Tag: โซเวียต
-
นายแพทย์ทหารลงมือ ‘ผ่าตัดไส้ติ่ง’ ด้วยตัวเอง เพราะทั้งทีมไม่มีใครสามารถทำได้เลย
คุณหมอ Leonid Rogozov แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปและเป็นอดีตนายแพทย์ทหารแห่งโซเวียต ผู้ที่ “ผ่าตัดไส้ติ่ง” ตัวเองหลังเกิดอาการอักเสบในช่องท้องอย่างรุนแรง ในปี 1961 ในระหว่างการออกปฏิบัติภารกิจสำรวจทวีปแอนตาร์กติก ด้วยสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ประกอบกับความยากลำบากหลายประการ ทำให้เขาเกิดอาการอักเสบระหว่างทาง… Leonid Ivanovich Rogozov Rogozov รู้สึกเจ็บปวดบริเวณด้านล่างของช่องท้องอย่างหนักหน่วง เขาจึงตัดสินว่านั่นคืออาการ “ไส้ติ่งอักเสบ” ในยุคที่เทคโนโลยียังไม่อำนวยความสะดวกมีเพียงการผ่าตัดเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้ โชคไม่ดีที่ทั้งคณะเดินทางมีหมออยู่เพียงคนเดียวซึ่งก็คือตัวของ Rogozov เองเท่านั้น หากเสียเขาไปทั้งคณะจะไม่สามารถเดินทางต่อหรือกระทั่งเดินทางกลับได้อย่างแน่นอน Rogozov จึงตัดสินใจคว้ามีดผ่าตัดเตรียมผ่าตัดช่องท้องของตัวเอง เขาเริ่มให้ยาชากับตัวเองในปริมาณที่น้อย เพราะเขาเองก็ต้องทำหน้าที่เป็นหมอผู้ทำการผ่าตัดด้วยเช่นกัน การควานในช่องท้องตนเองเพื่อค้นหาจุดที่เรียกว่า “ไส้ติ่ง” นั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก แต่หลังจากเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง 45 นาที เขาก็ตัดไส้ติ่งออกมาได้สำเร็จ จากนั้นเขาให้ยาปฏิชีวนะกับตนเองและเย็บแผลปิดเป็นอันสิ้นสุดกระบวนการ เพื่อนๆ ของเขาได้เก็บภาพเอาไว้ เป็นภาพที่ถึงแม้ว่าดูน่ากลัว แต่กลับน่ายกย่องในความกล้าของคุณหมอ Rogozov ที่เลือกจะเสี่ยงผ่าตัดตัวเองเพื่อกลับมาเป็นหมอประจำทีมให้ได้ สิ่งที่น่าอัศจรรย์กว่านั้นก็คือ หมอ Rogozov…
-
ส่องแฟชั่นสุดจ๊าบแห่งปี 1980 จากนิตยสารเสื้อผ้าของสหภาพโซเวียต
ช่วงปี 1980 เป็นช่วงแห่งการเริ่มต้นพัฒนาทั้งด้านเทคโนโลยี ด้านวิถีชีวิตผู้คน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เริ่มเปลี่ยนไป กลับเป็นเสน่ห์ของยุค 80’s ที่ผสมผสานความเก่ากับความใหม่ที่ดูแล้วลงตัวสุดๆ เรื่องแฟชั่นการแต่งตัวก็เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของยุค 80’s ที่ยังคงได้รับความสนใจมาจนถึงตอนนี้ ใครที่สนใจอยากรู้ว่าคนในยุคนั้นเขามีรสนิยมกันแบบไหน เชิญดูกันได้เลย แฟชั่นเสื้อผ้าเด็ก แนวบีบอย สาวๆ สมัยนั้นแต่งตัวสุภาพมากๆ ชุดลายจุดสีฟ้า หวานๆ แอบแซ่บนิดนึงกับเกาะอก ชุดคู่เหลืองดำก็โอเคนะ ชุดเด็กๆ น่ารัก อันนี้น่าจะแฟชั่นไปเที่ยวทะเล สังเกตได้ว่าผู้หญิงสมัยนั้นจะใส่แต่ชุดที่ตัวใหญ่ๆ แทบไม่มีใครใส่แบบรัดรูปเลย . . เด็กๆ ก็สวมชุดตัวใหญ่เหมือนกัน ชุดยีนส์ก็เท่ไม่เบา หรือจะเป็นผ้าเลื่อม วิ้งๆ แฟชั่นฤดูหนาว ชุดนอนก็เซ็กซี่ไม่เบา จีบๆ พองๆ สไตล์สาวหวานยุค 80 . …
-
ช่างภาพใจกล้า ที่จะพาคุณแอบเข้าไปชม ‘กระสวยอวกาศ’ ยุคสงครามเย็นของโซเวียตที่ถูกทิ้งร้างมากว่า 30 ปี
หลายคนคิดว่าสถานที่รกร้างนั้นมักจะเต็มไปด้วยความลึกลับและน่ากลัว โดยที่ไม่มีใครเข้าไปสัมผัสหรือค้นหาจริงๆ เลยว่าข้างในสถานที่รกร้างนั้นๆ จะมีอะไรซ่อนอยู่ ผิดกับช่างภาพคนนี้ David de Rueda ที่พกความกล้ามาอย่างเต็มเปี่ยมในการแอบเข้าไปสำรวจพื้นที่ที่ถูก “ทิ้งร้าง” เช่น สถานีเรดาร์ โรงผลิตพลังงานไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้แต่เศษซากยานอวกาศของโซเวียต และสิ่งที่ David พบก็คือ กระสวยอวกาศ 2 ชิ้นที่เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Buran (ภาษารัสเซียแปลว่าพายุหิมะ) มันตั้งอยู่ในศูนย์ปล่อยอวกาศยานไบโคนูร์ ในคาซัคสถาน มันถูกทิ้งร้างมากว่า 30 ปีแล้ว แต่เมื่อ David ค้นพบแหล่งเก็บกระสวยอวกาศในปี 2015 เขาได้เพลิดเพลินกับการสำรวจมันในทุกซอกทุกมุม David กล่าวว่า “การมาสำรวจครั้งแรกของเขานั้นเขาคิดว่าเขาอาจจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็มาอีกจนได้ เพื่อที่จะมาสำรวจโรงเก็บกระสวยอีกแห่ง ที่ที่เก็บกระสวยรุ่นทดลอง Energia-M เอาไว้” จากคำกล่าวของ David ที่ว่า “สิ่งก่อสร้างที่ถูกทิ้งร้างแบบนี้มันเป็นการผจญภัยที่ไม่สิ้นสุดจริงๆ” พวกเราก็อย่ารอช้า ไปชมภาพถ่ายที่เขาเก็บมาฝากกันเลยดีกว่า… แค่การเดินทางเข้าไปในโรงเก็บกระสวยมันก็เป็นเหมือนการผจญภัยในตัวมันเองอยู่แล้ว เพราะนอกจากระยะทางไกลแล้วยังต้องเดินฝ่าพื้นที่ต้องห้ามอีกด้วย โรงเก็บกระสวยนั้นอยู่ใกล้กับสถานที่ที่มีผู้คนจึงต้องระวัง แถมการใช้ชีวิตหลบซ่อนในทุ่งหญ้า Kazakh Steppe นั้นแสนหฤโหดในฤดูหนาว …
-
ใจได้!! ช่างภาพรัสเซียเผาหมู่บ้านทั้งหมู่บ้าน เพื่อถ่ายภาพสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาพื้นที่ถูกทิ้งร้าง
ช่างภาพต่างๆ เมื่อจะสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้ดูดี พวกเขาก็มักจะมีการจัดฉากเพื่อให้ภาพถ่ายของพวกเขาสามารถสื่อสารความหมายได้อย่างที่ต้องการ และก็มีช่างภาพคนหนึ่งที่ต้องการจะสะท้อนให้เห็นปัญหาหมู่บ้านถูกทิ้งร้างผ่านรูปถ่าย เขาจึงลงทุนเผาทั้งหมู่บ้านทิ้งซะเลย Danila Tkachenko ช่างภาพชาวรัสเซียได้สร้างโปรเจกต์ที่ชื่อว่า The Motherland ขึ้นมาเพื่อต้องการจะให้ผู้คนเห็นถึงความสำคัญของพื้นที่ทิ้งร้างในประเทศ โดยเขาได้เผาหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่เคยสวยงามและเต็มไปด้วยชาวบ้านจำนวนมากเมื่อประมาณ 100 ปีก่อนให้ลุกเป็นไฟ และสิ่งของในหมู่บ้านที่เขาเผานั้นล้วนแล้วแต่เป็นของที่ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป เผาเพื่อให้เห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ จุดเริ่มต้นที่ผู้คนชนบทต่างทิ้งถิ่นฐานของตัวเองไป เกิดขึ้นจากระบบรวมอำนาจของสหภาพโซเวียตในปี 1928-1937 โดยนั่นเป็นจุดแรกที่ทำให้หมู่บ้านต่างๆ ในประเทศรัสเซียเริ่มเสื่อมโทรมลง เพราะว่าระบบรวมอำนาจอันเผด็จการได้ยึดอาหาร และสิ่งปลูกสร้างของคนชนบทไปเป็นทรัพย์สินของรัฐอีกจำนวนมาก จึงเป็นเหตุให้มีคนชนบทกว่า 7-8 ล้านคนต้องตายจากความหิวโหยและการถูกกดขี่ บ้านทั้งหลังเมื่อไม่มีใครใช้ก็เผาทิ้งซะเลย นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านอีกกว่า 2 ล้านคนถูกนำตัวไปทำงานที่ไซต์ก่อสร้างในค่ายที่ชื่อว่า Gulag ซึ่งได้เป็นจุดเริ่มต้นของยุคอุตสาหกรรมในประเทศรัสเซียนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้ส่งผลถึงในปัจจุบัน ที่ชาวบ้านในชนบทต่างเข้าไปในเมืองใหญ่ๆ เพื่อหางานทำและทิ้งร้างพื้นที่บ้านเกิดของพวกเขาไว้อย่างเปล่าประโยชน์ หมู่บ้านแห่งนี้เคยเจริญรุ่งเรืองเมื่อประมาณ 100 ปีก่อน โดยใน 20 ปีที่ผ่านมามีหมู่บ้านถึง 23,000 หมู่บ้านได้หายไปจากแผนที่ประเทศรัสเซีย ขณะเดียวกันประชากรกว่า 76% ในประเทศรัสเซียต่างอาศัยอยู่แต่ในเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น เกษตรกรรายย่อยตามชนบทไม่สามารถต้านทานความยิ่งใหญ่ของโรงงานต่างๆ ได้ อีกทั้งรัฐบาลรัสเซียยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับเกษตรกรรมอีกด้วย นั่นจึงเป็นเหตุให้พื้นที่ชนบทต่างๆ เริ่มกลายเป็นพื้นที่ไร้ประโยชน์ในที่สุด …
-
รู้จักกับ Lyudmila Pavlichenko สไนเปอร์หญิงมือพระกาฬที่ยากจะหาใครเทียบ
เรื่องราวของ Lyudmila Pavlichenko พลแม่นปืนหญิงมือพระกาฬจากสหภาพโซเวียต ที่เป็นที่กล่าวขวัญของทหารฝ่าศัตรู และสังหารฝ่ายศัตรูไปมากกว่า 309 คนเลยทีเดียว!! ชื่อเต็มๆ ของเธอคือ Lyudmila Mykhailivna Pavlichenko เกิดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมปี 1916 ในเมือง Bila Tserkva ประเทศยูเครน ซึ่งในขณะนั้นยังรวมอยู่ในสหภาพโซเวียต เมื่ออายุ 14 ปี ครอบครัวของเธอได้ย้ายมาที่เมือง Kiev และที่นี่เธอได้เข้าร่วมกับกองทัพอาสาสมัครสมาคมเพื่อความร่วมมือกับกองทัพอากาศและกองทัพเรือ หรือ DOSAAF ระหว่างที่เข้าร่วมกับหน่วย DOSAAF ผลการเรียนในโรงเรียนของเธอนั้นค่อนข้างดี และเธอเองก็เป็นคนที่มีความสามารถอย่างมาก จนในที่สุดเธอก็ได้กลายเป็นนักแม่นปืน หลังจากที่สำเร็จการศึกษาปริญญาโทด้านประวัติศาสตร์และกำลังเตรียมตัวศึกษาต่อปริญญาเอก ในปี 1937 เธอได้เข้าร่วมกับหน่วยอาสาสมัครกลุ่มแรก เพื่อเข้าต่อสู้ป้องกันการรุกรานจากทหารนาซีที่บุกเข้ามาในเมือง Odessa เมื่อปี 1941 ในตอนแรกหญิงสาวได้ขอสมัครไปในหน่วยพยาบาล แต่ทว่าด้วยเหรียญตราของพลแม่นปืนที่เธอมี ทำให้เธอถูกส่งตัวเข้าไปยังหน่วยพลแม่นปืน และกลายเป็นหนึ่งในนักแม่นปืนหญิง 2,000 นายของกองทัพโซเวียต สไนเปอร์สาววัย 25 ปีเข้าสู่สมรภูมิรบครั้งแรกในเดือนสิงหาคมปี 1941 ในเดือนแรกเธอได้รับการบันทึกว่าสามารถสังหารทหารฝ่ายศัตรูได้ถึง 100 คนพร้อมกับได้เลื่อนขั้นเป็นจ่าสิบเอก ต่อมาในช่วงกลางเดือนตุลาคม เธอถูกย้ายไปประจำการที่เมือง Sevastopol และสามารถสังหารฝ่าตรงข้ามได้อีก 36 คน ในเดือนพฤษภาคมปี…
-
ชมภาพ “ห้องควบคุมโรงไฟฟ้า” ของโซเวียต ที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากหนังไซไฟย้อนยุค
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงยุคสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต โลกตกอยู่ในความตึงเครียดเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่สองมหาอำนาจจะเปิดฉากสงครามต่อกัน แต่ถึงแม้จะไม่มีสงครามจริงๆ แต่ทั้งสองประเทศก็พยายามแข่งขันกันในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของพลังงานนิวเคลียร์ที่พวกเขาก้าวล้ำกว่าใครๆ จนเราคาดไม่ถึง ยิ่งไปกว่านั้นห้องควบคุมโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ของพวกเขาก็มีแผงวงจรและไฟกระพริบต่างๆ เยอะแยะไปหมดราวกับหลุดมาจากหนังไซไฟอย่าง Star Wars หรือ Star Trek เลยทีเดียว ยิ่งพูดถึงก็ยิ่งน่าสนใจว่าสมัยก่อนที่เราจะมีคอมพิวเตอร์ล้ำๆ แบบปัจจุบัน การควมคุมสิ่งต่างๆ ผ่านหน้าปัดเล็กๆ ไฟกระพริบหลายๆ ดวงเต็มไปหมด กับเจ้าหน้าที่เพียงไม่กี่คน พวกเขาทำได้ยังไง แล้วห้องพวกนั้นมันจะต้องมีแผงควบคุมเยอะขนาดไหน ฉะนั้นเราก็เลยจะมาลองดูห้องควบคุมต่างๆ ในสมัยก่อนของโซเวียตกันว่าก่อนที่ประเทศอื่นจะก้าวหน้า ห้องควบคุมในโซเวียตเคยล้ำและเจ๋งแค่ไหน… เห็นแล้วคิดถึงหอควบคุมเดธสตาร์ ตอนสั่งยิงดาวอัลเดอรานในภาคนิวโฮปเลยนะเนี่ย . . แต่พอเจอลุงใส่แว่นคนนี้กลับคิดถึงด็อกเตอร์โซล่าในกัปตันอเมริกา ภาควินเธอร์โซเยอร์มากกว่า . แต่ละตู้ก็จะมีมาตรวัดอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด . พร้อมกับไฟที่กะพริบอยู่ตลอดเวลา ที่แปลกกว่าคือ หน้าปัดเยอะแบบนี้ แต่พวกเขามักจะใช้คนจำนวนไม่มากในการดูแล . . เป็นแผงควบคุมที่ดูเก่าจริงๆ แต่ถึงจะเปลี่ยนไปยังไง ในปัจจุบันก็ยังมีอะไรแบบนี้อยู่เหมือนกันนะ . …
-
พาทัวร์ ‘สุสานรถถัง’ ที่ถูกทิ้งร้างในยูเครน เผยความยิ่งใหญ่ของสหภาพโซเวียตในอดีต
บางสิ่งบางอย่างเมื่อล้าหลังไปแล้ว ผู้คนก็จะเลิกให้ความสนใจ ปล่อยให้มันทิ้งร้างไว้อย่างนั้น อาจมีการผุกร่อนไปบ้างตามกาลเวลา แต่ว่าบางอย่างก็ยังคงไม่หายไปไหน ไม่ต่างกับ “สุสานรถถัง” ในเมืองคาร์คิฟ ประเทศยูเครน ใกล้กับชายแดนรัสเซียในปัจจุบัน ซึ่งสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยรถถังมากมายที่ถูกทิ้งไว้โดยไม่มีใครเข้ามาแยแส แต่การมีอยู่ของพวกมันก็ได้ไปกระตุ้นความสนใจให้กับนักสำรวจชื่อ Patvel Itkin เข้าไปเก็บภาพแห่งความทรงจำที่มีมาตั้งแต่ยุค 1960s ในตอนที่ยูเครนยังเป็นหนึ่งในสหภาพโซเวียตอยู่ กว้างพอให้สร้างโรงเรียนได้เลยนะ รถถังเต็มไปหมด เขาได้แอบเข้าไปในขณะที่ไม่มีคนเห็น ซึ่งปกติแล้ว สถานที่แห่งนี้จะถูกปิดไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไป และเมื่อได้ลองเดินไปรอบๆ เขาก็รู้สึกอึ้งกับความกว้างใหญ่ของสถานที่นั้น สถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยรถถังที่คาดว่าจะมีมากถึง 450 คัน พร้อมกับเครื่องยนต์อีกมากมาย และชายคนนี้ก็ต้องใช้เวลาอยู่หลายเดือนเพื่อให้ได้เห็นในทุกซอกทุกมุม เรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนกับทหารกำลังยืนเข้าแถว มองมุมนี้แล้วดูไม่ออกเลยว่า รถถังมีจำนวนมากขนาดไหน และที่พบได้เยอะที่สุดก็คือ รถถังรุ่น T-62 อันมีชื่อเสียงของโซเวียต เคยผ่านสมรภูมิมาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สงครามเย็น สงครามเกาหลี รวมถึงสงครามเวียดนาม สถานที่แห่งนี้เมื่อก่อนเคยเป็นจุดซ่อมบำรุงรถถังมาก่อน และรถถังมากมายที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้ บางส่วนก็มาจากโรงงาน Malyshev ใกล้กันนั้นเอง เครื่องยนต์ที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้ไม่ต่างกัน คงจะน่าเศร้ามากแน่ๆ…
-
เรื่องราวของ Stanislav Petrov นายทหารผู้หยุดยั้งไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เมื่อปี 1983
ทหารผู้ปกป้องประเทศทั้งหลาย นอกจากการที่ต้องออกไปรบกับข้าศึกโดยตรงแล้ว ภายในห้องสั่งการเองก็ยังต้องพบกับความตึงเครียดต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องการวางแผนการรบและการบริหารจัดการกองทัพของตนเอง และสิ่งที่สำคัญคือการตัดสินใจที่ต้องเด็ดขาดและรอบคอบ เพราะไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาอาจเลวร้ายมากไปกว่าเดิมก็ได้ เหมือนกับชายคนนี้ที่มีชื่อว่า Stanislav Petrov ผู้ที่สามารถหยุดยั้งไม่ให้เรื่องราวบานปลายจนอาจเกิดเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ เขาคือหนึ่งในทหารอากาศแห่งสหภาพโซเวียต ซึ่งเหตุการณ์สำคัญที่เขาได้ทำลงไปก็คือ ในวันที่ 26 กันยายน 1983 เรื่องราวที่อาจทำให้มหาอำนาจอย่างโซเวียตและอเมริกาในขณะนั้น ต้องห่ำหั่นกันจนเกิดเป็นสงครามได้ ในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืน ดาวเทียมของโซเวียตสามารถจับสัญญาณเจอขีปนาวุธจำนวนมาก ที่ถูกยิงมาจากฝั่งอเมริกา ทำให้เกิดความแตกตื่นและโกลาหลเป็นอย่างมาก ตอนนั้นเขาสงสัยว่าระบบคอมพิวเตอร์อาจมีความบกพร่อง ทว่ามันไม่ใช่เรื่องที่แน่นอน 100 เปอร์เซนต์ เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอาจมีการยิงมาจริง จะทำให้โซเวียตต้องถูกโจมตีก่อนและเป็นฝ่ายเสียเปรียบ อีกทั้งเชื่อว่าถ้าหากยิงสวนกลับไป ขีปนาวุธมากมายอีกหลายร้อยลูกจะต้องตามมาจากฝั่งโน้นแน่นอน เพราะอย่างนั้นจึงทำให้การตัดสินใจในครั้งนี้เป็นเรื่องที่สร้างความกดดันให้กับตัวเขาเองเป็นอย่างมาก เขาได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว BBC ในปี 2013 ว่า “สิ่งที่ผมต้องทำทั้งหมดตอนนั้นมีเพียงแค่ โทรหาผู้บัญชาการสูงสุดโดยตรง ทว่าผมกลับไม่สามารถขยับตัวได้เลย ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่บนกระทะร้อน” ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจโทรไปเพื่อแจ้งเรื่องความผิดปกติของระบบ หลังจากนั้นผ่านไป 23 นาทีเขาก็ยังคงไม่ได้รับข่าวสารใดเพิ่มเติม ซึ่งหากมีการโจมตีกันจริง พวกเขาที่อยู่ที่นั่นจะต้องรับรู้ได้แล้ว สุดท้ายจึงพบว่าสัญญาณที่เจอเข้านั้นเป็นเพียงแค่ความผิดพลาดของดาวเทียม ที่เห็นเงาสะท้อนบนก้อนเมฆเป็นขีปนาวุธ แสดงให้เห็นถึงข้อผิดพลาดในระบบเตือนภัยล่วงหน้าของโซเวียต และถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาได้ตัดสินใจทำลงไปนี้จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่ก็ต้องถูกตำหนิเพราะไม่สามารถบันทึกอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ลงในรายงานได้…
-
“นาซิโน แอฟแฟร์” เหตุการณ์ของคน 6,000 คน เข่นฆ่าเพื่อเอาชีวิตรอด บนเกาะร้างอันห่างไกล
เราอาจได้เห็นภาพยนตร์ที่เกี่ยวของกับการปล่อยให้ผู้คนเข่นฆ่ากันเพื่อเอาชีวิตรอดในสถานที่ปิดตายมาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น “Battle Royale” หรือ “The Hunger Game” ซึ่งหลายๆ คนคงคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้คงมีแต่ในหนัง แต่เชื่อหรือไม่ว่าครั้งหนึ่งบนโลกของเรา เคยมีเหตุการณ์สุดสยองแบบนี้เกิดขึ้นในชื่อว่า “นาซิโน แอฟแฟร์ (Nazino Affair)” จนทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 4,000 คน เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วง 7 ปี ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อ “โจเซฟ สตาลิน” ผู้นำของสหภาพโซเวียตขณะนั้นคิดแผนที่จะจัดการ “คนที่ใช้การไม่ได้” ของสหภาพโซเวียตออกไป ซึ่งคนเหล่านั้นประกอบไปด้วย คนไร้บ้าน คนจน คนพิการ (ง่ายๆ คือคนที่ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศดูไม่ดี) พวกเขาได้รวบรวมคนเหล่านั้นได้ประมาณ 6,000 คน จากนั้นก็ส่งขึ้นเรือที่มีทหารอาวุธครบมือคอยควบคุมไปยัง “เกาะนาซิโน” เกาะร้างอันห่างไกลในแถบไซบีเรีย ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ได้นอกจากหมีขั้วโลก ซึ่งแต่ละคนมีสเบียงติดตัวเป็นแค่ขนมปังคนละนิดละหน่อยเท่านั้น แต่ยังไม่ทันถึงเกาะ ระหว่างการเดินทางก็มีผู้เสียไปแล้วถึง 27 คน เนื่องจากความหิวโหย และพอถึงเกาะพวกเขาก็ถูกปล่อยให้ใช้ชีวิตอย่างตามมีตามเกิด หากมีผู้ใดพยายามหนีกลับขึ้นเรือ ทหารผู้คุมก็จะสังหารพวกเขาทันที …
-
เผยภาพ ‘ซากรถไฟเจ็ท’ ในยุคโซเวียตรุ่งเรืองสุดขีด ทำความเร็วได้ 257 กม. ต่อชั่วโมง!!
ภาพที่คุณกำลังจะได้เห็นต่อไปนี้ แม้จะดูเหมือนเป็นยานพาหนะจากโลกอนาคต หรือยานอวกาศจากภาพยนตร์มากแค่ไหนก็ตาม แต่เราต้องบอกคุณเลยว่านี่คือรถไฟสุดล้ำที่ถูกสร้างขึ้นจริงๆ ในยุคที่สหภาพโซเวียตยังรุ่งเรืองล่ะ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เว็บไซต์ Dailymail ได้เผยแพร่ภาพซากรถไฟเจ็ท ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้บริการในสหภาพโซเวียต เมื่อราวๆ ปี 1970 ซึ่งสามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 257 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว แต่ถึงรถไฟคันนี้จะรีดประสิทธิภาพและความเร็วได้มากแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็ต้องกลายเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง เนื่องจากว่ามันมีอัตราการกินน้ำมันที่สูงมาก ทางผู้ผลิตจึงต้องนำมันไปจอดไว้ให้สนิมเครอะอย่างที่เห็น รถไฟเจ็ทนั้นถูกคิดค้นและพัฒนาในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยวิศวกรชาวนิวยอร์ก Don Wetzel เขาได้รับมอบหมายให้ออกแบบรถไฟคันนี้ในช่วงกลางยุค 60 โดยจะต้องเป็นรถไฟที่มีความเร็วมากกว่า ปลอดภัยกว่า และราคาถูกกว่ารถไฟทั่วๆ ไป นาย Wetzel จึงแก้ปัญหานั้นด้วยการนำเอาเครื่องยนต์เจ็ท ที่นิยมติดตั้งให้กับเครื่องบิน มาติดตั้งไว้ตรงส่วนบนด้านหน้าของรถไฟ เพื่อดูว่ามันจะเป็นยังไง? ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเขาได้สร้างรถไฟเจ็ทที่มีความเร็วมาก เร็วขนาดที่ว่ารถไฟของอเมริกาในยุคนี้ยังทำไม่ได้เลย และนี่คือสภาพที่แท้จริงของเจ้ารถไฟเจ็ทคันนี้ล่ะ มีเครื่องยนต์อยู่ด้านบนของตัวรถ เพื่อให้ความเร็วที่สูงสุดในการเดินทาง นี่ถ้าไม่ได้อ่านประวัติหรือจุดประสงค์ในการสร้างเจ้ารถไฟคันนี้ #เหมียวฟิ้นคงนึกว่ามันต้องมาจากหนังไซไฟสักเรื่องแน่ๆ ที่มา dailymail
-
ช่างภาพพาบุกตะลุยชม ‘เหมือง Ural’ อันแสนลึกลับ ถูกทิ้งร้างไปตั้งแต่สงครามโลกครั้ง 2!!
บนโลกของเรานั้นมีอารยธรรมอยู่มากมายที่มนุษย์สร้างขึ้นมา บางอย่างก็ลบเลือนหายไปตามกาลเวลาและยุคสมัย แต่บางอย่างก็คงไว้จนมาถึงปัจจุบัน และในวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมภาพจากเหมืองร้างแห่งหนึ่ง ที่อยู่ใต้ผืนแผ่นดินรัสเซีย ถูกสร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงตอนนี้ไม่เคยมีใครได้เข้าไปเหยียบมันอีกเลย… คุณ Mikhail Mishainik เป็นช่างภาพที่เดินทางตะลุยเข้าไปถ่ายทำตามเหมือนร้างต่างๆ ทั่วรัสเซีย และในวันนี้เขาจะพาเราไปทัวร์เหมืองร้างที่ตั้งอยู่ลึกลงไปใต้ภูเขา Ural ในประเทศรัสเซียที่ถูกทิ้งร้างไปตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ปิดฉากลงเป็นเวลาเกือบ 80 ปีมาแล้ว ใต้ภูเขา Ural ถูกขุดให้กลายเป็นเหมืองเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นขึ้น โดยมีจุดประสงค์ไว้เพื่อขุดหาแร่เอาไปสร้างเป็นอาวุธสงคราม แต่เนื่องจากความต้องการผลิตอาวุธและเครื่องจักรในการก่อสงครามเป็นจำนวนมากในระยะเวลาที่รวดเร็ว ก็เลยทำให้การสร้างเหมืองแห่งนี้ถูกทำแบบลวกๆ ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยเลย คานไม้ทั้งหลายเหล่านี้ราวกับว่ากำลังพยุงภูเขาทั้งลูกอยู่เลย การก่อสร้างอย่างรวดเร็วทำให้ฝ่ายโซเวียตมีอาวุธจำนวนมากเพื่อไปต่อกรกับศัตรู และสุดท้ายก็ทำให้พวกเขาพลิกสถานการณ์ในสนามรบได้ แต่ด้วยการก่อสร้างที่หละหลวมก็ทำให้เหมืองแห่งนี้ถูกปิดไปหลังจากที่สงครามจบลงได้ไม่นาน . ไม่ถึง 10 ปี ที่เหมืองถูกสร้างมา สุดท้ายก็ถูกทิ้งร้าง เหลือไว้เพียงซากอารยธรรมเก่าๆ ที่ผุพังไปแล้วเท่านั้น แต่ที่น่าตกใจก็คือ พื้นที่ในส่วนต่างๆ ของเหมืองยังคงมีสภาพดีอยู่ จากการเข้าไปสำรวจของช่างภาพ Mishainik…
-
46 ภาพหาดูยากของรัสเซีย ในช่วงยังเป็น “สหภาพโซเวียต” ความอิสระบ้าบิ่นยังคงเดิม!! (18+)
เครื่องบันทึกประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งก็คือกล้องถ่ายรูปนั่นเอง ถึงแม้ว่ามันไม่ได้บอกเล่าเป็นตัวหนึ่งสือ แต่ภาพปก็สามารถตีความและศึกษาอะไรได้มากมายเช่นเดียวกัน ช่างภาพชาวรัสเซียคนหนึ่งชื่อว่า Sergey Chilikov เขาได้ทำการเก็บภาพสังคมในรัสเซียในช่วงที่ยังเป็นโซเวียดตอนปลาย ทั้งตอนปาร์ตี้ รูปตามถนนหนทางต่างๆ และรูปภาพเหล่านั้นก็ถูกจัดแสดงในงาน Photo London ในวันที่ 19-22 พฤษภาคมนี้ด้วย เขาเกิดในปี 1953 และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มครีเอทีฟชื่อว่า Fact ในปี 1976 ช่วงชีวิตของเขาก็มีแต่กล้องถ่ายรูปไปจนถึงสหภาพโซเวียตไม่มีอีกแล้ว แต่สิ่งที่เขาถ่ายมานั้นก็สามารถถ่ายทอดเรื่องขาวของโซเวียตในมุมมองที่ใครหลายคนไม่เคยเห็นมาก่อนได้ เขาเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อไปศึกษาผู้คนและเมืองที่อยู่อาศัย และแอบถ่ายภาพมา ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกคนอยู่กัยแบบอิสระเป็นอย่างมาก อยากทำอะไรก็ได้ทำ เราไปชมภาพที่เขาถ่ายมากันเลย (บางรูปอาจติดเรทนิดนึงนะจ๊ะ) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .…
-
ช่างภาพเดินทางกว่า 3 หมื่นกิโลถ่ายรูปป้ายรถบัสในโซเวีย และถูกหาว่าเป็นสายลับ!!
ช่างภาพชาวแคนาดาท่านหนึ่งนามว่า Christopher Herwig ใช้เวลากว่า 12 ปี ในการตามถ่ายป้ายรถบัสรูปทรงแปลกๆในโซเวียต โดยที่โปรเจกต์นี้เริ่มอย่างไม่คาดคิดเมื่อปี 2002 โดยที่เขาได้ท้าทายกับตัวเองไว้ว่าจะต้องถ่ายภาพดีๆสักหนึ่งภาพในทุกๆชั่วโมงในระหว่างที่ปั่นจักรยานอยู่ที่ลอนดอน ถึงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รวมระยะทางกว่า 30,000 กิโลเมตร และผ่าน 13 ประเทศ แล้วเขาก็ได้ตีพิมพ์โปรเจกต์ Soviet Bus Stops ได้สำเร็จ แต่กว่าจะถึงตอนนี้มันไม่ง่ายเลย “การทำโปรเจกต์นี้มันเหมือนไปกระตุ้นต่อมช่างสงสัยให้กับคนในบางประเทศหลายครั้งมาก ผมมักจะถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับ อย่างในประเทศอับคาเซีย คนขับรถของผมบอกว่าผมเป็นสายลับของประเทศจอร์เจีย เพราะไปถ่ายรูปบางแห่งที่ดูเสี่ยงเข้า จนเขาต้องขอสินบน ไม่งั้นอาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้” เขากล่าวไว้ที่ Kickstarter ถึงแม้ว่าเส้นทางจะลำบาก แต่เขาก็ถ่ายรูปกลับมาได้ เราไปดูผลงานของเขากันเลย ไม่น่าเชื่อว่าป้ายรถบัสที่นั่นจะอลังการได้ขนาดนี้ ถ้าติดใจก็ไปตามเขาได้ที่ herwigphoto.com | Facebook | Amazon | Instagram | Twitter ที่มา boredpanda