Tag: แพทย์
-
หนุ่มเคนยาปลอมตัวเป็นหมอ แต่กลับ “ผ่าตัด” คนไข้ได้สำเร็จถึง 8 ครั้ง ก่อนถูกจับกุม!
เรื่องราวในวันนี้ จะนำเสนอเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่ปลอมตัวเป็นนายแพทย์ได้อย่าง “แนบเนียน” ราวกับเป็นอาชญากรสุดฉกาจในภาพยนตร์ชนิดที่หาจับตัวได้ยาก นามของเขาคือ Ronald Melly ชายชาวเคนยาที่ปลอมตัวเป็นหมอในโรงพยาบาล Kapsabet County Referral Hospital แถมยัง ทำการผ่าตัดคนไข้ ได้สำเร็จถึง 8 ครั้ง!! Ronald Melly เรื่องราวเกิดขึ้นในเคาน์ตี Nandi ซึ่งอยู่บริเวณตอนเหนือของประเทศเคนยา โดยรายละเอียดต่างๆ ถูกบันทึกลงในรายงานของทางสำนักงานสาธารณสุขของจังหวัด นาย Edward Serem ผู้อำนวยการสำนักงานสาธารณสุขของจังหวัด ก็ได้ออกมาเผยรายละเอียดในรายงานว่า… Ronald ได้ทำการผ่าตัดคนไข้มาแล้ว 9 ราย โดยชื่อคนคนไข้ (เหยื่อ) นั้นถูกบันทึกลงในรายงานทั้งหมด แต่ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม คนไข้รายที่ 9 กลับเสียชีวิตลง เอกสารรับรองต่างๆ จากหน่วยงานราชการ ทั้งหมดคือของปลอม . แม้แต่เอกสารที่ต้องรับรองโดยกระทรวงสาธารณสุขก็โดนปลอม Dr. Edward Serem กล่าวว่า… “ในการผ่าตัดคนไข้คนที่ 9 เขา (Ronald) ได้ทำมันพร้อมกับแพทย์ผู้ช่วยอีกหลายคน…
-
หนุ่มรัสเซีย พร้อมเสี่ยงเข้ารับผ่าตัด “เปลี่ยนหัว” เป็นคนแรก แม้จะมีภรรยาพร้อมลูกน้อย
Valery Spiridonov หนุ่มชาวรัสเซียวัย 33 ปีผู้เตรียมตัวเข้ารับ การปลูกถ่ายศีรษะ เผยกำลังย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกาอย่างมีความสุขกับลูกและภรรยาแสนสวย แต่ก็พร้อมยอมรับความเสี่ยง Valery นั้นได้ อาสา เข้ารับการผ่าตัดเพื่อย้าย “ทั้งศีรษะ” ไปไว้กับอีกร่างกายหนึ่ง เนื่องจากเขามีอาการเจ็บป่วยจากกล้ามเนื้อสันหลังที่ผิดปกติ หรือที่เรียกว่า โรค Werdnig-Hoffman Valery Spiridonov นายแพทย์ผู้ที่จะดำเนินการผ่าตัดให้กับ Valery มีนามว่า Sergio Canavero ซึ่งมีฉายาว่า Doctor Frankenstein เนื่องจากการผ่าตัดของนายแพทย์คนนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันในสังคมเรื่องความปลอดภัย และล่าสุดตัวของแพทย์ Sergio เองก็กำลังทำโปรเจกต์อยู่ที่ประเทศจีน เป็นโปรเจกต์เกี่ยวกับผ่าตัดมนุษย์และศพ อย่างไรก็ตาม Valery และ Anastasia Panfilova ผู้เป็นภรรยาพร้อมลูกน้อยก็กำลังจะย้ายครอบครัวไปอาศัยอยู่ในรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย Anastasia Panfilova ปัจจุบัน Valery กำลังทำการศึกษาด้านการวิเคราะห์ทางคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยฟลอริดา อย่างไรก็ตาม มีหลายคนจะไม่เชื่อว่าเขาและ Anastasia จะเป็นสามีภรรยากันจริงๆ เนื่องจากทั้งคู่ไม่มีรูปถ่ายร่วมกันเลย แต่ทางฝ่ายหญิงก็ออกมาเผยว่ามีความสุขดีในความสัมพันธ์ของเธอและชายหนุ่มที่นั่งรถเข็น ผู้มีจิตใจดี อารมณ์ลึกซึ้ง และฉลาด ส่วนตัวของ Valery เองก็กล่าวเตรียมตัวในการรับการผ่าตัดว่า… “ผมรู้ว่ามันเสี่ยงในการเข้ารับการผ่าตัดที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนแบบนี้ แต่ผมมีอะไรจะเสียซะที่ไหนล่ะ?…
-
บราซิลออกหมายจับ “หมอพลังจิต” อ้างพลังแห่งพระเจ้า ลวงคนไข้ไปข่มขืนกว่า 300 คน
ผู้คนจำนวนมากเชื่อว่ามีการรักษาความเจ็บป่วยทั้งหมดทั้งมวลด้วยวิธีที่อยู่เหนือวิทยาศาสตร์ แม้ “ความเชื่อ” ของบุคคลจะไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่การเชื่อในสิ่งผิดก็อาจนำไปสู่อันตรายได้ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2018 ทางการของประเทศบราซิลได้ออกหมายจับนาย Joao Teixeira de Faria หรือ ฟาเรีย ผู้มีฉายา “John of God” หมอร่างทรงพลังจิตที่ลวงลูกศิษย์มาข่มขืนและคุกคามทางเพศ Joao Teixeira de Faria (ฟาเรีย) ฟาเรีย เป็นชายชาวบราซิลวัย 76 ปี เขากล่าวอ้างว่าตนเป็นหมอวิเศษที่เป็นร่างทรงให้กับบรรดาแพทย์กว่า 30 คน ที่สามารถรักษาโรคต่างๆ ให้ผู้ป่วยได้ด้วยพลังของพระผู้เป็นเจ้า ผู้คนจำนวนมากจากทั่วโลกจึงเกิดความสนใจและศรัทธา ถวายตนเป็นศิษย์และสาวก ทั้งที่แท้จริงแล้วฟาเรียไม่ได้เป็นแพทย์จริงๆ แต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้ลวงลูกศิษย์ที่เป็นหญิงสาวไปกระทำการ ข่มขืนและล่วงละเมิดทางเพศ กว่า 300 ราย จนลูกศิษย์หลายคนทนไม่ไหวออกมาร้องเรียนกับสื่อท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ช่างภาพสาวชาวดัตช์นามว่า Zahira Leeneke Maus ผู้เคยเข้ารับการรักษาโรคซึมเศร้าจากฟาเรียก็ออกมาให้การกับ Globo TV ว่านายฟาเรียได้กระทำการข่มขืนเธอโดยอ้างว่าเป็นพิธีกรรมการรักษา ส่วนหญิงที่เคยตกเป็นเหยื่อของนายฟาเรียอีก…
-
ชายวัย 70 ปีน้อยใจเกิดมาเล็ก ทุ่มเงินเกือบ 500,000 บาท ฉีดฟิลเลอร์เพิ่มขนาด “ไอ้จ้อน”
เรื่องของ “ขนาดน้องชาย” นั้นมักเป็นปัญหาคาใจของหนุ่มๆ จำนวนมาก ไม่ว่าใครๆ ก็ต้องอยาก “ใหญ่” กันทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ… ไม่เว้นแม้แต่ชายสูงอายุ Eric Bell วัย 70 ปีที่ทุ่มเงินจำนวน 12,000 ปอนด์สเตอร์ลิง (เกือบ 500,000 บาท) เพื่อให้แพทย์ฉีดฟิลเลอร์ เพิ่มขนาด อวัยวะเพศของเขา Eric Bell วัย 70 ปี Eric Bell อดีตบุรุษพยาบาล ปัจจุบันไม่มีลูกและภรรยา เขาตัดสินใจเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนเป็นครั้งที่ 6 หลังจากการฉีดเพิ่มขนาดนั้นคงอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ครั้งนี้เขาอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เขาตัดสินใจเพิ่มขนาดอวัยวะเพศ เขากล่าวว่า… “ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกเศร้าและดูถูกตัวเองที่เกิดมามีอวัยวะเพศขนาดเล็ก ผมแทบไม่มีความสัมพันธ์กับใครอย่างจริงจังเลย แต่ตอนนี้ผมเดตกับสาวเอ๊าะๆ ได้สบายๆ รู้สึกเหมือนผมมีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยม” ค่าใช้จ่ายนั้นอยู่ที่ราวๆ 3,000 ปอนด์สเตอร์ลิง หรือราวๆ 120,000 บาท ต่อการฉีดฟิลเลอร์ 10 มิลลิลิตร ซึ่งมันจะช่วยเพิ่มขนาดเส้นรอบวงขององคชาตได้ Eric เล่าเพิ่มว่า……
-
อดีตนักโทษมะกันเสีย ‘อวัยวะเพศ’ จากมะเร็ง โร่ฟ้องเรือนจำปล่อยโรคไร้การ “วินิจฉัย”
เรื่องราวชวนปวดหัวในวันนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับนาย Keith Jackson วัย 49 ปี ที่ต้องเสียอวัยวะเพศไปเนื่องจากโรคมะเร็ง Keith Jackson เคยเป็นผู้ต้องขังในรัฐนอร์ทแคโรไลนา เขาถูกจับกุมในข้อหาพกพาอาวุธปืนอย่างผิดกฎหมายและก่ออาชญากรรมร้ายแรง หลังจากนั้นเขาเสียอวัยวะเพศจากโรคมะเร็ง เขาจึงโทษเรือนจำที่ไม่ตรวจอาการเขาก่อนหน้านี้ Keith Jackson วัย 49 ปี ในช่วงเวลา 15 เดือนแรกที่เขาถูกขังอยู่ในเรือนจำ เขาก็เริ่มมีอาการเจ็บปวดที่แผลบนอวัยวะเพศของตนเอง มันเริ่มบวมช้ำและมีเลือดออกมาก ข้อมูลจากบันทึกทางการแพทย์ของ Keith พบว่าเขาถูกวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อที่บริเวณอวัยวะเพศหลายต่อหลายครั้ง โดยทีมแพทย์เชื่อว่าเขาได้รับเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน จึงให้ยาปฏิชีวนะแก่เขา ภายหลังทีมแพทย์ตัดสินใจ ทำการผ่าตัด Keith แต่มันก็สายเกินไปเพราะอาการของมะเร็งได้ลุกลามจนทำลายอวัยเพศของเขาไปแล้ว นั่นทำให้ Keith ต้องการให้ทางเรือนจำและทีมแพทย์ในเรือนจำออกมารับผิดชอบ ที่ปล่อยให้อาการของโรคมะเร็งลุกลามในตัวเขาโดยที่ไม่มีการตรวจวินิจฉัย Keith กล่าวว่า… “ทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องออกมารับผิดชอบเรื่องนี้ และสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ ก็คือ ‘ความช่วยเหลือ’ เท่านั้นเอง” สุดท้ายเขาก็ยื่นเรื่องฟ้องรัฐบาลกลางภายใต้กฎการฟ้องร้องของภาคเอกชนต่อภาครัฐบาล นอกจากนี้เขายังฟ้องเรือนจำอีก 6 แห่งที่เขาเคยถูกขัง และสถานรักษาพยาบาลอีก 2 แห่งอีกด้วย Keith…
-
หนุ่มจีนเดือด “ทำร้าย” แพทย์หลังปฏิเสธ ‘ผ่าตัดทำคลอด’ ภรรยาให้ทันตามฤกษ์ที่ดูไว้
เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2018 ได้เกิดเหตุทำร้ายร่างกาย หลังแพทย์ปฏิเสธที่จะทำคลอดก่อนกำหนดให้กับหญิงสาวชาวจีน ทำให้ผู้เป็นสามีของหญิงตั้งครรภ์เข้าจู่โจมนายแพทย์ด้วยอารมณ์โมโห เหตุการณ์เกิดขึ้นในโรงพยาบาล Peking University First Hospital กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน แพทย์ผู้เคราะห์ร้ายนามว่า He ถูกชายสกุล Zheng วัย 46 ปีเข้าทำร้ายร่างกายเนื่องจากแพทย์ปฏิเสธที่จะผ่าตัดทำคลอดภรรยาของนาย Zheng ตาม “ฤกษ์” ที่ทางครอบครัวกำหนดไว้ นายแพทย์ Zhan แพทย์อีกรายที่ร่วมการทำคลอดก็ออกมาอธิบายบนเว็บไซต์ Weibo ว่า ที่ต้องปล่อยให้คนไข้คลอดบุตรด้วยวิธีธรรมชาตินั้นก็เพราะเห็นว่าปลอดภัยและ ไม่จำเป็น จะต้องใช้วิธีการผ่าตัด ขณะเดียวกัน นายแพทย์ He ผู้ถูกทำร้ายร่างกายก็มีกระดูกหักหลายจุด หากชมภาพจากกล้องวงจรปิดจะพบว่า Dr. He ถูกชกแต่เตะที่ศีรษะและท้องหลายครั้ง ลองชมคลิปเหตุการณ์ดังกล่าว ล่าสุด เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2018 นาย Zheng ผู้ก่อเหตุก็ถูกคุมตัวอยู่ที่สถานีตำรวจเนื่องจากคดีทำร้ายร่างกายในครั้งนี้ ส่วนหญิงวัย 19…
-
อาจารย์หมอคบชู้ ลงมือฆาตกรรมภรรยาของตัวเอง แต่โชคร้ายลูกสาวถูกลูกหลงไปด้วย!?
นี่คือเรื่องราวของคดีการฆาตกรรมของวิสัญญีแพทย์และอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่เกิดขึ้นในฮ่องกง ได้วางแผนฆาตกรรมภรรยาเพราะตัวเองเป็นชู้กับลูกศิษย์ แต่โชคร้ายลูกสาวของตัวเองดันรับเคราะห์จากเหตุดังกล่าวไปด้วย นาย Khaw Kim-Sun ชาวมาเลเซียวัย 53 ปี เป็นวิสัญญีแพทย์ที่โรงพยาบาล Prince of Wales ในฮ่องกง และศาสตราจารย์ประจำภาควิชาวิสัญญีวิทยา มหาวิทยาลัย Chinese University of Hongkong เขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีในข้อหาวางแผนฆาตกรรมภรรยา Wong Siew-fung วัย 47 ปี และลูกสาว Khaw Li-ling วัย 16 ปี ด้วยแก๊สอันตรายบรรจุไว้ในลูกบอลโยคะ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2015 หรือเมื่อ 3 ปีก่อน ล่าสุดศาลได้เริ่มทำการพิจารณาคดีและตัดสินคดีนี้เมื่อวันพุธที่ผ่านมา อัยการ Andrew Bruce SC เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคดีนี้กับศาลว่า ย้อนกลับไปเมื่อช่วงก่อนเกิดเหตุ นาย Khaw ได้ทำการก่อตั้งโปรเจกต์วิจัยขึ้นมาเพื่อเป็นข้ออ้างในการนำแก๊สอันตรายอย่างคาร์บอนมอนอกไซด์มาใช้ในการลงมือฆาตกรรม โดยมีผู้ช่วยงานวิจัยเป็นนักศึกษาสาว ที่เขามีความสัมพันธ์ลับด้วยอยู่ เป็นผู้ร่วมสมคบคิดด้วย …
-
นายแพทย์ทหารลงมือ ‘ผ่าตัดไส้ติ่ง’ ด้วยตัวเอง เพราะทั้งทีมไม่มีใครสามารถทำได้เลย
คุณหมอ Leonid Rogozov แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปและเป็นอดีตนายแพทย์ทหารแห่งโซเวียต ผู้ที่ “ผ่าตัดไส้ติ่ง” ตัวเองหลังเกิดอาการอักเสบในช่องท้องอย่างรุนแรง ในปี 1961 ในระหว่างการออกปฏิบัติภารกิจสำรวจทวีปแอนตาร์กติก ด้วยสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ประกอบกับความยากลำบากหลายประการ ทำให้เขาเกิดอาการอักเสบระหว่างทาง… Leonid Ivanovich Rogozov Rogozov รู้สึกเจ็บปวดบริเวณด้านล่างของช่องท้องอย่างหนักหน่วง เขาจึงตัดสินว่านั่นคืออาการ “ไส้ติ่งอักเสบ” ในยุคที่เทคโนโลยียังไม่อำนวยความสะดวกมีเพียงการผ่าตัดเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้ โชคไม่ดีที่ทั้งคณะเดินทางมีหมออยู่เพียงคนเดียวซึ่งก็คือตัวของ Rogozov เองเท่านั้น หากเสียเขาไปทั้งคณะจะไม่สามารถเดินทางต่อหรือกระทั่งเดินทางกลับได้อย่างแน่นอน Rogozov จึงตัดสินใจคว้ามีดผ่าตัดเตรียมผ่าตัดช่องท้องของตัวเอง เขาเริ่มให้ยาชากับตัวเองในปริมาณที่น้อย เพราะเขาเองก็ต้องทำหน้าที่เป็นหมอผู้ทำการผ่าตัดด้วยเช่นกัน การควานในช่องท้องตนเองเพื่อค้นหาจุดที่เรียกว่า “ไส้ติ่ง” นั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก แต่หลังจากเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง 45 นาที เขาก็ตัดไส้ติ่งออกมาได้สำเร็จ จากนั้นเขาให้ยาปฏิชีวนะกับตนเองและเย็บแผลปิดเป็นอันสิ้นสุดกระบวนการ เพื่อนๆ ของเขาได้เก็บภาพเอาไว้ เป็นภาพที่ถึงแม้ว่าดูน่ากลัว แต่กลับน่ายกย่องในความกล้าของคุณหมอ Rogozov ที่เลือกจะเสี่ยงผ่าตัดตัวเองเพื่อกลับมาเป็นหมอประจำทีมให้ได้ สิ่งที่น่าอัศจรรย์กว่านั้นก็คือ หมอ Rogozov…
-
แพทย์นักดำน้ำ Richard Harris สูญเสียคุณพ่อ หลังภารกิจถ้ำหลวงลุล่วงได้ไม่นานนัก…
รายงานจากเว็บไซต์ต่างประเทศ ได้กล่าวถึง Richard Harris แพทย์นักดำน้ำชาวออสเตรเลีย ที่กำลังถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในทีมฮีโร่ ผู้เข้ามาสนับสนุนภารกิจพาตัวทีมหมูป่าทั้ง 13 ชีวิตออกจากถ้ำหลวง หลังจากเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ภารกิจกู้ชีพได้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ทุกชีวิตปลอดภัย แต่สำหรับ Richard Harris หลังจากที่ได้รับรู้ข่าวดี เขาก็ต้องรับรู้ถึงข่าวร้ายในเวลาไล่เลี่ยกัน Dr. Andrew Pearce จากหน่วยกู้ชีพ South Australia Ambulance Service ได้ทำการยืนยันถึงการเสียชีวิตของคุณพ่อของนายแพทย์ Richard Harris โดยไม่ระบุสาเหตุผ่านแถลงการณ์ด้วยใจความว่า… “มันเป็นสัปดาห์ที่โลดโผนวุ่นวายมากๆ เป็นความโศกเศร้าอย่างยิ่ง ที่ผมขอยืนยันว่าคุณพ่อของคุณ Harris เสียชีวิตเมื่อคืนที่ผ่านมา ภายหลังจากปฏิบัติการกู้ชีพในประเทศไทยสำเร็จไปได้ไม่นาน” “เขาจะกลับมาที่บ้านเกิดเร็วๆ นี้ และจะได้ใช้เวลาอันมีค่าอยู่กับครอบครัว เขาร้องขอถึงความเป็นส่วนตัวในช่วงเวลาอันยากลำบากเช่นนี้” Richard Harris (ขวา) พร้อมกับเพื่อนนักดำน้ำ Craig Challen ในระหว่างช่วยปฏิบัติการถ้ำหลวง สำหรับนายแพทย์ Harris นั้นเป็นวิสัญญีแพทย์ และนักดำน้ำผู้เชี่ยวชาญการกู้ชีพภายในถ้ำ…
-
คุณพ่อชาวอังกฤษ กระโดดน้ำ “หัวกระแทก” พื้นสระ เจ็บสาหัส อาจเดินไม่ได้ตลอดชีวิต…
ใครจะเชื่อว่าเพียงการว่ายน้ำใน สระว่ายน้ำ ก็สามารถทำอันตรายให้กับคนๆ หนึ่งได้อย่างรุนแรง จนชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล Keith Dungait คุณพ่อลูกสองชาวอังกฤษ ประสบอุบัติเหตุจนอาจไม่สามารถเดินได้อีกต่อไป หลังจากเดินทางไปเข้าร่วมปาร์ตี้สละโลดของเพื่อนที่เกาะในประเทศสเปน ภายในงาน Keith ได้มีการลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำ และจังหวะที่เขากระโดดดิ่งตัวลงน้ำนั้น ศีรษะของเขาไปกระแทกเข้ากับพื้นของสระอย่างรุนแรง ทำให้เขาต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว อาการของ Keith ปัจจุบันอยู่ในภาวะคงที่ แต่ทีมแพทย์ไม่แน่ใจว่าคุณพ่อวัย 41 ปีคนนี้จะยังสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้งหรือไม่ Christina ผู้เป็นภรรยาเดินทางจากนอร์ทัมเบอร์แลนด์มายังสเปนเพื่อดูแลสามีที่โรงพยาบาลอย่างใกล้ชิด ซึ่งเธอเองหวั่นใจอย่างมากว่าอุบัติเหตุครั้งนี้จะทำให้สามีต้องเสียชีวิต “ฉันคิดว่าเขาจะตายเสียแล้ว แต่เขาก็ถูกช่วยเอาไว้ เพื่อนๆ และทีมแพทย์ที่อยู่ตรงนี้ทุกคนได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้” เธอกล่าว Keith หมดสติขณะศีรษะกระแทกกับพื้นของสระว่ายน้ำ เพื่อนๆ ของเขาจึงช่วยพาตัวออกมาแล้วทำการปฐมพยาบาลกันเองก่อนจะนำตัวส่งให้กับทางโรงแรมในเมืองปัลมาของเกาะมาจอร์กา ในช่วงดึกของวันที่เกิดเหตุ Keith มีอาการโคมา กระดูกสันหลังแตกเป็นเสี่ยงและมีอาการบวมในสมอง ปัจจุบัน Keith สามารถพูดคุยได้ หลังจากตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องสแกนเอ็กซ์เรย์แล้วพบว่าปอดของเขาปกติดีไม่มีน้ำขังอยู่ภายใน ซ้ำยังมีการวางแผนจัดงานวันเกิดของเขาที่โรงพยาบาลอีกด้วย ล่าสุดเขาสามารถขยับแขนตัวเองขึ้น-ลงได้ สามารถพูดคุยกับภรรยา Mickey และ Jeannie ผู้เป็นพ่อและแม่ของเขาได้ แต่ยังไม่สามารถขยับอวัยวะตั้งแต่ช่วงสะโพกลงไปได้…
-
เด็กสาววัย 18 ปี ขอร้องให้หมอ “ตัดขา” ของเธอทิ้ง แม้หมอจะบอกว่า “มันยังดีอยู่” ก็ตาม
บางทีสิ่งที่แพทย์บอกว่าดี มันอาจจะไม่ได้ดีสำหรับเราเสมอไป… ตัวอย่างเช่น หญิงสาววัยรุ่น Megan Jordan วัย 18 ปีคนนี้ ที่หลังจากเธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขาซ้ายของเธอก็เหมือนเป็นอัมพาต เธอเดินไม่ได้ เพราะหากลงน้ำหนักไปที่ขาซ้ายเมื่อใด เธอจะเกิดความเจ็บปวดอย่างมาก ขณะเดียวกันแพทย์บอกว่าขาซ้ายของเธอยังเป็นปกติและมีสุขภาพดี และบอกว่าความเจ็บปวดที่เธอรู้สึกนั้นมาจากสมองของเธอเองเสียมากกว่า แต่สาวน้อย Megan นั้นไม่อยากทนทรมานกับความเจ็บปวดนี้อีกแล้ว เธอขอให้แพทย์ “ตัด” ขาซ้ายของเธอทิ้ง เพราะนอกจากเธอจะเจ็บปวดกับมันแล้ว เธอยังต้องนั่งเก้าอี้รถเข็นแทบตลอดเวลา จะเล่นกีฬาก็ไม่สามารถทำได้ สาวน้อย Megan จากชุมชนเฮริฟอร์ดเชอร์ ประเทศอังกฤษกล่าวว่า “นี่มันร่างกายของฉัน ถ้าฉันอยากตัดขาของฉันทิ้ง มันก็จะต้องได้รับการผ่าตัด ความเจ็บปวดที่ฉันได้รับมาตลอดมันเกินจะทนแล้ว การตัดขามันคงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ฉันหลุดพ้นแล้วล่ะ” “แพทย์ไม่อยากให้ฉันตัดขาทิ้ง พวกเขาคิดว่าความเจ็บปวดที่ฉันรู้สึก มันมาจากสมอง แต่ถึงอย่างไรฉันก็อยากตัดขาอยู่ดี เพราะฉันเคยเล่นกีฬาและออกกำลังกายทุกวัน แต่ตอนนี้ฉันทำไม่ได้เลย การตัดขาทิ้งเป็นวิธีเดียวที่ทำให้ฉันได้กลับไปทำสิ่งที่ฉันรักอีกครั้ง” ขณะทางแพทย์ได้ตอบรับคำขอของ Megan Jordan เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเธอต้องรออีก 18 เดือนเพื่อเข้ากระบวนการผ่าตัดขาของเธอต่อไป ที่มา: metro และ dailymail
-
รวมทวีต “เรื่องเล่าจากคุณหมอ” ผ่านทวิตเตอร์ ทั้งสุขและเศร้าอยากเล่าให้ทุกคนได้ฟัง
ขณะนี้มีเทรนด์ในทวิตเตอร์ เป็นแฮชแท็ก #ShareAStoryInOneTweet ที่ให้ชาวทวิตเตอร์ได้มาแบ่งปันประสบการณ์และเรื่องราวน่าประทับใจสั้นๆ เพียงโพสต์เดียวเท่านั้น สิ่งที่น่าสนใจก็คือเรื่องราวของเหล่า “บุคลากรแพทย์” ที่หลายคนคิดว่าแพทย์เป็นอาชีพที่น่าอิจฉา ทั้งมีรายได้สูงและได้รับความเคารพจากผู้คนในสังคม แต่รู้หรือไม่ ชีวิตของพวกเขาก็ไม่ต่างจากคนธรรมดา ที่มีทั้งความทุกข์ ความสุข ความเศร้า ลองมาดูกันว่า เรื่องเล่าจากคุณหมอ ที่น้อยคนจะได้รับรู้ มันจะซึ้ง เศร้า และน่าประทับใจขนาดไหน… ผมเห็นเด็กๆ ต้องตายจากโรคหัดทุกวันในเคนยา ผมได้เห็นคุณแม่คนหนึ่งกระเตงลูกของเธอมาไกลเกือบ 50 กม. เพื่อรับวัคซีนยา ส่วนในประเทศโลกที่หนึ่ง พ่อแม่ที่ไม่พาลูกมาฉีดวัคซีนนี่โคตรเห็นแก่ตัวเลย ครั้งหนึ่ง ผมทำคลอดหนูน้อยน้ำหนัก 450 กรัมคนหนึ่งออกมา หลายคนบอกว่าเธอไม่น่ารอด เพราะเธอตัวเล็กเกินไป และเธอก็มักจะหยุดหายใจอยู่เสมอ ผมจึงใช้เวลาอยู่กับเธอ 2 คืนเต็มๆ นวดลงไปบริเวณหน้าอกเพื่อให้ปอดเธอได้หายใจ ผู้แนะนำบอกว่าสิ่งที่ผมทำมันเปล่าประโยชน์ แต่ปัจจุบันนี้เธอเป็นสาวน้อยวัย 6 ขวบที่กำลังจะออกแสดงบัลเลต์เป็นครั้งแรก ในช่วงแรกๆ ที่โรคเอดส์ระบาดหนัก นางพยาบาลมักเลี่ยงที่จะเข้าไปหาผู้ป่วย ผมในฐานะหมอฝึกงาน ขณะนั้นผมไม่ได้อยู่ในชั่วโมงทำงานด้วยซ้ำ แต่ผมก็ยังเข้าไปหาพวกเขา ผมใช้เพจเจอร์และโทรศัพท์โทรหาพ่อแม่พี่น้องของผู้ป่วย จากนั้นก็นั่งจับมือพวกเขาเอาไว้ และติดต่อให้พวกเขาได้คุยกับลูกๆ พวกเขาจะต้องไม่ตายอย่างโดดเดี่ยว คุณถูกรถชนต่อหน้าฉัน…
-
“หมอตั้ม” ผู้เข้าแข่งขันสุดหล่อรายการ MasterChef จากรั้งท้าย กลายเป็นติด 1 ใน 6
MasterChef Thailand Season 2 คือหนึ่งในรายการแข่งขันทำอาหารที่มีผู้ติดตามอยู่เป็นจำนวนมาก ด้วยความสนุกของหัวข้อการแข่งขันต่างๆ ความกดดันในการตัดสิน รวมไปถึงผู้เข้าแข่งขันมากหน้าหลายตาที่ช่วยรังสรรค์อาหารต่างๆ ในแบบที่ไม่เหมือนใคร และหากจะพูดถึงผู้เข้าแข่งขันที่ได้รับความนิยมจากแฟนคลับรายการเป็นอย่างมาก หนึ่งในนั้นก็คงหนีไม่พ้น ตั้ม หรือ หมอตั้ม – นายแพทย์ดิษกุล ประสิทธิ์เรืองสุข คุณหมอเพียงหนึ่งเดียวในการแข่งขันรายการนี้ ประวัติแบบคร่าวๆ หนุ่มหล่อวัย 25 ปีคนนี้ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา แต่เรื่องการเรียนของเขานี่ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน หมอตั้มเรียนจบระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ก่อนที่จะเรียนต่อปริญญาตรีในคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และจบออกมาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 หลังจากเรียนจบ หมอตั้มก็เดินทางตามสายงานที่ศึกษามา ทำให้ปัจจุบันเขากลายเป็นแพทย์ผู้ช่วยอยู่ที่ โรงพยาบาลกลาง กรุงเทพมหานคร แล้วทำไมถึงได้กลายมาเป็นผู้เข้าแข่งขันทำอาหาร? แม้ปัจจุบันหมอตั้มจะทำงานเป็นแพทย์คอยช่วยเหลือผู้คน แต่เขาก็เป็นคนหนึ่งที่รักในการทำอาหารเป็นอย่างมากเหมือนกัน และมีความฝันว่าอยากจะเขียนหนังสือสูตรอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทำรับประทานเองที่บ้านได้ง่ายๆ เรียกว่าเป็นคนเก่งและมีจิตใจดีจริงๆ เลย . จากรั้งท้าย สู่การเป็น 1 ใน 6 คนสุดท้ายของรายการ…
-
คุณหมอมะกันเผย บีบสิวแบบทั่วไปน่ะผิด ต้องจิ้มต้องแทงแบบที่ผมบอกนี่!!
ที่เห็นในคลิปนี้คงเป็นวิธีที่เราๆท่านๆ ผู้ผ่านช่วงวัยรุ่นมาแล้วเคยทำกันบ้างนะ แต่แท้ที่จริงแล้ววิธีการบีบสิวด้วยแรงดันเช่นนี้น่ะ มันไม่ดีต่อผิวเราซะเลย จนคุณหมอ Mehmet Oz ได้ไปออกรายการที่วีชื่อดังของมะกัน Oprah Winfrey show เขาเผยว่า 1 ใน 5 ของคนที่เป็นสิว ชอบนักหนากับการบีบสิวแบบในคลิปนี้ (ซาดิสต์เล็กๆนะ แต่เหมียวก็ชอบ อิอิ) ทว่ายุทธศาสตร์หลักที่ถูกต้องนั้น เราไม่ควรบีบแบบนั้น ควรใช้เข็มเล็กๆทิ่มไปที่ผิวตามรูปนี้ตะหาก “อย่าได้บีบสิวแบบนั้นอีกล่ะ เพราะมันจะทำให้เนื้อเยื้อเราเปื่อยยุ่ยหมด” เขากล่าว การบีบแบบที่เขาทำกันน่ะ คือการทำลายเนื้อเยื่อดีๆ รอบข้างไปด้วย ที่ควรทำคือสอดเข็มเข้าไปในแนวขนานกับผิวเรา จากข้างหนึ่งสู่ข้างหนึ่ง แล้วสิวอุดตันก็จะออกมาเอง ทำแบบนี้นะ อย่าทำแบบนี้นะ ที่มา Metro
-
รู้หรือไม่.. “การงีบหลับทับแขน” ทุกวัน อาจทำให้ต้องเข้ารับการผ่าตัดได้!! เช่นเดียวกับเธอคนนี้
การงีบหลับโดยใช้แขนตัวเองแทนหมอน เป็นสิ่งที่พวกเราหลายๆ คนนิยมทำกันมาตั้งแต่เด็ก เวลาที่เรารู้สึกอยากพักผ่อนในห้องเรียนสักแป๊บ หรือแม้แต่ตอนพักจากการทำงาน เรียกว่าเป็นท่ายอดฮิตสำหรับการงีบหลับโดยเฉพาะ แต่รู้หรือไม่ว่า หากทำท่าทางที่ว่านั้นบ่อยๆ เป็นเวลานาน มันอาจทำลายสุขภาพร่างกายของเราได้มากกว่าที่คิด จนถึงขั้นอาจต้องเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัด เช่นเดียวกันกับหญิงสาวคนนี้ ท่าทางการงีบหลับที่คนส่วนใหญ่นิยมทำกัน สาวแซ่จาง วัย 28 ปี คือพนักงานออฟฟิศคนหนึ่งในเมืองฮาร์บิน ประเทศจีน เธอเป็นคนที่ชอบงีบหลับตอนพักเที่ยงเป็นอย่างมาก ซึ่งเธอก็จะงีบหลับทับแขนซ้ายของตัวเองอยู่ทุกวันมาเป็นระยะเวลาหลายต่อหลายปี เมื่อไหร่ที่ตื่นมาก็จะรู้สึกเจ็บและชาบริเวณปลายนิ้วอยู่บ่อยๆ แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งเมื่อช่วงต้นปี 2018 เธอตื่นขึ้นมาจากการงีบหลับและพบว่าเธอไม่รับรู้ความรู้สึกใดๆ จากแขนซ้ายของตัวเองเลย ซึ่งอาการดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่เธอเคยเจอมาก่อนและจะหายไปเองหลังจากผ่านไป 1-2 นาที แต่ทว่าในครั้งนี้มันกลับไม่หายไปจนทำให้ไม่สามารถใช้งานแขนซ้ายได้เลย แม้แต่การหยิบของเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม ด้วยเหตุนั้น Zhang จึงเข้ารับการตรวจกับแพทย์และได้รับการวินิจฉัยว่า เส้นประสาทเรเดียล (ส่วนปลายแขน ไว้ควบคุมการเคลื่อนไหวข้อมือและนิ้ว) บริเวณแขนข้างซ้ายของเธอได้รับความเสียหายอย่างหนัก อันเป็นผลมาจากการที่งีบทับแขนตัวเองทุกวัน สาวแซ่ Zhang พนักงานออฟฟิศที่งีบทับแขนตัวเองทุกวัน ในความจริงแล้วอาการเจ็บหรือชาบริเวณปลายนิ้วนั้นสามารถแก้ได้ด้วยการหมั่นบริหารร่างกายตรงบริเวณนั้นอยู่เป็นประจำ แต่ Zhang กลับไม่เคยทำอย่างนั้นและฝืนใช้งานอย่างหนัก จนกลายเป็นเพิ่มแรงบีบคั้นตรงส่วนเส้นประสาทดังกล่าว ความเสียหายทำให้เธอไม่สามารถขยับแขนซ้ายได้ในที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นอาการขั้นรุนแรงของเธอคนนี้ก็สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเพียงอย่างเดียวอีกด้วย สุดท้ายแล้วแพทย์หลายๆ…
-
แพทย์งุนงง หลังพบหนังยางฝังอยู่ในแขนของเด็กวัย 4 ขวบ ราวกับโดนเล่นของใส่!!
พวกเราบางคนอาจเคยเจอกับเรื่องราวที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ว่ามันเกิดอย่างนั้นได้อย่างไร เช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กน้อยวัย 4 ขวบคนนี้ เมื่อพบ “หนังยาง” อยู่ใต้ผิวหนังบริเวณแขนของเธอ ราวกับว่าเธอโดนไสยศาสตร์เสกของเข้าตัว เด็กหญิงคนดังกล่าวมีชื่อว่า Le Le เธออาศัยอยู่กับตายายในเมือง Linquan มณฑลอานฮุย ประเทศจีน โดยเมื่อช่วงต้นปี 2018 ตายายพบเห็นรอยแดงประหลาดเป็นวงรอบๆ แขนของเธอ ทั้งสองคนจึงพาเด็กหญิงไปเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลในเมือง ซึ่งหมอไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือรอยอะไรและวินิจฉัยเป็นเพียงแค่อาการติดเชื้อหรืออาการภูมิแพ้ทั่วไปเท่านั้น รอยรอบๆ แขนของเด็กหญิงวัย 4 ขวบ พอวันเวลาผ่านไป อาการดังกล่าวกลับยิ่งแย่ลงไปมากกว่าเดิม ทำให้พ่อแม่ของเธอตัดสินใจพาไปเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลเด็กของมหาลัยแพทย์ซีเจียง เมืองหางโจว พวกเขาได้พบกับนายแพทย์ Ye Wensong ซึ่งได้ทำการอธิบายว่ารอยแปลกๆ นั้นน่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากหนังยาง แน่นอนว่าเมื่อพ่อแม่ได้ยินอย่างนั้น พวกเขาก็ดูจะไม่ค่อยเชื่อหมอเท่าไหร่ เพราะคิดว่าถ้าเป็นหนังยางจริง ตอนที่มันรัดไว้ก็น่าจะมีคนบอกให้เอาออกหรือสังเกตเห็นกันมาตั้งนานแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ตอนแรกพวกเขาจะไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ยอมให้ลูกสาวนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล จนกระทั่งได้เจอกับผลลัพธ์อันน่าประหลาดใจ เพราะแพทย์สแกนพบหนังยางอยู่ในแขนของเธอจริงๆ และทำการผ่าตัดเอาออกมาในที่สุด แพทย์จำเป็นต้องผ่าตัดเอาหนังยางออกมา นี่มันคือการโดนเล่นของใส่ชัดๆ!! แต่ความจริงแล้วแพทย์อธิบายว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นจากการที่คนเฒ่าคนแก่ (ตายายของเด็กสาว) นำเอาสายสิญจน์หรือหนังยางไปมัดข้อมือหรือมัดแขนของเธอเอาไว้เพื่อเป็นสิริมงคล แต่นั่นอาจกลายเป็นการทำร้ายเด็กไปโดยไม่รู้ตัว นายแพทย์…
-
สาวร้องเรียน.. แฟนเจ็บหูพาไปหาหมอ แต่ถูกแพทย์ไล่พร้อมถามว่า “ใกล้ตายไหม?”
เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 23 เมษายน 2018 เจ้าหน้าที่ได้และผู้สื่อข่าวท้องถิ่นได้รายงานว่า น.ส. พรธิดา ทุนดี วัย 25 ปี ชาวจังหวัดสุรินทร์ และแฟนหนุ่มวัย 28 ปีชาวอิหร่าน ได้เดินทางมาร้องเรียนเพื่อทวงสิทธิ์ผู้เข้ารับการรักษาพยาบาลกับทางโรงพยาบาลบางละมุง น.ส. พรธิดา และแฟนของเธอ น.ส. พรธิดา เล่าว่า ตนเองได้พาแฟนหนุ่มซึ่งมีอาการเจ็บหูไปติดต่อขอเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลดังกล่าว แต่เมื่อได้เข้าพบแพทย์และอธิบายไปว่าแฟนหนุ่มของตัวเองมีอาการเจ็บหู เธอเล่าเหตุการณ์ว่า แทนที่จะได้รักษา แพทย์คนนั้นกลับพูดว่า “ใกล้ตายไหม? ที่นี่ห้องอุบัติเหตุ ถ้าไม่ใกล้ตายก็ไม่ต้องมา มีอินเตอร์เน็ตไหม? ไปเปิดดูว่าห้องอุบัติเหตุใช้ในกรณีใด” หญิงสาวรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดในลักษณะนี้ออกมาจากปากแพทย์ และสุดท้ายแฟนของเธอก็ไม่ได้รับการรักษาแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ต้องนั่งรอคิวอยู่นานถึง 2 ชั่วโมง หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้สื่อข่าวหลายสำนักก็ได้เดินทางไปสอบถามยังโรงพยาบาลบางละมุงเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่ากลับไม่มีใครสามารถให้ข้อมูลได้ เนื่องจากแพทย์คนนั้นออกเวรกลับที่พักไปก่อนแล้วและยังคงไม่สามารถติดต่อได้ โรงพยาบาลจึงไม่อาจชี้แจงเรื่องราวใดๆ ทางด้านแฟนหนุ่มที่มีอาการเจ็บหู ทางโรงพยาบาลได้ทำเอกสารให้เข้ารับการรักษาอีกครั้ง แต่หญิงสาวเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจในการรักษาของโรงพยาบาลแห่งนี้ เธอจึงตัดสินใจพาแฟนไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอื่น…
-
ความสะเพร่าของโรงพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาตครึ่งตัว ไม่เยียวยาและไม่รับผิดชอบ…
โรงพยาบาลเปรียบได้เหมือนดั่งความหวังสุดท้าย ที่จะทำให้ร่างกายของคนเรากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง แต่ก็ยังคงมีในบางกรณีที่การรักษากลับทำให้ชีวิตของผู้ป่วยย่ำแย่ลงกว่าเดิม เรื่องราวของผู้ป่วยหญิงวัยรุ่นอายุ 15 ปี จากฮ่องกง ที่มีอาการปวดหัว ปวดคอ และรู้สึกว่าร่างกายด้านขวามีความอ่อนแรงผิดปกติ และเริ่มต้นเข้ารับคำแนะนำทางด้านการรักษากับทางโรงพยาบาล United Christian Hospital ในวันที่ 31 ตุลาคม 2017 จากนั้นในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2017 แพทย์ได้วินิจฉัยว่าเธอประสบกับอาการไขสันหลังอักเสบเฉียบพลัน อาจจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งหรือเซลล์ประสาททั้งหมดที่ได้รับความเสียหาย และได้รับการรักษาด้วยสเตอรอยด์ในทันที แต่กลับไม่เห็นความคืบหน้าใดๆ แพทย์จึงแนะนำให้รับการรักษาด้วยวิธี Plasmapheresis (การฟอกเลือด) กระบวนการรักษาที่จะนำพลาสมาที่เป็นพิษออกจากร่างกาย ทำให้สะอาดหมดจนก่อนจะนำกลับเข้าสู่ ระบบการไหลเวียนเลือดในร่างกายอีกครั้ง ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2017 เธอเข้ารับการรักษาด้วยวิธีดังกล่าว และหลังจากที่แพทย์ได้ทำการสวมสายสวนหลอดเลือดไปที่ลำคอ เธอเกิดอาการช็อกส่งผลทำให้เลือดไหลไปกองอยู่ที่บริเวณหน้าอก ทางทีมแพทย์ได้ทำการเอกซเรย์ และทำให้ครอบครัวของผู้ป่วยมั่นใจว่ายังอยู่ในระดับที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตามทีมแพทย์ได้ตัดสินใจย้ายผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาล Queen Elizabeth Hospital เพื่อรับการรักษาเลือดที่สะสมค้างอยู่ในบริเวณหน้าอกแทน ในขณะที่ทีมแพทย์ทีมใหม่จะทำการเจาะเส้นเลือดดำของผู้ป่วย กลับพบว่าเส้นเลือดแดงของเธอได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง จากการสวมสายสวนหลอดเลือดที่คอจากโรงพยาบาลแห่งแรก…
-
หญิงป่วยมะเร็งเผย ‘สารสกัดน้ำมันกัญชา’ ช่วยฟื้นฟูร่างกาย กำจัดมะเร็งให้หายเป็นปกติได้!!
เรื่องของสุขภาพกับโรคร้ายที่ยากจะรักษา ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากจะได้ยินเมื่อเกิดขึ้นกับตัวเองหรือแม้แต่กับคนใกล้ตัว โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ที่สามารถลุกลามไปทั่วร่างกาย และยากต่อการเยียวยาให้หายขาดได้ ดั่งเช่นเรื่องของ Joy Smith หญิงชาวอังกฤษวัย 52 ปี เธอถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ในปี 2016 และเวลาที่เหลือของเธอนั้นมีเพียงแค่ 6 เดือนต่อจากนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป 2 ปี ทุกอย่างกลับกลายเป็นดีขึ้นเรื่อยๆ Joy Smith ในวัย 52 ปี การฟื้นฟูร่างกายอันน่าประหลาดใจนี้ เธอกล่าวว่ามีผลส่วนหนึ่งมาจากการรับ ‘สารสกัดน้ำมันจากกัญชา’ อย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสารต้องห้ามและผิดกฎหมายในอังกฤษก็ตาม… เธอเปิดเผยว่า “เมื่อคุณรู้ว่ามีชีวิตเหลือเพียงแค่ 6 เดือน คุณจะหาหนทางเพื่อลองทุกอย่าง เชื่อฉันสิ ในตอนแรกฉันไม่ค่อยมั่นใจกับน้ำมันกัญชาเท่าไหร่นัก เพราะฉันไม่เคยเสพยามาก่อน แต่ฉันรู้แล้วว่าหากไม่มีมันฉันก็คงไม่อยู่มาจนถึงวันนี้” “ฉันอยากจะบอกกับทุกคนว่า น้ำมันกัญชาควรจะเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายสำหรับใช้ทางการแพทย์ ผู้คนกำลังล้มตายจากการทำเคมีบำบัด ที่ไม่ได้ช่วยรักษาให้หายดีขึ้นเลย” ก่อนหน้านี้ Joy ได้รับการทำเคมีบำบัดสามวันต่อสัปดาห์ และจะเว้นระยะห่างเป็นทุกๆ สองสัปดาห์ แต่แล้วก็ต้องหยุดรับการรักษาเนื่องจากมีภาวะติดเชื้อ จากนั้นเพื่อนของเธอจึงแนะนำให้รู้จักกับน้ำมันกัญชา หนึ่งในนั้นก็ได้ให้น้ำมันกัญชาในรูปแบบยาเม็ด…
-
ชายหนุ่มสุดซน ยัดแท่งหรรษาความยาว 7 นิ้ว สอดผ่านรูปัสสาวะ ช้ำในเดือดร้อนหมอ…
เซ็กส์ทอยคืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการตอบสนองความต้องการทางเพศที่หลากหลาย แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ควรจะต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกคือ เรื่องของความปลอดภัยในการใช้งาน ไม่อย่างนั้นอาจต้องประสบปัญหาเหมือนอย่างชายคนนี้ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2018 เว็บไซต์ Mirror ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับชายนิรนามวัยประมาณช่วง 30-40 ปี จากไต้หวัน เขารีบเข้าพบแพทย์เป็นการด่วน หลังจากที่แท่งหรรษาของเขาดันไปติดอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ จนทำให้ฉี่ออกมาเป็นเลือด ภาพเอ็กซเรย์เผยให้เห็นวัตถุแปลกปลอมในกระเพาะปัสสาวะ แพทย์ในโรงพยาบาลจึงทำการนำมันออกมา โดย Jiann Bang-bing หัวหน้าแผนกวิชาระบบทางเดินปัสสาวะของโรงพยาบาลทหารผ่านศึกในเขต Kaohsiung บอกว่า สิ่งที่พวกเขาพบคือแท่งพลาสติกความยาว 20 เซนติเมตร (เท่ากับ 7.87 นิ้ว) และถึงหนา 1 เซนติเมตร แท่งหรรษาที่ถูกพบในกระเพาะปัสสาวะของคนไข้ หลังจากนั้นคนไข้คนดังกล่าวก็ไม่กล้ากลับมาพบหมอ เพื่อตรวจร่างกายเพิ่มเติมและนำของเล่นของเขากลับไป จนกระทั่งผ่านไปกว่า 2 วัน เขาจึงกลับมาพร้อมกับเล่าให้แพทย์ฟังว่า เหตุผลที่เจ้าสิ่งนี้ไปติดอยู่ด้านในเป็นเพราะเขาใช้มันแหย่เข้าไปทางท่อปัสสาวะ เพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศของตัวเอง นั่นจึงทำให้มันหลุดเข้าไปถึงด้านใน ไม่สามารถเอาออกมาเองได้ และมันก็เข้าไปทำให้เกิดการอักเสบ มีเลือดปนมากับน้ำปัสสาวะของเขา หลังจากนั้นเขาก็กลับไปพักรักษาตัวต่อที่บ้าน รอวันให้อวัยวะบริเวณนั้นกลับมาฟื้นฟูแข็งแรงดังเดิม…
-
ศัลยแพทย์ใจถึงเดินฝ่าหิมะร่วม 3 ชั่วโมง เพื่อไปผ่าตัดให้คนไข้ แม้จะเดินทางลำบากก็ตาม!!
อีกหนึ่งเรื่องราวดีๆ จากต่างประเทศ เมื่อครั้งสภาพอากาศในประเทศอังกฤษและบริเวณใกล้เคียงในช่วงนี้ ต้องประสบกับสภาพอากาศหนาวรุนแรง มีหิมะตกหนักอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ไม่สามารถสัญจรไปมาได้สะดวกเหมือนช่วงอื่นๆ ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นปัญหาของผู้คนส่วนใหญ่ และเช่นเดียวกันกับเจ้าหน้าที่ทางด้านสาธารณสุข เมื่อไม่อาจเดินทางได้สะดวก อาจจะคงตัดใจไม่ไปทำงาน แต่ศัลยแพทย์ท่านนี้ปฎิเสธทุกปัญหา เพราะยังคงมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ!! ศัลยแพทย์หญิงผู้ไม่เปิดเผยนาม ได้ทำการเดินฝ่าดงหิมะที่ตกลงมาอย่างหนัก เป็นระยะทางรวม 12.8 กิโลเมตร (8 ไมล์) จากเขต Anniesland ในเมือง Glasgow ไปยังเมือง Paisley เขต Renfrewshire ของประเทศสกอตแลนด์ ในวันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม 2018 ตามวันเวลาท้องถิ่น การกระทำเพื่ออุทิศให้กับงานครั้งนี้ ถูกเปิดเผยโดยนาย Andy Renwick ศัลยแพทย์ด้านลำไส้ ผู้เป็นเพื่อนร่วมงานของเธอ และการเดินมาทำงานในครั้งนี้ก็เพื่อมาทำการผ่าตัดให้คนไข้ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ที่ต้องการการรักษาภายในวันนั้น… “เธอเดินมาจากเขต Anniesland มายังเมือง Paisley โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 50 นาที ผมเห็นเธอเดินเข้ามา เธอสวมใส่แว่นตากันหิมะ พร้อมกับชุดหนาแน่นทั้งส่วนบนและล่าง…
-
นักวิทย์ฯ เผยเราสามารถช่วยให้คนตาย “ฟื้น” ขึ้นมาได้ หากทำในช่วงเวลาที่ถูกต้อง…
ความตาย เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครๆ ก็ไม่อยากจะต้องพบเจอทั้งนั้น เพราะเมื่อใดที่คนเราพบเจอกับ “ความตาย” นั่นหมายถึงว่า เราต้องสิ้นสุดการใช้ชีวิตบนโลกนี้ แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่กลัวความตายมากๆ เรามีข่าวดีมาฝาก นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาทดลองแล้วพบว่า หลังจากที่มนุษย์สิ้นสุดลมหายใจไปแล้วนั้น ระบบสมองของมนุษย์ยังทำงานต่อได้อีกราว “ห้านาที” ฉะนั้น มันจึงหมายถึงว่า คนตาย มีโอกาสถูกช่วยให้ฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ กลุ่มนักประสาทวิทยาได้เฝ้าสังเกตสัญญาณไฟฟ้าในสมองของคน 9 คน ในช่วงเวลาที่เขาตายลง พบว่าเซลล์ต่างๆ เองก็เริ่มตายลง เมื่อไม่มีการสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยง เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว พวกเขาจึงใช้พลังงานทดแทนเลือดเติมเข้าไป ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เซลล์และระบบต่างๆ ของร่างกายนั้นยังคงทำงานต่อได้ในระยะเวลาหนึ่งหลังหัวใจหยุดเต้น ผลคือมันทำให้เซลล์ประสาทมีพลังงานหล่อเลี้ยงอย่าเหลือล้น แต่หลังจากนั้นมันก็จะนิ่งเงียบและไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อย่างถาวร ซึ่งอาการนิ่งเงียบนี้ ถือเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต และทางกลุ่มผู้ทดลองเองก็พบว่ามันเป็นช่วงเดียวที่สามารถช่วยให้ผู้ตายฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีกครั้งได้ หัวหน้าผู้วิจัย Dr. Jens Dreier จาก วิทยาลัยการแพทย์ชาริเต้ กล่าวว่า “หลังจากที่ไม่มีเลือดหมุนเวียน มันจะเกิดการกลับขั้ว ซึ่งทำให้สูญเสียพลังงานเคมีไฟฟ้าในเซลสมองไป ทำให้เกิดภาวะเป็นพิษในร่างกาย จนกระทั่งตายในที่สุด แต่ที่สำคัญก็คือ มันสามารถย้อนกลับได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราให้พลังงานคืนแก่ร่างกายผู้ตายตอนไหน” สรุปก็คือ ขณะที่คนเราสิ้นชีวิตลง…
-
จากคำกล่าวของหมอ ว่าเค้าอาจจะไม่รอดจนถึงวันเกิดครั้งหน้า เลยลดน้ำหนักไปได้ 200 กิโลฯ
Stanley Hollar ชายที่เป็นโรคอ้วนและน้ำหนักเกิน เขาอ้วนชนิดที่ว่าเขาอาจจะไม่รอดถึงวันเกิดปีหน้าได้หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เนื่องจากเขามีภาวะเจ็บป่วยและข้อจำกัดทางการรักษามากมายรวมอยู่ในความอ้วนของเขา ทุกอย่างจึงพากันย่ำแย่ลง ขณะที่ชีวิตของเขากำลังมองเห็นจุดจบ ก็กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง เมื่อปี 2015 เขาเริ่มรู้ตัวว่าเขาต้องทำอะไรบางอย่างกับน้ำหนักตัวของเขา ย้อนกลับไปสมัยที่เขายังเป็นเด็กซึ่งแน่นอนว่า ไม่เคยมีช่วงไหนที่เขาผอมเลย สมัยที่เขาเป็นเด็กอนุบาล เขามีน้ำหนักถึง 45 กิโลกรัม Stanley กล่าวว่า “สมาชิกในครอบครัวส่วนมากก็ตัวใหญ่เหมือนผม การที่ผมมีน้ำหนักเกินนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก และผมก็ไม่รู้สึกอะไรกับมันด้วย” แต่ถึงกระนั้น ญาติของเขาก็เริ่มมองเห็นว่าการมีน้ำหนักเกินของ Stanley เริ่มไม่ปกติ “ครอบครัวผมเองก็เริ่มพูดบางอย่างเกี่ยวกับน้ำหนักของผม แต่ก็แค่คำพูด ผมชินชากับเสียงหนวกหูเหล่านั้นเสียแล้ว” Stanley กล่าว ปัญหาของเขายิ่งเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม เมื่อในปี 1996 Stanley ได้รับความบาดเจ็บสาหัสส่งผลให้เขาต้องตัดขาทิ้ง และต้องใช้เวลาเกือบ 20 ปี กว่าที่เขาจะรู้ตัวว่า เขาควรรักตัวเองได้แล้ว เพราะครั้งหนึ่งที่เขาไปหาแพทย์ แพทย์บอกกับเขาว่า เขาอาจจะไม่รอดชีวิตถึงวันเกิดปีหน้า คำพูดนี้ไม่ใช่แค่เสียงหนวกหู มันเป็นสิ่งเขาไม่สามารถมองข้ามได้ Stanley รู้ได้ทันทีว่าเขาต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตัวเอง ในเวลานั้น เขามีน้ำหนักตัวถึง 307 กิโลกรัม เขากล่าวว่า…
-
9 สัญญาณเตือนสุขภาพ จากอาการ ‘หูอื้ออึง’ เสียงในหูที่คุณไม่ควรปล่อยผ่านไป!!
ว่ากันว่าคนที่รู้เรื่องรางกายของเราดีที่สุดนั้นไม่ใช่คุณหมอหรือคุณแม่ แต่หากเป็นตัวเรานั้นเอง และบ่อยครั้งที่ร่างกายของเราก็มักจะส่งสัญญาณเตือนเวลาที่เราละเลยเรื่องสุขภาพมากเกินไป อย่างเช่นอาการปวดท้อง ปวดหัว หรือไอเรื้อรังนั่นเอง และนอกจากอาการข้างต้นแล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งสัญญาณเตือนจากร่างกายที่เรามักจะไม่ค่อยได้ใส่ใจกันอย่างเช่นอาการหูอื้อนั่นเอง อ่า… และเจ้าอาการที่ว่านี้จะบอกอะไรกับเรานอกจากเวลาขึ้นที่สูงบ้างนั้น ขอเชิญพบกับ!! 9 สัญญาณเตือนสุขภาพ จากอาการ ‘หูอื้ออึง’ ที่คุณไม่ควรปล่อยผ่าน 1. คุณฟังเพลงดังเกินไปหรือเปล่า!? แน่นอนว่าการเปิดเสียงเพลงดังๆ นั้นถือเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คุณหูอื้อ และนอกจากนี้ผู้ที่ต้องทำงานอยู่กับเสียงดังตลอดเวลาก็อาจจะมีอาการที่ว่านี้ด้วยก็ได้ ดังนั้นถ้าหากอยากหลีกเลี่ยงอาการเหล่านี้ล่ะก็ควรลดเสียงเพลงลงหน่อย ส่วนใครที่ต้องทำงานที่มีเสียงดังก็อย่าลืมหาเครื่องป้องกันมาใส่ไว้ล่ะ 2. ได้เวลาทำความสะอาดหูกันแล้วเพื่อนรัก บางครั้งอาการหูอื้อของคุณก็อาจจะเกิดจากการละเลยความสะอาดก็ได้ เพราะบางครั้งคราบไขมันที่อยู่ในหูก็อาจจะไปปิดกันทำให้คุณมีอาการหูอื้อได้นั่นเอง 3. หัวของคุณได้รับการกระทบกระเทือนรึเปล่า!? อาการหูอื้อถือเป็นหนึ่งในสาเหตุที่มาจากศีรษะถูกกระแทก นอกจากนี้อาการอื่นๆ ที่ทำให้คุณรู้สึกคลื่นไส้เวียนศีรษะ หรือทำงานที่มีความเสียงสูง ก็อาจจะทำให้มีอาการหูอื้อได้เช่นกัน 4. อาจจะไม่ค่อยเกี่ยวกัน แต่คุณควรไปพบหมอฟันนะ!! โรค Temporomandibular Joint หรืออาการผิดปรกติของขากรรไกร ซึ่งมีการเชื่อมต่อกับกะโหลกศีรษะของเราอาจจะทำให้การได้ยินของคุณมีความผิดปรกติได้เช่นกัน 5. ยาบางตัวอาจจะทำให้คุณเกิดอาการหูอื้อ ยาบางตัวนั้นก็อาจจะทำให้เกิดอาการหูอื้อได้เช่นกัน ดังนั้นถ้าหากว่าคุณไม่แน่ใจปริมาณการทานในแต่ละมื้อหรือผลข้างเคียงของยาล่ะก็ อย่าลืมถามคุณเภสัชกรคนสวยให้แน่ใจก่อนรับยากลับบ้านล่ะ 6. บางทีมันก็อาจจะเป็นความผิดปรกติของกระดูกในหู…
-
ภาพของระบบประสาทมนุษย์ จากร่างกายอายุเกือบ 100 ปี ใช้เวลาจำแนกกว่า 1,500 ชั่วโมง
ร่างกายของมนุษย์เราถือเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์เลยก็ว่าได้ เนื่องจากอวัยวะหลากหลายส่วนที่สามารถทำงานได้ด้วยระบบประสาท การเคลื่อนไหวของอวัยวะรวมไปถึงอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในมนุษย์ยังถูกเชื่อมโยงและสั่งการด้วยระบบประสาทที่แตกแขนงออกมาสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างซับซ้อน ด้วยการแตกแขนงที่ละเอียดและซับซ้อนของเส้นประสาท จึงไม่ง่ายเลยหากจะมีใครสักคนที่สามารถแยกเส้นประสาททั้งหมดออกจากร่างกายเรามาให้ได้เห็นหรือศึกษากัน แต่ราวๆ หนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา นักศึกษาแพทยศาสตร์ 2 คน L.P. Ramsdell และ M.A. Schalck ได้นำร่างกายศพจากปี 1925 มาผ่าตัดเพื่อจำแนกเส้นประสาททั้งระบบออกมา ทั้งคู่เริ่มการจำแนกจากส่วนสมองก่อนแล้วจึงไล่ลงมาตามร่างกายทีละส่วนเพื่อให้เส้นประสาทยังคงรวมอยู่ในระบบเดียวกัน กระบวนการทั้งหมดทั้งมวลเพื่อแยกระบบประสาทออกจากร่างกายมนุษย์ได้สำเร็จนั้น ใช้เวลาไปรวมแล้ว ราวๆ 1,500 ชั่วโมงเลยทีเดียว ระบบประสาทที่แยกออกมาเป็นเส้นประสาทที่สมบูรณ์ได้ถูกจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ Osteopathic Medicine ในเมืองเคิร์กสวิลล์รัฐมิสซูรี สำหรับร่างศพผู้ที่ถูกนำมาผ่าเพื่อจำแนกเส้นประสาทนั้นไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่ทาง Jason Haxton ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์นั้นกล่าวว่าน่าจะเป็นร่างของคนยากคนจนหรือไม่ก็นักโทษ Haxton ยังบอกอีกว่า ส่วนอื่นๆ ของร่างกายศพมีมูลค่า โดยเฉพาะระบบประสาทที่ถูกจัดแสดงอยู่นั้นมีมูลค่ามากถึงกว่า 31 ล้านบาทมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว เขาเล่าต่ออีกว่า “นักศึกษาแพทย์ที่มาเยี่ยมชมที่นี่ เมื่อมองไปยังระบบประสาทนี้แล้วยังถึงกับอึ้งกันเลยล่ะ พวกเขาต้องได้ทำข้อสอบเกี่ยวกับระบบประสาทแน่นอน แม้แต่คนที่คุ้นเคยกับการผ่าตัดจำแนกชิ้นส่วนยังต้องบอกว่านี่เป็นผลงานที่อัศจรรย์เลยทีเดียว” การทดลองผ่าตัดครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ Ramsdell และ Schalck ต้องผ่าเส้นประสาทที่แขนมนุษย์ในชั้นเรียน ผลงานของทั้งสองนั้นละเอียดและสมบูรณ์จนทั้งคู่ได้รับมอบหมายให้ผ่าร่างกายมนุษย์ทั้งร่าง Ramsdell และ Schalck…
-
ขึ้นเตียงปุ๊บง่วงเลย.. 10 วิธีที่จะช่วยทำให้คุณเข้านอนแล้วง่วงหลับเร็วกว่าคนอื่น
อาการนอนไม่หลับ หนึ่งในปัญหายอดฮิตสำหรับคนสมัยใหม่ บางครั้งอาจจะมีต้นตอมาจากความเครียดสะสมที่เราต้องเจอในทุกๆ วันนั่นเอง เจ้าอาการที่ว่านี้นอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพกายเราแล้ว มันก็ยังทำให้หลายๆ คนรู้สึกหงุดหงิดหรือเสียสุขภาพจิตอีกด้วยเช่นกัน และถ้าหากว่าคุณเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่กำลังเผชิญชะตากรรมแบบนี้ล่ะก็ ลองเอา 8 วิธีง่ายๆ ที่เรานำมาฝากในวันนี้ไปใช้ดูสิ ไม่แน่อาการนอนไม่หลับของคุณอาจจะดีขึ้นก็ได้!! 1. ลองเขียนสิ่งที่ต้องทำก่อนที่คุณจะนอนดูสิ!! จากการศึกษาล่าสุดที่ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร Journal of Experimental Psychology พบว่าการเขียนสิ่งที่ควรทำ 5 นาทีก่อนนอน จะทำให้เรานอนหลับได้เร็วขึ้น เนื่องจากมันช่วยคลายความกังวลให้ก่อนเข้านอนนั่นเอง 2. ลองหลับตาแล้วนึกภาพว่าคุณกำลังทำสิ่งที่มีความสุขมากที่สุด ข้อแนะนำดีๆ จากโค้ชทีมเบสบอล หลังจากที่พิชเชอร์ในทีมของเขาประสบปัญหานอนไม่หลับเป็นเวลานาน ซึ่งโค้ชคนดังกล่าวได้แนะนำให้เขาลองนึกภาพของการขว้างบอลที่ดีที่สุดก่อนนอน และนั่นก็ได้ผลดีไม่น้อยเลยทีเดียว 3. ท่องคำว่า “สีดำ สีดำ” ให้ขึ้นใจ คำแนะนำจากชาวเน็ตท่านหนึ่งที่ทำแล้วมันได้ผลดีไม่น้อยเลยทีเดียว เอ๊ารอช้าอยู่ใยลองกันเลย.. สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ อ่า..…
-
หนุ่มแต่งตัวเหมือนหมอ พร้อมหลอกทุกคนในโรงพยาบาลเพื่อที่จะตรวจภายในให้กับผู้หญิง
พวกเราหลายๆ คนอาจเคยมีความคิดที่ว่าอยากจะปลอมตัวเป็นคนคนหนึ่ง เพื่อหาโอกาสทำในสิ่งที่เราอยากจะทำ หรือประกอบอาชีพที่เราวาดฝันเอาไว้ ซึ่งชายหนุ่มคนหนึ่งในประเทศรัสเซียก็คงตั้งใจเอาไว้แบบนั้นเหมือนกัน เขาจึงทำเนียนปลอมตัวเป็นหมอหลอกคนทั้งโรงพยาบาลซะเลย ชายคนนี้มีชื่อว่า Anton Yarin ชายผู้ปลอมตัวเป็นหมอในโรงพยาบาล Pervouralsk city และสามารถทำให้ทุกคนเชื่อสนิทใจไปหลายวันเลยว่าเขาคือหมอประจำโรงพยาบาลแห่งนี้จริงๆ กล้องวงจรปิดจับภาพ Anton ชายผู้ปลอมตัวเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาล จากการรายงานข่าวของ UNILAD เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2018 เล่าว่า Anton สมัครงานเข้ามาในตำแหน่งช่างประปา ก่อนที่เขาจะสวมบทบาท แต่งชุดขาวออกไปหลอกคนไข้และหมอคนอื่นๆ ว่า เขาเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนรีแพทย์ การผ่าตัด และด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน สวมบทเป็นนรีแพทย์ก็คงทำให้หลายๆ คนเริ่มมองเห็นแล้วว่าจุดประสงค์เขาไปในทิศทางใด ซึ่งการปลอมตัวของเขาก็เป็นไปได้ด้วยดี เข้าตรวจคนไข้ราวกับเป็นหมอจริงๆ ซะอย่างนั้น ในคลิปเผยให้เห็นว่าเขากำลังเรียกเด็กสาวคนหนึ่งเข้าคิวรอรับการตรวจ ที่น่าตกใจก็คือ ในตอนแรกไม่มีใครผิดสังเกตเลยว่าเขาไม่ใช่หมอจริงๆ ส่วนหนึ่งต้องชื่นชมในความสามารถอันแนบเนียน อ้างว่าตัวเองเป็นแพทย์คนใหม่ที่จะเข้ามาประจำ และ Anton ก็เคยเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลแห่งนี้มาก่อน เขาจึงพอจำชื่อของแพทย์ทุกคนได้เป็นอย่างดี Nikolay Shaydurov หัวหน้าแพทย์ประจำโรงพยาบาล บอกว่า Anton เดินไปรอบโรงพยาบาลด้วยความมั่นใจ…
-
ชายวัย 34 ปิดหูปิดจมูกเพื่ออั้นจาม ส่งผลหนักถึงลำคอรั่ว ต้องนอนโรงพยาบาลนานถึง 2 สัปดาห์
ในยามที่เราอยู่ในพื้นที่สาธารณะที่ต้องการความเงียบสงบ เช่น ห้องสมุด โรงภาพยนตร์ หรือบนเครื่องบิน ก็ตาม ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีฝุ่นผงหรือสิ่งใดที่ทำให้เราต้อง “จาม” ออกมาจนก่อให้เกิดเสียงดัง หากคำนึงถึงมารยาทสาธารณะแล้ว หลายคนคงเลือกที่จะ “กลั้นจาม” เอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวนผู้อื่น แต่หารู้ไม่ว่าการกลั้นจามสามารถทำให้คุณถึงกับนอนโรงพยาบาลได้เลยทีเดียว ในวันจันทร์ ที่ 15 มกราคม 2018 ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก แห่งมหาวิทยาลัย Hospitals of Leicester NHS Trust ได้เผยกับ BMJ Case Reports ว่าผู้ป่วยชายอายุ 34 ปี รายหนึ่ง ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลังจากพบว่าเสียงของเขาผิดปกติ ในรายงานกล่าวว่า ผู้ป่วยใช้มืออุดจมูกและปากตนเองก่อนเกิดการ “จามอย่างรุนแรง” จากนั้นเขาจึงรู้สึกได้ว่าเหมือนมีบางอย่างในลำคอพองและแตก การวินิจฉัยในระยะแรกจึงพบว่า มีอากาศถูกกอัดฝังอยู่ที่เนื้อเยื่ออ่อนในลำคอเล็กน้อย เป็นอาการเดียวกับ ภาวะลมในช่องเยื่อหุ้มปอด หากพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือการจามของเขาทำให้คอเขาทะลุเป็นรูเล็กๆ นั่นเอง “ผู้ป่วยบอกว่าเขากลั้นจามเพราะไม่อยากจามออกมาใส่ผู้อื่นหรือแม้แต่ในอากาศ ดังนั้น หมายความว่าเขากลั้นจามมาตลอดราวๆ 30…
-
หมอจีนถูกสั่งสอบ กรณีขอเพิ่มค่ารักษาและบังคับจ่ายเพิ่ม ในระหว่างการทำผ่าตัด…
สื่อท้องถิ่นของจีนรายงานว่ามีศัลยแพทย์หญิงชาวจีนถูกสอบสวนหลังจากมีการกล่าวโทษว่า ขณะที่เธอกำลังทำการผ่าตัด เธอขอให้คนไข้จ่ายเงินเพิ่มสำหรับกระบวนการรักษาเพิ่มเติม คนไข้นามว่า Jiang Meng อายุ 20 ปี กำลังเข้ารับการตรวจปากมดลูกโดยแพทย์ของโรงพยายามบาลต้าเหลียน ซึ่งเป็นเมืองท่าในมณฑลเหลียวหนิงในประเทศจีน แพทย์แซ่ Wang ก็ได้แจ้งว่า Jiang นั้นจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน ขณะที่การผ่าตัดกำลังดำเนินไป แพทย์ท่านหนึ่งซึ่งไม่แน่ใจว่าใช่ Wang หรือไม่ ก็ได้อ้างว่า Jiang มีปัญหาทางการรักษาบางอย่าง และจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างด่วนที่สุด จากนั้นแพทย์คนดังกล่าวจึงนำแผ่นกระดาษพร้อมคิวอาร์โค้ดมาให้ Jiang เพื่อสแกนรับรองค่าใช้จ่าย และบอกว่าการรักษาเพิ่มเติมนี้จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ราวๆ 9 พันบาท เธอตอบตกลงแต่ขณะนั้นเธอมีเงินในบัญชีเพียง 3 พันบาทเธอจึงจ่ายส่วนต่างในภายหลัง เมื่อ Jiang ออกจากโรงพยาบาลมา เธอเกิดรู้สึกกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการรักษา เธอจึงเข้าไปสอบถามแพทย์อีกโรงพยาบาลหนึ่ง จึงได้คำตอบว่ากระบวนการรักษาที่เพิ่มเติมมานั้น “ไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด” จากนั้นเธอจึงเขียนเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอลงบนสื่อออนไลน์ Weibo จนกระทั่งเรื่องราวถูกส่งไปถึง คณะกรรมการสุขภาพและการวางแผนครอบครัว การสืบสวนเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาจึงเกิดขึ้น ขณะที่ยังไม่ทราบผลของการสืบสวน พนักงานคนหนึ่งในโรงพยาบาลที่ Jiang เข้ารับการรักษาจึงออกมากล่าวกับสื่อ New Culture Daily ว่า “เป็นเรื่องปกติที่ผู้ป่วยต้องสแกนคิวอาร์โค้ดสำหรับการรักษาต่างๆ ที่เกิดขึ้น” และยังบอกอีกว่า “มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นหลายอย่างระหว่างการผ่าตัด และเราก็ไม่สามารถปล่อยคนไข้กลับไปทั้งอย่างนั้นได้หรอก” ที่มา: Scmp
-
7 เรื่องราวเกี่ยวกับ ‘ฉี่’ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน แต่รู้ไว้ก็ดีนะเพราะมันเกี่ยวกับสุขภาพของคุณ!!
บางครั้งการตรวจสุขภาพร่างกายของเราก็สามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ ในห้องน้ำที่บ้าน อย่างที่หลายๆ คนพอจะทราบกันดีว่าเราสามารถตรวจสุขภาพของลำไส้หรือกระเพาะได้ง่ายๆ โดยสังเกตจากสภาพของ ‘ทองคำ’ ที่เบ่งออกมา และเมื่อไม่นานมานี้ทางเว็บไซต์ Bright Side ก็ได้แนะนำวิธีตรวจสอบร่างกายเราง่ายๆ จากปัสสาวะของเราพร้อมกับแนะนำวิธีดูแลตัวเองอีกด้วย จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นไปชมกันเลย!! เริ่มกันที่สีส้ม ปัสสาวะสีนี้อาจเป็นผลมาจากการทานยายาแก้อัก ยาระบาย การทำเคมีบำบัด การทานวิตามินบี 2 หรือการบริโภคพืชผักที่มีสารเบต้าแคโรทีนมากเกินไปนั่นเอง นอกจากนี้การดื่มน้ำน้อยก็อาจจะทำให้ปัสสาวะของคุณมีสีส้มถึงส้มเข้มได้อีกด้วย แต่สิ่งสำคัญอีกข้อหนึ่งนั่นก็คือลองเช็กดวงตาของคุณถ้าหากมีสีเหลืองด้วยล่ะก็นั่นอาจจะหมายความว่าตับของคุณเริ่มมีปัญหาแล้ว!! สีชมพูหรือสีแดงระเรื่อ แน่นอนว่าอะไรที่เป็นสีแดงๆ นั้นมักจะทำให้พวกเราใจคอไม่ดี แต่อย่าเพิ่งแตกตื่นกันเพื่อนรักบางครั้งสาเหตุของปัสสาวะสีแดงนั้นอาจจะมาจากอาหารอย่างบีทรูท พวกเบอรี่ต่าง หรือยาปฏิชีวนะอย่าง Rifadin หรือ Rimactane ที่คุณทานเข้าไปก็ได้ โดยมันจะกลับเป็นปรกติหลังจากนั้น 1 วัน แต่ถ้าหากว่าคุณไม่แน่ใจล่ะก็อาจจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดก็ได้ เพราะบางครั้งปัสสาวะสีนี้อาจจะหมายถึงอาการผิดปรกติของกระเพาะปัสสาวะ หรือไตได้เช่นกัน สีเขียวหรือสีน้ำเงิน นี่อาจจะเป็นสีที่พบเห็นได้ยาก ปัสสาวะสีนี้อาจจะมาจากการกินอาหารที่มีการย้อมสีหรือทานยาบางประเภทอย่างเช่น Amitriptyline, Indomethacin และ Propofol แต่ถ้าหากว่าคุณยังหาสาเหตุไม่พบล่ะก็ แนะนำว่าให้รีบไปพบแพทย์จะดีกว่าเพราะปัสสาวะสีนี้เป็นสีที่พบได้ยาก และมันอาจจะหมายความว่าโดนแบคทีเรียในกลุ่ม Pseudomonas เล่นงานเข้าให้แล้ว และนอกจากนี้คุณยังอาจจะเป็นนิ่วในไตอีกด้วย!! สีน้ำตาล ปัสสาวะสีน้ำตาลนั้นอาจจะส่งสัญญาณเตือนว่าตอนนี้ร่างกายของคุณกำลังขาดน้ำ หรือเป็นผลมาจากการทานผักอย่างรูบาร์บหรือพวกถั่วปากอ้าเข้าไปนั่นเอง แต่ถ้าหากว่าคุณไม่แน่ใจล่ะก็ลองปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูเพราะปัสสาวะสีนี้อาจบอกได้ว่าตับและไตของคุณกำลังมีปัญหานั่นเอง ปัสสาวะมีฟอง ฟองในปัสสาวะนั้นอาจจะเป็นเรื่องปรกติ แต่ถ้าหากว่ามันมากเกินผิดสังเกตุล่ะก็คุณควรไปพบแพทย์…
-
คุณหมอเขียน “ชื่อ” และ “หน้าที่” ของตัวเองบนหมวกคลุมผม เกิดกระแสเปลี่ยนแปลงในวงการแพทย์
เมื่อเราต้องทำงานร่วมกับคนจำนวนมากที่แทบไม่รู้จักกันเลย เวลาเราต้องประสานงานหรือว่าช่วยงานกัน จึงทำให้การเรียกหรือระบุตัวคนเป็นเรื่องยาก เพราะว่าเราคงไม่สามารถจำชื่อคนทุกคนในเวลาอันสั้นได้ จากปัญหาดังกล่าว ทำให้หมอคนหนึ่งในเมืองซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เกิดความคิดสุดประหลาดขึ้นมาว่า หากเขาเขียนชื่อและตำแหน่งงานของตนเองลงบนหมวกคลุมผม เวลาที่ทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงาน คนอื่นจะได้รู้ว่าเขาชื่ออะไร ทำงานส่วนไหน Dr. Rob Hackett คุณหมอ Rob Hackett เขามักจะมีปัญหาเวลาที่ต้องทำงานกับคนอื่นในห้องผ่าตัด เพราะหมอแทบทุกคนจะใส่หน้ากากอนามัย และหมวกคลุมผม จนแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร มีหน้าที่อะไรบ้าง ซึ่งเวลาที่หมอแต่ละคนต้องการให้คนช่วยงาน พวกเขาก็จะเสียเวลามานั่งคิดนั่งจำว่าหมอคนนั้นชื่ออะไร เป็นหมอเชี่ยวชาญด้านใด จนอาจทำให้การผ่าตัดล่าช้าโดยใช่เหตุ เขาบอกว่า “เมื่อคุณต้องทำงานในโรงพยาบาลหลายแห่ง ร่วมกับคนหลายร้อยคน ผมบอกเลยว่าผมไม่รู้เลยว่าคนกว่า 3 ใน 4 นั้นชื่ออะไรบ้าง และเวลาจะเรียกให้ช่วยงานกันก็จะรู้สึกกระอักกระอ่วนแปลกๆ” เขาเลยเขียนว่า “Rob วิสัญญีแพทย์” ลงบนหมวกคลุมผมของเขา ทีนี้แพทย์ทุกคนก็จะรู้แล้วว่าเขาทำหน้าที่อะไร และเรียกให้ช่วยงานได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลามาแยกว่าคนนั้นเป็นหมอด้านไหน หลังจากนั้นเพียง 6 เดือน ไม่น่าเชื่อว่าไอเดียนี้ของเขา กลายเป็นที่ยอมรับกันอย่างเป็นสากล และมีคนนำไปทำตามมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ในประเทศออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร…
-
หมอลูกครึ่งเอเชียถูกลงโทษภาคทัณฑ์ เพราะเปิดเผยเรื่องการโดนเหยียดหยามอย่างรุนแรง
ในประเทศสหรัฐอเมริกา การเหยียดเชื้อชาติยังคงมีให้เห็นอยู่บ้างและในบางครั้งมันก็รุนแรงเสียจนเกิดเป็นการกลั่นแกล้ง จนทำให้ชายหนุ่มที่ตกเป็นเหยื่อคนหนึ่งถึงกับรู้สึกไม่พอใจและยอมให้มีสิ่งนี้ต่อไปไม่ได้ เขาจึงนำเรื่องนี้ออกมาแชร์กับทุกคนและแสดงออกถึงการต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด ชายคนนี้ใช้ชื่อว่า Gu เป็นนายแพทย์เชื้อสายเอเชีย-อเมริกัน ที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัย Vanderbilt รัฐเทนเนสซี โดยเขาได้โพสต์ทวิตเตอร์เรื่องราวการถูกเหยียดเชื้อชาติภายในที่ทำงานของตัวเองเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2017 เขาต้องเจอกับการกลั่นแกล้งภายในที่ทำงาน เขาเล่าว่าครั้งหนึ่งเขาถูกหัวหน้าทำร้ายร่างกายด้วยการใช้ศอกกระแทกจนตัวกระเด็น ระหว่างที่กำลังช่วยคนไข้ พยาบาลที่ทำงานด้วยกันก็นำกล่องนมจากถังขยะ มาวางไว้บนโต๊ะของเขา ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ เพราะพวกเขาร่ำเรียนและฝึกฝนมาเพื่อช่วยคน แต่สิ่งเหล่านี้ขัดแย้งกับสิ่งที่พวกเขาปฏิญาณโดยตรง หลังจากที่เขานำเรื่องออกมาเผยแพร่ เขาก็ถูกโรงพยาบาลส่งจดหมายเตือนอย่างรุนแรง รวมทั้งกล่าวหาว่าเขากุเรื่องทั้งหมดขึ้นมาเอง และที่สำคัญ หัวหน้างานที่ทำร้ายร่างกายเขาก็ไม่ได้รับบทลงโทษใดๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เจอกับความไม่เป็นธรรมในลักษณะเดียวกันนี้ ในวันแรกที่เขาเข้ามาทำงานในโรงพยาบาลดังกล่าว ขณะที่กำลังจอดรถเขาก็ได้เจอกับคนที่เหมือนกับต้องการความช่วยเหลือ และเมื่อ Gu หวังดีลงรถไปช่วยกลับถูกเหยียดเชื้อชาติด้วยคำหยาบคาย จากนั้นชายคนดังกล่าวก็ยังตามมากระชากป้ายห้อยคอของเขา ก่อนที่จะค้นดูประวัติส่วนตัวและรายชื่อคนไข้ที่ Gu พกติดตัวมา เมื่อตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุหลังจากนั้นไม่นาน ชายที่ทำผิดก็เหมือนจะรอดไปได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่เขากลับไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างที่ควรจะได้รับ เขาบอกว่า “ผมรู้สึกเหมือนกับอยู่ในเกาหลีเหนือ พอพูดเรื่องความยุติธรรมก็กลับถูกลงโทษซะอย่างนั้น ผมเรียนจบและอยู่ในอันดับต้นๆ ของมหาวิทยาลัย Stanford และโรงเรียนแพทย์ Duke แต่ผมไม่เคยได้รับการช่วยเหลือใดๆ และต้องเจอกับคนในโรงพยาบาลที่ต้องการทำลายหน้าที่การงานของผม”…
-
แพทย์ถึงกับไปไม่เป็นหลังเห็นรอยสักว่า ‘อย่าช่วยชีวิต’ อยู่บนหน้าอกของผู้ป่วยที่ไม่ได้สติ
หมอมีหน้าที่ช่วยเหลือคนไข้ให้สามารถรอดชีวิตจากความตายมาได้ แต่แน่นอนว่าความต้องการของคนไข้เองก็เป็นส่วนสำคัญเพราะปัจจุบันได้มีกฎหมายที่คนไข้สามารถเลือกที่จะปล่อยให้ตัวเองตายก็ได้ แล้วถ้าคนไข้ไม่ได้พูดกับหมอตรงๆ แต่บอกผ่านรอยสักเหมือนชายคนนี้ล่ะ คุณหมอจะตัดสินใจช่วยเขาดีหรือไม่? สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยไมอามี่ สหรัฐอเมริกา เมื่อชายแก่วัย 70 ปีถูกพบในสภาพเมาหมดสติ ก่อนที่จะถูกนำตัวมาที่โรงพยาบาล แต่ในตอนที่หมอกำลังจะทำการช่วยชีวิตเขาอยู่นั้นเอง ก็ได้เจอกับรอยสักที่เขียนไว้ว่า “อย่าช่วยชีวิต” อยู่บนหน้าอกของเขา รอยสักบอกไว้ว่า “อย่าช่วยชีวิต” ความสับสนที่เกิดขึ้นนี้ได้ถูกนำเสนอผ่านเว็บไซต์ Daily Mail วันที่ 30 พฤศจิกายน 2017 นายแพทย์ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องช่วยกันตัดสินใจว่าพวกเขาควรทำตามความต้องการของคนไข้หรือควรทำตามหน้าที่ของตนเองกันแน่ นายแพทย์ Greg Holt หนึ่งในหมอผู้อยู่ในเหตุการณ์อธิบายว่าตามกฎหมายแล้ว คนไข้มีสิทธิ์เลือกให้ตัวเองได้ โดยที่หมอจะไม่ทำการช่วยชีวิตใดๆ เลยทั้งสิ้น ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะต้องทำการเซ็นแบบฟอร์มข้อตกลงของคนไข้และแพทย์เสียก่อน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่สามารถยืนยันได้ว่า รอยสักคือความต้องการของคนไข้จริงๆ หรือเป็นเพียงแค่การสักเล่นๆ ตอนวัยรุ่นกันแน่ จึงทำให้การตัดสินใจเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ เพราะนี่คือเรื่องของความเป็นตายของคนเลยทีเดียว จนกระทั่งนายแพทย์ Greg ตัดสินใจยื้อชีวิตของชายหนุ่มเอาไว้ โดยการควบคุมความดันเลือดที่สูงมากของคนไข้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ได้ใช้เครื่องช่วยหายใจเพราะยังคงไม่แน่ใจกับความต้องการที่แท้จริงของคนไข้ หลังจากนั้นกลุ่มผู้ให้การปรึกษาด้านจริยธรรมและทีมแพทย์จำนวนมากได้ประเมินสถานการณ์ทุกอย่างทั้งหมดแล้ว และพวกเขาก็ได้เลือกที่จะปล่อยให้ชายแก่คนนี้ตายไปในที่สุด ตามความต้องการที่อยู่บนรอยสัก นายแพทย์ Greg…
-
5 โรคประหลาด ที่อาจทำให้คุณกลายเป็น ‘ยอดมนุษย์’ เข้าทีม X-Men ได้เลย
บางครั้งความผิดปรกติของร่างกาย ก็อาจจะทำให้เราค้นพบความสามารถพิเศษของตัวเอง อย่างเช่นการห่อลิ้น หรือการที่คุณสามารถงอนิ้วโป้งได้มากถึง 180 องศา แต่ทว่านอกเหนือจากความสามารถพิเศษเหล่านี้แล้ว ในทางการแพทย์นั้นยังมีอาการแปลกๆ อีกมากมายที่จะทำให้เรากลายเป็นยอดมนุษย์ได้เลยทีเดียว อย่างเช่นอาการเหล่านี้… 1. มีความจำเป็นเลิศ สำหรับผู้ป่วยโรค Hyperthymesia นั้นจะสามารถ ที่จดจำรายละเอียดของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้เป็นอย่างดี โดยผู้ป่วยสามารถที่จะบอกรายละเอียดทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเขาที่ผ่านมาตั้งแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบันได้ทั้งหมด นอกจากนี้พวกเขายังสามารถจำข้อความทุกข้อความจากหนังสือที่อ่านมานานหลายปีได้อีกด้วย!! 2. ไร้ความรู้สึกเจ็บปวด โรคไร้ความรู้สึกเจ็บปวดนี้ทางการแพทย์เรียกว่า Congenital analgesia โดยผู้ที่ป่วยด้วยอาการนี้จะไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ ทางร่างกายเลย จากรายงานพบว่าชาวสวีเดนป่วยเป็นโรคที่ว่านี้มากถึง 40 รายเลยทีเดียว 3. เก่งในหลายๆ ด้าน โรค Savant syndrome นั้นเป็นหนึ่งในหนึ่งในความผิดปรกติของระบบประสาทที่พบได้ยากมากๆ โดยผู้ที่มีอาการดังกล่าวนั้นจะมีความสามารถในรอบๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นดนตรี การคิดเลข การวาดภาพ หรือแม้แต่การสร้างโมเดลสามมิติ คนเหล่านี้ก็สามารถทำได้ดีทุกอย่างเลยทีเดียว 4. ทนความเย็นได้ โรคประหลาดนี้เกิดขึ้นกับหนุ่มชาวดัตช์ผู้หนึ่งนามว่า Wim Hof โดยชายคนนี้สามารถเดินขึ้นยอดเขา Mont Blanc ในสภาพอากาศแสนหนาวเหน็บและเต็มไปด้วยน้ำแข็ง โดยที่ใส่เพียงแค่กางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียวเท่านั้น และที่สำคัญเขายังสามารถลงไปว่ายในน้ำแข็งและอยู่ในนั้นได้นานถึง 120 นาทีเลยอีกด้วย!! 5. ไม่กลัวอันตรายใดๆ โรค Urbach–Wiethe หนึ่งในลักษณะทางพันธุกรรมที่แปลกๆ…
-
เปิดประเด็นเดือด…เมื่อเจ้าหน้าที่เจอโน็ตแปะหน้ากระจกรถพยาบาลว่า “อย่ามาจอดขวาง”
กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันหนักมากๆ หลังจากที่มีการโพสต์ภาพรถพยาบาลที่ถูกชาวบ้านเอากระดาษมาแปะไว้ข้างหน้ารถว่า “รู้นะว่ามาช่วยคนเจ็บ แต่ช่วยอย่าจอดรถขวางทางตรูจะได้ไหม” ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2017 โดยเป็นภาพที่ทาง West Midlands Ambulance Service เป็นคนปล่อยออกมา โดยพวกเขาเล่าว่ามันเกิดขึ้นหลังจากที่ได้รับแจ้งให้ไปช่วยเหลือชายที่บาดเจ็บสาหัส แน่นอนว่าในจังหวะนั้นการจอดรถให้ถูกจุดมันเป็นเรื่องรองสำหรับพวกเขา การช่วยชีวิตต้องมาก่อน แต่ด้วยการจอดรถแบบเร่งรีบโดยไม่ได้แคร์อะไร เพื่อนบ้านของชายที่บาดเจ็บจึงมอบกระดาษโน็ตพร้อมคำพูดดังกล่าวไว้ให้กับทีมกู้ภัย ซึ่งเป็นใครอ่านแล้วก็ต้องรู้สึกแย่ เจ้าหน้าที่ได้ออกมาพูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวผ่าน Mirror Online ว่า “พวกเรารีบเดินทางไปช่วยชายคนหนึ่งที่อาเจียนออกมาเป็นเลือดไม่หยุด สภาพของเขาย่ำแย่มากๆ ขนาดที่ว่าพอไปถึงโรงพยาบาลต้องเข้าห้องไอซียูทันที แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ของเราพยายามจะจอดรถเพื่อไม่ให้เดือดร้อนใครมากที่สุด แต่บางครั้งก็เกรงว่าจะไม่ทันเวลา” อย่างไรก็ตามหลังจากเรื่องราวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่นั้นก็จะแสดงไปในทิศทางเดียวกันว่า เจ้าหน้าที่มาเพื่อช่วยเหลือทำไมเจ้าของกระดาษโน็ตถึงเห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้ หรือไม่ก็แนวๆ ว่า ถ้าคราวหน้าเจ้าของกระดาษโน็ตนี้ป่วยแล้วโทรแจ้งก็บอกเขาไปว่า ไปช่วยไม่ได้นะถนนมันโดนปิดอยู่… . แล้วเพื่อนๆ มีความคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้บ้าง ลองเข้ามาแชร์ความคิดเห็นกันดูสิ ที่มา ladbible
-
10 เรื่องจริงเกี่ยวกับ ‘การผ่าตัด & ศัลยกรรม’ จากยุคกลาง แหม๊… มันช่างน่ารักสดใสซะจริ๊งง!!
ถ้าพูดถึงการเข้ารับการผ่าตัด & ศัลยกรรมในสมัยนี้ หลายคนอาจจะไม่รู้สึกกลัว เพราะไหนจะมีทั้งยาชา ยาสลบ แถมยังมีกรรมวิธีอีกมากมายที่ช่วยให้อะไรๆ ก็เป็นไปได้ง่ายขึ้น แต่คราวนี้เราจะพาไปรู้จักกับ 10 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการผ่าตัดทางการแพทย์ในสมัยยุคกลาง ซึ่งเป็นยุคสมัยที่เทคโนโลยีทางการแพทย์ยังไม่ก้าวหน้ามากนัก และการจะรักษาโรคแต่ละอย่างมันก็ช่างแหม๊… ดูน่าลิ้มลองซะจริง!! 1. การผ่าตัดในยุคกลางมีแต่ความเจ็บปวด เจ็บปวด และเจ็บปวด ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าการผ่าตัดในยุคกลางนั้นเป็นเรื่องที่ทารุนแบบสุด (ถึงขั้นที่คุณอาจเสียชีวิตจากความเจ็บปวดได้เลย) ไม่ว่าจะสาเหตุมาจากความรู้ความเข้าใจในเรื่องกายวิภาคของมนุษย์ที่ยังไม่มากพอ หรือจะเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ต่างๆ ที่ยังไม่เอื้ออำนวย ที่สำคัญ ในสมัยนั้นผู้ที่รับหน้าที่เป็นหมอส่วนใหญ่แล้วจะมาจากอาชีพบาทหลวงมาก่อน และส่วนใหญ่จะใช้ตำราการแพทย์จากฝั่งอาหรับเป็นหลัก จนกระทั่งในปี 1215 พระสันตปาปาได้ประกาศให้บาทหลวงห้ามยุ่งเกี่ยวกับการแพทย์ และเปิดโอกาสให้เป็นพื้นที่ของคนที่ตั้งใจศึกษาด้านนี้จริงๆ แต่ถึงกระนั้นการผ่าตัดก็ยังไม่ใช่เรื่องทั่วไปเหมือนสมัยนี้อยู่ดี 2. ยาชา/ยาสลบ ในยุคกลางจะใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘Dwale’ ชีวิตของผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดในยุคกลางค่อนข้างจะแขวนอยู่บนเส้นด้าย ในสมัยนั้นมีการใช้ยาชาที่เรียกว่า ‘Dwale’ ซึ่งเกิดจากการผสมสารต่างๆ ที่สกัดได้จากธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน แต่ก็ใช่ว่าการผ่าตัดจะเป็นไปอย่างเรียบง่าย เพราะเจ้า Dwale นี่แหละ บางทีก็สร้างปัญหาให้ตัวหมอเอง เนื่องจากบางครั้งมันก็แรงมากซะจนทำให้ผู้ป่วยหลับสนิทจนไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย… 3. วิธีการรักษาต้อกระจกสุดโหด…!! หากใครเป็นโรคต้อกระจกในช่วงยุคกลาง…
-
คุณหมอโต้คนไข้รุนแรง ‘ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้’ เพราะคนไข้ทนรอคิวที่นานเป็นชั่วโมงไม่ไหว
ความไม่พอใจของคนสองคนสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายสถานการณ์และบางครั้งมันอาจบานปลายจนถึงกับแสดงความก้าวร้าวออกมา เมื่อ Jessica Stipe ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในคลินิก Gainesville After Hours เธอรู้สึกไม่สบายหนักกว่าเดิมเพราะต้องรออยู่เป็นเวลานานจนทำให้เธอเลือกที่จะขอค่าใช้จ่ายที่เสียไปคืน สิ่งนั้นจึงทำให้นายแพทย์ Peter Gallogly รู้สึกไม่พอใจและออกมาต่อว่ารวมถึงไล่เธอออกไปด้วยว่า “ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!!” คลิปคุณหมอไล่คนไข้ให้ออกไป เรื่องราวนี้เกิดขึ้นที่คลินิก Gainesville After Hours เมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา เธอบอกว่าตอนแรกคุณหมอรายนี้นัดเธอไว้ตอน 18.30 แต่เมื่อถึงเวลา 19.45 เธอก็ยังคงไม่ได้รับการตรวจรักษาใดๆ จนทำให้เธอรู้สึกป่วยหนักกว่าเดิม และในตอนที่เธอขอกำลังขอเงินค่ารักษาคืนคุณหมอหนุ่มคนนี้ก็ออกมาบอกเธอว่า “พวกผมกำลังตรวจตัวอย่างปัสสาวะของคุณอยู่รู้บ้างมั้ย” . เธอจึงอธิบายว่าเธอไม่รู้ว่ามันต้องรอนานขนาดไหน ก่อนที่เขาจะตะคอกถามเธอว่า “นี่คุณต้องการเข้าพบหมอหรือไม่” จึงตอบกลับไปว่าเธอต้องการที่จะกลับไปนอนอยู่บนเตียงที่บ้านแล้ว เขาจึงตะคอกกลับมาอีกว่า “โอเค งั้นก็หยิบเงินของคุณและไสหัวออกไปได้แล้ว” และย้ำอย่างรุนแรงกว่าเดิมว่า “ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!!” ระหว่างที่กำลังจะออกไปจากคลินิกลูกสาวของเธอที่ถ่ายคลิปเหตุการณ์เอาไว้ชี้กล้องไปที่คุณหมอคนนั้นและถามว่าเขาชื่ออะไร เขาเลือกที่จะไม่ตอบและกระชากเอามือถือที่ถ่ายอยู่ไป ถึงอย่างไรคลิปที่ถ่ายไว้ก็ได้ถูกโพสต์ลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัวของเธอจนเกิดเป็นกระแสและมีการแชร์ออกไปมากถึง 2,300 ครั้ง ลูกสาวของเธอบอกเอาไว้ในโพสต์ว่า “ฉันไม่ต้องการให้มีพฤติกรรมแบบนี้เกิดขึ้นอีก” นอกจากนั้นตำรวจในเมือง Gainesville…
-
ชายหนุ่มผู้คลั่งไคล้โลกแฟนตาซี ยอมสละเงินส่วนตัวเพื่อให้ตัวเองกลายเป็น “เอลฟ์”
เราอาจได้เห็นภาพตามปกนิตยสารต่างๆ นานาที่แสดงให้เห็นถึงความเพอร์เฟกต์และกลายเป็นแรงขับให้กับใครหลายคนในการพยายามเหมือนกับเหล่าไอดอลให้มากที่สุด สำหรับโลกแห่งจินตนาการ ความแฟนตาซีเองก็เช่นกัน คงไม่มีใครที่จะมาห้ามไม่ให้คนอื่นลงมือทำตามความฝันของตัวเองได้ เหมือนอย่างชายคนนี้ . ชายหนุ่มวัย 25 ปีชื่อว่า Luis Padron จากอาร์เจนตินา ผู้มีแรงบันดาลใจมาจากการหลงใหลในเรื่องราวนิยายแฟนตาซี และได้รับแรงผลักดันจากการถูกรังแกในวัยเด็กเพราะเรื่องดังกล่าวจึงทำให้เขาต้องการแสดงออกมาให้เห็นถึงความคลั่งไคล้ผ่านการศัลยกรรมให้มีความเหมือนเอลฟ์ ภูติแฟนตาซี มากที่สุด . เขาตัดสินใจที่จะทำมันโดยไม่คำนึงถึงเรื่องใดเลย เพื่อให้เป็นไปตามที่เขาวาดฝันเอาไว้ โดยชุดแรกของการทำศัลยกรรมของเขาก็คือการฉีดโบท็อกซ์กราม และแก้มให้ผอมลง ต่อมาคือการทำให้ผิวมีความสว่างมากๆ การลบไฝทั่วร่างกาย และรวมถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงสีม่านตา แต่ราคาไม่ใช่ถูกๆ เลยสำหรับหนุ่มวัย 25 ปี กับราคาที่เขาจะต้องจ่ายมากกว่า 160,000 บาท ในระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นเขาก็ยังคงยอมรับว่ามันคุ้มค่าแล้ว “ผมอยากเป็นเอลฟ์ เทวดา ความเป็นแฟนตาซี เป้าหมายของผมไม่ได้อยากจะดูเหมือนคน อยากที่จะดูงดงาม ผมมีความงามที่เป็นแบบอย่างอยู่แล้วและต้องการจะเหมือนให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยไม่สนใจว่าจะต้องจ่ายไปซักเท่าไหร่” เขากล่าว ก่อนหน้านี้ก็ได้มีหญิงสาววัย 24 ปีที่มีชื่อว่า Jennifer Pamplona…
-
นักวิทย์สร้าง “หัวใจเทียม” จากเครื่องปริ้นท์ 3 มิติ อีกขั้นของความก้าวหน้าทางการแพทย์…
นับวันเทคโนโลยีต่างๆ ในโลกล้วนแต่มีการพัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้นไปมากขึ้น และหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างมากและอาจมีผลต่อการเปลี่ยนโฉมโลกนั่นก็คือ “เครื่องพิมพ์สามมิติ“ นั่นเอง เมื่อไม่นานมานี้ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับผู้ป่วย เมื่อมีผู้ที่สามารถผลิตหัวใจเทียมจากเครื่องพิมพ์สามิติที่ว่านี้ได้สำเร็จ โดยทางผู้ผลิตหวังว่าหัวใจเทียมที่ปริ้นออกมาจากเครื่องพิมพ์สามมิตินั้นจะสามารถช่วยชีวิตผู้คนอื่นๆ ได้อีกมากมาย ภาพต้นแบบของหัวใจเทียมก่อนที่จะถูกปริ้นท์ออกมาด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ทีมวิจัยจาก ETH Zurich ได้คิดค้นและออกแบบหัวใจซิลิโคนนี้ออกมา โดยพวกเขาระบุว่าอวัยวะเทียมที่ผลิตออกมานี้มีความยืดหยุ่นและสามารถเต้นได้เหมือนกับหัวใจจริงๆ ในอนาคตพวกเขาหวังว่าจะใช้หัวใจเทียมนี้ กับผู้ป่วยที่กำลังรอการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อหัวใจ เพราะว่าโครงสร้างของซิลิโคนนี้จะไม่เกิดการต่อต้านจากร่างกาย ซึ่งต่างจากหัวใจเทียมแบบเหล็กและพลาสติกที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังจากการผ่าตัดได้ และนี่คือหัวใจเทียมซิลิโคนที่ปริ้นท์ออกมาจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ทางทีมวิจัยกล่าวว่า “หัวใจเทียมที่เราผลิตมานี้มีขนาดที่ใกล้เคียงกับหัวใจของผู้ป่วย และสามารถเลียนแบบการทำงานได้ใกล้เคียงกับของจริงมากๆ “ นอกจากนี้ภายในของหัวใจเทียวดังกล่าวยังมีรายละเอียดที่เหมือนกับหัวใจจริงๆ ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นห้องหัวใจด้านซ้ายและขวา พร้อมกับระบบสูบฉีดเลือดด้วย ในการทดสอบการทำงานของหัวใจเทียมนี้ ทางผู้คิดค้นได้ทดสอบการเต้นของมันและพบว่ามันสามารถเต้นได้นานกว่า 3,000 ครั้งซึ่งสามารถยื้อชีวิตผู้ป่วยได้ประมาณ 30-45 นาที ซึ่งในจุดนี้อาจจะต้องมีการคัดเลือกวัตถุดิบสำหรับการผลิตให้หัวใจเทียมนี้สามารถใช้งานได้นานขึ้น ตอนนี้หัวใจเทียมกำลังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาและยังไม่พร้อมที่จะนำไปใช้กับผู้ป่วยจริงๆ ทางทีมวิจัยได้ออกมาเปิดเผยว่าในอนาคตอันใกล้นี้ อีกไม่นานพวกเราอาจมีโอกาสได้เห็นหัวใจซิลิโคนนี้แน่นอน และพวกเขาก็หวังว่ามันจะสามารถพัฒนาต่อจนใช้แทนหัวใจจริงได้อย่างใกล้เคียงหรือสมบูรณ์แบบมากที่สุดในอนาคต… ไปชมขั้นตอนผลิตและการทดลอบหัวใจซิลิโคนได้ที่คลิปวิดีโอด้านล่างนี้เลย วิทยาศาสตร์การแพทย์นี่ก้าวหน้าไปไกลมากเลยนะเนี่ย สุดยอดจริงๆ ที่มา engadget
-
ชายหนุ่มรอดตายอย่างเหลือเชื่อ หลังจากที่ “หัวใจหยุดเต้น” ไปนานกว่าครึ่งชั่วโมง
เรื่องราวปาฏิหาริย์ของชายหนุ่มจาก North Carolina ที่กลับมามีชีวิตใหม่อีกครัง หลังจากที่หัวใจหยุดเต้นไปนานถึง 30 นาที เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา ในระหว่างที่คุณ John Ogburn วัย 36 ปี กำลังนั่งทำงานของเขาและจู่ๆ ก็เกิดอาการหมดสติไประหว่างนั้น แต่ชายหนุ่มกลับรอดมาได้เพราะความพยายามของเจ้าหน้าที่ “ถ้าพวกเขาไม่สามารถช่วยผมไว้ได้ทันเวลา ผมคงต้องจากโลกนี้ไปแล้วแน่ๆ” คุณ Ogburn กล่าว คุณพ่อวัย 36 ปีจำเหตุการณ์รอดชีวิตแบบปาฏิหาริย์ของเขาไม่ได้ แต่หนึ่งในพนักงานของร้าน Panera นาง April Bradley เห็นคุณ Ogburn ล้มลงไปกับพื้นในระหว่างที่กำลังทำงาน จากนั้นเธอจึงตัดสินใจโทรแจ้ง 911 หญิงสาวผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า “วันนั้นสีหน้าของเขาแย่มาก หน้าของเขาเป็นสีม่วงเข้ม มันดูน่ากลัวมากๆ ” จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาถึงที่เกิดเหตุ และเป็นโชคดีของคุณ John ที่หนึ่งในเจ้าหน้าที่เคยฝึกการปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาก่อน เจ้าหน้าที่ Guiler ได้เริ่มปั๊มหัวใจให้กับชายหนุ่มในระหว่างที่รอแพทย์ แต่หลังจากผ่านไป 20 นาที อาการของผู้ป่วยก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น หลังจากที่หลายๆ คนพยายามช่วยชีวิตเขาอยู่นานและทำ CPR มากกว่า 200 ครั้ง…
-
มีอะไรค่อยๆ พูดกันก็ได้!? คู่รักศัลยแพทย์ชาวจีนทะเลาะกัน จนถึงขั้นวางมวยคาห้องผ่าตัด
เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมาเว็บไซต์ Daily Mail ของประเทศอังกฤษได้เผยเรื่องราวสุดช็อคที่เกิดขึ้นในห้องผ่าตัดของประเทศจีน เป็นเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกไว้โดยกล้องวงจรปิด เจ้าหน้าที่ในห้องผ่าตัดเกิดทะเลาะเบาะแว้งจนถึงขั้นสาวหมัดใส่กันเลยทีเดียว เหตุการณ์เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลในเขต Lankao County มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน พยานผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่าทั้งสองคนนี้เป็นคู่รักกัน ขณะที่กำลังเตรียมการผ่าตัดทางฝ่ายหญิงไม่เห็นด้วยกับแผนหรือวิธีการของฝ่ายสามี จึงกลายมาเป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน คลิปวิดีโอดังกล่าวได้รับความสนใจจากชาวเน็ตจีนมากมายจนมีคนเข้าชมมากกว่า 4 ล้านครั้งเลยทีเดียว ลองไปชมคลิปเหตุการณ์กันแบบเต็มๆ ที่ข้างล่างนี้ได้เลยจ้า… จากคลิปเราจะเห็นได้ว่าพยาบาลได้มีการพูดหรือบ่นอะไรซักอย่าง ก่อนที่นายแพทย์จะไม่พอใจและโยนเครื่องมือใส่อีกฝ่ายกลายเป็นการจุดชนวนการทะเลาะ ฝ่ายหญิงเริ่มลงมือต่อยใส่ฝ่ายสามีก่อน จากนั้นสามีก็สาวหมัดใส่ใบหน้าของเธอแบบไม่ยั้ง ก่อนที่เพื่อนร่วมงานที่อยู่ในห้องอีกสองคนจะเดินเข้ามาห้ามจึงทำให้เหตุการณ์ยุติลง โชคดีที่อาการบาดเจ็บของพยาบาลสาวนั้นไม่ถึงกับอันตรายมากนัก และก็ยังไม่มีการแถลงจากโรงพยาบาลถึงการลงโทษเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ แต่ก็นะเรื่องชีวิตคู่มันก็แบบนี้แหละ มีกระทบกรทั่งกันบ้างเป็นบางเวลา แต่ก็เลือกเวลาและสถานที่กันหน่อยเท้อออออ!! ที่มา : dailymail
-
สามีชาวซาอุฯ ฉุนจัด ก่อเหตุยิง ‘หมอทำคลอด’ ของภรรยาตัวเอง เพียงเพราะหมอเป็นผู้ชาย!?
กลายเป็นเรื่องที่คาดฝันเกิดขึ้นเลยล่ะ เพราะตามปกติแล้วหมอทำคลอดนั้นเราไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เป็นเพศใดก็ได้ เพียงแค่เป็นคุณหมอที่มีความสามารถในการทำคลอดให้ทั้งแม่และลูกปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่โรงพยาบาล King Fahad Medical City เมืองริยาด ประเทศอุดิอาระเบีย หลังจากที่คุณหมอ Muhannad Al-Zabn ช่วยทำคลอดให้กับภรรยาของคุณพ่อมือใหม่ได้สำเร็จในเดือนเมษายนที่ผ่าน ทางคุณพ่อมือใหม่ก็ทำทีว่าอยากจะพบกับคุณหมอเพื่อทำการขอบคุณ โดยนัดพบกันในสวนหย่อมของโรงพยาบาล เมื่อเจอหน้ากันเขากลับควักปืนยิงคุณหมอแทน หลังเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญ คุณหมอ Muhannad Al-Zabn ถูกนำส่งเข้าห้องฉุกเฉินเพื่อรับการเป็นการด่วน โชคดีที่เขานั้นรอดพ้นขีดอันตรายแล้ว ส่วนชายคนดังกล่าวพยายามหลบหนีการจับกุมหลังก่อเหตุ แต่สุดท้ายก็ไม่รอดพ้นจากฝีมือของตำรวจซาอุดิอาระเบียไปได้ สำหรับแรงจูงใจก่อเหตุนั้น พอสอบสวนไปๆมาๆ ก็สารภาพว่าเป็นเพราะว่ารู้สึกไม่พอใจกับการที่ให้หมอผู้ชายมาทำคลอด เห็นคู่สมรสของตัวเองในสภาพเปลือย ควรที่จะให้หมอผู้หญิงมาทำหน้าที่นี้มากกว่า!! #เหมียวเลเซอร์ นี่เงิบไปเลยทีเดียว ที่มา : gulfnews, dailymail, newsweek, metro
-
ชมคลิปแกล้งคนแบบคอมโบ ใน “สถานการณ์ช่วยชีวิต” กะไม่ให้หยุดขำเลยใช่มั้ย!!
นับวันคลิปแกล้งคนมันเยอะขึ้นเรื่อยๆ พล็อตมันก็ซ้ำๆ เต็มไปหมดจนคิดว่าเราคงตายด้านกับคลิปแกล้งคนไปซะแล้ว จนกระทั่ง #เหมียวสามสี ได้มาพบกับคลิปอันนี้ คลิปนี้จัดทำโดย Rémi GAILLARD ยูทูบเบอร์จอมแกล้งคนที่ทำคลิปออกมาได้แหวกแนวไม่เหมือนใคร แต่ละคลิปนั้นมีคนดูมากกว่า 1 ล้านคน อีกอย่างคือทำดีมากๆ เอกลักษณ์ของเขาก็คือการสร้างสถานการณ์ให้คนมึนกันแบบที่ EPIC มากๆ และครั้งนี้ก็มาพร้อมกับสถานการณ์ฉุกเฉินของเหล่าแพทย์และผู้ป่วย รับรองว่าดูแล้วต้องฮากันแบบรัวๆ แน่นอพร้อมแล้วก็ไปชมกันเลย อันนี้ไม่ใช่ครั้งแรกนะ มีอีกคลิป อันนี้เป็นการแกล้งคนที่เอาสัตว์เลี้ยงไปรักษาหรืออะไรนี่แหละ พอเปิดเข้าไป ทุกอย่างจัดฉากแบบอลังการมาก คนใส่ชุดสัตว์ แล้วข้างในก็ขังคนไว้ ถ้าคุณต้องการคลิปการคนที่มีคุณภาพและสร้างสรรค์ แนะนำที่ช่อง Rémi GAILLARD เลย ที่มา Rémi GAILLARD
-
ชมบททดสอบสุดโหดของแพทย์ผ่าตัดญี่ปุ่น “พับกระดาษจิ๋ว/ต่อแมลง/ซูชิข้าวเม็ดเดียว”
การจะเป็นแพทย์ได้นั้นมันไม่ง่ายเลย เพราะคุณต้องทำการสอบเข้าซึ่งข้อสอบมันก็มหาโหดอยู่แล้ว ดังนั้นต้องเป็นคนที่หัวดีจริงๆ ถึงจะสามารถเข้าเรียนสายนี้ได้ แต่ถ้าจะไปเป็นแพทย์ที่ญี่ปุ่นขอบอกเลยว่าโหดกว่ามาก โดยเฉพาะแพทย์ผ่าตัด เมื่อโรงพยาบาล KURASHIKI CENTRAL HOSPITAL ของประเทศญี่ปุ่นได้ทำการเผยคลิปบททดสอบสุดโหดของนักศึกษาแพทย์ที่ต้องได้รับ เพื่อทดสอบความนิ่งของมือ ซึ่งแต่ละอันมันเกินบรรยายมากๆ ภารกิจที่ 1 พับนกด้วยกระดาษขนาด 5*5 มิลลิเมตร ภารกิจที่ 2 ประกอบร่างแมลง ภารกิจที่ 3 ทำซูชิโดยใช้ข้าวเพียงเม็ดเดียว ฟังแค่นี้ก็ตะลึงแล้วใช่ไหมล่ะ เราไปชมการทดสอบในคลิปนี้กันเลย บอกเลยว่าญี่ปุ่นนี่เวลาเขาจะทำอะไรจริงจัง มันก็จริงจังมากๆ ได้อารมณ์เหมือนดูทีวีแชมเปี้ยนอยู่เลยเนอะ ที่มา 倉敷中央病院医師教育研修部
-
ลิงบาบูนต่อลมหายใจได้เพราะด้วย ‘หัวใจหมู’ และในอนาคตข้างหน้าอาจจะนำมาใช้กับมนุษย์
เมื่อหลายปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองการปลูกถ่ายอวัยวะส่วนที่สำคัญที่สุดให้กับลิงบาบูน โดยอวัยวะนั้นไม่ใช่เครื่องจักร และไม่ได้มาจากลิงบาบูนด้วยกันเอง เพราะมันคือหัวใจของหมูที่ไปทำหน้าที่เป็นหัวใจให้ลิงบาบูนแทน แม้ฟังดูแล้วอาจจะเป็นสิ่งที่ผิดและเลวร้ายไปหน่อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นลิงบาบูนสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้มากกว่า 2 ปีแล้ว โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้นเลย ซึ่งทำให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะนำมาใช้รักษาชีวิตมนุษย์ผู้ที่ต้องการปลูกถ่ายอวัยวะทดแทนจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น Dr. Muhammad M. Mohiuddin หัวหน้าทีมผ่าตัดจากสถาบันหัวใจ ปอด และเลือดแห่งชาติ ในเมือง Bethesda รัฐ Maryland กล่าวว่าเป็นหนึ่งในโครงการที่ยากที่จะประสบความสำเร็จ แต่ก็สามารถทำได้จริงอย่างน่าเหลือเชื่อ หัวใจหมูมีขนาดเทียบเท่ากับขนาดของหัวใจมนุษย์ สิ่งที่เป็นอุปสรรคและน่าเป็นห่วงที่สุดของการปลูกถ่ายอวัยวะจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นนั่นก็คือการยอมรับอวัยวะภายนอกของร่างกายที่ถูกปลูกถ่าย ถ้าหากว่าร่างกายเกิดอาการปฏิเสธขึ้นมา ระบบภูมิคุ้มกันก็จะต่อต้านอย่างรุนแรง ซึ่งจะต้องมีการดัดแปลงพันธุกรรมอวัยวะให้เข้ากับร่างกายที่ต้องปลูกถ่ายเสียก่อน อย่างไรก็ตาม หัวใจของลิงบาบูนที่ถูกผ่าออกมานั้นถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี เพื่อเป็นการป้องกันกรณีที่การปลูกถ่ายหัวใจหมูเกิดล้มเหลว โดยสรุปแล้วการปลูกถ่ายอวัยวะจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นสามารถทำได้จริง และน่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่ต้องการปลูกถ่ายอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตตนเองต่อไป ที่มา : sciencemag, nature, techinsider
-
เอาใจคนซาดิสม์ล้วนๆ!! ชมคลิปหมอคีบ “โคตะระสิวหัวดำ” ให้คุณยายวัย 85 ที่หลงคิดว่ามันคือไฝมาตลอด
[เนื้อหาต่อไปนี้ไม่เหมาะกับคนขวัญอ่อนหรือกินข้าวอยู่] หากเพื่อนๆ คนไหน ที่ชอบความซาดิสม์ ชอบคีบสิวให้เพื่อน หรือชอบความฟินเวลาที่ได้ชมคลิปคีบสิวต่างๆ #เหมียวฟิ้นว่าคุณจะต้องชอบเรื่องราวของคุณยายคนนี้แน่ๆ เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์คลิปวิดีโอของคุณยายวัย 85 ปีคนหนึ่ง ผ่านช่องยูทูบของคุณหมอ Dr. Sandra Lee เป็นคลิปในขณะที่คุณยายกำลังนั่งให้หมอคีบสิวหัวดำออกจากบริเวณท้ายทอย ตามรายงานบอกว่าคุณยายมีจุดสีดำที่บริเวณท้ายทอยมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ตัวเองคิดว่ามันคงจะเป็นเพียงไฝธรรมดาๆ เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร จนเวลาล่วงเลยมาหลายสิบปี มันก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนลูกสาวของเธอต้องพาไปหาหมอ ซึ่งเมื่อให้ดร. Sandra ช่วยดู เธอก็อธิบายว่ามันคือ “สิวหัวดำ” นั่นเอง เธอจึงตัดสินใจจะผ่าตัดมันออก และเมื่อเธอสามารถดึงเจ้าสิวหัวดำออกมาได้แล้ว ก็ทำให้เกิดรูขนาดกว้างที่ที่ท้ายทอยของเธอ แม้ว่าจะเอามันออกไปแล้วก็ตาม แต่คุณหมอก็บอกว่ามันอาจจะกลับมาอีกในอนาคตก็เป็นได้ จึงต้องทำการเย็บเพื่อปิดรูดังกล่าวซะ ชมคลิปเต็มๆ (เพื่อความสะใจ) ได้ที่ด้านล่างเลย อื้อหืออออ เห็นแล้วหมั่นเคี้ยวจริงๆ อยากคีบด้วยตัวเองมาก ที่มา Dr. Sandra…
-
ประกาศหาแพทย์ฝึกหัดรายได้ดีปีละเกือบ 10 ล้านบาท มีวันหยุดให้อีก 3 เดือน แต่ไม่มีใครที่คู่ควร!?
งานสบาย รายได้ดี มักจะมีผู้คนให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ ถ้าหากว่าคุณได้ยินว่ามีการรับสมัครตำแหน่งแพทย์ฝึกหัดส่วนศัลยกรรม รายได้ต่อปี 400,000 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (ประมาณ 9.6 ล้านบาท) มีส่วนแบ่งเพิ่มให้อีกจากการทำเคส มีวันหยุดประจำปีให้ 3 เดือนเต็มๆ แถมด้วยไม่มีการเรียกมาทำงานช่วงกลางคืนหรือช่วงวันหยุดอีกด้วย ฟังๆ ดูแล้วนี่ตาลุกวาวขึ้นมาทันที!! Dr. Alan Kenny อย่างไรก็ตาม การประกาศหาผู้ที่จะเข้ามารับงานในตำแหน่งนี้ ผ่านมาได้ถึง 2 ปีกว่าแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถหาผู้ที่เหมาะสมมาได้ซักที จนถึงขั้นที่ Dr. Alan Kenny แพทย์ผู้ประกาศรับสมัครงานจากคลินิกศัลยกรรมในเมือง Tokoroa, South Waikato ประเทศนิวซีแลนด์ ยอมรับว่าถอดใจที่จะตามหาแล้ว Tokoroa, South Waikato เหตุที่ต้องจ้างด้วยเงินเดือนสูงกว่าเรททั่วไปในนิวซีแลนด์ พร้อมสวัสดิการดีเยี่ยมขนาดนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่าในหนึ่งปีจะมีผู้ป่วยที่เข้ามาภายในคลินิกมากกว่า 6,000 ราย จึงจำเป็นที่จะต้องรับคนเพิ่ม และพร้อมที่จะจ่ายค่าเหนื่อยให้อย่างงาม แต่มันดันไม่ประสบความสำเร็จตรงที่ไม่มีใครซักคนเดียวที่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการ Dr. Alan…
-
ถึงที่สุดแล้ว ทันตแพทย์เผด็จเปิดบัญชีระดมเงิน เตรียมฟ้องอดีตอาจารย์สาวหนีทุน!!
กลายเป็นข่าวโด่งดังและเป็นประเด็นที่ผู้คนให้ความสนใจอยู่มากทีเดียว สำหรับเรื่องราวของอดีตอาจารย์สาวหนีทุน ที่มาขอให้ ทพ.เผด็จ พูลวิทยกิจ ทันตแพทย์ที่คลินิกแห่งหนึ่งในจ.สระบุรี และเพื่อนๆ ช่วยกันค้ำประกันให้กับเธอเพื่อไปเรียนต่อปริญญาโทและปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่หลังจากที่ไปศึกษาที่นั่นแล้วกลับไม่ยอมกลับมาใช้หนี้ตามที่เคยตกลง ทำให้ทพ.เผด็จต้องใช้หนี้แทนอดีตอาจารย์สาวกว่า 2 ล้านบาท แถมยังไม่มีทีท่าว่าเธอจะกลับมาใช้หนี้ในเร็วๆ นี้ทางทพ.เผด็จจึงต้องลงทุนเปิดบัญชีขอบริจากเงินเพื่อนำไปดำเนินคดีฟ้องร้องแก่อดีตอาจาร์ยสาวให้ถึงที่สุด ทั้งนี้เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทพ.เผด็จได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “คงถึงเวลาที่ต้องรบกวนแล้วจริงๆครับ ผมขอรับรองว่าจะเอาเงินนี้ไปใช้ในการว่าความกรณีทันตแพทย์หนีทุนเท่านั้น หากมีเงินเหลือจะนำไปบริจาคแก่นักเรียนยากจนแต่ไม่มีทุนเรียนต่อครับ” “แต่ถ้าไม่พอพวกเราก็คงต้องพยายามหากันต่อครับ ต้องขอโทษที่ต้องรบกวนทุกท่านจริงๆเพราะหลายคนที่คำประกันก็ยังต้องจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยแต่ละเดือนอยู่ครับ ขอบคุณจากใจจริงครับ” อ่านเรื่องราวเต็มๆ ได้ที่ด้านล่างเลย คงถึงเวลาที่ต้องรบกวนแล้วจริงๆครับ ผมขอรับรองว่าจะเอาเงินนี้ไปใช้ในการว่าความกรณีทันตแพทย์หนีทุนเท่านั้น หากมีเงินเหลือจ… Posted by เผด็จ พูลวิทยกิจ on 18 กุมภาพันธ์ 2016 มีหนี้ก็ต้องใช้หนี้นะจ๊ะ อย่าปล่อยให้มันกลายเป็นภาระของคนอื่นเลย ที่มา เผด็จ พูลวิทยกิจ
-
หนุ่มวัย 18 ปีถูกกล่าวหาจากการอ้างตัวเป็นหมอ รับรักษาคนไข้ในคลินิกแต่ไม่มีใบอนุญาต!!
หนึ่งในอาชีพที่ต้องได้รับการรับรองทั้งด้านการเรียนและการทำงาน ซึ่งหากจะประกอบอาชีพได้จะต้องได้รับใบอนุญาตเสียก่อน อย่างเช่น ‘แพทย์’ หรือ ‘หมอ’ ที่เราเรียกๆ กัน ซึ่งผู้ที่จะสามารถรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลหรือตามคลินิกต่างๆ ก็ต้องได้รับใบอนุญาตกันทั้งนั้น แต่ทว่าในรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา มีเด็กหนุ่มวัย 18 ปี นามว่า Malachi Love-Robinson หรือรู้จักในนาม Dr. Robinson ที่อ้างว่าตนเองเป็นแพทย์ รับรักษาคนไข้ภายในคลินิกส่วนตัว โดยประกาศผ่านเว็บไซต์และเฟสบุ๊ก ในชื่อ New Birth New Life Holistic and Alternative Medical Center and Urgent Care เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มทำการสอบสวน พบว่า Love-Robinson เคยมีประวัติกล่าวรับรักษาผู้ป่วยมาก่อนแล้ว แต่ยังไม่มีใบอนุญาตและไม่มีคุณวุฒิทางด้านการแพทย์ ซึ่งอ้างอิงมาจากประกาศของกระทรวงสาธารณสุขฟลอริดาเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว มีคำสั่งให้เขาหยุดการกระทำดังกล่าวจนกว่าจะมีใบอนุญาต แต่เจ้าตัวก็ยังคงทำตัวเป็นเหมือนแพทย์ (หมอ) ตามปกติ…
-
นักวิจัยญี่ปุ่นเฮ!! สามารถปลูกถ่ายหูเทียมบนหลังของหนูทดลองได้สำเร็จ พร้อมใช้จริงใน 5 ปีข้างหน้า
นี่เป็นอีกก้าวสำคัญของวงการแพทย์เลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อไม่นานมานี้มีการรายงานข่าวจากต่างประเทศว่า พวกเขาสามารถปลูกถ่ายอวัยวะเทียมกับหนูได้สำเร็จแล้ว!! เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ Dailymail ได้รายงานว่านักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตเกียว และมหาวิทยาลัยเกียวโตแห่งประเทศญี่ปุ่น สามารถปลูกถ่ายใบหูเทียมของมนุษย์ลงบนหลังของหนูทดลองแล้วเรียบร้อย และให้สัญญาว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าพวกเขาจะสามารถปลูกถ่ายอวัยวะเทียมอื่นๆ ได้อย่างแน่นอน ตามรายงานบอกว่าการปลูกถ่ายหูเทียมครั้งนี้จะเป็นการช่วยรักษาเด็กๆ ที่เกิดมาพร้อมกับความบกพร่องทางร่างกาย หรือผู้คนที่สูญเสียอวัยวะไปจากอุบัติเหตุจนเสียโฉม ให้กลับมามีอวัยวะแบบคนปกติอีกครั้งหนึ่ง โดยก่อนหน้านี้เองก็เคยมีวิธีการปลูกถ่ายใบหูเทียมมาแล้ว แต่เป็นการตัดแต่งกระดูกอ่อนบริเวณซี่โครงของผู้ป่วยเอง ซึ่งต้องอาศัยการผ่านตัดซ้ำหลายครั้ง สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วยเป็นอย่างมาก แต่ด้วยวิธีการปลูกถ่ายอวัยวะแบบใหม่นี้จะช่วยลดความเจ็บปวดลง และลดขั้นตอนในการผ่าตัดไปได้เยอะพอสมควรเลย ทั้งนี้การปลูกถ่ายอวัยวะแบบใหม่นี้ได้มีการนำไปพัฒนาและต่อยอดในกลุ่มนักวิจัยแห่งสถาบันวิจัยต่างๆ แล้ว เพื่อพัฒนาการสร้างอวัยวะเทียมให้แก่ผู้ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุต่างๆ หรือมีความพิการมาตั้งแต่แรกเกิด อีกหน่อย เราคงจะได้เห็นการปลูกถ่ายอวัยวะกันแบบเต็มรูปแบบแล้วล่ะนะ ที่มา dailymail
-
กินข้าวโพดแล้วอย่าทิ้งหนวดข้าวโพด เพราะมันสามารถนำมาชงชา ช่วยรักษาโรคได้นะเออ!!
นี่อาจเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ชอบกินข้าวโพดเป็นชีวิตจิตใจก็ได้นะ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ได้มีนายแพทย์รายหนึ่งออกมาเปิดเผยว่า หนวดข้าวโพดที่เราชอบดึงทิ้งเวลากิน มีประโยชน์สามารถช่วยรักษาโรคได้ด้วยนะเออ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคมที่ผ่านมา นายแพทย์ สพล สมวงษ์ ได้ออกมาเปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กของตัวเองว่า หนวดข้าวโพดที่เราแกะทิ้งกันบ่อยๆ แท้จริงแล้วสามารถเป็นยาจีนได้ ซึ่งที่ประเทศจีนจะเรียกมันว่า อวี้หมี่ซวี 玉米须 เจ้าหนวดข้าวโพดนี้มีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ ระบายความร้อนออกทางปัสสาวะ ปรับสมดุลลมปราณตับ ขับน้ำดี เหมาะสำหรับใช้รักษาผู้ป่วยโรคไตที่มีอาการบวมน้ำ ดีซ่าน ตับอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี ถุงน้ำดีอักเสบ อาเจียนเป็นเลือด ไซนัสอักเสบ ฝีเต้านมและช่วยลดความดันและน้ำตาลในเลือดด้วย ข้อดีของเจ้าหนวดข้าวโพดนี้ก็คือ ในหมู่ยาจีนที่ขับปัสสาวะและน้ำดี จะมียาไม่กี่ตัวที่มีฤทธิ์เป็นกลางไม่ร้อนไม่เย็น หนวดข้าวโพดจึงเป็นยาที่ใช้รักษาคนไข้ดีซ่านและโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดีได้ทุกประเภท ออกฤทธิ์ไม่รุนแรงเกินไป ที่สำคัญหนวดข้าวโพดเป็นยาที่เราไม่ต้องซื้อปกติเราโยนมันทิ้งด้วยซ้ำไป หากใครอยากจะลอกเอาหนวดข้าวโพดมากินดู ก็ลอง นำหนวดข้าวโพดมาสักหยิบมือ ใส่ลงในแก้วแล้วเทน้ำเดือดลงไป ทิ้งไว้สักพักจนน้ำเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แค่นี้คุณก็สามารถนำมาดื่มได้แล้ว หรือหากบ้านใครมีหนวดข้าวโพดมากพอ ก็นำไปตากแดดแล้วเก็บไว้กินวันอื่นๆ ได้นะ ที่มา แพทย์จีน สพล สมวงษ์
-
คุณหมอใช้แหนบดึงซีสต์ก้อนยักษ์ออกจากท้อง ทิ้งรูโบ๋ขนาดใหญ่ไว้บนผิวหนัง เห็นแล้วสยองเลย!!
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 ทางสำนักข่าวต่างประเทศ ได้เผยคลิปวีดีโอของคนไข้รายหนึ่ง ที่ได้เข้าทำการรักษาซีสต์ก้อนยักษ์บริเวณหน้าท้อง โดยจากคลิปวีดีโอเราจะเห็นได้ว่านายแพทย์ Solomon Brickman จากเมืองฮูสตัน รัฐเทกซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา กำลังใช้แหนบแบบพิเศษค่อยๆ คีบก้อนซีสต์ออกจากช่องท้องแบบนี้… คุณหมอใช้มือช่วยบีบเล็กน้อยเพื่อให้ซีสต์ก้อนยักษ์หลุดออกมา และแล้วซีสต์สีน้ำตาลอ่อน ก็หลุดออกมาจากหน้าท้องของคนไข้รายนี้แล้ว แต่เมื่อนำซีสต์ก้อนยักษ์ออกมาจากช่องท้องของคนไข้ ก็พบว่ามีรูขนาดใหญ่อยู่บนผิวหนัง งานนี้คุณหมอจึงทำการเย็บแผลให้สนิท เพื่อป้องกันการติดเชื้อยังไงละเหมียว นอกจากนี้ผู้ช่วยแพทย์ยังบอกอีกว่า โชคดีที่คนไข้มารักษาและเอาเจ้าซีสต์ก้อนยักษ์ออกได้ทันเวลา เพราะดูเหมือนว่ามันเริ่มส่งกลิ่นเหม็นมากๆ แล้ว ส่วนทางด้านคนไข้แม้ว่าจะถูกนำซีสต์ก้อนยักษ์ออกจากท้องแล้ว เขายังขึ้นมาถามคุณหมอแบบฮาๆ ว่า เขาสามารถหยุดงานได้กี่วัน ด้านคุณหมอก็ตอบกลับมาว่า พัก 20 นาที คุณก็กลับไปทำงานได้แล้วจ้า ชมคลิปวีดีโอได้เลย ที่มา : dailymail
-
ลุ้นระทึก!! คุณหมอถูกยากูซ่ามาบุกรีดไถ่เงินถึงหน้าห้องพักโรงแรมในญี่ปุ่น โชคดีที่ยั้งไว้ทัน
การออกไปยังต่างแดนยิ่งต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ เพราะไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม อันตรายนั้นรายล้อมเราอยู่ทุกที่ อย่างประเทศที่มีความปลอดภัยสูงอย่างญี่ปุ่น ก็ยังคงมีผู้มีอิทธิพลอยู่ แถมยังน่ากลัวมากๆ ซะด้วย!! เรื่องราวสุดระทึกนี้ เปิดเผยโดยคุณหมอ Shane Cardio ผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการถูกบุกรุกเพื่อรีดไถเงินจากยากูซ่าญี่ปุ่น อุกอาจถึงขั้นมาเคาะถึงประตูห้องพักในโรงแรม Meriken Oriental Hotel กันเลยทีเดียว ซึ่งก่อนหน้าที่จะมียากูซ่ามาถึงหน้าห้อง เขาได้รับโทรศัพท์จากโอเปอเรเตอร์โรงแรม พูดแต่ภาษาญี่ปุ่นรัวๆ ซึ่งก็ไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด ก็เลยวางหูไป จนกระทั่งมีชายใส่สูท ผูกไทด์ มากดกริ่งหน้าห้องพัก ซึ่งเขาก็เข้าใจว่าน่าจะเป็นพนักงานของโรงแรม มีสมุดจดบันทึกมาด้วย ก็เลยแง้มประตูนิดหน่อยเพื่อพูดคุยด้วย แต่ก็คุยกันไม่รู้เรื่องเพราะอีกฝ่ายซัดมาเป็นภาษาญี่ปุ่นรัวๆ สภาพของประตูที่ยื้อกันไว้นานแสนนาน พอจะปิดประตูปุ๊บ ชายผู้นั้นก็ใช้เท้ากั้นประตูเอาไว้ไม่ให้ปิด แถมตะคอกเสียงใส่ จับใจความได้ว่าเกี่ยวกับหนังสือเดินทาง และเปิดสมุดเล่มดังกล่าวให้อ่าน เต็มไปด้วยภาษาญี่ปุ่น แต่ที่เห็นชัดๆ ก็คือจำนวนเงิน 38,000 เยน คราวนี้ก็แน่ใจแล้วล่ะว่าเขาต้องโดนยากูซ่ามารีดไถเงินอย่างแน่นอน!! หากปล่อยให้เข้ามาได้ต้องมีอันตราย ซึ่งทั้งสองก็ได้ยื้อกันอยู่หน้าประตูซักพักใหญ่ ในที่สุดก็กระทืบเท้ายากูซ่าออกไปได้ ใช้แรงดันเพื่อปิดประตูและล็อคได้สำเร็จ จากนั้นเขาก็รีบโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากทางโรงแรมและส่งไลน์ขอความช่วยเหลือจากกลุ่มหมอที่มาประชุมที่ประเทศญี่ปุ่นด้วยทันที…
-
สำเร็จ!! นักวิทย์เพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์เป็น ‘หัวใจมนุษย์’ ได้เป็นครั้งแรก 20 วันก็เต้นเองได้แล้ว
‘หัวใจ’ เป็นอวัยวะสำคัญที่ร่างกายของคนเราจะขาดไปไม่ได้เลย ยิ่งถ้าใครมีความผิดปกติหรือโรคเกี่ยวกับหัวใจอยู่แล้ว คงจะรู้ดีกว่าการรักษาต่างๆ ย่อมมีความเสี่ยงและมีค่าใช้จ่ายสูงพอสมควร ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วงการแพทย์ทั่วโลกก็ได้ให้ความสนใจในการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยต่างๆ มารักษาผู้ป่วยโรคหัวใจอยู่ตลอด และล่าสุดนี้ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นที่น่าพอใจเลยหละ เพราะนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการเพาะเลี้ยงเซลล์หัวใจมนุษย์ได้เป็นครั้งแรกของโลกได้สำเร็จแล้ว!! จากการรายงานของวารสาร Nature Communication พบว่าหัวใจดวงดังกล่าวนี้ มีขนาดเล็กจิ๋วประมาณ 1 ใน 3 ของปลายเข็มหมุด หรือมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางแค่ 0.5 มม. เท่านั้น แต่ความมหัศจรรย์คือการเต้นตุบตับได้เอง หลังจากเวลา 20 วัน นับตั้งแต่มันเริ่มกลายเป็นเซลล์หัวใจ ด้วยการนำสเต็มเซลล์ของมนุษย์ในส่วนของเยื่อผิวหนังมาเพาะในจานเพาะเลี้ยง และเลี้ยงด้วยออกซิเจนนั่นเองจ้ะทุกคน ^^ Kelvin Healy ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย California, Berkeley ผู้ร่วมงานวิจัยชิ้นนี้ยังกล่าวอีกด้วยว่า เทคโนโลยีนี้เป็นประโยชน์ต่อการคัดกรองตัวยาที่ส่งผลกระทบต่อหัวใจ หรือส่งผลกระทบต่อภาวะการตั้งครรภ์ ซึ่งทีมวิจัยได้ทดลองให้ยา thaidomide ที่เป็นอันตรายต่อตัวอ่อน แล้วพบว่ามันมีผลต่อความผิดปกติต่อเซลล์หัวใจจิ๋วนี่ด้วยเช่นกัน ซึ่งมันทำให้ช่องหัวใจตีบ การหดตัวและอาการเต้นผิดปกติ อ้ะลองชมคลิปกันดูหน่อย!! แหม่.. ก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีจริงๆ หวังว่าการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจจะดีวันดีคืนนะจ๊ะ ได้ช่องทางการทดลองยาที่สะดวกและใกล้เคียงความเป็นจริงแล้ว…
-
มาดูชีวิตอันแสนโหดของ “อาชีพหมอกะดึก” ในออสเตรเลียแบบชั่วโมงต่อชั่วโมง!!
นายแพทย์ท่านนี้มีชื่อว่า Cale Lawlor เขาได้ถ่ายภาพกิจวัตรประจำวันของตัวเองในวันทำงานอันแสนโหดแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว ไปดูภาพชุดนี้กันเลย 10.00 – ตื่น 11.00 – แต่งตัว 12.00 – ดื่มกาแฟ 13.00 – ออกกำลังกาย 14.00 – ปั่นจักรยาน 15.00 – อยู่บ้าน 16.00 – ซื้อของ 17.00 – กาแฟอีกรอบ 18.00 – อ่านหนังสือ 19.00 – กิน …