Tag: เหยียดเชื้อชาติ
-
คุณป้าโดนแจ้งตำรวจจับ หลังตำหนิสองสาว ‘พูดสเปน’ บอก ‘อยู่ประเทศนี้ต้องพูดอังกฤษ’!!
แม้ในโลกยุคปัจจุบัน จะมีความเปิดกว้างในหลายๆ ด้านแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ เพศ, สีผิว, เชื้อชาติ, หรือชนชั้นต่างๆ และทำให้การ ‘เหยียด’ เรื่องต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นการกระทำที่ไม่ได้รับการยอมรับ เช่นเดียวกันกับเรื่องราวต่อไปนี้ ที่เกิดขึ้นในห้างสรรพสินค้าของเมือง Rifle รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา มีคนสองคนพูดเป็นภาษาสเปน แต่กลับถูกผู้หญิงคนหนึ่งต่อว่าและแสดงท่าทีเหยียดใส่ซะอย่างนั้น แต่โชคดีที่มีพลเมืองดีอยู่ในเหตุการณ์และเธอไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นและดำเนินไปราวกับว่ามันเป็นอะไรที่ยอมรับกันได้ Kamira Trent เดินเข้ามาพร้อมกับต่อว่า Linda Dwire ที่แสดงท่าทีเหยียดคนพูดสเปน มีคนถ่ายคลิปวิดีโอเหตุการณ์เอาไว้ได้ และนำไปแชร์ลงโซเชียลเน็ตเวิร์กจนกลายเป็นกระแสไวรัล มีคนเข้าชมมากกว่า 1 ล้านครั้งเลยทีเดียว!! เรื่องมันเริ่มต้นตรงที่ว่าจู่ๆ Dwire ก็เดินตรงเข้าไปหาผู้หญิงสองคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ เพราะพวกเขาใช้ภาษาสเปน พร้อมกับถามว่า ‘พวกเธอน่ะอาศัยอยู่ในประเทศนี้เหรอ?’ ก่อนที่ทั้งสองคนจะตอบว่า ‘ใช่ค่ะ’ แล้ว Dwire ก็พูดอีกว่า ‘งั้นก็หัดเรียนภาษาอังกฤษซะสิ’ หนึ่งในผู้หญิงที่พูดภาษาสเปนนั้นอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกามาแล้วกว่า 8 ปี ในวันนั้นเธอไปเลือกซื้อของกับลูกๆ อีก 3 คน แต่ดันบังเอิญไปเจอคนบ้านเดียวกันก็เลยแวะทักทายกันตามประสา แต่กลับถูกต่อว่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรง รวมไปถึงพยายามที่จะทำร้ายร่างกายอีกด้วย…
-
สตรีมเมอร์สาว ทำโยคะกับ ‘แฟนหนุ่มชาวเอเชีย’ กลับถูกกลุ่มคนเข้ามารุมคอมเมนต์ ‘เหยียด’
บนโลกนี้มีปัญหาเกี่ยวกับเพศ วัฒนธรรมหรือชาติพันธุ์กันมากมาย แต่หนึ่งในปัญหาสำคัญที่เรายังไม่สามารถแก้ไขได้ก็คือการเหยียด ปัญหาการเหยียดจริงๆ แล้วมีมานมนานมากแล้วตั้งแต่อดีตกาล ตั้งแต่สมัยประเทศไทยยังมีทาสหรือต่างประเทศยังมีการล่าอาณานิคมอยู่ ซึ่งการเหยียดก็ได้ลามมาถึงปัจจุบัน โดยที่ Lisa Vannatta สตรีมเมอร์เว็บไซต์ Twitch ชื่อดังที่รู้จักกันในนาม STPeach เธอและแฟนหนุ่มของเธอได้ตกเป็นเป้าของการเหยียดหลังจากที่ได้โพสต์วิดีโอการทำ Couples Yoga Challenge หรือโยคะคู่รักนั่นเอง “Couples Yoga Challenge” คือคำท้าทายที่เป็นเทรนด์ไปทั่วโลกออนไลน์ โดยที่จะให้คู่รักแต่ละคู่มาถ่ายวิดีโอการทำโยคะด้วยกัน และอัปโหลดลงในโซเชียลมีเดียอย่างยูทูบหรือเฟซบุ๊ก และแน่นอนว่า STPeach และ Jay แฟนหนุ่มได้ตกลงยอมรับคำท้าครั้งนี้และก็พร้อมถ่ายวิดีโอและอัปโหลดลงในยูทูบเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2018 ที่ผ่านมา แต่ ณ เวลาที่วิดีโอได้ถูกอัปโหลดลงในยูทูบแทนที่จะมีคนเข้ามาชื่นชมกลับกลายเป็นมีคนเข้ามาเหยียดแฟนของเธอกันเต็มไปหมด รวมถึงในอินสตาแกรมส่วนตัวของเธอด้วย เราจะยกตัวอย่างมาให้ได้ชมกันครับ “เชี่ยนี่แม่งโชคดีฉิบหายเลยว่ะ แต่ตูเดาว่ามันไม่รู้วิธีเยหญิงด้วยซ้ำ” “คนทรยศต่อชาติพันธุ์! ฉันขอให้เธอถูกแทงข้างหลัง กระปู๋ของฉันใหญ่กว่าเจ้าหมอนั่นแน่นอน” “เชี่ยจีนเอ๊ย” ซึ่งคนที่เข้ามาร่วมเหยียดไม่ใช่มีเพียงชาวอเมริกาอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีชาวสเปนที่เข้ามาร่วมให้ความเห็นในเชิงที่บอกว่าไอ้ชาวเอเชียคนนี้มันโชคดีสุดๆ ไปเลยว่ะ .…
-
เมื่อ ‘หมอแปลก’ มาเยือนเกาหลี ‘ยกมือไหว้’ ทักทายแฟนๆ ถูกกล่าวหาว่าเหยียดเชื้อชาติ!!
กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกโซเชียลทั้งบ้านเรา ที่เกาหลี และลามไปทั่วโลก… กรณีของดาราชื่อดัง Benedict Cumberbatch หรือพี่หมอแปลก ได้เดินทางมายังประเทศเกาหลีใต้เพื่อโปรโมตภาพยนตร์ Avengers ภาคล่าสุด ที่กำลังจะเข้าฉายในเร็วๆ นี้ ตอนเดินออกมาจากเกตก็มีแฟนๆ มาต้อนรับมากมาย พี่แกก็ ‘ไหว้’ เพื่อเป็นการทักทาย แต่ผ่านไปไม่ทันไร ก็กลายเป็นเรื่องดราม่าซะได้!? เพราะจู่ๆ มีแฟนๆ ชาวเกาหลีไปโพสต์ดราม่าในทวิตเตอร์ว่าพี่ Benedict น่ะ เหยียดเชื้อชาติเฉยเลย ภาพการไหว้ที่กลายเป็นดราม่า… ประเด็นเหยียดเชื้อชาติที่ชาวเน็ตเกาหลีกล่าวถึง “Benedict Cumberbatch มาเยือนเกาหลี แต่ทักทายแฟนๆ แบบนี้ ทำให้แฟนๆ ชาวเกาหลีผิดหวังเพราะว่าเราไม่ได้ทักทายกันแบบนี้ แต่คนดังมากมายพอมาเที่ยวที่นี่มักจะทำแบบนี้ ซึ่งพวกเขาไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย” “ถึงคนขาวทั้งหลาย การประกบมือสองข้างไว้ด้วยกันแล้วกล่าวทักทายเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำในทวีปเอเชีย นอกเสียจากว่าคนที่คุณเจอน่ะเป็นพระ ไอ้พวกขี้เหยียด” บ้างก็ถึงกับเขียนข้อความทับลงไปบนภาพเลย “นี่ไม่ใช่วัฒนธรรมของเกาหลี” อย่างไรก็ตาม มีคนที่ไม่ได้คิดเหมือนกับกลุ่มคนข้างบน ออกมาแสดงความคิดเห็นเพื่อปกป้อง Benedict โดยบอกว่าที่เขาทำมันก็ไม่ได้ถึงกับผิดร้ายแรงขนาดเหยียดเชื้อชาติสักหน่อย …
-
หญิงสาวบอกคนผิวขาว ให้เลิกรังแกและทักว่า ‘หนีห่าว’ กับชาวเอเชียทุกคนสักที
หลายคนอาจต้องการไปเรียนเมืองนอกในแถบประเทศตะวันตก หรือบางคนอาจกำลังเรียนอยู่ในแถบนั้น แต่แน่นอนว่าทุกที่ย่อมมีทั้งคนที่ดีกับเราและคนที่ไม่ชอบเรา กลายเป็นว่าเราถูกรังแกจากคนในประเทศนั้นและมันอาจทำให้เรารู้สึกไม่พอใจ จนต้องระเบิดออกมาเหมือนอย่างหญิงสาวคนนี้ นักเขียนชาวเอเชียที่ชื่อว่า Jin Hyun ได้ออกมาบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับการที่เธอเรียนอยู่ในประเทศอังกฤษ โดยสิ่งสำคัญที่เธอพูดถึงคือการถูกรังแกจากคนผิวขาวบางกลุ่ม ซึ่งคนเหล่านั้นมักจะทักทายเธอด้วยคำว่า “หนีห่าว” (คำทักทายภาษาจีน) หรือ “Ching Chong Ling Long” (เป็นเหมือนกับคำเยาะเย้ยคนจีน) อยู่เสมอ เธอบอกว่าชายผิวขาวบางคนถึงกับขว้างบางอย่างมาใส่เธอ หรืออาจพยายามเดินเข้ามาคุกคามเธอ ก่อนที่จะจากไปพร้อมกับหัวเราะกับเพื่อน พูดเยาะเย้ยเป็นภาษาอังกฤษ ทำเหมือนกับว่าเธอไม่เข้าใจ ในช่วงปีแรกที่เธอได้มาเรียน เธอจะพยายามไม่สนใจกับการโดนดูถูกผ่านคำพูดหรือการกระทำหลายๆ อย่าง เธอจะพยายามคิดว่าตัวเองแค่เป็นคนที่โชคร้ายมากๆ เท่านั้นเอง แต่เมื่อเธอได้เริ่มเรียนในชั้นปีที่สองและสาม ถึงได้รู้ว่าไม่ได้มีแค่เธอที่ต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ หญิงสาวได้เจอกับเพื่อนที่เป็นชาวเอเชียตะวันออกเหมือนๆ กันจากหลากหลายประเทศ ตัวเธอนั้นเป็นคนเกาหลี เพื่อนคนอื่นๆ ก็มีทั้งชาวมาเลเซีย ชาวเวียดนาม หรือชาวญี่ปุ่น แต่ถึงแม้ว่าพวกเธอจะมาจากประเทศที่ต่างกันไป กลับมีสิ่งหนึ่งที่ต้องโดนเหมือนกันนั่นคือการถูกมองและถูกกระทำเหมือนกับว่าพวกเธอทุกคนเป็นคนจีน ทำให้พวกเธอต้องถูกรังแกมาสารพัด Jin ถึงกับบอกว่าเพื่อนทุกคนของเธอต้องเคยเจอการถูกคุกคามในลักษณะนี้มาอย่างน้อยหนึ่งครั้ง และประโยคที่มักจะเจอเป็นประจำคือการถูกทักทายและหัวเราะเย้ยหยันด้วยคำว่า “หนีห่าว” เมื่อเธอนำเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อนนักเรียนที่เป็นคนผิวขาว คำตอบที่เธอได้กลับมาคือ “แล้วยังไง?”…
-
การตอกกลับของเหล่าผู้คนจากกลุ่มประเทศ ที่ผู้นำแห่งสหรัฐเรียกว่า ‘ประเทศหลุมขรี้’
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีคำพูดที่กลายเป็นกระแสในชั่วข้ามคืน จากคำพูดของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา Donald Trump ที่พูดเอาไว้ในการประชุมเกี่ยวกับประเด็นเรื่องแรงงานข้ามชาติ โดยเขาใช้คำเรียกแทนกลุ่มแรงงานอพยพจากเฮติ เอลซัลวาดอร์ และประเทศแถบแอฟริกันว่าเป็น “กลุ่มประเทศหลุมขรี้” (Shithole) คำพูดจากปากของผู้นำประเทศมหาอำนาจ ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือแม้แต่ในหลายๆ ประเทศ มองว่ามันแสดงให้เห็นถึง การเหยียดเชื้อชาติในเชิงส่อเสียดที่รุนแรงอย่างแท้จริง เหล่าผู้คนที่ถูกสบประมาทก็ไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ พวกเขาจึงตอกกลับด้วยการออกมาพูดถึงความสำเร็จและคุณค่าความหมายในชีวิต เพื่อเป็นการตอบกลับไปว่าความเป็นจริงไม่ได้เหมือนอย่างที่ถูกกล่าวหาเสมอไป และนี่ก็คือโพสต์ต่างๆ ที่มีในโลกโซเชียลจากผู้คนเหล่านั้น นักศึกษาแพทย์จากซูดานใต้ ที่สามารถพูดได้ถึง 3 ภาษา และมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับตีพิมพ์ลงในวารสารทางการแพทย์ ชายหนุ่มจากแอฟริกาใต้ ผู้เรียนจบทางด้านวารสารศาสตร์ สามารถพูดได้ถึง 6 ภาษา และเขาจะก้าวสู่การเป็นบรรณาธิการข่าวในอนาคต นักศึกษาแพทย์ชาวไนจีเรีย ที่มีปริญญาถึง 3 ใบ และยังจะได้เพิ่มอีก 2 ใบ มีความสามารถพูดได้ 3 ภาษา และเป็นคนที่คอยช่วยเหลือมูลนิธิต่างๆ ด้วยจำนวนเงินกว่า 300,000 บาท ลูกครึ่งแอฟริกาที่ได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์ คอยช่วยเหลือ ดูแล และปลอบประโลมผู้คนจำนวนมาก…
-
หมอลูกครึ่งเอเชียถูกลงโทษภาคทัณฑ์ เพราะเปิดเผยเรื่องการโดนเหยียดหยามอย่างรุนแรง
ในประเทศสหรัฐอเมริกา การเหยียดเชื้อชาติยังคงมีให้เห็นอยู่บ้างและในบางครั้งมันก็รุนแรงเสียจนเกิดเป็นการกลั่นแกล้ง จนทำให้ชายหนุ่มที่ตกเป็นเหยื่อคนหนึ่งถึงกับรู้สึกไม่พอใจและยอมให้มีสิ่งนี้ต่อไปไม่ได้ เขาจึงนำเรื่องนี้ออกมาแชร์กับทุกคนและแสดงออกถึงการต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด ชายคนนี้ใช้ชื่อว่า Gu เป็นนายแพทย์เชื้อสายเอเชีย-อเมริกัน ที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัย Vanderbilt รัฐเทนเนสซี โดยเขาได้โพสต์ทวิตเตอร์เรื่องราวการถูกเหยียดเชื้อชาติภายในที่ทำงานของตัวเองเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2017 เขาต้องเจอกับการกลั่นแกล้งภายในที่ทำงาน เขาเล่าว่าครั้งหนึ่งเขาถูกหัวหน้าทำร้ายร่างกายด้วยการใช้ศอกกระแทกจนตัวกระเด็น ระหว่างที่กำลังช่วยคนไข้ พยาบาลที่ทำงานด้วยกันก็นำกล่องนมจากถังขยะ มาวางไว้บนโต๊ะของเขา ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ เพราะพวกเขาร่ำเรียนและฝึกฝนมาเพื่อช่วยคน แต่สิ่งเหล่านี้ขัดแย้งกับสิ่งที่พวกเขาปฏิญาณโดยตรง หลังจากที่เขานำเรื่องออกมาเผยแพร่ เขาก็ถูกโรงพยาบาลส่งจดหมายเตือนอย่างรุนแรง รวมทั้งกล่าวหาว่าเขากุเรื่องทั้งหมดขึ้นมาเอง และที่สำคัญ หัวหน้างานที่ทำร้ายร่างกายเขาก็ไม่ได้รับบทลงโทษใดๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เจอกับความไม่เป็นธรรมในลักษณะเดียวกันนี้ ในวันแรกที่เขาเข้ามาทำงานในโรงพยาบาลดังกล่าว ขณะที่กำลังจอดรถเขาก็ได้เจอกับคนที่เหมือนกับต้องการความช่วยเหลือ และเมื่อ Gu หวังดีลงรถไปช่วยกลับถูกเหยียดเชื้อชาติด้วยคำหยาบคาย จากนั้นชายคนดังกล่าวก็ยังตามมากระชากป้ายห้อยคอของเขา ก่อนที่จะค้นดูประวัติส่วนตัวและรายชื่อคนไข้ที่ Gu พกติดตัวมา เมื่อตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุหลังจากนั้นไม่นาน ชายที่ทำผิดก็เหมือนจะรอดไปได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่เขากลับไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างที่ควรจะได้รับ เขาบอกว่า “ผมรู้สึกเหมือนกับอยู่ในเกาหลีเหนือ พอพูดเรื่องความยุติธรรมก็กลับถูกลงโทษซะอย่างนั้น ผมเรียนจบและอยู่ในอันดับต้นๆ ของมหาวิทยาลัย Stanford และโรงเรียนแพทย์ Duke แต่ผมไม่เคยได้รับการช่วยเหลือใดๆ และต้องเจอกับคนในโรงพยาบาลที่ต้องการทำลายหน้าที่การงานของผม”…