Tag: เอธิโอเปีย
-
สาวนางแบบเล่าเรื่องราวในอดีต ที่เคยโดนกลั่นแกล้งเพราะ ‘สีผิวของเธอดำเกินไป’
เรื่องราวของนางแบบสาวผิวสีชาวซูดาน ที่กลายเป็นนางแบบชื่อดังหลังจากที่เธอย้ายมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา แต่กว่าที่จะกลายเป็นแฟชั่นไอคอนชื่อดัง นางแบบผิวสีผู้นี้ต้องเผชิญเรื่องราวต่างๆ มากมาย และคำสบประมาทว่าผิวของเธอนั้นดำเกินไป!! Nyakim Gatwech นางแบบสาววัย 24 ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังและมีคนติดตามในอินสตาแกรมของเธอมากถึง 325,000 คน บ่อยครั้งที่เธอมักโดนดูถูกเพราะสีผิว แต่ Gatweach กลับไม่สนใจและพยายามทำหน้าที่ของเธออย่างเต็มที่ นอกจากจะเป็นนางแบบแล้ว Gatweach ยังเป็นกระบอกเสียงสนับสนุนให้ผู้คนยอมรับในสิ่งที่ตัวพวกเขาเป็น และเธอยังออกมาต่อต้านการเหยียดผิวอีกด้วย Gatwech ย้ายมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่ตอนอายุ 14 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้เธออาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่เคนย่าและเอธิโอเปีย เนื่องจากภาวะสงครามในประเทศบ้านเกิด “แม่ของฉันหนีออกมาจากซูดานก่อนที่ฉันจะเกิดเนื่องจากภาวะสงคราม ตอนนั้นทหารกำลังจะมาที่หมู่บ้านของเราและฆ่าทุกคนทิ้ง” นางแบบสาวเล่าเรื่องราวที่ครอบครัวของเธอต้องเผชิญ Gatwech สูญเสียพี่สาวของเธอไปในระหว่างที่แม่ของเธอเดินเท้าไปยังประเทศเอธิโอเปีย และหลังจากที่ย้ายมาอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่เคนย่าพวกเขาก็ได้มีโอกาสเข้ามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สหรัฐอเมริกา แต่ถึงอย่างไรก็ตามการใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ครอบครัวของเธอต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและเรื่องสีผิวก็เป็นหนึ่งในประเด็นที่พวกเธอถูกกลั่นแกล้ง เธอเล่าถึงประสบการณ์การถูกเหยียดผิวในโรงเรียนว่า เธอมักจะถูกเพื่อนๆ บอกว่าเธอดำเกินไป หรือบางครั้งพวกเขาก็จะหัวเราะใส่เธอและพูดว่า “นี่ Gatwech พวกเรามองไม่เห็นเธอเลย” “ยกตัวอย่างในชั้นเรียน เมื่อฉันถูกคุณครูถาม เพื่อนๆ ก็มักจะพูดว่าคุณครูถามใครหรอ พวกเรามองไม่เห็นใครเลย และจากนั้นทั้งห้องก็จะหัวเราะกัน ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งร้องไห้” นางแบบสาวเล่าถึงประสบการณ์วัยเด็กของเธอ …
-
เรื่องราวของหญิงสาวที่กลายเป็น ‘เจ้าหญิง’ หลังพบรักกับเจ้าชายแห่งอาณาจักรเอธิโอเปียที่ไนท์คลับ
ตอนเด็กๆ เราคงจะเคยอ่านนิทานที่เป็นเรื่องราวของเจ้าชายที่เดินทางตามหารักแท้ โดยเจ้าชายปลอมแปลงตัวเป็นคนธรรมดา จนกระทั่งได้พบหญิงสาวธรรมดาที่รักในตัวของพระองค์ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์จนกระทั่งได้แต่งงานกันในที่สุด เรื่องราวของหญิงสาวที่ชื่อว่า Ariana Austin เปรียบดั่งกับเทพนิยายที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ที่สุด เรื่องราวเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2005 ที่ไนท์คลับแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน เจ้าชาย Joel Makonnen ได้มาเที่ยวตามปกติเหมือนดังสามัญชนคนธรรมดาแล้วได้พบกับ Ariana ที่เดินเข้ามาในไนท์คลับแห่งนี้อย่างสง่างาม เจ้าชายก็ได้สะดุดกับความงามของ Ariana ในทันที และกล่าวว่าเธอเหมือนดั่งนางแบบโฆษณาแอลกอฮอล์ที่หลุดออกมาในชีวิตจริง แถมยังรู้สึกถูกชะตาแม่สาวคนนี้ยิ่งนัก อีกทั้งยังคิดไว้ว่าจะต้องกลายมาเป็นคู่รักกันอย่างแน่นอน หลังจากนั้นเจ้าชายก็เดินเข้าไปหา Ariana แล้วทำความรู้จักในทันที โดยที่ปกปิดสถานะที่แท้จริงของตัวเองไว้ บอกไปเพียงว่าเขาเป็นทนายความธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นทั้งคู่ก็คบหาดูใจกันเรื่อยมาเป็นเวลาเกือบ 12 ปี ถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคในการที่ต้องแยกจากกันไปบ้าง แต่ทั้งสองก็ยังคุยกันอยู่ตลอด จนกระทั่งวันวาเลนไทน์ปี 2014 เจ้าชาย Joel ได้ซื้อแหวนเพชรและลูกโป่ง เดินทางไปยังบ้านของ Ariana เพื่อพบพ่อแม่ของเธอและเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของพระองค์ให้หญิงสาวได้ทราบ ซึ่งเธอก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่คิดว่าคนที่คบอยู่ด้วยนั้นเป็นเจ้าชายแห่งเอธิโอเปีย …
-
ช่างภาพถ่ายทอด “พิธีขับไล่ปีศาจ” จากเอธิโอเปีย ความเชื่อที่ต้องแลกด้วยเม็ดเงิน…
ทุกวันนี้แม้โลกจะขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ผู้คนให้การยอมรับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีกลุ่มคนไม่น้อยที่ยังไม่ละทิ้งความเชื่อแบบดั้งเดิม และสืบทอดมาจนปัจจุบันนี้ อย่างเช่น พิธีขับไล่ปีศาจของชาวเอธิโอเปีย แม้จะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่พวกเขาต่างก็นับถือและปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด พิธีกรรมดังกล่าวนี้ได้รับการถ่ายทอดโดย David Tesinsky ช่างภาพที่พยายามเก็บเงิน ซื้อตั๋วที่มีราคาถูกที่สุด ศึกษาหาข้อมูล จนพาตัวเองมาอยู่ในเมือง Addis Ababa สภาพของเมืองหลวง Addis Ababa นั้นไม่ต่างจากชุมชนแออัด และเต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไหร่ เพราะ David เกือบถูกปล้น แต่เขาได้ทำการต่อสู้และขัดขืนจึงทำให้รอดพ้นมาได้ มันไม่ได้แย่ไปซะทุกอย่าง เมื่อ David รู้ว่าที่นี่มีพิธีขับไล่ และนั่นทำให้เขาตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาประมาณตี 4 ตี 5 เพื่อที่จะไปดูและเก็บภาพพิธีกรรมดังกล่าว ช่างภาพตัดสินใจเดินทางไปยังโบสถ์ ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธี โดยคาดหวังว่าพวกเขาจะอนุญาตให้เขาถ่ายรูประหว่างทำพิธีได้ ตลอดระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่มาสังเกตการณ์ที่นี่ เขาเห็นผู้คนมากกว่า 150 ชีวิต มานั่งรอเพื่อที่จะได้พบกับนักบวช Memehir พวกเขาเหล่านั้นมีอาการกรีดร้อง ร้องไห้ และหัวเราแบบแปลกๆ เมื่อนักบวชออกมา เขาได้ตบศีรษะของคนที่มีอาการเหล่านั้นทีละคน พร้อมกับสาดน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อทำการขับไล่ปีศาจที่สิงสู่อยู่ในร่างกายพวกเขา …
-
วัฒนธรรมอันแสนหวาดเสียวกับการให้อาหาร “เหล่าไฮยีน่า” ในยามค่ำคืนแบบเม้าท์ทูเม้าท์
แทบจะทุกคนนั้นคงจะรู้จัก ไฮยีน่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งที่เรามักจะเคยได้ยินมาว่า พวกมันมักจะกินซากศพและอยู่รวมกันเป็นฝูง จึงทำให้มองได้ว่ามันเป็นสัตว์ที่ดุร้าย แล้วถ้าสัตว์ที่เราคิดว่ามันไม่เป็นมิตร แต่กลับมีคนคอยไปให้อาหารมันทุกคืนล่ะ กลุ่มคนเหล่านี้มีอยู่จริงในเมืองกำแพงอันเก่าแก่ที่มีชื่อว่า Harar ในเอธิโอเปีย ซึ่งตามประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ได้มีส่วนหนึ่งที่กล่าวถึงไฮยีน่ามาอย่างยาวนานนับศตวรรษ โดยได้มีคลิปวิดีโอแสดงให้เห็นถึงการให้อาหารที่นอกจากจะให้ผ่านมือแล้วนั้น ก็มีที่ใช้ปากคาบเนื้อสดๆ ป้อนเจ้าไฮยีน่า และเมื่อศึกษาลงไปจากแหล่งข้อมูลในท้องที่เหล่านั้นแล้วก็พบว่ากลุ่มผู้กล้าเหล่านี้ได้คอยให้อาหารไฮยีน่าตามชานเมืองมาเป็นเวลาประมาณ 60 ปีเลยทีเดียว ไกด์ที่เป็นคนท้องถิ่นชื่อว่า Hailu Gashaw ได้บอกกับนักท่องเที่ยวจาก National Geographic ว่า ย้อนกลับไปใน ค.ศ.1550 ได้มีความเชื่อที่ว่าผู้คนในเมืองนี้อยากให้ไฮยีน่าเข้ามาในเมืองด้วยเพราะว่าพวกมันจะช่วยในการกำจัดเศษซากทางการเกษตร และทำให้เมืองสะอาดสะอ้านเพื่อสุขอนามัยของแหล่งที่อยู่อาศัย ปัญหาที่เกิดขึ้นเพียงอย่างเดียวคือเมื่อมีไฮยีน่าป่า เข้ามาทำความเสียหายให้กับพื้นที่ปศุสัตว์ของชาวบ้านในบางคืน จึงทำให้การให้อาหารไฮยีน่ารอบชานเมืองเริ่มจากจุดนั้น เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหามาจนถึงปัจจุบัน เพื่อแน่ใจว่าเจ้าไฮยีน่าจะไม่ไปทำร้ายผู้คน กลุ่มคนที่ให้อาหารจึงจะเดินรอบๆ เมืองและร้องเรียกเหล่านักล่าให้ออกมากินอาหารจากมือหรือปากของพวกเขาเองทุกๆ คืน ซึ่งแน่นอนว่าการที่ต้องเจอไฮยีน่ารุมเข้ามาเป็นฝูงกว่า 30 ตัวคงจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวเอามากๆ แต่เพื่อการใช้ชีวิต มันจึงเป็นเรื่องจำเป็น คลิปวิดีโอการให้อาหารเหล่าไฮยีน่าในยามค่ำคืน Mulugeta Wolde-Mariam และ Abbas Yusuf คือคนที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมที่น่าเหลือเชื่อนี้ไว้อยู่ โดยในปัจจุบันได้มีการแสดงเพื่อความบันเทิงเพื่อหารายได้จากนักท่องเที่ยวอีกด้วย หรือในบางครั้งก็จะชวนให้นักท่องเที่ยวได้ลองให้อาหารเหล่าไฮยีน่าเองกับมือ แต่ก็นะไม่ใช่ว่าทุกคนจะกล้าทำอย่างนั้นหรอก นี่อาจเป็นความตื่นเต้นหวาดเสียวที่หลายคนชื่นชอบ แต่ยังไงก็อย่าไปลองเอาเองที่บ้านเชียว…
-
ตามติดชีวิต “ชนเผ่าซูริ” แห่งเอธิโอเปีย ใช้วัวเป็นทรัพย์สิน และเจาะร่างกายเพื่อความงาม
ชนเผ่าเอธิโอเปียที่อยู่ห่างไกลความเจริญแห่งนี้ สมาชิกในเผ่าจะต้องผ่านพิธีกรรมอย่างการเจาะปากแล้วนำแผ่นหินมาสอด หรือการต่อสู้ด้วยกระบองไม้ที่โหดเหี่ยม Mario Gerth ช่างภาพชาวชาวเยอรมันวัย 40 ปี ได้เดินทางไปที่หมู่บ้านของชนเผ่าซูริ และเก็บภาพของคนในเผ่ารวมถึงเล่าถึงความเป็นอยู่ที่น่าสนใจของพวกเขามาให้พวกเราได้ชมกัน ชนเผ่าซูริ อาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบทางตะวันตกเฉียงใต้ของเอธิโอเปีย ซึ่งพวกเขามีความภูมิใจในเรื่องของพิธีกรรมและรอยแผลเป็นของพวกเขามากๆ หญิงสาวชาวซูริ จะใช้ผิวของตัวเองเป็นที่แสดงถึงศิลปะและความสวยงาม พวกเธอจะสักร่องรอยต่างๆ ลงบนร่างกาย ตกแต่งด้วยเครื่องประดับจากธรรมชาติ เช่น หมวกจากดอกไม้และต้นหญ้า ส่วนหญิงสาวที่มีอายุถึงกำหนด พวกเธอจำเป็นจะต้องเจาะใต้ปากเพื่อที่จะจัดแผ่นหินลงไปได้ ที่สำคัญจำเป็นจะต้องถอนฝันหน้าสองซี่ออกไปด้วย ในส่วนขนาดของแผ่นหิน ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ พ่อของพวกเธอก็จะสามารถเรียกร้องวัว มาเป็นสินสอดได้เยอะยิ่งขึ้นในตอนที่พวกเธอหมั้นหมาย . ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมถึงต้องใช้วัวเป็นสินสอด ก็เพราะว่า สำหรับเผ่าซูริแล้ว วัวนับเป็นเครื่องแสดงฐานะและทรัพย์สินอันมีค่า หากบ้านไหนมีวัวมาก นั่นก็หมายถึงความร่ำรวยนั่นเอง ผู้ชายในเผ่าปกติแล้วจำเป็นจะต้องมีวัวในครอบครองราวๆ 30-40 ตัว แต่ว่าชายที่จะแต่งงานได้จำเป็นจะต้องมีวัว 60 ตัวขึ้นไป เพื่อใช้วัวส่วนหนึ่งในการมอบให้กับครอบครัวของเจ้าสาว Mario บอกว่า ความภาคภูมิใจของชนเผ่านั้นจะขึ้นอยุ่กับรอยแผลเป็นที่พวกเขาสามารถมีได้ โดยพวกผู้หญิงในเผ่าจะใช้ใบมีดโกนในการสร้างบาดแผลให้กับตัวเอง และตรงจุดนั้นก็จะกลายเป็นแผลเป็น ที่กลายเป็นความภาคภูมิใจของพวกเธอนั่นเอง …
-
ชนเผ่าในเอธิโอเปีย ผู้ตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับมากมาย เพราะไม่อยากเป็นทาส!!
โลกของเราประกอบไปด้วยชนเผ่ามากมายหลายกลุ่ม กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วโลก แต่ทว่าหนึ่งในชนเผ่าที่มีความยูนิคด้านแฟชั่นมากที่สุด เราต้องขอยกให้กับเผ่าเหล่านี้ จากประเทศเอธิโอเปีย ภาพถ่ายทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของช่างภาพสาวชาวเลบานอน ‘Omar Reda’ เธอได้เดินทางไปยังหุบเขา ‘Omo’ เพื่อศึกษาเรียนรู้วัฒนธรรมของชนเผ่าแห่งนี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การที่พวกเขาประดับประดาร่างกายให้เต็มไปด้วยสิ่งของมากมายแบบนี้นั้น ก็เพื่อการไม่ยอมตกเป็นทาสในยุคสมัยก่อนนั่นเอง แผนที่บริเวณหุบเขา ‘Omo’ ย้อนกลับไปในยุคล่าอาณานิคมจากประเทศโลกตะวันตก ในช่วงสมัยนั้นมีการเดินทางเข้ามายังบริเวณทวีปแอฟริกา เพื่อซื้อขาย ‘ทาสชาวแอฟริกัน’ อย่างเปิดเผยราวกับเป็นเรื่องปกติ แน่นอนว่าลึกๆแล้วในความเป็นมนุษย์ ไม่มีใครอยากถูกยึดครองอิสรภาพ และเอาไปใช้งานเยี่ยงทาสแน่นอน นี่จึงเป็นที่มาของการที่ผู้หญิงในชนเผ่าเหล่านี้ เลือกที่จะตกแต่งตัวเองด้วยการเอาจานมาติดที่หู ปาก หรือแม้แต่การหาวัสดุจากธรรมชาติ มาประดับประดาตัวเองให้ดูไม่ปกติมากที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการคัดเลือกจากกลุ่มนายทุนค้าทาสในอดีตกาล “ชนเผ่า Mursi จะเป็นที่รู้จักกันในเรื่องของการเจาะริมฝีปากด้านล่าง ในอดีตพวกเขาทำไปเพื่อไม่ต้องการถูกนำไปเป็นภาพ พวกเขาจะเริ่มจากจานขนาดเล็ก ค่อยๆขยายไปจนมีขนาดที่ใหญ่มากขึ้น โดยชนเผ่านี้มีค่านิยมที่ว่าถ้าหากแผ่นไม้ที่อยู่ใต้ริมฝีปากยิ่งใหญ่ เธอคนนั้นก็จะยิ่งมีความสวยงามมาก” ช่างภาพสาวชาวเลบานอนเล่า ภาพถ่ายส่วนหนึ่งจากชนเผ่าท้องถิ่น แสดงให้เห็นถึงการประดับร่างกายด้วยวัสดุจากธรรมชาติ ผู้เฒ่าผู้แก่จากชนเผ่าเดียวกัน ที่ประดับร่างกายด้วยสร้อยคอที่ทำจากเม็ดพลาสติก “อีกชนเผ่าหนึ่งที่ฉันไปเจอคือชนเผ่า ‘Hamar’ หญิงสาวในชนเผ่านี้จะชะโลมเส้นผมของพวกเธอด้วยดินเหนียว เนย…
-
ชาวเอธิโอเปียใช้ “เศษขยะ” ในการทำเครื่องประดับหัวได้อย่างงดงาม
ในทางตอนใต้ของเอธิโอเปีย ลึกลงไปในหุบเขา Omo ยังมีชนเผ่ากึ่งเร่ร่อนที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อ The Daasanach ประกอบด้วยสมาชิกกว่า 50,000 คน ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา พวกเขาอยู่กันอย่างอิสระและได้ทำเกษตรกรรมเพื่อกินอยู่ Eric Lafforgue ช่างถ่ายภาพชาวฝรั่งเศสใช้เวลาหลายปีในการเก็บข้อมูลและถ่ายภาพทำสารคดีเกี่ยวกับชนเผ่า The Daasanach ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เขาเห็นได้ชัดก็คือการพัฒนาของแฟนชั่นที่นั่น พวกเขาได้ใช้ฝาขวด ที่หนีบผม หรือแม้กระทั่งสายของนาฬิกาข้อมือมาเป็นเครื่องประดับบนหัวสำหรับผู้หญิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต่างก็ตกแต่งด้วยสิ่งของเหล่านี้ทั้งนั้น เขากล่าวว่า “เด็กเล็กๆมักจะทำเป็นวิกแบบธรรมดาๆ แต่คนที่แก่ที่สุดเธอพยายามใส่ให้เต็มจนหนักที่สุด” ที่มา sobadsogood