรองเท้าออกก็เพราะตอนนั้นดูท่าไม่ดีแล้ว ถ้าหากว่าอีกฝ่ายมาแตะต้องตัวเมื่อไหร่ ฉันก็สามารถป้องกันตัวเองได้” พอเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาห้ามไม่ทันไร Summer ก็เดินเข้ามาผลัก Colleen…
-
เชียร์ลีดเดอร์สาวโดนบังคับ “ท่าแยกขา” ถึงขั้นตำรวจเข้าสอบสวน ชาวเน็ตถกกันสนั่น
จากประเด็นที่กำลังกลายเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้ จากเพจเฟซบุ๊กสำนักข่าว NBC LA ได้มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอของเชียร์ลีดเดอร์ของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ที่กำลังถูกคนในทีมจับฉีกขา จนเธอต้องร้องขอชีวิต จนทำให้ต้องมีการเข้าสืบสวนกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ จากในคลิปวิดีโอแสดงให้เห็นเหตุการณ์ เด็กสาวที่ชื่อว่า Ally Wakefield วัย 13 ปี ถูกเพื่อนและโค้ชในทีมเชียร์ลีดเดอร์ โรงเรียนมัธยม East Hight ฝึกให้เธอฉีกขาและเธอก็ร้องด้วยความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก “No no no no ฉันทำไม่ได้ หยุดเถอะ ได้โปรด หยุดดดดดด ได้โปรดดดดด T^T” จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเดนเวอร์ก็ได้เข้าสืบสวนกับทางทีมเชียร์ลีดเดอร์และโรงเรียนทันที!! Kirsten แม่ของเด็กสาวที่ปรากฏอยู่ในคลิปวิดีโอ ได้บอกว่าลูกสาวของเธอได้รับบาดเจ็บที่ขาจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้มีชาวเน็ตได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก และมีความเห็นแตกต่างกันไปและแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งแรกคิดว่าเรื่องนี้ไม่ผิดและเป็นเรื่องธรรมดา MarK Lubas “ไม่เห็นจะผิดปกติตรงไหนเลย ถ้าคุณคิดว่ามันเป็นการล่วงละเมิดล่ะก็ คุณอาจจะไม่เคยเรียนบัลเล่หรือเรียนเต้น ถ้าไม่มีความอดทนต่อความเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ ในครั้งนี้ล่ะก็ ไม่ควรมาเป็นนะ ผมว่า” จากนั้นก็มีการตอกกลับความคิดเห็นนี้ทันทีจากความเห็นต่างของความคิดของชายผู้นี้ “ฉันเรียนเต้นและยิมนาสติกมาทั้งชีวิต การกระทำแบบนี้มันผิดมากๆเลยนะ เป็นการฝึกที่แย่มาก!!” Rein…
-
คุณพ่อถึงขั้นตัดความสัมพันธ์กับลูก หลังจากที่เห็นลูกสาวกับชายหนุ่มผิวสีในชุดงานพรอม!!
สำหรับพวกเราชาวไทยการเหยียดผิวหรือการเหยียดเชื้อชาติอาจเป็นเรื่องที่ดูจะเข้าใจยากหรือไม่ค่อยอินกันซักเท่าไหร่ แต่สำหรับชาวต่างชาติแล้วเรื่องพวกนี้ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก การต่อสู้และการรณรงค์เรื่องการเหยียดผิวมีขึ้นอยู่บ่อยครั้งในต่างประเทศ และวันนี้เราก็มีตัวอย่างหนึ่งของการต่อด้านการเหยียดผิวที่น่าชื่นชมมากมาฝากกัน… เมื่อไม่นานมานี้เว็บไซต์ BuzzFeed ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับสาวน้อยคนหนึ่งที่แสดงจุดยืนของเธอต่อการเหยียดผิว โดยเธอยืนยันจะไปงานพรอมกับเพื่อนผิวสีของเธอ ถึงแม้ว่าคุณพ่อจะไม่ยอม Anna Hayes สาวไฮสคูลจากเมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของรัฐอาร์คันซอ ถูกพ่อของเธอต่อว่าอย่างรุนแรงพร้อมทั้งบอกว่าเธอไม่ใช่ลูกอีกด้วย โดยสาเหตุของความรุนแรงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พ่อของเธอเข้ามาเห็นภาพบนเฟซบุ๊กของเธอและเพื่อนผิวสีในชุดงานพรอม หลังจากที่ได้ข้อความจากพ่อของเธอ สาวน้อยเล่าถึงความรู็สึกของเธอว่า “ฉันเสียใจอย่ามากหลังจากที่พ่อส่งข้อความมาต่อว่าฉันอย่างนั้น มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากฉันไม่เชื่อเลยว่าคนเราจะเกลียดคนที่ไม่เคยเห็นหน้ากันเพียงเพราะว่าเขามีสีผิวแตกต่างกันได้ขนาดนี้” ในเมืองที่เธออยู่นั้นมีการเหยียดผิวอย่างรุนแรงมาก และพ่อของเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากที่พ่อและแม่แยกทางกัน ในตอนเด็กเธอต้องไปอยู่กับพ่อและหลังจากนั้นในช่วงวัยรุ่นจึงย้ายมาอยู่กับแม่ ดังนั้นเธอและผู้เป็นพ่อจึงไม่ค่อยที่จะสนิทกันเท่าไหร่ พ่อของเธอเป็นพวกที่คลั่งการเหยียดผิวอย่างรุนแรงและเขามักจะปลูกฝังเรื่องนี้ให้กับเธอในตอนเด็กๆ ด้วย แต่เธอก็ไม่ได้มีความคิดที่คล้อยตามกับพ่อของเธอเลย ข้อความที่พ่อของเธอส่งมาต่อว่าหลังจากที่เห็นภาพของเธอกับหนุ่มผิวสี หลังจากนั้นสาวน้อยได้ทำการส่งข้อความนี้ให้ Phillip ชายหนุ่มที่ผิวสีที่ไปงานพรอมกับเธอ และเมื่อพ่อผู้ถูกกล่าวหาได้รับข้อความดังกล่าวเขาโกรธมากและอัพเดทภาพนั้นลงบนเฟซบุ๊ก โพสต์ของ Phillip ก็ถูกชาวเน็ตแชร์และเข้ามาแสดงความคิดเห็นอย่างมาก บางคนที่เข้ามาคอมเม้นต์บอกว่า “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีคนยอมตัดต่อตัดลูก เพียงเพราะว่าเธอไปงานพรอมกับคนที่มีผิวสีต่างกัน” หรือบางคนก็บอกว่า “การเหยียดผิวน่าจะหมดไปได้แล้วนะ” Anna Hayes บอกว่าเธอไม่คิดมาก่อนว่า Phillip จะแชร์ข้อความที่ส่งให้และมีคนให้ความสนใจมากขนาดนี้ แต่ว่านี่ก็เป็นสิ่งดีที่จะแสดงให้ผู้คนได้เห็นว่า การเหยียดผิวนั้นยังคงมีอยู่และมันควรได้รับการแก้ไข และนี่คือตัวอย่างของคอมเม้นต์จากชาวเน็ต เรื่องการเหยียดผิวหรือเหยียดเชื้อชาติไม่น่าจะมีให้เห็นในสมัยนี้แล้วนะเนี่ย ทำแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะคุณพ่อ ที่มา buzzfeed
-
James Meredith นักศึกษาผิวดำคนแรก ในประวัติศาสตร์อเมริกา เรื่องจริงที่เราควรได้รับรู้…
ย้อนกลับไปในอดีตการเหยียดผิวในประเทศอเมริกานั้นเป็นเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่ารุนแรงมากๆ เลยล่ะ เหล่าคนผิวสีทั้งหลายไม่สามารถมีสิทธิมีเสียงเป็นของตัวเองถูกลดทอนคุณค่าให้เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ย่อท้อต่อสู้เพื่อเสิทธิเสรีภาพในการใช้ชีวิตของตัวเองจนในที่สุดก็สามารถผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายมาได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่กว่าจะเป็นเหมือนปัจจุบัน (ซึ่งในปัจจุบันเองก็ยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่) และหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ที่เรียกได้ว่าเป็นก้าวใหม่ที่เปลี่ยนแนวคิดเรื่องของการเหยียดผิวเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็คือเหตุการณ์ที่ James Meredith นักศึกษาผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกาที่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ในช่วงที่ความรุนแรงในการเหยียดผิวกำลังครุกกรุ่น ชีวิตในมหาวิทยาลัยของ James จะเป็นอย่างไรบ้างนะ? เราลองไปชมเรื่องราวของเขาพร้อมๆ กันเลยดีกว่า ช่วงชีวิตก่อนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย James เกิดเมื่อปี 1933 ในเมือง Kosciusko รัฐ Mississippi เป็นลูกครึ่ง African กับ American หลังจากจบการศึกษาในระดับมัธยมปลายแล้วได้เข้ารับการเกณฑ์ทหารและรับใช้ชาติในกองทัพอากาศนานกว่า 9 ปี ภาพระหว่างเรียนในมหาวิทยาลัย หลังจากที่ปลดประจำการมาแล้วเขาก็ได้ชมการปราศรัยของท่านประธานาธิบดี John F. Kennedy ถึงการผลักดันให้มหาวิทยาลัย University of Mississippi ที่เป็นมหาวิทยาลัยประจำรัฐ ให้กลายเป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดกว้างมากขึ้น ทำให้ James ตัดสินใจที่จะยื่นใบสมัครเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่นี่ โดยครั้งแรกได้เขียนในใบสมัครไว้ด้วยว่า… “ไม่มีใครรับผมเข้าเรียนหรอก ผมเชื่อว่าอย่างนั้น และก็เชื่อมาจนถึงทุกวันนี้ มันเป็นความรับผิดชอบของผมต่อการกระทำของพระผู้เป็นเจ้า ผมมีความคุ้นเคยกับความยากลำบากที่น่าจะเกิดขึ้นในระหว่างการเรียนในมหาวิทยาลัย…
-
บาริสต้าผิวสี โดนลูกค้าบอก ‘ขอกาแฟที่คนผิวขาวชง’ เธอตอกกลับลูกค้า เป็นกระแสทั่วเน็ต!!
ก็อย่างที่รู้กันว่า ‘การเหยียดผิว’ นั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรกระทำเป็นอย่างยิ่งไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ก็ตาม แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังคงมีความคิดในเรื่องของการเหยียดผิวอยู่ ปัจจุบันโลกของเราเปลี่ยนไปแล้ว สิทธิเสรีภาพในการมีชีวิตของทุกคนย่อมมีเท่ากัน ไม่ว่าจะมีผิวสีไหน หรือจะมีรูปร่างอย่างไรก็ตาม และในวันนี้เอง #เหมียวหง่าว ก็มีเรื่องราวสุดประทับใจมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง เป็นเรื่องราวของผู้จัดการร้านกาแฟที่ถูกเหยียดผิว พอชาวเน็ตได้รับรู้เรื่องราวต่างก็เข้ามาให้กำลังใจกับเธอกันอย่างล้นหลาม คุณ Josie Ajak หญิงสาวชาวซูดานใต้ ที่ย้ายเข้ามาอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย พร้อมกับพ่อแม่ของเธอตั้งแต่เธออายุได้ 8 ขวบ และตอนนี้เธอก็เป็นผู้จัดการร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ในเมือง Cairns ทางตอนเหนือของ Queensland เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่กำลังชงกาแฟอยู่นั้นๆ จู่ๆ คุณ Ajak ก็โดนลูกค้าคนหนึ่ง ‘ปฏิเสธที่จะรับการเสิร์ฟกาแฟจากคนผิวดำ’ “หญิงคนนั้นบอกว่า ให้พาพนักงานผิวขาวมาเสิร์ฟให้ฉัน!! ฉันก็เลยบอกไปว่าไม่เป็นไรค่ะ ด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นเธอก็เขยิบเพื่อออกไปรอพนักงานผิวขาวมาเสิร์ฟกาแฟให้ แต่ฉันเดินเข้าไปบอกพนักงานของฉันว่า เธอคนนี้มีทัศนคติเหยียดสีผิว และเราก็จะไม่เสิร์ฟกาแฟให้กับเธอ ขณะที่ทุกคนก็เสิร์ฟลูกค้าคนอื่นไปตามปกติด้วยรอยยิ้ม” คุณ Ajak ให้สัมภาษณ์กับ Buzzfeed News คุณ Ajak ก็ดำเนินการเสิร์ฟกาแฟ และให้บริการกับลูกค้าท่านอื่นๆ ต่อไป จนกระทั่งหญิงที่ทำการเหยียดผิวกับเธอเดินออกจากร้านไป “เธอมองมาที่ฉัน…
-
นักประวัติศิลป์ค้นพบ ‘Black Square’ หนึ่งในภาพวาดอันโด่งดังของโลก มีมุขตลกร้ายเหยียดผิวซ่อนอยู่!!!
สำหรับกระแสการเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาตินั้น เรียกได้ว่ามีมานมนานกันตั้งแต่อดีตเลยก็ว่าได้ แต่กลายมาเป็นว่า ภาพวาดที่ขึ้นชื่อภาพหนึ่งของโลก กลับมีการเหยียดผิวซ่อนอยู่ในภาพซะงั้น!!! ด้วยความผิดหวังของบรรดานักประวัติศาสตร์หลายๆ ราย พวกเขาได้พบว่าภาพวาดอันโด่งดัง ‘Black Square’ ในปี 1915 โดยศิลปิน Kazimir Malevich กลับมีมุขตลกเหยียดผิวสุดแสบซ่อนอยู่ ‘Black Square’ หลังจากที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญได้ทำการนำภาพนี้มาส่องกล้องจุลทรรศ ก็พบข้อความภายในภาพที่ว่า ‘Battle of negroes in a dark cave.’ แปลว่า ‘การต่อสู้ของเหล่าไอ้มืด ในถ้ำอันแสนมืดมิด’ จะว่าไปแล้วภาพนี้ถือได้ว่าเป็นภาพทรงคุณค่าและมีอิทธิพลมากๆ ของศตวรรษที่ 20 เลยทีเดียว แถมมุขตลกร้ายมุขนี้ยังไปคล้ายคลึงกับศิลปินอีกคนในรุ่นราวคราวเดี่ยวกัน Alphonse Allais ที่ใช้คำว่า ‘Combat de Nègres dans une cave pendant la nuit – ‘Negroes Fighting in a…
-
ชาวเน็ตวิจารณ์หนัก สื่อการสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กหลุดเหยียดคนผิวสีด้วยคำว่า “Ugly”!!
ในสมัยที่สังคมโลกเปิดกว้างจนมนุษย์ที่อาศัยอยู่คนละซีกโลกสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้อย่างง่ายดายแบบนี้ ทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศถือเป็นสิ่งสำคัญที่พวกเราทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ไว้ ซึ่งแน่นอนว่าเราทุกคนก็เคยเรียนภาษาอังกฤษกันมาตั้งแต่เด็กจนโต และคุ้นเคยกับแผ่นโปสเตอร์ให้ความรู้ภาษาอังกฤษแบบนี้กันมานานโข แต่ถ้าให้สังเกตดีๆ โปสเตอร์แผ่นนี้อาจจะงานเข้าน่ะสิ!! แบบเรียนของเด็กไทย ขาว = หล่อ ดำ = น่าเกลียด!!!!! เอาอะไรคิดวะ Posted by สังคมตอแหล on Thursday, July 30, 2015 ถ้ามองกันแบบเผินๆ นี่ก็คือสื่อการสอนภาษาอังกฤษชิ้นหนึ่ง ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับคำคุณศัพท์ หรือ Adjective ที่นำเสนอผ่านเรื่องราวของความแตกต่างกันของมนุษย์ ขอจงโฟกัสไปที่คำว่า “Ugly” ใช่แล้วฮะ!! คำว่า Ugly หมายถึง น่าเกลียด น่ากลัว และตัวการ์ตูนที่เป็นแบบก็มีริ้วรอยบนใบหน้า แต่ทว่าดูคล้ายคนผิวสีซะเหลือเกิน งานนี้อาจจะเป็นความพลาดหรือไม่ก็ยังไม่มีใครออกมาฟันธงจ้ะ ส่วนชาวเน็ตเมืองไทยก็ใส่เกียร์วิจารณ์กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนใหญ่เป็นไปในทางลบซะด้วย ก็หวังว่านี่จะเป็นตัวอย่างสำหรับคนทำสื่อการเรียนการสอน ที่ถือเป็นเคสต้องระวังอย่างมากนะจ๊ะ ที่มา สังคมตอแหล