Tag: เอเชีย
-
ซอสมะเขือเทศ (Ketchup) ซอสจิ้มของชาวตะวันตก แท้จริงแล้วมีต้นกำเนิดจากเอเชีย!!
เมื่อพูดถึง ซอสมะเขือเทศ หรือที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า Ketchup แน่นอนว่าใครๆ ก็ต้องนึกถึงอาหารฟาสต์ฟู้ดหรืออาหารตะวันตกเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะชาวอเมริกัน จากการรายงานพบว่า 97 เปอร์เซ็นต์ของชาวอเมริกัน นั้นมีซอสมะเขือเทศอยู่ในบ้านของตัวเอง เรียกได้ว่าเป็นซอสที่มีอยู่ทุกบ้านเลยจริงๆ แต่หารู้ไม่ว่า ต้นกำเนิดของ Ketchup จริงๆ นั้นมันอยู่ที่ทวีปเอเชียต่างหาก!! National Geographic ระบุไว้ว่า ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ถึงต้นศตวรรษที่ 18 ชาวสหราชอาณาจักรได้พบเจอกับซอสที่เรียกว่า Ketchup เป็นครั้งแรกในเอเชีย โดยอยู่ในรูปแบบของซอสที่หมักขึ้นจากปลา ส่วนวิธีการ Ketchup ในยุคแรกนั้นถูกตีพิมพ์ขึ้นในปี 1732 โดย Richard Bradley โดยมีการอ้างอิงไว้ชัดเจนว่าได้ต้นแบบมาจากตำราอาหารของชาวเอเชียตะวันออก วิธีทำดังกล่าวเกิดจากการที่ชาวอังกฤษได้ชิมซอส Ketchup ของเอเชียแล้วพวกเขาก็พยายามลองทำมันขึ้นมาใหม่จากความจำ โดยพวกเขาใช้วิธีหมักเห็ด ผลวอลนัท หอยนางรม และปลาแอนโชวี ส่วนมะเขือเทศนั้นยังไม่ได้มีบทบาทในช่วงแรก กระทั่งปี 1812 ชายนามว่า James Mease ได้ลองใส่ผลไม้ที่เรียกว่า Love Apple ลงไปในซอส Ketchup ดั้งเดิมพร้อมมะเขือเทศบด เครื่องเทศ และบรั่นดี เขาก็ตั้งชื่อมันว่า Ketchup ตามซอสฉบับดั้งเดิม…
-
พบแม่ค้าลอตเตอรีคนงาม กับเสียงพูดสุดแบ๊วราว “ตัวละครอนิเมะ” หนุ่มๆ หาวาร์ปจ้าละหวั่น!
หวยลอตเตอรี ในประเทศไทยเรานั้น หากจะพูดว่าเป็นสิ่งที่ผู้คนนิยมซื้อกันก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปาก เพราะถึงคนบางส่วนจะนิยมซื้อ แต่คนอีกจำนวนมากก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับลอตเตอรีเลย แต่ล่าสุด กลับมีคลิปวิดีโอถูกเผยแพร่ขึ้นบนเฟซบุ๊ก ที่อาจทำให้ผู้คน (โดยเฉพาะหนุ่มๆ) หันไปสนใจซื้อหวยลอตเตอรีกันมากขึ้นเสียแล้วล่ะ เพราะในคลิปวิดีโอนั้น เผยให้เห็น แม่ค้าขายลอตเตอรี สุดเซ็กซี่แถมมีเสียงพูดสุดอาโนเนะ ราวกับหลุดมาจากโลกอนิเมะอะไรทำนองนั้น แม้ค้าสาวคนผมหางม้าคนนี้ไม่เผยให้ทราบแน่ชัดว่าเป็นชาวจีนหรือไต้หวัน แต่เธอเป็นแม่ค้าขายหวยขูด (คล้ายลอตเตอรีของสหรัฐอเมริกา) ซึ่งจุดเด่นของเรื่องนั้นแน่นอนว่าไม่ได้อยู่ที่หวยแต่อย่างใด สิ่งที่ทำให้หนุ่มๆ ชาวเน็ตต่างพากันลุกฮือก็คือ เสียงพูดของเจ๊ที่ฟังดูเหมือนเด็กน่ารักๆ ราวกับเสียงพากย์ตัวละครในอนิเมะอย่างไรอย่างนั้น ประกอบกับทรวดทรงองค์เอวของเจ๊ด้วยแล้ว เรียกได้ว่าทำเอาหนุ่มๆ ถึงกับต้องวิ่งหาวาร์ปกันอย่างจ้าละหวั่น เอาล่ะถ้าพร้อมแล้ว ไปชมคลิปกันเลย! แม่ค้าคิวท์ๆ แถมเสียงก็ยังคิวท์จนคว้าใจชายหนุ่มไปอีก! งานนี้ชาวเน็ตต่างพากันเข้ามาคอมเมนต์กันมากมาย เช่น… “ผมคิดว่าผมอยากได้ลอตเตอรีสักใบ” “อยากให้เจ๊มาช่วยขูดหวยให้ผมบ้างจัง” “คลิปอะไรน่าเบื่อจริงๆ” “ป่ะ ไปซื้อลอตเตอรีกัน” ขอโทษทีนะทุกคน มันไม่มีวาร์ปปปป!!! ที่มา: JKF 紅燈區2.0 via ck101
-
ฝรั่งรีวิว “ไข่เยี่ยวม้า” ชิมแล้วคายทิ้ง พร้อมบอกว่า “เหมือนไข่เน่า” ชาวเน็ตปรี๊ดแตก!!
ไข่เยี่ยวม้า ไข่เนื้อวุ้นสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำ เป็นของโปรดในหลายๆ เมนูอาหารสำหรับชาวไทยและชาวเอเชียหลายประเทศ หลายคนอาจกล่าวว่าความเอร็ดอร่อยของมันอยู่ที่รสสัมผัสของไข่ขาวที่เด้งราวกับวุ้นแต่ส่วนไข่แดงกลับเนียนนุ่ม โดยทั้งสองส่วนให้รสชาติเค็มมันปะแล่มๆ ประกอบกับกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งหาได้จากไข่เยี่ยวม้าเท่านั้น ทว่าชาวต่างชาติโดยเฉพาะฝั่งตะวันตกกลับบอกว่า “ไม่ชอบ” เจ้าอาหารที่เรียกว่า ไข่เยี่ยวม้า หรือ Century Egg แบบสุดๆ บริษัทผลิตสื่ออย่าง Vocativ ได้สร้างวิดีโอการทดลองชิมไข่เยี่ยวม้าโดยชาวตะวันตก แต่คำวิจารณ์และปฏิกิริยาแง่ลบกลับทำให้ชาวเอเชียจำนวนไม่น้อยเกิดความไม่พอใจ เพราะพวกเขาบอกว่ากลิ่นเหมือนกับไข่เน่าแถมรสชาติยังไม่อร่อยอีกด้วย แถมยังมีการคอมเมนต์ว่า “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนเราจะกินไอ้ของแบบนี้ได้จริงๆ” ชมคลิปวิดีโอจาก Vocativ ในคลิป Vocativ มีการเขียนอธิบายว่า “ไข่พวกนี้ส่งกลิ่นเหม็นน่าขยะแขยงออกมา แถมเนื้อของมันยังเป็นวุ้นสีมืดๆ ที่ดูไม่น่ากินอีกด้วย” ในช่วงต้นของคลิปจะเผยให้เห็นวิธีการทำไข่เยี่ยวม้า และหลังจากนั้นก็จะเผยภาพปฏิกิริยา ทั้งสีหน้า และคำวิจารณ์ ของชาวตะวันตกที่ลองชิมเจ้าไข่เยี่ยวม้านี้ คลิปวิดีโอแสดงให้เห็นว่าหลายคนที่ชิมไข่เยี่ยวม้านั้นต้องหน้าเบ้ และรีบคายทิ้งอย่างรวดเร็ว Vocativ จึงเขียนคำอธิบายว่า “ชาวต่างชาติต่างต้องพยายามกลืนและยัดอาหารสุดประหลาดนี้ลงคอให้ได้” “แต่บางคนก็บอกว่าหากสามารถทนกลิ่นมันได้ มันก็ถือว่าเป็นอาหารที่อร่อยเลยล่ะ” สุดท้าย Vocativ เสนอว่า “เราควรทานแบบดั้งเดิมน่ะดีที่สุดแล้ว” หลังจากคลิปวิดีโอนี้ถูกเผยแพร่ลงบนโลกโซเชียล…
-
สองหนุ่มได้ตังค์จากแมคฯ 1 ล้านบาท เพราะเอาภาพตัวเองไปติดโดยไม่มีใครจับได้ 50 วัน!!
หากย้อนกลับไปช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาทีมงานเหมียวของเราได้นำเสนอเรื่องราวของ ‘สองหนุ่มเนียนเอา ‘รูปของตัวเอง’ ไปแปะในร้าน McDonald’s โดยที่ไม่มีใครจับได้!?‘ เมื่อหนุ่มอเมริกันเชื้อสายเอเชียสองคนบังเอิญสังเกตเห็นว่าในร้าน McDonald’s ในย่านที่พวกเขาอยู่อาศัยนั้นไม่มีป้ายโฆษณาที่มีนายแบบเป็นชาวเอเชียอยู่เลย พอเห็นผนังที่ว่างเปล่าในร้าน Mc ใกล้บ้าน ก็เลยปิ๊งไอเดียที่อยากจะโชว์ความเป็นเอเชียนในร้าน Mc ขึ้นมา พวกเขาก็เลยลงทุนไปถ่ายภาพโฆษณาแบบเนียนๆ แล้วก็เอาไปแปะไว้ วันเวลาผ่านไปกว่า 50 วัน ไม่มีใครจับได้เลยสักคนว่ามันเป็น ‘ภาพปลอม’ พี่แกก็เลยออกมาโพสต์ทวิตเตอร์เพื่อเล่าถึงวีรกรรมดังกล่าวจนกลายเป็นกระแสไวรัล อย่างที่รู้กันดีว่าการกระทำของพวกเขานั้นถือเป็น ‘การกระทำที่ไม่ได้รับอนุญาต’ แต่ขณะเดียวกันเรื่องราวทั้งหมดก็ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะจนมีคนรู้ไปแล้ว แต่ทาง McDonald’s ก็ไม่ได้ว่าอะไรแม้แต่น้อยแถมยังมอบเงินรางวัลให้ด้วย!? (ก็แหงล่ะ ได้โฆษณาร้านไปฟรีๆ เลยนี่นา) ซึ่งล่าสุดทั้งสองคนก็ได้รับเชิญให้ไปออกรายการ Ellen DeGeneres เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทาง McDonald’s ได้ฝาก ‘เงินรางวัล’ มามอบให้คนละ 25,000 เหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 1 ล้านบาท เป็นรางวัลให้กับสิ่งที่พวกเขาทำ Ellen กล่าวกับพวกเขาว่า…
-
สองหนุ่มเนียนเอา ‘รูปของตัวเอง’ ไปแปะในร้าน McDonald’s โดยที่ไม่มีใครจับได้!?
ใครเล่าจะคิดว่าสองหนุ่มเกรียน จะกลายมาเป็น ‘พรีเซ็นเตอร์’ ของ McDonald’s ได้โดยที่ไม่มีใครรู้สักคนเลยว่าพวกเขาเมคมันขึ้นมาเอง!? เรื่องมีอยู่ว่าสองหนุ่ม Jehv Marravilla วัย 21 ปี นักศึกษาจากมหาวิทยาลัย University of Houston และเพื่อนซี้ของเขา Christian Toledo วัย 25 ปี ทั้งสองคนล้วนแล้วแต่เป็นลูกครึ่งฟิลิปปินส์ เนื่องจากว่าร้าน McDonald’s ในเขต Maccies เมือง Pearland รัฐเท็กซัส ที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้น ไม่มีป้ายโฆษณาที่มีนายแบบเป็นชาวเอเชียอยู่เลย ก็เลยปิ๊งไอเดียขึ้นมา เขาต้องการที่จะโชว์ความเป็นเอเชียในร้าน Mc และเมื่อเห็นกำแพงที่ว่างเปล่าในร้าน ก็เลยคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างกับมัน พวกเขาเลยไปถ่ายภาพของตัวเองขณะกิน McDonald’s พร้อมกับแต่งภาพให้ดูสวยงาม ราวกับว่าเป็นภาพที่ใช้ในการโฆษณาจริงๆ จากนั้นก็แอบเอาไปแขวนไว้ที่ร้านในวันที่ 13 กรกฎาคม จนผ่านไปแล้วกว่า 52 วัน ก็ไม่มีใครจับได้ว่าภาพโฆษณาดังกล่าวเป็นของปลอม แถมยังติดทิ้งเอาไว้ตรงนั้นไม่ยอมเอาออกไปไหนอีกต่างหาก!? Jehv ก็เลยนำเรื่องราวที่เขาทำนี้ไปโพสต์ลงบนทวิตเตอร์และกลายเป็นกระแสไวรัลในเวลาไม่นาน…
-
หนุ่มอังกฤษคนเดิม โผล่เกาหลีทำคลิป “แอ้มสาว” ไม่ซ้ำหน้า ชาวเน็ตเดือดอีกรอบ!!
นักท่องเที่ยวหนุ่มสัญชาติอังกฤษนามว่า Nick Coakley หลังจากเดินทางมาเที่ยวยังประเทศไทยและไปต่อที่ไต้หวันพร้อมแล้ว เป้าหมายต่อไปของเขาก็คือ ประเทศเกาหลีใต้!! ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า เป้าหมายการท่องเที่ยวของเจ้าหนุ่ม Nick Coakley นั้น คือการทำคลิปวิดีโอในลักษณะของการเกี้ยวสาวและเผยแพร่คลิปออกมาให้ติดตามบนโลกออนไลน์ โดยปกติแล้ว Nick จะถ่ายทำวิดีโอที่เกี่ยวกับการไล่หลีหญิงเอเชียแบบสุ่มๆ เอาตามที่ตัวเองชอบ เขาจะเข้าไปทักทาย แนะนำตัว แล้วก็ต่อด้วยประโยคทำนองว่า น่ารักดี อยากทำความรู้จัก อยากเป็นเพื่อน ล่าสุดเมื่อวันพุธที่ 29 สิงหาคม 2018 Nick ได้อัปโหลดคลิปวิดีโอใหม่ลงบนช่องยูทูบของเขา เป็นวิดีโอเกี่ยวกับการท่องเที่ยววันแรกในประเทศเกาหลีใต้ หนุ่ม Nick กับวันแรกในเกาหลีใต้ เขาระบุว่า เขาจะเข้าไปทำความรู้จักสาวๆ อย่างไม่เหนียมอาย เพื่อขอทำความรู้จักและขอข้อมูลสำหรับติดต่อ เขาเขียนอธิบายวิดีโอไว้ด้วยว่า “วันแรกในเกาหลีของผม สาวๆ ที่นี่ใจดีมากแถมเป็นมิตรสุดๆ พวกเธอคุยง่ายมากและสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างง่ายดาย เจ๋งมาก!” ตอนนี้ Nick ถามสาวเสื้อดำว่า “คุณมีแฟนหรือยังเอ่ย? ผมเป็นแฟนคุณได้ไหม?” เธอดูท่าทางลังเลเขาจึงพูดต่อว่า “มันโอเคนะ ผมก็ผิวขาวเหมือนกัน ดูสิผิวผมขาวใช่ไหมล่ะ?” แถมหลังจากนั้นเจ้า Nick…
-
หนุ่มมะกันบุกบ้านชาวเอเชีย สั่งให้เอาป้ายด่า Trump ออก พร้อมเหยียดว่า “Ni**er”
กลายเป็นเรื่องราวของการเหยียดเสียอย่างนั้น เมื่อชายผู้หนึ่งบุกเข้ามายังสนามหญ้าหน้าบ้านของครอบครัวชาวเอเชียน-อเมริกัน เพื่อ “สั่ง” ให้นำป้ายที่มีข้อความโจมตีประธานาธิบดี Donald Trump ออก ป้ายดังกล่าวมีข้อความที่เขียนว่า “F**k Donald Trump” ทำให้ชายจากนอร์ธแคโรไลนาเกิดความไม่พอใจและมีปากเสียงกับเจ้าของบ้านอยู่ชั่วระยะหนึ่ง จนสุดท้ายชายที่เข้ามาบุกบ้านของครอบครัวชาวเอเชีย-อเมริกันก็ลั่นวาจาเหยียดพวกเขาออกมาว่า “Ni**er” ซึ่งเป็นคำด่าคนผิวสีนั่นเอง คลิปวิดีโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คลิปที่ 1 ในคลิปที่แรกนี้ จะเห็นได้ว่าชายเสื้อสีน้ำเงินพร้อมกางเกงยีนได้มีปากเสียงกับชายที่ไม่ได้สวมเสื้อซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน https://twitter.com/Freeyourmindkid/status/1018632667158532096?ref_src=twsrc%5Etfw%7Ctwcamp%5Etweetembed%7Ctwterm%5E1018632667158532096&ref_url=https%3A%2F%2Fnextshark.com%2Fracist-man-storms-asian-american-familys-yard-calling-nr-fk-donald-trump-sign%2F เจ้าของบ้านตะโกนออกมาว่า “ออกไปจากบ้านตรูเดี๋ยวนี้เลย แกจะมาสนใจอะไรในบ้านฉันวะ?” ชายบุกบ้านตอบว่า “ฉันลงคะแนนให้ Bernie Sanders โว้ยไอ้งั่ง ฉันไม่ได้สนใจอะไรของบ้านแกหรอก!” แต่เขาบอกว่าป้ายหน้าบ้านของครอบครัวเอเชีย-อเมริกันนี้ดันไปทำให้ลูกๆ ของเขาไม่พอใจ “ฉันจอดรถอยู่ใกล้ๆ แล้วดันได้กลิ่นคล้ายๆ กัญชาออกมาจากบ้านของแกไง” ชายบุกบ้านกล่าวต่อ จากนั้นชายบุกบ้านก็ขู่ว่าจะแจ้งความกับตำรวจ แล้วเขาก็เดินจากไปยังรถของเขาพร้อมกับชูนิ้วกลางบนมือของเขาอีกด้วย “เห็นทะเบียนรถมันมั้ย? ถ่ายเอาไว้นะ ฉันจะตามตัวมันให้เจอให้ได้เลยไอ้ห่านี่” เจ้าของบ้านพูดกับหญิงที่เป็นผู้ถือกล้องถ่ายคลิปวิดีโอ จากนั้นเจ้าของบ้านก็เรียกชายผู้บุกรุกคนนี้ว่า “Cracker” ที่แปลว่า “ไอ้เฮงซวย” พร้อมๆ กัน อีกฝ่ายก็ก่นด่ากลับมาว่า “Ni**er” ที่เป็นคำด่าเหยียดชาวผิวสีเช่นกัน จากนั้นชายผู้บุกรุกก็ตอบว่า…
-
ผกก. เอเชียบอกหนัง “13 ชีวิตถ้ำหลวง” อั๊วะขอทำเอง กลัวฮอลลีวูดทำแล้วกลายเป็นคนขาว…
หลังจากมีข่าวว่าผู้กำกับภาพยนตร์ฮอลลีวูดรายหนึ่งจะนำเรื่องราวของทีมหมูป่าทั้ง 13 ชีวิตที่ติดถ้ำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ชาวไทยก็ต่างให้ความสนใจกันอย่างมากเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นเกิดในบ้านเรานั่นเอง อย่างไรก็ตาม Jon M. Chu ผู้กำกับชาวเอเชียที่กำกับภาพยนตร์เรื่อง Crazy Rich Asians ที่จะเปิดรอบปฐมทัศน์ภายในเดือนสิงหาคม 2018 นี้กล่าวว่าตนต้องการนำเรื่องราวของ 13 ชีวิตที่ติดถ้ำมาทำเป็นหนังเสียเอง เขาโพสต์ในทวิตเตอร์ของตนเองว่า “อาจจะเร็วไปเสียหน่อยที่จะพูดคุยเรื่องนี้ แต่ผมได้รับบทเรียนสำคัญมาแล้วจากการสร้างภาพยนตร์ Crazy Rich Asians นั่นก็คือ เราควรเล่าประวัติศาสตร์ของเราให้โลกรับรู้อย่างไม่ผิดเพี้ยน จุดนี้มีความสำคัญอย่างมากตรงที่ หากเราเล่าความจริงออกไปแล้ว ผู้คนจะตัดสินได้ถูกต้องว่า ใครคือฮีโร่ตัวจริงกันแน่” ผู้กำกับวัย 38 ปีพร้อมกับ Ivanhoe Pictures ได้ประสานงานกับทางหน่วยซีลและภาครัฐของประเทศไทย เรื่องการสร้างภาพยนตร์ดังกล่าวที่จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือ 13 ชีวิตที่ติดอยู่ในถ้ำ อย่างไรก็ตามรายงานจาก USA Today เผยว่ามีค่ายและสตูดิโอถ่ายทำภาพยนตร์จำนวนไม่น้อยที่ให้ความสนใจกับเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ แต่ Chu เองก็ยอมรับว่าตนไม่อยากให้เรื่องราวนี้ถูกทำโดยฮอลลีวูดเนื่องจากกลัวว่าภาพยนตร์จะทำออกมาบิดเบือนและกลายเป็น “วัฒนธรรมคนขาว” นั่นเอง เขาโพสต์บนทวิตเตอร์ของตัวเองอีกว่า “ผมไม่อยากให้ฮอลลีวูดเผยเรื่องราวของเด็กไทยที่ติดถ้ำแบบวัฒนธรรมคนขาวเลย ผมไม่ยอมแน่ๆ เลือกเอาว่าจะล้มเลิกดีๆ หรือ ไม่งั้นเราจะทำให้คุณลำบากแน่นอน เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องราวที่งดงามเกี่ยวกับมนุษย์ที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ฉะนั้นหากใครมองเรื่องนี้ได้ลึกซึ้งกว่ามันก็ควรจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องและน่านับถือ” แถมยังโพสต์ตามมาติดๆ…
-
คลิปฮาๆ ไขความสงสัย ‘คนจีน’ คิดอะไรอยู่ทำไมชอบมอง ‘ชาวตะวันตกผิวสี’ กันนักนะ!?
สำหรับคนเอเชียอย่างเราๆ เมื่อมีคนต่างชาติที่มีสีผิวแตกต่างเข้ามาท่องเที่ยวหรือทำงานในบ้านเรา พวกเราก็มักจะชายสายตามองไปยังพวกเขาเป็นปกติ แต่หารู้ไม่ว่าในวัฒนธรรมของตะวันตกนั้น การมองไปยังผู้อื่นถือว่าเสียมารยาทอย่างมาก สำหรับชาวเอเชียแม้ว่าการมองไปยังชาวตะวันตกเป็นเพียงสายตาของความสนใจและสงสัย แต่ชาวต่างชาติที่ถูกมองก็ปฏิเสธไม่ได้ที่จะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ แชแนลยูทูบสายฮาอย่าง Mamahuhu ชาวตะวันตกที่อาศัยอยู่ในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน จึงได้ทำคลิปวิดีโอขึ้นมา เพื่ออธิบายว่าที่จริงแล้ว ชาวจีน เวลาที่เขามองมายังชาวต่างชาติโดยเฉพาะคนผิวสีนั้น คิดอะไรอยู่กันแน่ คลิปตัวอย่างความอึดอัดเวลาที่ชาวต่างชาติเข้ามายังเอเชียแล้วถูกมอง ในวิดีโอจะไม่มีเสียงและคำบรรยายเป็นภาษาไทย อย่างไรก็ตามหากใครไม่เข้าใจก็สามารถอ่านคำบรรยายพร้อมภาพประกอบได้ตามนี้… วิดีโอเริ่มขึ้นด้วยชายสูงวัยชาวจีนนังอยู่ในรถไฟใต้ดิน เขานั่งตรงข้ามกับชายผิวสีคนหนึ่ง แม้ว่ายังไม่เห็นหน้าก็ตาม สีหน้าของคุณลุงดูสนใจและมองตาไม่กะพริบ หนุ่มผิวสีคนที่ลุงมองก็คือคนนี้นี่เอง เขาเห็นแล้วว่าลุงกำลังมองเขาอยู่ ท่าทางของเขาเหมือนจะเคยชินกับการถูกชาวเอเชียมอง จากนั้นคุณลุงชาวจีนก็เกิดคิดถึงความทรงจำสมัยอยู่บ้านเกิด หลังจากที่ได้มองมายังชายหนุ่มผิวสีคนนี้ จากนั้น คุณลุงก็เปลี่ยนที่นั่งย้ายมานั่งข้างๆ กับชายหนุ่ม ทำให้ชายหนุ่มกระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูก และแล้วคุณลุงก็ยกแขนขึ้นมาลูบผมของชายหนุ่ม . คุณลุงกล่าวขอบคุณที่ชายหนุ่มได้จุดประกายให้ลุงคิดถึงความทรงจำแสนหวาน จากนั้นคุณลุงก็ชูนิ้วโป้งขึ้นมาพร้อมเอ่ยว่า “Laowai” ที่แปลว่า “ฝรั่ง (ชาวต่างชาติ)” นั่นเอง แต่คำนี้ในบางแง่หลายๆ คนก็ใช้พูดในทางลบ สุดท้าย คุณลุงก็ลงจากขบวนรถไฟไป และก็มีสาวจีนเซ็กซี่เข้ามานั่งตรงข้ามกับชายหนุ่มแทน ชายหนุ่มพยายามแสดงความสนใจ แต่หญิงสาวเซ็กซี่กลับกลอกตามองบน แล้วก็พูดว่า…
-
สาวเอเชียถูกเหยียด “ชอบกินหมาแมวใช่ไหม?” ได้รับเงินชดใช้เกือบ 3 แสนบาท!!
เชื่อว่าหลายคนอาจไม่เข้าใจว่าการกระทำหรือคำพูดแบบใดบ้างถึงจะเรียกว่าเป็นการ “เหยียด” คนอื่น ฉะนั้น มันก็อาจมีบ้างทีที่เราจะพูดอะไรออกไปแล้วไปเหยียดคนอื่นเข้าโดยไม่ได้เจตนา ขณะเดียวกันก็มีคนที่ตั้งใจจะพูดเหยียดคนอื่นจริงๆ คนที่ชอบเหยียดคนอื่น ซึ่งทำให้ผู้อื่นต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ก็สมควรจะชดใช้ในสิ่งที่เขากระทำลงไป อย่างเช่นเหตุการณ์ต่อไปนี้… หญิงสาวชาวเอเชียที่เข้าไปทำงานยังบริษัทบัญชีแห่งหนึ่งในไอร์แลนด์ เมื่อราวๆ เดือนกรกฎาคม 2017 เพียงเดือนแรกที่เธอเข้าทำงาน เพื่อนร่วมงานเพศชายก็เข้ามาถามด้วยความเหยียดว่า “ผมได้ยินมาว่าแมวและหมาเป็นอาหารจานหลักของชาวเอเชียนี่ คุณชอบทานมันใช่ไหม?” คำถามนั้นทำให้หญิงสาวเสียความรู้สึกอย่างมาก เธอไปรายงานกับผู้จัดการด้วยน้ำตา จากนั้นผู้จัดการจึงรับปากว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้ โดยการทำให้ชายที่เหยียดเธอต้องออกมาขอโทษ ในวันที่ 10 พฤศจิกายน หญิงสาวคนนี้ก็ลาออกจากตำแหน่งงานเดิม และก็ได้ยอมรับคำขอโทษของเพื่อนร่วมงานที่เคยพูดจาเหยียดเธอ แต่เรื่องราวกลับใหญ่โตไปถึงองค์กร Workplace Relations Commission (WRC) ที่ขอให้บริษัทชดใช้ให้เธอเป็นจำนวนเงินราว 296,000 บาท ขณะในระหว่างการสอบสวน ทางองค์กรก็ทราบมาอีกว่า เพื่อนร่วมงานชายคนดังกล่าวยังมีพฤติกรรมเหยียดแบบอื่นอีก เขาได้แอบถ่ายรูปของสาวเอเชียคนนี้และส่งไปให้เพื่อนของเขาดู แถมเธอยังบอกว่า บางครั้งแอบเห็นเพื่อนของเขาคนหนึ่งเรียกเธอว่า “แม่สาวร่องสวย” นอกจากนี้ ชายคนเดิมยังมีพฤติกรรมเหยียดอื่นๆ อีกมากมาย เช่น พูดว่า “ผมคงจะได้หญิงสักคนในคืนที่คุณไปเที่ยว เพราะที่ที่คุณไปผมก็จะไปด้วยเหมือนกัน”…
-
เน็ตไอดอลสาวฝรั่ง ประกาศแต่งกับแฟนเกาหลี คอมเม้นท์เหยียดแรงยิิ่งกว่าคำยินดี…
ในอีกฟากโลกทางตะวันตกนั้นปัญหาการเหยียดผิวยังคงมีอยู่ รวมไปถึงการเหยียดเชื้อชาติอย่างชาวเอเชีย ที่มักจะถูกเหมารวมเป็น ‘คนจีน’ ก็ยังคงมีอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะในโลกออนไลน์หลังแป้นคีย์บอร์ด ที่ใครจะแสดงความคิดเห็นอย่างไรก็ได้ จากโพสต์ของคนกลางที่กลายมาเป็นเหยื่อทางความคิดของตน… Lisa Vannatta และแฟนหนุ่ม Jay หลังจากที่สตรีมเมอร์สาว Lisa Vannatta ได้ทำการเปิดตัว Jay แฟนหนุ่มชาวเกาหลีให้กับเหล่าแฟนคลับได้รับรู้ ก็เกิดเป็นประเด็นอ่อนไหวขึ้นมาทันทีในทำนอง ‘ผู้ชายเอเชียไม่คู่ควรกับหญิงผิวขาว’ หรือ ‘เธอตกอับถึงกับต้องคว้าผู้ชายเอเชียมาเป็นแฟน’ และอีกครั้งเมื่อเธอโพสต์ภาพถ่ายผ่านอินสตาแกรม พร้อมกับแคปชั่นประกาศแต่งงาน https://www.instagram.com/p/BjDw1GnACFA/ โดยก่อนหน้านี้ หลังจากที่เธอเปิดตัวคบกับแฟนหนุ่มชาวเกาหลี เธอต่างต้องพบเจอกับความคิดเห็นเชิงลบอย่างรุนแรง และมีเป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น ‘พวกโรคไข้เหลือง’ จนไปถึง ‘นังทรยศเชื้อชาติ’ ในส่วนของ Jay ก็เจอหนักไม่แพ้กัน แถมโดนด่าบ่อยกว่าแฟนสาว ทั้ง ‘เอเชียสั้นป้อม’ ‘พวกผิดเพศ’ ‘เจ๊ก’ และ ‘ไอ้โชคช่วยแย่เม็ด’ และสารพัดคำด่าเปรียบเทียบต่างๆ นานาน พ่อหนุ่มน่าสงสาร แต่งงานกับสาวผิวขาวมีปัญหากับพ่อ แฟนเธอคือ PSY?…
-
แม่มังกร Emilia Clarke ที่จริงเธอมีเชื้อสาย “เอเชีย” กับเขาด้วยเหรอเนี่ย!!?
ในเวลานี้ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกับ Emilia Clarke ผู้โด่งดังอย่างมากในบทบาท Daenerys Targaryen หรือ แม่มังกร ในภาพยนตร์ซีรีส์ Game of Thrones แถมยังเป็น “นักยักคิ้ว” ในตำนานอีกด้วย (ฮา) และปัจจุบันเธอก็ยังคงโด่งดังอย่างต่อเนื่องพร้อมกับจำนวนแฟนคลับที่มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเธอมีบทบาทมากมายในโลกของภาพยนตร์ อาทิเช่นเรื่อง Me Before You และเรื่อง Solo: A Star Wars Story แต่เรื่องราวต่อไปนี้อาจจะทำให้แฟนๆ หรือคนที่ชื่นชอบ Emilia ต้องตกใจก็เป็นได้ เพราะเธอได้ออกมาเผยในการสัมภาษณ์ล่าสุดว่าเธอมีเชื้อสาย เอเชีย กับเขาด้วยเหมือนกัน! ในการให้สัมภาษณ์กับ Vanity Fair Emilia ได้เล่าเรื่องของคุณยายของเธอที่ต้องแต่งหน้าปกปิดสีผิวตลอดเวลาเพราะว่าคุณยายของเธอนั้นเป็นลูกครึ่ง อังกฤษ-อินเดีย Emilia Clarke นักแสดงสาววัย 31 ปี กล่าวว่า “การที่คุณยายต้องแต่งหน้าเพื่อปกปิดสีผิวนั้นมันสิ่งที่ยากลำบากมากในการพบปะผู้คน แต่เธอก็ทำมันอยู่เสมอ เธอเป็นนักสู้มากเลยจริงๆ” ในเดือนพฤศจิกายน 2017 เธอเผยกับสื่อว่า ยายของเธอที่เสียชีวิตไปตั้งแต่เธอมีอายุ 16 ปี นั้นชื่นชอบประเทศอินเดียอย่างมาก “มันเป็นเรื่องราวมหากาพย์เลยล่ะ…
-
แนะนำละครไตล์ “บุพเพสันนิวาส” ให้กลิ่นอายย้อนยุค ฮาๆ เผื่อเก็บเอาไว้ดูต่อหลังบุพเพจบ
มันจะโด่งดังเป็นกระแสฮิตติดลมบนกันเกินไปแล้วววว สำหรับละครไทยย้อนยุคสุดฮาอย่าง บุพเพสันนิวาส ที่ แหม…ต้องยอมรับว่าเขาทำออกมาได้ดีจริงๆ เรียกว่าเปิดดูกันแทบจะทุกหนทุกแห่งเลยทีเดียว ด้วยการเล่นใหญ่ของตัวละครแต่ละตัว ที่งัดเอาความสามารถทางการแสดงออกมากันอย่างเต็มที่ ประกอบกับบทพูดและเนื้อเรื่องที่คอยบิ้วให้ผู้ชมเกิดอารมณ์ร่วมอยู่เสมอๆ บุพเพสันนิวาส จึงกลายเป็นละครที่ตรึงใจผู้คนอย่างล้นหลาม แต่ว่างานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกราล่ะนะ วันหนึ่ง บุพเพสันนิวาส อันแสนสนุกสนานก็ต้องจบลง เหลือเอาไว้เพียงบรรยากาศแห่งความสนุกสไตล์ย้อนยุคเอาไว้เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ #เหมียวโลลิ แนะนำว่า ให้หาอะไรดูที่มันยังคงได้บรรยากาศที่ละม้ายคล้ายคลึงกับบุพเพสันนิวาสเสียหน่อยจะดีกว่า เพราะว่า ละครไทยและต่างประเทศ มันก็พอมีบ้างที่ให้อารมณ์โรแมนติกคอมเมดี้ย้อนยุคแบบนี้ วันนี้ เราจึงจะขอเสนอ 4 ละครเอเชีย ที่ให้บรรยากาศคล้ายๆ บุพเพสันนิวาส เผื่อจะเก็บเอาไว้ดูหนังบุพเพอวสานไปแล้ว เอาล่ะ จะมีเรื่องอะไรบ้าง ไปดูกันเลย 1. ทวิภพ (ปีพ.ศ. 2554) ทวิภพ เป็นชื่อหนึ่งในบทประพันธ์ที่มีชื่อเสียงของ “ทมยันตี” ซึ่งเรื่องราวก็จะคล้ายๆ กันตรงที่เป็นความรักที่เกิดขึ้นต่างภพ ระหว่างอดีตและปัจจุบัน ในเรื่องจะมีการย้อนเวลา ย้อนยุคกลับไปอยู่ในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 แถมยังมีเหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์มาเกี่ยวข้องอีกด้วย ถึงแม้ว่า เวอร์ชันปี 2554…
-
ซู๊ดยอด “กรุงเทพฯ” ติดท็อป 10 ระบบขนส่งมวลชน ‘ห่วยที่สุด’ จาก 100 เมืองรอบโลก!!
การเดินทางในชีวิตประจำวันของประชาชนในเมืองใหญ่ นอกเหนือจากจะใช้ยานพาหนะส่วนตัวแล้ว ระบบขนส่งมวลชนก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรองรับสำหรับผู้ที่ไม่มียานพาหนะหรือไม่อยากเพิ่มจำนวนยานพาหนะบนท้องถนน… สำหรับประเทศไทยนั้น ระบบการขนส่งมวลชนภายในตัวเมืองที่มีหลากหลายมากที่สุดก็คือ “กรุงเทพมหานคร” ทั้งระบบแท็กซี่ จักรยานยนต์รับจ้าง รถเมล์ รถไฟฟ้า BTS รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT รถไฟแอร์พอร์ตลิงก์ เรือข้ามฝั่ง ฯลฯ กรุงเทพมหานคร แต่ทว่าเมื่อลองนำมาเทียบกับหัวเมืองใหญ่จากต่างประเทศแล้ว กลับกลายเป็นว่าภาพรวมของระบบขนส่งมวลชนภายในกรุงเทพ เข้าขั้นแย่ติดรั้งท้ายจาก 100 อันดับกันเลย 2017 Sustainable Cities Mobility Index การจัดอันดับดังกล่าวนั้นถูกรวบรวมโดยบริษัท Arcadis บริษัทด้านการออกแบบ วิศวกรรม และให้คำปรึกษาด้านการจัดการจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้ทำการเก็บชุดข้อมูลทางด้านภาพรวมเกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชน ประมวลผลเป็นรายงาน 2017 Sustainable Cities Mobility Index จากรายงานชิ้นนี้ ทำการจัดอันดับระบบขนส่งมวลชนจากหัวเมือง 100 แห่งทั่วโลก โดยมองภาพรวมแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1. ผู้คน (ความหนาแน่น ความปลอดภัย จำนวนเที่ยว…
-
นร. เชื้อสายเอเชียถูกจับกุมตัว หลังนำปืนบรรจุกระสุนและมีด ติดตัวไปโรงเรียนด้วย…
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา หนึ่งในข่าวใหญ่และเป็นที่เป็นที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียวนั่นก็คือข่าวการกราดยิงที่โรงเรียนมัธยม Marjory Stoneman Douglas เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 17 รายด้วยกัน และเพียงแค่ไม่กี่วันหลังจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญดังกล่าว มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนาย Alwin Chen เด็กนักเรียนชายชาวเอเชียรายหนึ่ง จากโรงเรียนมัธยม Clarksburg รัฐแมริแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากพบว่าเด็กหนุ่มคนดังกล่าวได้พกปืนพร้อมลูกกระสุนขนาด 9 มม. ไว้ในกระเป๋าเป้ พร้อมกับมีดพกที่กระเป๋าเสื้อด้านหน้าของเขา นาย Alwin Chen เด็กหนุ่มวัย 18 ปี ผู้ต้องหา เด็กหนุ่มคนดังกล่าวถูกควบคุมตัวเมื่อประมาณบ่าย 2 โมงของวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2018 ที่ผ่านมา โดยทางด้านเจ้าหน้าตำรวจที่ได้รับแจ้งจากหน่วยรักษาความปลอดภัยของทางโรงเรียนว่านาย Chen นั้นอาจจะพกพาอาวุธปืนมาโรงเรียน หลังจากที่ได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่พาตัวเด็กหนุ่มออกจากชั้นเรียน ก่อนที่เขาจะยอมรับว่ามีปืนสั้นขนาด 9 มม. ที่บรรจุกระสุนเรียบร้อยอยู่ในกระเป๋าเป้ และมีดพกอีก 1 ด้ามที่กระเป๋าเสื้อด้านหน้า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวเด็กหนุ่มพร้อมกับตั้งข้อหา 3 ข้อหาด้วยกันคือ มีอาวุธปืนในครอบครอง ครอบครองอาวุธปืนในขณะที่อายุไม่ถึง 21 ปี…
-
ไปดูการนับวันเกิดของคนเกาหลี ที่มีถึงปีละ 2 วัน บางคนเกิดมาได้วันเดียว 2 ขวบเลย!!
วันเกิดของเรานั้นใช้เป็นตัวบ่งบอกว่าเราลืมตาดูโลกมาแล้วกี่ปี ดังนั้น เลขอายุของเราจึงเพิ่มขึ้นปีละครั้งในวันเกิดของเรานั่นเอง แต่ในประเทศเกาหลีไม่ใช่แบบนั้น… หากเราไปอยู่ที่ประเทศเกาหลีล่ะก็ เราอาจจะมีอายุเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าประเทศเกาหลีมีวันเกิดถึง 2 วัน!! ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าประเทศเกาหลีนั้นมีการนับวันเกิดอีกแบบซึ่งเรียกว่า Eumnyeok saeng-il หรือ Korean Age นั่นเอง โดยการนับวันเกิดแบบเกาหลีนี้จะนับอายุเราตามวันปีใหม่! นั่นหมายถึงว่าเราจะมีวันเกิดถึง 2 วัน และมีอายุที่เปลี่ยนไป บางคนอาจจะยังไม่เข้าใจ ลองสมมติว่าคนหนึ่งเกิดวันที่ 31 ธันวาคม (เราเริ่มนับเลยว่าวันนี้คือ 1 ขวบ) พอข้ามวันไปเป็นวันที่ 1 มกราคมของปีถัดไป เขาก็จะมีอายุ 2 ขวบทันที ทั้งๆ ที่เพิ่งเกิดมาได้แค่ 1 วันเท่านั้น! (แต่การนับแบบนี้จะนับแค่ปีแรกเท่านั้นนะ) โดยปกติแล้วการนับวันเกิดแบบนี้เคยถูกใช้เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วในประเทศจีน จากนั้นก็แพร่ไปยังประเทศต่างๆ ในเอเชีย ปัจจุบันเหลือเพียงประเทศเกาหลีเท่านั้นที่ทุกคนยังนับอายุด้วยวิธีนี้อยู่ โดยประเทศเกาหลีมองว่าการมี Korean Age ถือเป็นประโยชน์ทางสังคม เช่น การสร้างวัฒนธรรมที่ใช้ร่วมกัน ความสัมพันธ์กันในสังคม และการเคารพผู้สูงอายุ ดังนั้น ผู้คนเกาหลีจึงมักเคารพผู้ที่มีอายุมากกว่า ถึงแม้อายุแบบสากลจะห่างกันแค่ 1 วันก็ตาม …
-
เมื่อสตรีมเมอร์สาวสุดฮอตประกาศเปิดตัวแฟนหนุ่มเอเชีย ชาวเน็ตก็เลยเกรียนแตกรับไม่ได้!!
ถ้าใครยังจำกันได้เมื่อช่วง ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีข่าวเกี่ยวกับดราม่าเกมเมอร์สาวสุดสวยที่เปิดตัวเป็นแฟนกับหนุ่มเอเชีย จนชาวเน็ตออกมาแสดงความไม่พอใจกันยกใหญ่ แต่เรื่องแนวๆ เหยียดเชื้อชาติแบบนี้ยังไม่หมด เพราะคราวนี้เป็นคราวของสตรีมเมอร์สาวสุดฮอตกันบ้าง (กลับไปอ่านข่าวเก่าได้ที่ “เน็ตไอดอลสาวแคนาดาสุดแซ่บ เปิดตัวแฟนเป็น ‘หนุ่มเอเชีย’ เจอกระแสชาวเน็ตวิจารณ์เพียบ!?“) โดยมาม่าในครั้งนี้เกิดขึ้นกับสตรีมเมอร์สาวจาก Twitch นามว่า Pink_Sparkles ซึ่งเธอเป็นสตรีมเมอร์ที่มีหนุ่มๆ ติดตามอยู่เพียบ ด้วยดีกรีความเซ็กซี่และฝีมือการเล่นเกมที่ไม่ได้เป็นสองรองใครจนมียอดคนดูรวมถึง 10 ล้านครั้ง แต่ล่าสุดเธอได้เปิดตัวแฟนหนุ่มตัวจริงของเธอผ่านทวิตเตอร์ ผ่างงง!! ชาวเน็ตช็อคกันสุดๆ เพราะแฟนหนุ่มของเธอเป็นหนุ่มเอเชียยังไงล่ะ และเมื่อหนุ่มๆ จากอินเตอร์เน็ตเห็นดังนั้น ก็เลยออกมาโวยวายกันยกใหญพร้อมยกเหตุผลมากมายออกมาโจมตี ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีว่าแฟนหนุ่มเป็นเอเชีย ไม่หล่อ หรืออาจจะเพราะแฟนหนุ่มของเธอรวยเธอจึงเลือกคบกับเขา บ้างก็ออกมาบอกให้ส่งพี่คนนี้กลับประเทศไป เจ้าตัวเลยออกมาสวนเลย นายนี่ขี้เหยียดจัง แฟนฉันเป็นคนอเมริกันว๊อย ไม่หมดเท่านั้น ชาวเน็ตอีกหลายคนก็ยังไม่ยอมหยุด ออกมาพูดด้วยถ้อยคำหยาบคายใส่ Pink_Sparkles ว่าเธอคงอดกินไอ้จ้อนไซส์ยักษ์ของเขาแล้วล่ะ หรือบ้างก็ล้อเลียนหุ่นของแฟนหนุ่มของเธอว่า เธอมีรสนิยมแบบนี้นี่เอง สุดท้ายแล้วยังไงก็ตาม ชาวเน็ตที่รู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้ก็ยังโจมตีเธอต่อไป แต่นั่นก็หยุดความรักอันแสนสวยงามของ Pink_Sparkles ไว้ไม่ได้ แถมเธอยังโพตส์ภาพคู่ตอกกลับชิวๆ ว่า บัยนะ ไปนอนก่อนแล้วเจอกันพรุ่งนี้ อิอิ…
-
เน็ตไอดอลสาวแคนาดาสุดแซ่บ เปิดตัวแฟนเป็น ‘หนุ่มเอเชีย’ เจอกระแสชาวเน็ตวิจารณ์เพียบ!?
ความรักของคนสองคนแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดีและเป็นสิ่งสวยงาม แต่ในบางครั้งผู้คนโดยรอบอาจไม่ได้คิดเช่นนั้น จนถึงกับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเลยก็มี นี่เป็นเรื่องราวของสาวแคนาดาสุดฮอต Lisa Vannatta เธอเป็นเน็ตไอดอลผู้โด่งดังจากการสตรีมวิดีโอเกมบวกกับความแซ่บของหุ่นอันเซ็กซี่ที่ทำให้มีผู้ติดตามอินสตาแกรมเธอมากกว่า 400,000 คน แน่นอนว่าเธอจะต้องเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆ หลายคน แต่เมื่อไม่นานมานี้เธอก็ได้โพสต์คลิปตอนที่เธอไปงาน Anime Expo ที่แคลิฟอร์เนีย จนทำให้ทุกคนได้เห็นกันว่าเธอมีแฟนหนุ่มที่รักกันมากอยู่แล้ว!! แต่สิ่งที่กลายเป็นกระแสจนทำให้ชาวเน็ตต้องออกมาแสดงความไม่พอใจก็เพราะว่า Jay แฟนหนุ่มของเธอเป็นคนเอเชีย จากนั้นมาเธอและหนุ่มเกาหลีคนนี้จึงต้องเจอกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรง เช่นเรื่องความแตกต่างของรูปร่างและเชื้อชาติ “ทำไมเธอถึงออกเดทกับหนุ่มเอเชียที่สูงแค่ 172 เซนติเมตรเองละ? ฉันคงรู้สึกแย่ถ้าพวกเขามีลูกพันธุ์ผสมออกมา” “ผิวเหลืองเป็นที่นิยมขนาดทำให้เธอไปเดทกับชาวเอเชียเลยหรอ?” . หรือแม้แต่การแสดงความคิดเห็นที่บอกว่าเธอคบกับเขาเพียงเพราะเรื่องเงิน “ไม่น่าเชื่อเลยว่าหนุ่มเอเชียหน้าตาขี้เหร่จะไปเป็นแฟนกับสาวผิวขาวสุดเซ็กซี่คนนี้ได้ ทั้งคู่ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยนะเพราะฉะนั้นเขาต้องรวยมากแน่นอน” อีกความคิดเห็นหนึ่งก็บอกว่าชายผิวขาวจะคบสาวเอเชียก็ไม่แปลก แต่หนุ่มเอเชียจะคบกับสาวผิวขาวน่ะมันไม่ได้ “ตรรกะความเป็นจริงบนโลกคือชายผิวขาวสามารถคบสาวเอเชียได้ แต่หนุ่มเอเชียจะมาคบกับสาวผิวขาวมันเป็นไปไม่ได้” . จากความคิดเห็นส่วนใหญ่บอกได้เลยว่า การเหยียดเชื้อชาติและสีผิวยังคงมีอยู่เสมอไม่ว่าโลกจะหมุนไปไกลแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นอย่างนั้น คนที่เห็นด้วยกับทั้งสองอยู่ก็มี “ทั้งสองเป็นคู่รักที่น่ารักมากขอให้รักกันให้นานๆ นะ คนที่เกลียดชังคุณเขาจะพยายามดึงคุณลงมาเพียงเพราะว่าเขาอิจฉา เพราะฉะนั้นก็อย่าไปสนใจพวกเขาเลย” คลิปวิดีโอไปงาน Anime Expo และเปิดตัวแฟนหนุ่มของเธอ . การจะแสดงความคิดเห็นกับเรื่องอะไรต้องทำลงไปอย่างมีสติและเหตุผลจะใช้แต่อารมณ์อย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ…
-
22 ภาพที่สื่อไม่นำเสนอ น้ำท่วมครั้งใหญ่ในแถบอินเดีย ที่คร่าชีวิตคนไปกว่า 1,200 ราย…
ในขณะที่ทั่วโลกกำลังมุ่งประเด็นไปที่ผลกระทบจากเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ในรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มาพร้อมกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ ทว่าที่แห่งนั้นไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่เดียวที่ต้องการการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพราะสำนักข่าวนานาชาติเริ่มมีการพูดถึงอีกพื้นที่หนึ่ง ที่ได้รับผลกระทบหนักไม่แพ้กัน… สำหรับปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่ในประเทศแถบทวีปเอเชียตอนใต้ ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย เนปาล ปากีสถาน และบังกลาเทศ ต้องเจอกับฝนตกหนักเกือบตลอดทั้งเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วมและดินถล่มสร้างความเสียหายให้กับอาคารที่อยู่อาศัยกว่า 1,000 หลังคาเรือน นอกเหนือจากนั้นก็เกิดปัญหาขาดแคลนอาหารและยาตามมา เป็นเหตุที่คร่าชีวิตชาวบ้านในละแวกนั้นมากถึง 1,200 คน โดยในจำนวนนี้รวมถึงเด็กด้วย และยังมีคนกว่าอีกล้านคนที่ต้องอพยพออกมา โดยไม่มีที่อยู่อาศัยและต้องการความช่วยเหลืออย่า่งเร่งด่วน ซึ่งภาพเหล่านี้จะสามารถบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เพื่อให้ทุกคนได้เห็นกันชัดเจนมากยิ่งขึ้น… ชายคนหนึ่งต้องปล่อยหลานสาวให้ลอยไปตามแม่น้ำ Koshi ในเนปาล เพราะไม่สามารถหาพื้นที่โล่งเพื่อฝังเธอได้ หนุ่มเนปาลแบกแพะของตนไว้บนบ่า ขณะที่กำลังเดินทางไปยังพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน Topa ภูมิภาค Saptari ชาวเนปาลสองคนกำลังว่ายน้ำพร้อมลากห่วงยางขนาดใหญ่ในภูมิภาค Parsa เด็กหนุ่มใช้แพจากต้นกล้วยในการลำเลียงหนังสือของตนออกมา จากรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย หญิงสาวเดินอยู่กลางน้ำท่วมในหมู่บ้าน Motihari ประเทศอินเดีย แรดอินเดียเดินลุยน้ำในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ารัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย ผู้คนยืนต่อแถวเพื่อบรรจุน้ำดื่มจากแท็งค์น้ำเทศบาล ในพื้นที่น้ำท่วมเมืองอาห์เมดาบัด ประเทศอินเดีย หญิงสาวเดินลุยน้ำในหมู่บ้านที่น้ำท่วมสูงรัฐพิหาร…
-
ตำรวจลงมือสังหารหนุ่มลูกครึ่งเอเชียวัย 20 ปี เพียงเพราะสงสัยว่าเขาพกอาวุธมีด
เหตุการณ์น่าสลดนี้เกิดขึ้นกับหนุ่มน้อยวัย 20 ปี Tommy Le เขาถูกเจ้าหน้าที่นายหนึ่งยิงเสียชีวิต หลังจากที่ถูกสงสัยว่าพกอาวุธมีด แต่สุดท้ายกลับพบว่าเขาไม่ได้มีอาวุธซ่อนไว้แต่อย่างใด ทางสถานีตำรวจ King County ในเมืองซีแอตเทิลกล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมาเด็กหนุ่มคนดังกล่าวได้เดินเข้ามาใกล้เจ้าหน้าที่พร้อมกับถือบางอย่างไว้ในมือ เจ้าหน้าที่สงสัยว่า Tommy จะมีอาวุธมีดอยู่ในมือจึงได้ยิงไปที่หนุ่มน้อยลูกครึ่งเวียดนาม – อเมริกันถึง 3 นัด Tommy ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมาเจ้าหน้าที่กลับเปิดเผยว่าสิ่งที่อยู่ในมือ Tommy เมื่อวันเกิดเหตุนั้นเป็นเพียงแค่ปากกา หนุ่มน้อยผู้ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า ก่อนหน้าวันที่เขากำลังจะเข้าพิธีสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมที่โรงเรียน South Seattle College Tony Dinh เพื่อนของหนุ่มน้อยคนหนึ่งกล่าวว่า “ภาพของเหตุการณ์ที่ Tommy ถูกยิงถึง 3 นัดยังคงติดอยู่ในใจผมอยู่เลย ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมเขาถึงถูกยิง ทั้งๆ ที่ในข่าวบอกว่าเขาแค่ถือปากกาเท่านั้น มีคำถามมากมายสำหรับการตายของเขา แล้วใครจะรับผิดชอบกับการตายของเขา” ส่วนทางด้านคุณครูของ Tommy ก็ออกมาบอกว่าเขาเป็นเด็กที่เรียบร้อยและไม่เคยกร้าวร้าวเลยแม้แต่น้อย “ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเขา เขาไม่เคยทำเรื่องแย่ๆ เลยในโรงเรียนและไม่เคยทำนิสัยก้าวร้าวเลย” คุณ Peterson กล่าว ที่มา nypost
-
ตำรวจมาเลเซียค้นกระเป๋าต้องสงสัย พบเต่าจากมาดากัสการ์ยัดไว้ข้างในกว่า 300 ตัว!?
กลายเป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในประเทศมาเลเซียได้ตรวจพบกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ พอเปิดดูแล้วต้องตกใจเพราะข้างในนั้นมีเต่าเป็นๆ กว่า 330 ตัวเลยทีเดียว!! แต่จากการตรวจสอบป้ายแท็กที่ติดมากับกระเป๋าได้เขียนเอาไว้ว่ากระเป๋าเดินทางเหล่านี้บรรจุหินอยู่ แต่ด้วยความเอะใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขอตรวจค้น และก็กลายเป็นโชคดีของเจ้าเต่าเหล่านี้ที่รอดมาจากการนำไปขายในตลาดค้าสัตว์ป่าได้ เจ้าเต่าราเดียตาหรือเต่ารัศมีดารามากกว่า 325 ตัว และเต่ายูนิฟอราอีก 5 ตัวถูกจับมาจากประเทศมาดากัสการ์ ซึ่งเต่าทั้งสองชนิดนี้ ล้วนเป็นสัตว์สงวนใกล้สูญพันธุ์ภายใต้การดูแลของทางการมาดากัสการ์ เพราะฉะนั้นการขนย้ายหรือการแลกเปลี่ยนพวกมันย่อมเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย . . และถ้าหากเจ้าเต่าเหล่านี้ถูกลักลอบนำเข้าไปยังประเทศมาเลเซียได้สำเร็จ พวกมันจะถูกนำไปขายเป็นสัตว์เลี้ยง และอีกส่วนหนึ่งจะถูกฆ่าและนำไปทำเป็นอาหารหรือยาพื้นบ้าน จากสถิติของ National Geographic พบว่าเฉพาะในทวีปเอเชียกว่า 75% ของสายพันธุ์เต่าบึงและเต่าทะเลอยู่ในบันชีรายชื่อที่ถูกคุกคามอย่างหนัก แน่นอนว่าเจ้าเต่าทั้งหมดที่เจ้าหน้าที่ได้ทำการช่วยเหลือมานี้จะถูกส่งคืนสู่ธรรมชาติในประเทศมาดากัสการ์ เพื่อให้พวกมันได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป ถือเป็นโชคดีของพวกเอ็งแล้วล่ะนะเจ้าเต่า ต้องจากบ้านจากเมืองมาไกล ในที่สุดก็จะได้กลับบ้านซักที T T ที่มา : thedodo
-
หมู่เกาะแฟโรขาดแคลนผู้หญิง ต้องการเติมส่วนที่ขาดหาย โดยเฉพาะสาวเอเชีย!!
เรียกได้ว่านี่อาจเป็นโอกาสดีสำหรับสาวเอเชียแถวๆ นี้เลยนะเนี่ย ที่มีความประสงค์อยากจะย้ายถิ่นฐานลองไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกเมืองนาบนเกาะแฟโร อันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเดนมาร์ก เพราะล่าสุดทางสำนักข่าว BBC ได้รายงานว่า ปัจจุบันหมู่เกาะแฟโรต้องเผชิญกับปัญหาความไม่สมดุลกันระหว่างประชากรชายที่มีจำนวนมากกว่าประชากรหญิงหลายเท่าตัว โดยเมื่อช่วงหลายปีก่อนหน้านี้หมู่เกาะแฟโร ก็ต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนประชากรอันมาแล้ว เนื่องมาจากการกระจายตัวของคนรุ่นใหม่ ที่มักจะเข้าไปแสวงหาชีวิตและการศึกษาในเมืองใหญ่ อ้างอิงข้อมูลจากนายกรัฐมนตรี Axel Johannesen ได้กล่าวว่า อัตราจำนวนประชากรระหว่างหญิงและชาย มีอัตราส่วนอยู่ที่ 1 ต่อ 2,000 (นั่นก็คือหญิง 1 คน ต่อชาย 2,000 คน) บวกกับวัฒนธรรมอาหารเอเชียอย่างไทยและฟิลิปปินส์ ที่ได้รับความนิยมสูงจากประชากรที่นี่ ทำให้หนุ่มๆ มีความสนใจสาวไทยและสาวฟิลิปปินส์มากเป็นพิเศษ จากปัญหาขาดแคลนประชากร ทำให้หมู่เกาะแฟโรขาดแคลนประชากรด้านแรงงานไปด้วย และทางรัฐบาลก็ได้เล็งเห็นว่า การที่หญิงสาวชาวเอเชียย้ายสำมะโนครัวมาอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้กับครอบครัวชาวเดนมาร์ก จะช่วยสร้างตลาดแรงงานให้มีความคึกคักขึ้นมาได้อีกครั้ง ‘ช่วงเวลาที่ผ่านมาทางรัฐบาลเราเล็งเห็นแล้วว่า ผู้ชายที่นี่จะแต่งงานกับหญฺิงสาวชาวเอเชียมากขึ้น และนั่นก็นำมาซึ่งตลาดแรงงานที่เรากำลังขาดแคลน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีมากๆ สำหรับหมู่เกาะของเรา’ นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ ทางด้านของ Magni Arge นักการเมืองท้องถิ่นจากเกาะแฟโร ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับปัญหาการขาดแคลนประชากร และการเข้ามาของประชากรสาวเอเชียไว้ว่า ‘จากระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมานี้ เราได้สังเกตเห็นว่า…
-
United Airlines ใช้กำลังลากผู้โดยสารลงจากเครื่อง จนบาดเจ็บ-มีดราม่า หลังขายตั๋วเกิน??
ถ้าจะพูดถึงเรื่องอื้อฉาวที่โด่งดังสุดๆ ในช่วงนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นเหตุการณ์ของสายการบิน United Airlines ที่ปรากฏเป็นคลิปการลากผู้โดยสารลงจากเครื่องด้วยวิธีการบังคับและใช้กำลัง จนชาวเน็ตต่างวิพากษ์วิจารณ์ เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา บนเที่ยวบินจาก Chicago มุ่งหน้าไป Louisville ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มต้นจากทางสายการบินไม่สามารถขึ้นบินได้ เพราะมีตั๋ว Over-booking เกินมา 4 ที่นั่ง (Over-booking คืออะไรนั้น สรุปไว้ท้ายข่าวนะครับ) เจ้าหน้าที่เลยจำเป็นจะต้องหาอาสาสมัคร 4 คนเพื่อสละที่นั่งดังกล่าว โดยตอนแรกทางสายการบินได้เสนอเงิน 1,000 เหรียญ (ราวๆ 34,000 บาท) เพื่อให้ผู้โดยสารเปลี่ยนเที่ยวบินไปวันรุ่งขึ้น(วันที่ 10 เมษายน)แทน แต่ด้วยความที่ทุกคนอยากเดินทางตามกำหนดการของตัวเองจึงไม่มีใครยอมสละที่นั่ง ด้วยเหตุนี้เจ้าหน้าที่จึงบอกว่าพวกเขาจำเป็นจะต้องสุ่มที่นั่งผู้โดยสารด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อหาคนสละที่นั่งแทน ซึ่งผู้โดยสาร 3 คนแรกตอบตกลงและรับเงินชดเชยแต่โดยดี ในขณะที่ผู้โดยสารคนที่ 4 มีท่าทีขัดขืน ตามรายงานบอกว่าผู้โดยสารรายที่ 4 เป็นชายชาวจีนวัย 69 ปี โดยเจ้าตัวได้ให้เหตุผลว่าตนเองเป็นหมอและต้องรีบเดินทางไปดูคนไข้ในโรงพยาบาลให้ทันวันรุ่งขึ้น ทำให้เกิดการถกเถียงกันยกใหญ่ จนสุดท้ายทางสายการบินจึงต้องเรียกพนักงานมาลากเขาลงไป ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการลากเขา มีการขัดขืนและส่งผลให้ศีรษะของเขาฟาดเข้ากับที่นั่งผู้โดยสาร จนภายหลังเขารูุ้สึกตัวว่ามีอาการบาดเจ็บที่หัวและเลือดออกปากด้วย พร้อมกับพูดแค่ว่า “ผมต้องกลับบ้าน ไม่งั้นก็ฆ่าผมซะเถอะ” ซ้ำไปมา…
-
หนูน้อยมารยาทดีถอดรองเท้าให้ ‘ตุ๊กตาบาร์บี้’ ก่อนเอาไปเล่นในบ้าน ถูกใจชาวเน็ตนับแสน!!
โดยปกติแล้วก่อนเข้าบ้านทุกคนจะต้องถอดรองเท้าเอาไว้ที่หน้าบ้านเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับเรื่องราวที่ #เหมียวหง่าว จะมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังในวันนี้ต้องขอบอกเลยว่ามันไม่ปกติ… เพราะสาวน้อยคนนี้เธอถอดรองเท้าของตุ๊กตาทุกตัวก่อนที่จะพามันไปเล่นในบ้านด้วยนี่สิ ฮร่า!! ขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับหนูน้อย Korra Lam เด็กหญิงวัย 4 ขวบจากเมือง Orange County รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เรื่องราวความน่ารักของเธอนั้นถูกพูดกันอย่างกว้างขวางในโลกโซเชียล เพราะทุกครั้งที่เธอเล่นตุ๊กตาบาร์บี้ เธอจะถอดรองเท้าให้กับตุ๊กตาก่อนที่จะพาเข้าไปในบ้านตุ๊กตา นั่นก็เพราะเป็นธรรมเนียมที่ชาวเอเชียอย่างเราๆ มักจะปฏิบัติกัน พี่สาวของเธอ Ivy Ho วัย 16 ปีเล่าว่าหนูน้อย Korra นั้นเพิ่งได้ชุดของเล่นตุ๊กตาร์บาร์บี้ Barbie Dream House มาจากของขวัญวันคริสต์มาสที่ผ่านมาส และเธอก็ไม่เคยรู้เลยว่าทุกครั้งที่น้องสาวของตัวเองเล่นมันนั้น จะทำการถอดรองเท้าของตุ๊กตาออกก่อนทุกตัวก่อนที่จะพาเข้าไปในบ้าน “ฉันถามเธอว่าทำไมถึงต้องทำแบบนั้น และเธอก็บอกว่า ‘พวกเขาก็เหมือนกับพวกเรานั่นแหละ ที่สำคัญยังทำให้บ้านของพวกเขาสะอาดอยู่ตลอดเวลาด้วยนะ” Ho เล่า Ho ได้ทำการโพสต์รูปภาพของน้องสาว พร้อมกับเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นลงทวิตเตอร์ส่วนตัวของตัวเอง ทำให้มีผู้คนเข้ามากดไลค์กันมากกว่า 390,000…
-
25 ดาราเซเลปดัง ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าพวกเขามีเชื้อสาย “เอเชีย” อยู่ด้วย!!
จะว่าไปบ้านเราก็เสพหนังต่างประเทศและเพลงสากลอยู่บ่อยๆ ดังนั้นเป็นธรรมดาที่เราจะได้เห็นหน้าตาของพวกเขาในสื่อ แต่ตอนมองครั้งแรก ความคิดของเราก็คงคิดว่าเป็นฝรั่งธรรมดาคนหนึ่ง แต่หารู้ไม่ว่ามีดาราไม่น้อยเลยที่มีเชื้อสายเอเชีย ถึงแม้เราจะดูภายนอกไม่ออก แต่ถ้าไปสืบประวัติพวกเขาดีๆ แล้วก็จะพบว่าบรรพบุรุษของเขามีคนเอเชียอยู่ด้วย แต่เราก็มองไม่ออกอยู่ดี เราไปดูกันเลยดีกว่าว่าจะมีใครกันบ้าง #1. Enrique Iglesias นักร้องอีกคนหนึ่งที่โด่งดังเป็นอย่างมาก ทั้งในอังกฤษและสเปน หลายคนรู้ว่าเขาเป็นละตินอเมริกัน แต่จริงๆแล้วเขาเป็นลูกครึ่งฟิลิปปินส์นะ #2. Ne-Yo นักร้องที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ แค่ซิงเกิลแรกก็ฮิตแล้ว ดูผ่านๆ อาจจะไม่เหมือนคนเอเชียนะ แต่ความจริงคุณยายของเขาเป็นคนจีน #3. Rob Schneider นักแสดงคอมเมดี้ เห็นแบบนี้เขาเป็นเชื้อสายฟิลิปปินส์นะจ๊ะ #4. Keanu Reeves อันนี้หลายคนก็น่าจะทราบแล้วว่าเขามีเชื้อสายเอเชีย โดยปู่ย่าของเขานั้นเป็นคนฮาวายและจีน และอีกอย่างที่หลายคนยังไม่รู้ เขาเป็นคนแคนาดา #5. The Rock นักมวยปล้ำที่หันมาเอาดีทางด้านภาพยนตร์ แท้จริงแล้วเขามีเชื้อสายซามัว ดูจากรอยสักสิ #6. Vanessa Hudgens นักแสดงที่โด่งดังมากจาก High School Musical ซึ่งความงามของเธอนั้นได้มาจากบรรพบุรุษชาวไอร์แลนด์…
-
ทวงคืนทางเท้า!! หญิงสาวใจกล้ายืนเดี่ยวขัดขวางรถจักรยานยนต์ ไม่ให้สัญจรผ่านทางเท้า
นับว่าเป็นปัญหาเรื้อรังที่แก้ไขกันไม่ได้ซักทีกับทางเท้าหรือฟุตบาทที่เราเรียกๆ กัน จะเห็นได้ชัดว่าหลายจังหวัดในประเทศไทยมักจะประสบกับปัญหารถจักรยานยนต์ขับขี่ขึ้นมาบนทางเท้า หวังจะใช้เป็นทางลัดในการสัญจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่รถติด นอกจากตามเมืองใหญ่ๆ ของประเทศไทยอย่างกรุงเทพแล้ว ที่ประเทศอินโดนีเซียเองก็ประสบกับปัญหานี้เช่นเดียวกัน แต่!!! ในเมื่อมีปัญหาก็ต้องมีฮีโร่ที่กล้าเปลี่ยนแปลง และเธอ…. ผู้หญิงใจกล้าที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงก็คือ Alfini Lestari วัย 34 ปี ที่พยายามยืนขวางกั้นไม่ให้รถจักรยานยนต์สัญจรบนทางเท้าในกรุงจาการ์ตา ภายหลังจากที่ภาพของเธอถูกเผยแพร่ออกไป ทั้งหนังสือพิมพ์และอินเทอร์เน็ต ผู้คนต่างก็ยกย่องในความกล้าหาญของเธอที่ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เป็นปัญหามาอย่างยาวนาน เธอให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่ามันเกิดจากการที่เธอสังเกตเห็นว่ารถจักรยานยนต์มักจะสัญจรเป็นทางเท้าอยู่บ่อยๆ จนทำให้คนที่เดินบนทางเท้าไม่สามารถเดินได้ ซึ่งเธอเองก็ทำแบบนี้มาหลายครั้งเมื่อใดก็ตามที่พบกับรถจักรยานยนต์ที่ขับขี่บนทางเท้า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เธอไม่สนใจว่าจะโดนด่าโดนต่อว่าจากผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์บนทางเท้า พยายามขับชน หรือบอกว่าเธอไม่ได้เป็นเจ้าของทางเท้า เธอคิดว่าทางเท้ามีไว้ให้คนเดิน ไม่ใช่ให้รถจักรยานยนต์สัญจร ‘ฉันบอกกับพวกเขาว่าควรจะละอายตัวเองบ้าง พวกเขามีถนนไว้ใช้สัญจรอยู่แล้วแต่ดันมาเบียดเบียนคนอื่นด้วยการขับขี่บนทางเท้า’ ที่มา : thejakartapost, asiancorrespondent, kompas
-
วิเคราะห์จัดเต็ม สถานการณ์ลุ้นเข้ารอบคัดเลือกบอลโลกของ ‘ทีมชาติไทย’ หลังจากที่ฟีฟ่าสั่งแบน ‘คูเวต’!!
เพื่อนๆคงจะรู้อยู่แล้วขณะนี้สถานการณ์การแข่งขันเพื่อชิงตั๋วไปฟุตบอลโลกโซนเอเชีย ของเรานั้นกำลังมีลุ้นเข้ารอบอยู่ แต่ทว่าอีก 1 นัดที่เหลือเราจะต้องไปงัดตำแหน่งจ่าฝูงกับอิรัก ที่เป็นเสมือนไม้ซุงท่อนใหญ่ แล้วถ้าหากว่าเราเกิดแพ้อิรักขึ้นมาล่ะ? จะมีส่งผลต่อการลุ้นเข้ารอบของเรารึเปล่า? แล้วทีมชาติคูเวตที่เพิ่งโดนฟีฟ่าแบนไปล่ะ? จะมีผลกับทีมชาติไทยอย่างไร? #เหมียวหง่าว จะมาวิเคราะห์ให้เพื่อนๆเห็นกันแบบจะๆ ว่าทีมชาติไทยของเรามีลุ้นเข้ารอบแค่ไหนกัน!! ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกับเงื่อนไขในการเข้ารอบต่อไปของรอบคัดเลือกกันก่อนดีกว่า จะได้เห็นภาพกันแบบชัดๆ เงื่อนไขในการเข้ารอบต่อไปของทีมชาติไทยคือ ต้องเป็นแชมป์กลุ่มให้ได้ หรือ ต้องเป็นที่ 2 ที่ดีที่สุดใน 4 ทีม จากทั้งหมด 7 กลุ่ม คือ กลุ่ม A, B, C, D, E, F, G และสถานการณ์ของเราในตอนนี้ก็เสี่ยงต่อการตกรอบอยู่เหมือนกัน และเกณฑ์ในการตัดคะแนนคัดเลือกเข้าสู่รอบต่อไปจะเป็นอะไรที่พิเศษหน่อย เนื่องจากว่าทีมชาติอินโดนีเซียถูกฟีฟ่าแบนเพราะรัฐบาลของอินโดนีเซียได้เข้าเข้าแทรกแทรงการบริหารสมาคมฟุตบอล (ผิดกฎของฟีฟ่า) จึงส่งผลให้กลุ่ม F เหลืออยู่ 4 ทีม ขณะที่กลุ่มอื่นๆมี 5 ทีม ทางฟีฟ่าก็เลยตัดสินใจว่า เมื่อแข่งครบทุกนัดแล้ว ก็ให้ทำการคิดคะแนนโดยการตัดคะแนนและผลประตูได้เสียออกจากการแข่งขันกับทีมที่ได้อันดับสุดท้ายของทุกๆกลุ่ม แล้วค่อยรวมคะแนนออกมา เพื่อใช้ตัดสินว่าทีมไหนเข้ารอบหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น กลุ่ม…
-
‘Pia’ มิสยูนิเวิร์ส 2015 แชะภาพคู่ ‘ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์’ ในงานแฟชั่นโชว์ที่นิวยอร์ก สวยกินกันไม่ลงจริงๆ
เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 ทางเฟสบุ๊ค t-pageant ได้เผยภาพของ Pia Alonzo Wurtzbach มิสยูนิเวิร์สคนล่าสุด กับมิสยูนิเวิร์สปี 1988 อย่าง ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ซึ่งทั้งคู่ได้โคจรมาเจอกันในงานแฟชั่นโชว์ NY Fashion Week ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมาก ณ Skylight At Moynihan Station นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และแน่นอนว่าเมื่อสองสาวจากเอเชียที่ได้ครองมงกุฎนางงามจักรวาลทั้งคู่ได้มาเจอกัน ก็ต้องขอแชะภาพเป็นที่ระลึกร่วมกันสักหน่อย งานนี้บอกเลยว่าสวยกินกันไม่ลงจริงๆ Pia งามออร่าในลุคสุดเก๋ ส่วนพี่ปุ๋ยของเราก็โดดเด่นมาในชุดสีขาวดำ บวกกับเสื้อคลุมสีม่วงสุดหรูหรา ก็ดูสวยสง่าไม่แพ้กัน Pia Alonzo Wurtzbach มิสยูนิเวิร์ส 2015 ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก มิสยูนิเวิร์ส 1988…
-
ความถนัดภาษาอังกฤษของประเทศไทยครองบ๊วยอันดับสามของเอเชีย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ไม่ว่าประเทศไหนๆ ต่างก็ยอมรับและใช้เป็นภาษากลางในการติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติ และก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าภาษาอังกฤษก็ได้ระบุเป็นหนึ่งในวิชาที่ต้องเรียนรู้ผ่านการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะว่าไปแล้วการเรียนภาษาอังกฤษในระบบการศึกษาของประเทศไทยนั้นมีตั้งแต่ระดับอนุบาลยันไปจนถึงระดับอดุมศึกษากันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเรียนกันตั้งแต่เด็กยันโต ไม่ว่าจะเรียนในระดับไหนก็หนีภาษาอังกฤษไม่พ้นอยู่ดี แต่เหตุใดภาษาอังกฤษของคนไทยกลับรั้งท้ายของเอเชีย จากผลสำรวจของสถาบันสอนภาษาอังกฤษ อีเอฟ (Education First) ได้เปิดเผยความถนัดทางด้านภาษาอังกฤษของประชาชนในประเทศต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก พบว่าประเทศไทยตกมาอยู่อันดับที่ 62 จากทั้งหมด 70 ประเทศ ซึ่งถ้าเทียบกันในเอเชียแล้ว ประเทศไทยเป็นที่สามนับจากอันดับสุดท้าย เหนือกว่ากัมพูชาและมองโกเลียเพียงสองประเทศเท่านั้น แต่ถ้าเทียบในสัดส่วนระดับโลกก็เหนือกว่ากาตาร์ คูเวต อิรัก แอลจีเรีย ซาอุดีอาระเบีย และลิเบีย ทั้งนี้ทางอีเอฟได้เปิดเผยอีกว่า ระบบการศึกษาของไทย (ระบบโรงเรียน) สอบไม่ผ่านในทุกหัวข้อที่ประเมิน ถึงแม้จะใช้งบทางการศึกษาสูงถึง 31% ของงบประมาณรายปี แต่กลับมีทักษะทางด้านภาษาอังกฤษต่ำ โดยสัดส่วนงบประมาณนี้สูงกว่าทุกประเทศที่ทำการสำรวจซะอีก จากกรณีนี้เหมียวเองก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เกิด จนถึงป่านนี้ก็พออ่านออกเขียนได้ ทั้งนี้ก็มาจากการเรียนรู้ด้วยตนเองส่วนหนึ่ง และการเรียนรู้ผ่านระบบการศึกษาส่วนหนึ่ง มาคิดๆ ดูแล้วคนไทยก็เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็กจนโตเลยนะ ทั้งผ่านครูชาวไทย…
-
34 อันดับโรงแรมที่ดีที่สุดในทวีป “เอเชีย” โดยนิตยสารท่องเที่ยวชื่อดัง
การที่เราได้ไปเที่ยวต่างประเทศหรือแม้กระทั่งในประเทศตัวเอง สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำเป็นอย่างแรกคือการจองโรงแรม และนักเที่ยวตัวยงก็คงต้องเล็งโรงแรมดีๆ ที่มีสิ่งแวดล้อมที่สวยงาม เพื่อให้การเดินทางของเรานั้นสวยงามราวกับมีกุหลาบโปรยตลอดทาง ทางเว็บไซต์ Businessinsider ได้ทำการจัดอันดับโรงแรมที่สุดในทวีปเอเชียขึ้นมา โดยใช้แหล่งข้อมูลอ้างอิงจากสื่อสิ่งพิมพ์เว็บไซต์ชื่อดังมากมายเช่น Travel + Leisure, Conde Nast Traveler, TripAdvisor, Fodor, และ Jetsetter และนี่คืออันดับที่พวกเขาได้รวบรวมมา จะมีที่ไหนบ้าง เราตามไปดูกันเลย 34. Hyatt Regency Danang Resort & Spa, Da Nang, เวียดนาม 33. Mandarin Oriental Tokyo, Tokyo, ญี่ปุ่น 32. Four Seasons Hotel Singapore, สิงคโปร์ 31. The Oberoi New Delhi, New Delhi, อินเดีย 30. St. Regis Lhasa Resort, Tibet, จีน 29.…
-
17 ภาพพฤติกรรมสุดแปลกของคนเอเชีย ถ้าไม่กล้าจริง คุณทำอย่างพวกเขาไม่ได้แน่นอน!!
นอกจากพวกสัตว์จะสร้างความฮาให้เราได้เห็นกันบ่อยๆ แล้ว พวกมนุษย์ก็ชอบสร้างเรื่องฮาๆ ให้เราได้เห็นกันอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน ซึ่งในวันนี้เราได้รวมภาพความฮาของคนเอเชีย ที่หลายคนเห็นแล้วจะต้องพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ไม่ไหวจะเคลียร์เลยจริงๆ’ เพราะแต่ละรูปขอบอกเลยว่าถ้าหากความกล้าไม่มี คุณจะไม่สามารถทำอย่างพวกเขาได้แน่นอน ก็มันง่วง ขอนอนตรงนี้เลยก็แล้วกัน ขับยังไงเนี่ย ถึงได้กลายมาเป็นสภาพแบบนี้ได้ สนุกกันใหญ่เลยนะพวกมนุษย์ โอยยย ถึงขนาดนี้แล้วยังจะมากลัวเปียกกันอีก ทางเดียวกัน ก็ต้องไปด้วยกัน อุต๊ะ!! ไหวมั้ยพี่ สงสัยพี่แกคงจะชอบสีเหลืองแน่ๆ สรุปพี่แกจะเป็นทั้งผู้หญิง และผู้ชายเลยใช่ไหมเนี่ย เก้าอี้แบบพกพา ลองไปทำดูสิเพื่อนๆ โอ้วววว จะกินหมดมั้ยเนี่ย นี่ก็เหลืองมาเชียว บางทีแฟชั่นของผู้หญิง ก็ดูล้ำไปไกลเหลือเกิน ท่าทางพี่แกแข็งแรงจริงๆ อั้ยยะ!! ท่าเดินเท่ฝุดๆ ถึงพวกเขาจะมีพฤติกรรมแปลกๆ ไม่เหมือนชาวบ้าน แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นการสร้างสีสัน และเสียงหัวเราะให้กับผู้คนที่ได้เห็นก็แล้วกัน ที่มา : klyker
-
มาดูความแตกต่างระหว่าง “คนเอเชียกับคนตะวันตก” เป็นแบบที่เขาว่าหรือเปล่าน๊าาา
หยาง หลิว (Yang Liu) ศิลปินและนักออกแบบชาวจีน เขาได้ย้ายไปอยู่เยอรมันตั้งแต่อายุ 14 ได้เติบโตมาใน 2 ที่ 2 วัฒนธรรม ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทำให้เขาได้รู้และได้สัมผัสกับวัฒนธรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกันของคนทั้ง 2 ประเทศ เขาจึงนำมุมมองและวัฒนธรรมที่แตกต่างของทั้ง 2 ประเทศมาเปรียบเทียบกัน โดยใช้รูปภาพและสัญลักษณ์ที่เข้าใจง่าย ให้ฝั่งสีนำเงินแทนประเทศเยอรมนีหรือวัฒนธรรมตะวันตก และให้ฝั่งสีแดงแทนประเทศจีนหรือวัฒนธรรมเอเชีย 1. ไลฟ์สไตล์ 2. ความตรงต่อเวลา 3. งานเลี้ยง 4. ความสวยงามของสีผิว 5. การใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ 6. เจ้านาย 7. ระดับเสียงพูดในร้านอาหาร 8. วิธีการแก้ปัญหา 9. ความมั่นใจในตัวเอง 10. วิถีชีวิตของชาวจีนในสายตาเยอรมัน และชาวเยอรมันในสายตาจีน 11. การยืนเข้าแถวซื้อของ 12. การแสดงออก…
-
เมื่อดาราฮอลลีวู้ด และดาราเอเชีย ใส่ชุดออกงานเหมือนกัน งานนี้ใครเกิดใครดับ มาดูเลย!!
เมื่อเราเห็นเหล่าดาราคนดังออกงาน แฟชั่นเสื้อผ้าที่พวกเขาใส่นั้น จะต้องสวยที่สุด และโดดเด่นที่สุด และในบางครั้งเสื้อผ้าที่พวกเขาใส่ออกงานมันอาจจะดูคล้าย หรือเหมือนกับดาราคนอื่นที่เคยใส่ออกงานมาแล้ว เหมือนดังเช่นภาพที่เราจะนำมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันในวันนี้ เป็นภาพของเหล่าคนดังฮอลลีวู้ด กับคนดังเอเชีย ที่ใส่เสื้อผ้าออกงานคล้ายๆ กัน ซึ่งบางคนใส่แล้วก็ดูเกิ๊ดเกิด แต่กับอีกคนใส่แล้วอาจจะดูไม่เด่นเท่า ถ้าอย่างนั้นเรามาชมกันเลย ว่างานนี้ใครจะเด่นกว่าใคร 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 ที่มา : vdoobv