Tag: โบราณ
-
“The Oldest Gentleman” ชุดดำน้ำที่เก่าแก่ที่สุดจากศตวรรษที่ 18 ทำขึ้นจากหนังและไม้
หากใครยังไม่ได้ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ Raahe Museum ในประเทศฟินแลนด์แล้วล่ะก็ ต้องบอกเลยว่าไอเทมเด็ดของที่นั่นก็คือเจ้า “The Old Gentleman” หรือชุดนักดำน้ำที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมายังไงล่ะ ชุดดำน้ำ หรือ ชุดประดาน้ำ ดังกล่าวถูกทำขึ้นราวๆ ศตวรรษที่ 18 ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็ได้รับชุดดำน้ำชิ้นนี้มาจากการบริจาคของกัปตัน Leufstadius ในช่วงปี 1860 ผู้ที่สร้างชุดนี้ขึ้นมานั้นนับได้ว่ามีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการดำน้ำที่ล้ำหน้ามากเมื่อเทียบกับยุคสมัย เจ้าชุด The Oldest Gentleman จึงกลายเป็นชุดเต็มตัวสำหรับสวมดำน้ำแทน Diving Bell อุปกรณ์ครอบดำน้ำแบบดั้งเดิม วิธีการสวมใส่ก็คือ ผู้สวมใส่จะแทรกตัวเข้าไปในชุดนี้ทางช่องด้านหน้า แล้วก็ทำการปิดช่องให้แน่นแล้วม้วนเก็บติดกับเข็มขัด ส่วนอากาศหายใจนั้นจะถูกส่งผ่านท่อไม้ที่เชื่อส่วนศีรษะเอาไว้ ส่วนอากาศที่หายใจออกมาแล้วจะถูกปล่อยทิ้งทางท่อเล็กๆ ด้านหลังของชุด ชุดนี้ทำให้ผู้ดำน้ำสามารถดำดิ่งลงไปในใต้น้ำเป็นระยะเวลาสั้นๆ และดำลงไปได้ไม่ลึกเท่าใดนัก เนื่องจากชุดไม่ได้กันน้ำอย่างสมบูรณ์และไม่สามารถทนต่อแรงดันสูงได้ ชุดนี้จึงมีประโยชน์มากสำหรับลูกเรือที่จะดำน้ำลงไปตรวจใต้ท้องเรือโดยที่ไม่ต้องเทียบท่าและพลิกลำเรือขึ้น วิเคราะห์จากลักษณะการสร้างและหลักฐานอื่นๆ เชื่อกันว่าชุด The Oldest Gentleman นี้มีต้นกำเนิดจากประเทศฟินแลนด์ แต่นี่ก็เป็นเพียงการสันนิษฐานเท่านั้น . . . . . ที่มา: designyoutrust และ museum-of-artifacts
-
หนังสือจากปี 1931 ที่จะบอกคุณว่า คนเราสามารถถูก “ไฟช็อต” ได้ด้วยวิธีใดบ้าง!
หลังมนุษย์ค้นพบพลังงานไฟฟ้า ชีวิตของมนุษย์ก็ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นอย่างทวีคูณ แต่ขณะเดียวกันชีวิตก็มีความเสี่ยงมากขึ้นเช่นกันเพราะมีวิธีจบชีวิตเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวิธีนั่นก็คือ การถูกไฟฟ้าช็อตตาย นั่นเอง ทั้งนี้ จึงมีคำแนะนำและคำตักเตือนถึงเรื่องการใช้กระแสไฟฟ้ามาตั้งแต่สมัยโบราณ และวันนี้เราก็จะพาเพื่อนๆ ไปชมหนังสือที่ชื่อว่า Elektroschutz in 132 Bildern จากปี 1931 หนังสือเล่มนี้ได้รวมเอา 132 วิธีที่สิ่งมีชีวิตสามารถถูกไฟฟ้าช็อต และเราก็ได้หยิบเอามา 20 ตัวอย่าง ไปดูกันเลยว่าเราจะสามารถถูกไฟช็อตได้ด้วยวิธีใดบ้าง 1. ฉี่รดสายไฟ 2. สายไฟฟ้าขาดตรงจุดที่สัมผัสกับโลหะ 3. ฉี่รดสายไฟอีกแล้ว 4. ขณะรีดนมวัวก็อาจถูกไฟฟ้าช็อตได้นะ 5. จะชงชาหรือทำอะไรก็มีโอกาสถูกช็อตได้ทั้งนั้น 6. โคมไฟตัวดี 7. ทางที่ดีอย่าสัมผัสสายไฟฟ้าแรงสูง 8. แม้จะรีดผ้าก็มีโอกาสเสี่ยง 9. เดินเท้าเปล่าบนพื้นดิน 10. หลายครั้งที่เห็นหนูถูกไฟช็อตตายก็อาจจะเป็นเพราะแบบนี้ 11. อย่าใช้โลหะแหย่ปลั๊กไฟด้วยมือเปล่า 12.…
-
รู้จัก “เครื่องวัดความสวย” สิ่งประดิษฐ์จากปี 1930 ที่ใช้วัดว่าใบหน้าใคร ‘งดงาม’ ตามพิมพ์นิยม
ในยุคที่การคิดค้นเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ กำลังเบ่งบาน คงไม่ต้องแปลกใจหากจะพบว่ามีอุปกรณ์ประหลาดต่างๆ ให้ได้เห็นกันเป็นประจำ อย่างเช่น เครื่องวัดความสวย (Beauty Calibrator) ที่ถูกสร้างขึ้นในเวลาใดเวลาหนึ่งช่วงปี 1930 โดยผู้เชี่ยวชาญด้านความงามอย่าง Max Factor, Sr. และวันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปชมและรู้จักกับเจ้าเครื่องนี้กัน เครื่องวัดความงาม จะเป็นอุปกรณ์สวมศีรษะประกอบด้วยโลหะหลายเส้น ซึ่งเมื่อนำมาครอบที่ศีรษะแล้ว เครื่องดังกล่าวสามารถบ่งบอกได้ว่าจุดไหนบนใบหน้าที่ควรลด ตัด หรือแต่ง บนเครื่องวัดความงามนี้จะมีปุ่มปรับถึง 325 จุดที่มีไว้สำหรับการกำหนดจุดในการแก้ไขใบหน้า โดยผู้ประดิษฐ์กล่าวเอาไว้ว่าปัจจัยกำหนดความงามที่สำคัญมีอยู่ 2 ประการด้วยกัน ประการแรก ความสูงของจมูกและหน้าผากควรอยู่ในระดับที่เท่ากัน และประการที่สองก็คือ ระยะห่างของดวงตาทั้งสองข้างต้องมีความกว้างเท่ากับดวงตาหนึ่งด้วยพอดี เมื่อทำการวัดและวิเคราะห์ใบหน้าเรียบร้อยแล้ว จะทำให้เห็นได้ว่าใบหน้าของบุคคลนั้นๆ มีจุดใดที่ควรได้รับการปรับบ้าง หลังจากนั้นก็จะเป็นการตัดสินใจของผู้เข้ารับการวัดว่าจะยอมรับการแก้ไขใบหน้าหรือไม่ บริษัท Max Factor กล่าวว่าเครื่องวัดความสวยนี้นอกจากจะใช้วัดความงามตามพิมพ์นิยมของผู้คนได้แล้ว ยังช่วยให้ Max Factor, Sr. นั้นเข้าใจโครงสร้างใบหน้าผู้หญิงมากขึ้นอีกด้วย เครื่อง Beauty Calibrator สร้างขึ้นสำเร็จในปี 1932 โดยครั้งแรกทำขึ้นด้วยความตั้งใจจะใช้ในวงการภาพยนตร์ เพื่อปรับแต่งใบหน้าของนักแสดงนั่นเอง ภายหลังถูกใช้ในวงการความงาม และสูญเสียความนิยมไปในที่สุด สุดท้ายมันถูกเก็บเอาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ฮอลลีวูดและถูกนำมาประมูลขายในปี…
-
หนังสือ ‘นิทานเจ้าหญิง’ เวอร์ชั่นญี่ปุ่น โดนพ่อแม่เด็กโวยเพราะมัน “โมเอะ” เกินไป!
เมื่อพูดถึง ซินเดอเรลลา ลิตเติล เมอร์เมด หรือ สโนว์ไวท์ เราอาจจะนึกถึงภาพของเหล่า “เจ้าหญิงดิสนีย์” ที่แสนน่ารัก แต่หารู้ไม่ว่าการ์ตูนเหล่านี้ถูกสร้างมาจากนิทานพื้นบ้านเก่าแก่หลายศตวรรษมาแล้ว ฉะนั้น ดิสนีย์ จึงไม่ได้เป็นเจ้าเดียวที่นำเรื่องเล่าเหล่านี้มาสร้างเป็นการ์ตูนหรือสื่อร่วมสมัยต่างๆ ผู้ผลิตรายอื่นๆ เองก็สามารถสร้างการ์ตูน ภาพยนตร์ หรือหนังสือที่อิงจากนิทานพื้นบ้านเหล่านี้ขึ้นมาเป็นของตัวเองได้เช่นกัน อย่างเช่นสำนักพิมพ์ Kawade Shobo Shinsha จากญี่ปุ่นที่ได้สร้างหนังสือการ์ตูนอิงจากนิทานโบราณไม่ว่าจะเป็น สโนว์ไวท์ ซินเดอเรลลา และอีกหลายๆ เรื่องขึ้นมาให้เด็กๆ ได้อ่านกัน แต่แหม ด้วยความญี่ปุ๊นญี่ปุ่น ทำให้เจ้าหญิงเหล่านี้ถูกวาดออกมาด้วยลายเส้น โคตรโมเอะ จนกระทั่งพ่อแม่ของเด็กๆ พร้อมใจกันบอกเลยว่าไม่ค่อยชอบภาพปกหนังสือเหล่านี้สักเท่าไหร่ ทางสำนักพิมพ์เลยออกมาทวีตใน @Kawade_shobo ให้เห็นกันว่าหนังสือของพวกเขามันโมเอะเสียจนรับไม่ได้กันเชียวหรือ ในภาพแถวบนจากซ้ายไปขวาจะมีเรื่อง ซินเดอเรลลา ลิตเติลเมอร์เมด และ สโนว์ไวท์ ตามลำดับ ส่วนแถวล่างก็จะมีเรื่อง เจ้าหญิงนิทรา โฉมงามกับเจ้าชายอสูร และ เจ้าหญิงคากุยะ ตามลำดับ ซึ่งภาพปกของหนังสือจากสำนักพิมพ์ Kawade Shobo Shinsha…
-
10 ของประหลาดที่ขุดเจอ “แถวบ้าน” อาจมีของล้ำค่าอยู่ในสวนหลังบ้านคุณก็ได้นะ!
ปัจจุบันโลกของเราก็มีอายุไม่รู้จักกี่ล้านปีเข้าไปแล้ว คงไม่แปลกหากใต้ผืนดินที่เราเหยียบย่ำกันอยู่ทุกวันมันจะมีซากอารยธรรมโบราณอะไรบางอย่างถูกกลบฝังอยู่ และแน่นอนว่าสิ่งของเหล่านั้นมันอาจจะอยู่ใต้พื้นดินบริเวณไหนของโลกก็ได้ มันอาจจะอยู่ใต้ที่ทำงานของคุณ ใต้สนามฟุตบอล ใต้พื้นบ้านคุณ หรืออาจจะใต้เท้าของคุณตอนนี้ก็เป็นได้ วันนี้เราจึงจะมานำเสนอ 10 ของเด็ดๆ ที่ชาวโลกขุดเจอใต้ดินละแวกบ้าน บางทีอ่านแล้วคุณอาจจะอยากลุกจากหน้าจอไปลงมือขุดสนามหญ้าหน้าบ้านดูก็เป็นได้ ฮ่าๆ 1. รถสปอร์ต Ferrari Dino 264 GTS ปี 1974 ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1978 เด็กสองคนดันลงไปเล่นดินโคลนแล้วได้ยินคล้ายหลังคารถดังมาจากใต้พื้น จากนั้นนายอำเภอพร้อมทีมขุดก็พบรถคันนี้ ตรวจสอบต่อมาพบว่าเป็นคันที่ถูกขโมยมาซ่อนไว้ราว 2-3 ปีก่อน 2. สุสานจากศตวรรษที่ 17 ที่ถูกลืมเลือน Vincent Marcello ผู้อาศัยในนิวออร์ลีนส์ตั้งใจจะขุดสระว่ายน้ำในปี 2010 แต่สิ่งที่พบใต้พื้นพสุธานั้นกลับเป็น โลงศพเก่าราว 15 โลง ซึ่งนักโบราณดคีตรวจสอบแล้วว่าเป็น สุสานเซนต์ปีเตอร์ ดั้งเดิมนั่นเอง 3. ขีปนาวุธที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ใต้สนามโรงเรียนมัธยม ใต้โรงเรียน Odyssey Middle School ในรัฐฟลอริดา สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นเคยใช้เป็นพื้นที่ทดสอบขีปนาวุธ ซึ่งเวลาผ่านไปอาวุธเหล่านี้ก็ถูกกลบฝังลงไปใต้ดิน…
-
ภาพวาด “การ์ตูนดิสนีย์” สไตล์สีน้ำมัน ความงดงามแบบย้อนยุค กลิ่นอายศตวรรษ 19
การ์ตูน ดิสนีย์ ที่แสนสนุกหรรษา ได้นำพาใครหลายคนให้โลดแล่นไปในโลกของจินตนาการ รวมถึงเหล่าศิลปินเองก็สร้างสรรค์ผลงานที่ได้แรงบันดาลใจจากการ์ตูนดิสนีย์ออกมามากมาย แต่ใครจะไปคิดกันล่ะว่าเมื่อเหล่าตัวการ์ตูนจากดิสนีย์ถูกวาดขึ้นใหม่ด้วย สีน้ำมัน ในสไตล์สมจริง มันกลับกลายเป็นความสวยงามจนอยากจะนำไปใส่กรอบแล้วแขวนข้างฝาบ้านเลยทีเดียว ผลงานดังกล่าวศิลปินชาวอเมริกันนามว่า Heather Theurer ผู้ที่ใช้สีน้ำมันวาดเหล่าตัวละครจากดิสนีย์ออกมาเป็นสไตล์เรอแนซ็องส์อันแสนมืดครึ้มและงดงาม ผลงานของเขาจะออกมาเป็นอย่างไร เราไปชมพร้อมๆ กันเลย! 1. Mulan 2. Lilo & Stitch 3. Merida จาก Brave 4. Elsa, Anna และ Olaf จาก Frozen 5. Tiana จาก The Princess and the Frog 6. Dumbo 7. Belle จาก Beauty and the Beast 8. Alice จาก Alice in Wonderland 9. Ariel จาก…
-
เด็กสาวลงไปเล่นน้ำในทะเลสาบ บังเอิญพบ ‘ดาบเก่าแก่’ ที่มีอายุมากกว่า 1,000 ปี!!
ใครเล่าจะคิดว่าการเล่นของเด็กๆ จะนำไปสู่การค้นพบหลักฐานสำคัญทาประวัติศาสตร์ ที่มีอายุมากกว่า 1,000 ปี!! เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อน ครอบครัวได้พากันไปพักผ่อนที่ริมทะเลสาบ Vidöstern ในเมือง Tånnö ประเทศสวีเดน Saga Vanecek ลูกสาววัย 8 ขวบลงไปเล่นในน้ำตามปกติอย่างสนุกสนาน ก่อนที่จะบังเอิญไปหยิบ ‘แท่ง’ บางอย่างขึ้นมาได้ “ตอนแรกหนูคิดว่าเป็นกิ่งไม้ แต่พอเอาขึ้นมาจากน้ำก็พบว่ามันมีรูปร่างคล้ายกับดาบเลย” จากการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญในพิพิธภัณฑ์ Jönköpings Läns แล้วก็ทำให้ทราบว่า อาวุธที่เด็กสาวพบนั้นอาจจะเป็นของชนเผ่าโบราณ ที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อช่วง 1,000 ปี ถึง 1,500 ปี ก่อนยุคกำเนิดชาวไวกิงเลยทีเดียว!! มันมีความยาวราวๆ 85 เซนติเมตร มีทั้งเศษไม้และเหล็กเป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังไปตรวจสอบบริเวณทะเลสาบดังกล่าวเพิ่มเติม และพวกเขาก็ค้นพบชิ้นส่วนของเหล็กที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเพิ่มเติมอีกด้วย นับว่าเป็นการค้นพบที่น่าประทับใจ และเหล่านักโบราณคดีก็เชื่อว่าในทะเลสาบแห่งนี้ยังมีอะไรซ่อนอยู่อีกมากมาย Andy Vanecek คุณพ่อของหนู Saga เล่าว่า “ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมมันถึงมาอยู่ตรงนั้น เราไปช่วยเหล่านักโบราณคดีจากพิพิธภัณฑ์ค้นหาพื้นที่ตรงนั้นอีกครั้งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ก็พบชิ้นส่วนอื่นๆ เพิ่มเติมที่มาจากยุคเดียวกัน ผมไม่ทราบว่ามันคืออะไร แต่มันน่าจะเป็นสถานที่ที่เอาไว้ทำพิธีบูชายัญ” …
-
10 วิธีการรักษาทางการแพทย์ “แปลกๆ” ในอดีต โชคดีแล้วที่เราไม่ได้เกิดมาในยุคนั้น…
โรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอกับมนุษย์เรา แต่โชคดีที่มนุษย์นั้นสามารถหาทางรักษาโรคต่างๆ ได้ แต่กว่าจะค้นหาวิธีการรักษาแต่ละโรคได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย ทุกวันนี้ เพียงการรักษาด้วยการฉีดยาหรือผ่าตัดสำหรับบางคนก็อาจจะร้อง “ยี้” แล้ว แต่ลองย้อนกลับไปสมัยก่อนที่การแพทย์กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาล่ะก็ รับรองว่าการรักษาโรคไม่ได้ทำง่ายๆ เพียงแค่ฉีดยาแน่นอน ไปชมกันเลยว่าในสมัยก่อนการรักษาโรคต่างๆ กว่าจะประสบความสำเร็จแบบทุกวันนี้ได้ต้องผ่าน ความเชื่อผิดๆ แบบไหนมาบ้าง…?? 1. รักษาด้วยการ “มีเซ็กส์กับชาย/หญิงบริสุทธิ์” ครั้งหนึ่งเมื่อคุณมีโรคติดต่อทางเพศ มีความเชื่อว่าหากไปมีเพศสัมพันธ์กับชาย/หญิงบริสุทธิ์ โรคจะถูกส่งต่อไปสู่คนผู้นั้น และคุณก็จะหาย (แถมทุกวันนี้บางที่ก็ยังเชื่อแบบนี้อยู่เลย) 2. รักษากามโรคด้วย “โรคมาลาเรีย” ครั้งหนึ่ง แพทย์ส่วนใหญ่เชื่อว่าการฉีดเชื้อโรคมาลาเรียเข้าไปในผู้ที่ป่วยเป็นโรคซิฟิลิสจะทำให้อาการไข้สามารถทำลายเชื้อของทั้งสองโรคได้ แต่ผลสุดท้ายคนไข้ก็ตายด้วยโรคมาลาเรีย 3. หนูตายรักษาได้แทบทุกอย่าง ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณซากหนูที่ตายนั้นจะถูกนำมาใช้รักษาอาการปวดฟัน ส่วนในสมัยเอลิซาเบธ ศพหนูจะถูกผ่าครึ่งแล้วนำมารักษาหูด นอกจากนี้หนูตายตามรายงานยังบอกว่าเคยถูกนำมาใช้รักษาอาการไอกรน โรคหัด ฝีดาษ และการฉี่รดที่นอนอีกด้วย 4. เหล็กแหลมร้อนรักษาริดสีดวง ในสมัยโบราณ นักบวชกลุ่มหนึ่งมีความเชื่อการใช้เหล็กแหลมร้อนเสียบเข้าไปในรูทวารนั้นสามารถรักษาอาการริดสีดวงทวารได้ 5. การใช้ปรอทเหลว ในสมัยกรีกและเปอร์เซียโบราณมีการใช้ปรอทเหลวเป็นเครื่องทาคล้ายยาขี้ผึ้ง ส่วนชาวจีนโบราณใช้เป็นยาอายุวัฒนะ และมีการใช้เป็นยาวิเศษอีกหลายแห่ง แต่ความจริงแล้วปรอทเหลวมีแต่จะนำความตายมาให้ 6.…
-
นักวิจัยค้นพบ ‘เต่า’ อายุ 228 ล้านปี ‘ไม่มีกระดอง’ กับการวิวัฒนาการอันน่าฉงนของมัน!?
หลายคนคงจะเข้าใจกันดีว่า ‘เต่า’ เป็นสัตว์ที่มี ‘กระดอง’ เป็นอวัยวะของร่างกาย หากขาดกระดองไปมันก็อาจจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าเมื่อราวๆ 228 ล้านปีก่อนมี ‘เต่า’ ที่ไม่มีกระดองอาศัยอยู่บนโลกของเรา ก่อนที่จะวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นเต่าที่มีกระดองจนถึงทุกวันนี้ จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ลงในวารสารเกี่ยวกับธรรมชาติเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ได้มีการระบุว่าค้นพบฟอสซิลของสัตว์ชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Eorhynchochelys หรือแปลได้ว่า ‘เต่าจงอยปากพระอาทิตย์จากเมืองจีน’ (Dawn beak turtle from China) เป็นเพราะมันมีเต่าสปีชีส์แรกที่มีจงอยปากนั่นเอง มันมีรูปร่างลำตัวเป็นลักษณะจานร่อน มีกระดูกซี่โครงกว้าง แต่ซี่โครงเหล่านั้นไม่ได้ก่อตัวสร้างเป็นกระดองเหมือนกับเต่าในยุคปัจจุบัน “สิ่งมีชีวิตชนิดนี้น่าจะมีความยาวประมาณ 1.8 เมตร มีรูปร่างคล้ายแผ่นซีดี และหางยาว ส่วนปากของมันมีลักษณะเป็นจงอย” “มันน่าจะอาศัยอยู่ในหนองน้ำตื้น และใช้ปากเพื่อขุดหาอาหารในดินโคลน จึงทำให้ปากของมันต้องมีลักษณะแบบนั้น” Olivier Rieppel ผู้ชำนาญวิชาที่ว่าด้วยสัตว์และพืชดึกดำบรรพ์กล่าว ถือเป็นเรื่องที่น่าฉงนใจเป็นยิ่งนัก กับการวิวัฒนาการของเต่า เพราะเต่าที่มีชีวิตก่อนหน้านี้ประมาณ 240 ล้านปี ชื่อว่า Pappochelys กลับเป็นเต่าที่มีกระดองแต่เป็นกระดองที่อยู่ตรงใต้ท้องเท่านั้น แถมไม่มีปากเป็นจงอยอีกด้วย พอวิวัฒนาการต่อมากลับไม่มีกระดองอยู่เลย กลับกันเต่าในยุคปัจจุบันที่มีทั้งจงอยปาก และกระดองที่อยู่ด้านใต้ท้องและด้านบนหลัง ทำให้เห็นว่าการวิวัฒนาการของมันนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงไปมาได้แทนที่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นเหมือนเส้นตรง…
-
กล่องไม้ปริศนา ที่ซื้อมาในราคาถูกๆ มันติด “ภาพถ่ายเก่าแก่” อายุกว่า 100 ปีมาด้วย…
ปริศนาไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่กลับเป็นสิ่งที่เราต้องเข้าไปค้นหามันต่างหาก… ผู้ใช้ทวิตเตอร์นามว่า Scott Patrick ได้โพสต์ภาพของ “กล่องไม้เก่า” ลงบนทวิตเตอร์ของตนเอง พร้อมอธิบายว่าเป็นกล่องที่พ่อของเขาไปซื้อมาจากรถขายของเก่า และพ่อของเขาก็ชอบการค้นหาปริศนาในกล่องเสียด้วย กล่องนี้ยังไงล่ะ พอเปิดดูกลับพบเป็นแผ่นฟิล์มเนกาทีฟส์อายุราว 100 ปี แต่ละภาพที่พบมีลักษณะเป็นแบบนี้ (ดูหลอนๆ ชอบกลแฮะ) และแบบนี้… โชคดีที่ Greg Pack วัย 70 ปีผู้เป็นพ่อ อดีตเคยทำงานกับภาพฟิล์มเนกาทีฟส์มาก่อน จึงพอรู้วิธีการเปลี่ยนภาพฟิล์มให้กลายเป็นภาพถ่ายปกติ พวกเขาใช้กล้องจากโทรศัพท์มือถือถ่ายภาพฟิล์มเหล่านี้ แล้วนำไปกลับสีกลับแสงในโปรแกรม โดยความช่วยเหลือจาก Scott ผู้เป็นลูกชาย หลังจากนั้น พวกเขาจึงใช้กล้องถ่ายแล้วนำไปเข้าโปรแกรม Photoshop มันก็เลยกลายเป็นภาพถ่ายเก่าแก่ที่บรรจุเอาไว้ซื่งความทรงจำของใครบางคนในอดีต ลองมาดูผลงานของภาพที่เหลือกัน อาจจะดูหลอน แต่พอกลับเป็นภาพปกติแล้วก็ดูราวกับหนังย้อนยุคเลยทีเดียว จากภาพนี้… กลายเป็นภาพนี้ จากภาพนี้… กลายเป็นภาพนี้… จากกล่องปริศนา ทำให้เห็นภาพของเด็กๆ…
-
นักวิทย์ฯ ฟื้นคืนชีพ ‘หนอนตัวกลม’ ที่ถูกแช่แข็ง 40,000 ปี กลับมามีชีวิตอีกครั้ง!!
ว่ากันว่าหากสิ่งมีชีวิต ‘ถูกแช่แข็ง’ เอาไว้ จะทำให้มีชีวิตยืนยาวได้เป็นร้อยๆ หรือพันๆ ปี!? ดังที่เรามักจะเห็นกันในหนังแนวไซไฟ หรือแนววิทยาศาสตร์ที่มีตัวร้ายถูกแช่แข็งเอาไว้ พอเอามาละลายก็ทำให้กลับมามีชีวิตได้อีกครั้งหนึ่ง แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่านักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองและสามารถทำให้หนอนที่ถูกแช่แข็งมาตั้งแต่ยุคแมมมอธ ให้กลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง!! จากรายงานล่าสุดของเว็บไซต์ Dailymail ทำให้ทราบว่าตอนนี้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำให้หนอนที่ถูกแช่แข็งมาตั้งแต่ยุคน้ำแข็ง หรือราวๆ 42,000 ปีก่อน ให้มันสามารถกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งหนึ่ง เจ้าหนอนชนิดนี้มีชื่อว่า ‘หนอนตัวกลม’ (Nematodes) ที่ถูกแช่แข็งและหยุดเวลาชีวิตเอาไว้ในยุคน้ำแข็ง Pleistocene หรือยุคที่แมมมอธขนยาวยังมีชีวิตอยู่ การทดลองนี้ทำขึ้นที่ห้องแล็บของสถาบัน Physico-Chemical and Biological Problems of Soil Science ณ กรุงมอสโกประเทศรัสเซีย ทีมนักวิจัยได้ร่วมมือกันกับนักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัย Princeton University จากรัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ลงมือชุบชีวิตเหล่าหนอนที่เก็บตัวอย่างมาได้มากกว่า 300 ตัว แต่สุดท้ายแล้วมีเพียง 2 ตัวเท่านั้นที่ฟื้นคืนชีพกลับมาได้ เจ้าหนอนเหล่านี้ถูกเจ้าหน้าที่ธรณีวิทยาเก็บสะสมมาเป็นระยะเวลายาวนาน และตัวที่ฟื้นขึ้นมาก็เก็บได้จากแม่น้ำ Alazeya เมื่อปี 2015 จากการตรวจสอบคาดว่าพวกมันอาจมีชีวิตมานานกว่า 41,700 ปี…
-
พบโครงกระดูก “แม่มด” ในโปแลนด์ มีรูเจาะเต็มตัวเพื่อป้องกันเธอ ‘ลุกขึ้น’ จากความตาย
เคยได้ยินไหมว่า ตำนานจากยุคกลาง มนุษย์นั้นเคยหวาดกลัว “แม่มด” เป็นอย่างมาก หากหญิงคนใดถูกสงสัยหรือพบว่าเป็นแม่มดแล้วล่ะก็ คนผู้นั้นต้องย่อยยับอย่างแน่นอน ล่าสุดมีคนพบเจอโครงกระดูกอันน่าสะพรึง เมื่อสำรวจดูร่องรอยต่างๆ ทำให้นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นโครงกระดูกของแม่มดอย่างแน่นอน โครงกระดูกดังกล่าวถูกขุดพบที่สุสานในโปแลนด์โดยนักโบราณคดีที่ชื่อว่า Karol Piasecki สภาพของโครงกระดูกพบก้อนอิฐถมทับและมี “รู” ปรากฏขึ้นหลายจุดของโครงกระดูก ทำให้เกิดความคิดว่าชาวบ้านสมัยก่อนกลัวว่าโครงกระดูกที่เชื่อว่าเป็นแม่มดนี้จะลุกขึ้นจากหลุมศพหากไม่ยึดโครงกระดูกให้ติดกับพื้นพร้อมทั้งถมด้วยก้อนอิฐ ใครครั้งแรกที่พบ คิดว่าโครงกระดูกของบุคคลที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นแวมไพร์ เพราะถูกฝังไกลออกไปจากสุสานใหญ่ แถมมีร่องรอยของพิธีกรรมสะกดวิญญาณอยู่ด้านบนพื้นดินเหนือหลุมศพนี้ แต่เมื่อตรวจ DNA จากกระดูกของศพแล้วพบว่าเป็นร่างของ “ผู้หญิง” ซึ่งน่าจะมีผมสีบลอนด์และตาสีฟ้า แถมยังเป็นผู้ที่ถูกทรมานอีกด้วย สำหรับประเทศโปแลนด์ หญิงที่ถูกกล่าวว่าเป็นแม่มดมักจะเป็นภรรยาหรือคนรักของบุคคลฐานะมั่งคั่งของสังคม และพวกเธอจะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดทันทีหลังจากความสัมพันธ์ของเธอกับสามีย่ำแย่ลง หรือยามที่ผู้คนเกลียดชังพวกเธอมากๆ ร่องรอยที่เป็น “รู” เนื่องจากถูกตอกยึดให้ติดกับพื้น โครงกระดูกนี้เชื่อว่าน่าจะถูกฝังมาตั้งแต่ราวๆ ศตวรรษที่ 16 หรือ 17 Grzegorz Kurka ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่เก็บโครงกระดูกนี้เอาไว้กล่าวว่า “ด้วยเหตุผลบางประการ พวกเขาไม่ได้เผาเธอทั้งเป็น แต่กลับฝังเธอเอาไว้ให้เธอไม่สามารถลุกขึ้นมามีชีวิตได้อีก” นอกจากนี้เขายังบอกว่าภายในสิ้นปีนี้จะพยายามค้นพบให้ได้ว่าเจ้าของร่างโครงกระดูกนี้มีลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ โดยใช้เทคโนโลยีการตรวจจับโครงใบหน้าเป็นตัวช่วย ยุคสมัยก่อนมีความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจที่ค่อนข้างรุนแรงและน่ากลัว จึงไม่แปลกหากหญิงคนใดถูกมองว่าเป็น “แม่มด”…
-
เคยเห็นยัง!? คำภีร์ “ร่วมรัก” แห่งราชวงศ์ชาง ที่พาจอมยุทธ์ขึ้นสวรรค์มาแล้วนักต่อนัก!!
(คำเตือน: มีภาพและเนื้อหาที่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีควรใช้วิจารณญาณในการรับชม) มนุษย์ย่อมมีความรักไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ตาม การร่วมเพศ จึงหาใช่สิ่งแปลกประหลาดในอดีตไม่ สมัยก่อนเองก็คงจะไม่แตกต่างจากยุคปัจจุบันยามที่ชายและหญิงเกิดการประลองยุทธ์กันบนเตียง ในดินแดนจีนสมัยโบราณ ชาวจีนจำนวนไม่น้อยพยายามตามหาคำภีร์วิชาลับเพื่อฝึกวิทยายุทธ์ ให้เป็นยอดฝีมือและเลื่องชื่ออยู่ในยุทธภพ แต่เมื่อมาถึง ยุคสมัยราชวงศ์ชาง กลับมีคำภีร์กระบวนท่าอัศจรรย์ที่จะพาชายทั่วยุทธจักรให้ขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกับเหล่าอิสตรี นั่นก็คือ “คำภีร์ร่วมรัก 48 กระบวนท่า” นั่นเอง คำภีร์ร่วมรัก 48 กระบวนท่า เป็นตำราคู่มือสอน “กระบวนท่า” ของการร่วมรัก มีทั้งภาพประกอบคำและคำอธิบายอย่างละเอียด ด้านหนึ่งเป็นส่วนของคำอธิบาย อีกด้านหนึ่งเป็นภาพประกอบ ท่านี้ชื่อว่า “ลิงปีนต้นไม้” (ปล. แปลตามภาษาอังกฤษ ที่แปลจากจีนมาอีกที) “บำเพ็ญเซียนเป่า” “เข็มขัดหยก” “จับเสือมือเปล่า” เขาไม่ได้บอกชื่อท่าแฮะ “จอมยุทธ์แสวงหา” “เกษียรวารี” ไม่ทราบชื่อกระบวนท่า “หักเหลี่ยมนารี” “ถลุงลำคอ” …
-
โบสถ์จ้างครูสอนศิลปะมาบูรณะรูปปั้นที่มีอายุ 500 ปี แต่ไหงออกมาเฟลแบบนี้ล่ะเนี่ย!?
การบูรณะงานศิลปะโบราณที่มีอายุนับร้อยปีให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งนับเป็นงานที่ยากมากๆ ฉะนั้นคนที่จะทำหน้าที่นี้ได้ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีทั้งความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และศิลปะ เพราะหากเราแค่ทาสีใหม่เพียงอย่างเดียวก็อาจจะทำให้มันกลายเป็นผลงานสุดเฟลแบบเรื่องราวต่อไปนี้ก็เป็นได้… เรื่องมีอยู่ว่าทางโบสถ์ San Miguel de Estella ที่ตั้งอยู่ในเมือง Navarre ประเทศสเปน ได้ทำการจ้างช่างฝีมือเพื่อมาทำการบูรณะรูปปั้นเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 500 ปี เป็นรูปปั้นของนักบุญ George ที่กำลังขี่ม้าและต่อสู้กับมังกร ในอดีตมันเป็นงานศิลป์ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับพระคัมภีร์ไบเบิล ของดั้งเดิมก่อนจะบูรณะนั้นมีสภาพที่เก่าเพราะผ่านกาลเวลามานานกว่า 500 ปีแล้ว แทนที่จะจ้างช่างฝีมือระดับมืออาชีพ ที่มีความรู้เกี่ยวกับการผสมสี และประวัติศาสตร์ทางด้านศิลป์ ทางโบสถ์ได้ตัดสินใจจ้าง ‘ครูสอนวิชาศิลปะ’ จากโรงเรียนในพื้นที่แทน และนี่คือผลที่ได้!! หน้าตาของรูปปั้นนักบุญ George กลายเป็นหุ่นที่อยู่ในสนามเด็กเล่นไปซะแล้ว คาวาอี้เดสสุดๆ ด้วยเหตุนี้เองทางด้านนายกเทศมนตรี Koldo Leoz ได้ออกมาพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ว่า “การบูรณะงานศิลป์ชิ้นนี้ทำให้เรารู้ว่า ควรจะให้ทางการประกาศหาผู้เชี่ยวชาญ และช่างมีฝีมือเพื่อมารับหน้าที่นี้ เพราะการบูรณะรูปปั้นงานศิลป์จากยุคศตวรรษที่ 16 คุณจะต้องระมัดระวังอย่างมากในการเลือกวัสดุต่างๆ ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะสูญเสียความเป็นดั้งเดิมไปหมดเลยก็ได้” “ในมุมมองของวัฒนธรรม ประวติศาสตร์ และงานศิลปะ มันคือความฉิบหายวายป่วง ในความคิดเห็นของผมโบสถ์ถือเป็นสถานที่ที่รวบรวมไว้ซึ่งประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมและงานศิลป์ต่างๆ ซึ่งมันการจะเปลี่ยนแปลงหรือทำอะไรเกี่ยวกับมัน ควรจะเป็นหน้าที่ของรัฐมากกว่า”…
-
11 อสุรกายดึกดำบรรพ์ ที่เคยแหวกว่ายอยู่จริงใต้มหาสมุทร แค่คิดก็สยิวแล้ว!!
ภายใต้ผืนน้ำและมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เพียงแค่ความลึก ความดำมืด และแรงดันมหาศาล ก็ทำให้คนเราเกิดความกลัวได้อย่างมากโขแล้ว ทั้งที่ยังมีสิ่งมีชีวิตปริศนามากมายที่ยังไม่ถูกค้นภพภายใต้มหาสมุทรอันแสนมืดมน แต่มหาสมุทรกลับทำให้เราต้องขนหัวลุกอีกครั้ง เมื่อในอดีตกาล “มหาสมุทร” เคยเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าสัตว์ประหลาดยักษ์ หากใครย่างกรายเข้าไปในผืนสมุทรก็อาจถูกอสุรกายเหล่านี้ฆ่าได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นแมลง แต่ถือว่าโชคดีที่ปัจจุบันมันได้สูญพันธุ์ไปแล้ว เรามาสัมผัสความน่ากลัวเหล่านั้นกันดีกว่ากับ 11 อสุรกายใต้น้ำ ที่ครั้งหนึ่งเคยแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรจริงๆ 1. Megalodon อสุรกายตัวนี้มีฉายาว่า ฉลามที่ตัวเท่าวาฬ มันมีความยาวมากกว่า 15 เมตร มันล่าวาฬเป็นอาหาร ความโหดของมันคือ เมื่อจับวาฬเป็นเหยื่อได้แล้วมันจะฉีกหางและครีบของวาฬออก ปล่อยให้ดิ้นทุรนทุรายพร้อมกับกัดกินไปด้วย โชคดีที่ Megalodon สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ 2.6 ล้านปีที่แล้ว 2. Dunkleosteus เจ้าตัวนี้มีฉายาว่า อสุรกายหุ้มเกราะ เคยอาศัยอยู่บนโลกเมื่อราวๆ 400 ล้านปีที่แล้ว ปลาตัวนี้มีพลังกัดมหาศาล กัดได้รุนแรงยิ่งว่าไดโนเสาร์ T-Rex เสียอีก อาหารของมันก็คือ อะไรก็ตามที่มันอยากกิน ลำตัวของมันมีเปลือกแข็งห่อหุ้มตั้งแต่หัวจรดหาง ลำตัวของมันมีความยาวราวๆ 10 เมตร 3. Mosasaurus …
-
10 ความจริงทางประวัติศาสตร์ของชาวกรีกโบราณ ค่านิยมอันน่าเหลือเชื่อ มีอย่างนี้จริงๆ หรือ?!
ในอดีตก่อนที่จะถึงยุคที่วิทยาศาสตร์สามารถหาคำตอบของสิ่งต่างๆ ได้ คนเราในยุคนั้นก็จะเต็มไปด้วยความเชื่อแปลกๆ ที่เราอาจไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเขาจะทำอย่างนั้นกันจริงๆ วันนี้เราจึงอยากชวนให้เพื่อนๆ ได้ลองมารู้ความจริงสุดประหลาดของชาวกรีกโบราณ กับสิ่งต่างๆ ที่เขาเชื่อหรือค่านิยมต่างๆ ที่ไม่ธรรมดา มันแตกต่างกับเราในยุคนี้มากแค่ไหน ลองไปเปรียบเทียบกันเองเลย 1. แพทย์จะชิมรสชาติขี้หูเพื่อวินิจฉัยโรค จริงๆ แค่อาการทั่วๆ ไปก็สามารถวินิจฉัยอาการป่วยได้แล้ว แต่แพทย์หลายคนในยุคนั้นกลับใช้วิธีการ ชิมขี้หู เสริมด้วย เพราะพวกเขาเชื่อว่าของเสียในร่างกายจะมีรสชาติที่เป็นเฉพาะ ถ้ารสชาติมันเปลี่ยนไปย่อมแสดงถึงความผิดปกติของร่างกาย พวกเขาจึงจะใช้นิ้วแหย่เอาขี้หูคนไข้มาชิม หรืออาจเป็นของเสียอื่นๆ ตามร่างกายเรา 2. น้ำยาเหงื่อไว้สำหรับผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ก่อนการออกกำลังกาย นักกีฬาจะทาน้ำมันมะกอกไปทั่วตัว ซึ่ง น้ำมันดังกล่าว จะมีส่วนผสมของเหงื่อและของเสียที่ถูกขูดออกมาตามผิวหนังโดยใช้อุปกรณ์พิเศษ (เหมือนในรูปขวา) โดยส่วนผสมดังกล่าวพวกเขาเชื่อว่าจะช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ เป็นยาที่มีการวางขายจริงในยุคนั้น 3. สิ่งปฏิกูลมีไว้สำหรับสุขภาพของผู้หญิง ชาวกรีกโบราณเชื่อว่า ผู้หญิงอ่อนแอต่อมลพิษหรือพวกสิ่งเจือปน ทำให้พวกเขาใช้วิธีแปลกๆ ในการรักษาอาการดังกล่าว ยกตัวอย่างเช่นในกรณีหญิงสาวแท้งลูก พวกเธอจะต้องกินไวน์ที่ผสมกับพวกลำไส้และอุจจาระสัตว์ทอดเข้าไป ในขณะเดียวกันกลับไม่มีการบันทึกว่าผู้ชายต้องทำอย่างนั้นเลย 4. การจามช่วยให้ไม่ท้อง เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ หลังจากที่มีอะไรกันเสร็จ ผู้หญิงจำเป็นต้องจามออกมาทันที ซึ่งแน่นอนว่าเป็นวิธีการที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย หรืออีกวิธีของการป้องกันการตั้งครรภ์คือการทายางสนผสมน้ำผึ้งลงไปบนอวัยวะเพศชาย ซึ่งมันก็ไม่เกี่ยวกันอยู่ดี…
-
แนะนำละครไตล์ “บุพเพสันนิวาส” ให้กลิ่นอายย้อนยุค ฮาๆ เผื่อเก็บเอาไว้ดูต่อหลังบุพเพจบ
มันจะโด่งดังเป็นกระแสฮิตติดลมบนกันเกินไปแล้วววว สำหรับละครไทยย้อนยุคสุดฮาอย่าง บุพเพสันนิวาส ที่ แหม…ต้องยอมรับว่าเขาทำออกมาได้ดีจริงๆ เรียกว่าเปิดดูกันแทบจะทุกหนทุกแห่งเลยทีเดียว ด้วยการเล่นใหญ่ของตัวละครแต่ละตัว ที่งัดเอาความสามารถทางการแสดงออกมากันอย่างเต็มที่ ประกอบกับบทพูดและเนื้อเรื่องที่คอยบิ้วให้ผู้ชมเกิดอารมณ์ร่วมอยู่เสมอๆ บุพเพสันนิวาส จึงกลายเป็นละครที่ตรึงใจผู้คนอย่างล้นหลาม แต่ว่างานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกราล่ะนะ วันหนึ่ง บุพเพสันนิวาส อันแสนสนุกสนานก็ต้องจบลง เหลือเอาไว้เพียงบรรยากาศแห่งความสนุกสไตล์ย้อนยุคเอาไว้เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ #เหมียวโลลิ แนะนำว่า ให้หาอะไรดูที่มันยังคงได้บรรยากาศที่ละม้ายคล้ายคลึงกับบุพเพสันนิวาสเสียหน่อยจะดีกว่า เพราะว่า ละครไทยและต่างประเทศ มันก็พอมีบ้างที่ให้อารมณ์โรแมนติกคอมเมดี้ย้อนยุคแบบนี้ วันนี้ เราจึงจะขอเสนอ 4 ละครเอเชีย ที่ให้บรรยากาศคล้ายๆ บุพเพสันนิวาส เผื่อจะเก็บเอาไว้ดูหนังบุพเพอวสานไปแล้ว เอาล่ะ จะมีเรื่องอะไรบ้าง ไปดูกันเลย 1. ทวิภพ (ปีพ.ศ. 2554) ทวิภพ เป็นชื่อหนึ่งในบทประพันธ์ที่มีชื่อเสียงของ “ทมยันตี” ซึ่งเรื่องราวก็จะคล้ายๆ กันตรงที่เป็นความรักที่เกิดขึ้นต่างภพ ระหว่างอดีตและปัจจุบัน ในเรื่องจะมีการย้อนเวลา ย้อนยุคกลับไปอยู่ในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 แถมยังมีเหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์มาเกี่ยวข้องอีกด้วย ถึงแม้ว่า เวอร์ชันปี 2554…
-
คิดว่าเราเท่ใช่ไหม? ชม!! 22 ภาพจากรุ่นพ่อ… ของพ่อ ที่บอกได้แค่ว่า เท่เหนือกาลเวลาโคตรๆ
ปู่ย่าตายายอันเป็นที่รักของเรานั้น ครั้งหนึ่งพวกเขาก็เคยที่จะเป็นคนหนุ่มคนสาวที่ไปเที่ยวตามดิสโก้คลับ สนุกกับเพื่อนๆ ทำอะไรโง่ๆ และตกหลุมรักใครสักคนเหมือนกัน แน่นอนว่าในช่วงเวลานั้นเองพวกเขาก็ต้องตามแฟชั่นสุดแนว ไม่แพ้กับพวกเราอยู่แล้ว ต้องขอบคุณการคิดค้นภาพถ่ายจริงๆ ที่ทำให้พวกเราสามารถย้อนเวลากลับไปดูพวกเขาในวันวานเหล่านั้นได้ อย่างเช่นภาพ 22 ภาพจากปู่ย่าตายายเหล่านี้ ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยอมรับว่าพวกท่านนั้นเท่โคตรๆ เหนือกาลเวลาจริงๆ พวกปู่ย่าตอนที่คบกันในปี 1960 ย่าของผมกำลังสนุกสนานกับชีวิตในยุค 1950 คุณปู่ และสัตว์เลี้ยงของท่านในช่วงยุค 1950 คุณย่าของผมเสียไปเพราะโรคมะเร็ง และนี่คือภาพของท่านที่ผมชอบที่สุด คุณปู่ของผมทำหน้าแบบนี้ในยุค 1950 มิสเตอร์บีนถอยไป ตอนที่คุณย่าโชว์รูปคุณปู่สมัยหนุ่มให้ดู ผมรู้สึกพ่ายแพ้อย่างบอกไม่ถูก ปู่ของฉันระหว่างการรับราชการทหารที่เวียดนามในยุค 1970 คุณปู่ผู้นำแฟชั่นของฉัน ตอนกำลังขับรถมอเตอร์ไซค์ ยายและหมาไอริชของเธอในปี 1974 ตาของฉัน ถ่ายรูปกับปลาที่จับได้สดๆ ของเขาในยุค 1940 ยายของฉันเคยขับเฮลิคอปเตอร์ให้กองทัพด้วย คุณปู่ของผมเพิ่งจะอายุ 90 เมื่อไม่นานมานี้ และนี่คือภาพของท่านในยุค 50…
-
ชุดภาพโบราณสถาน เหลือเพียงซากในปัจจุบัน แต่ให้จินตนาการช่วยซ่อมแซม และเติมเต็มได้
ตามสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ด้วยความที่อายุอานามไม่ใช่น้อยๆ แน่นอนว่าสภาพของสถานที่เหล่านั้นคงไม่สมบูรณ์แบบ 100% เหลือเพียงแค่ซากที่ถูกอนุรักษ์ไว้เท่าที่จะทำได้ ส่วนภาพที่สมบูรณ์แบบ ก็คงมีแต่ในภาพจำลอง วิหารพาร์เธนอน, กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ เหล่านักท่องเที่ยวผู้เข้าเยี่ยมชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ จะต้องคอยตามเก็บรายละเอียดความรุ่งเรืองในยุคเก่าแก่เช่น วิหารพาร์เธนอน, พีระมิดแห่งดวงอาทิตย์ และวิหารลักซอร์ ซึ่งโปรเจกต์ NeoMam ก็เกิดมาเพื่อเติมเต็มในส่วนที่คุณอาจจะมองไม่เห็น ให้เกิดเป็นภาพที่เด่นชัดขึ้นมา พีระมิดแห่งดวงอาทิตย์, ประเทศเม็กซิโก Largo di Torre Argentina, กรุงโรม ประเทศอิตาลี พีระมิด Nohoch Mul, ประเทศเม็กซิโก โปรเจกต์นี้ได้ทำการคืนชีพโบราณสถานต่างๆ มากมายในรูปแบบของภาพ Gif ภายในเวลาไม่กี่วินาที ความเสียหายทั้งทางธรรมชาติและฝีมือมนุษย์จะถูกกำจัดออกไป รวมไปถึงความผุพังตามกาลเวลาก็จะหายไปเช่นกัน ทำให้สถานที่เหล่านี้ถือกำเนิดใหม่ ด้วยสถานะที่สิ่งก่อสร้างนั้นเคยมีความรุ่งโรจน์ในอดีตกาล วิหารลักซอร์, เมืองลักซอร์ ประเทศอียิปต์ Temple of Jupiter Optimus Maximus, กรุงโรม ประเทศอิตาลี …
-
มันคืออะไร มันมีไว้เพื่ออะไร 15 ของใช้แปลกๆ ที่น้อยคนนักจะรู้ว่ามันใช้ทำอะไร
ของใช้ที่เราใช้กันในปัจจุบันนั้น ออกแบบมาให้มีการใช้งานได้หลากหลาย และสามารถใช้ทำอะไรได้หลายอย่างในชิ้นเดียว แต่ในสมัยก่อนนั้นของใช้ส่วนมากมักจะมีประโยชน์การใช้สอยที่ชัดเจนและเป็นเอกเทศ จนหลายๆ ครั้งคนสมัยใหม่ก็จะสงสัยกับสิ่งที่พวกเขาไปเจออยู่บ่อยๆ ดังเช่นของให้ 15 อย่างต่อไปนี้ที่ที่น้อยคนนักจะรู้ว่า จริงๆ แล้วพวกมันใช้ทำอะไรกันแน่ ผมรู้จักงานทั้งหมดในนี้ ยกเว้นรูปที่สองนับจากด้านล่างขวา ตกลงมันถืออะไรอยู่ มันคือไม้พายสำหรับทำเบียร์ ที่ข้างถนนในพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน ประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีห่วงเหล็กแบบนี้อยู่ มันเอาไว้ทำอะไรเหรอ ห่วงที่ว่านี้มีไว้ผูกเชือกม้าในสมัยก่อน ส่วนในปัจจุบันนั้น บางครั้งก็จะมีคนเอาของเล่นม้าตัวเล็กๆ มาผูกไว้เช่นกัน นี่คืออะไร? มันมีรู 2 รูสำหรับติดบนผนัง และมีแม่เหล็กที่มีอะไรบางอย่างที่เหมือนฝาขวดติดอยู่ มันเป็นที่วางสบู่ ดันบริเวณที่เหมือนฝาขวดเข้าไปในสบู่เพื่อไม่ให้ลื่นตกไป ใครสามารถบอกได้บ้างว่านี่คืออะไร มันเครื่องอุ่นมือแบบวินเทจ คุณต้องจุดไฟที่ก้อนสีดำๆ แล้วก็ปิดกล่องลงเพื่อใช้อุ่นมือ มันคือช้อนอะไรเหรอ มันเป็นช้อนของวินเทจค็อกเทล สามารถใช้บดเชอร์รี่ในเครื่องดื่มได้ เจอมันในบรรดาของของคุณย่า ว่าแต่มันคืออะไรอ่ะ มันใช้ลับใบมีดของมีดเล็กๆ หรือมีดโกนหนวด เอาส่วนที่คล้ายลูกแก้วหนีบใบมีดโกนไว้แล้วก็รูดไปเรื่อยๆ พบเจ้านี่ในสิ่งของส่วนตัวของคุณปู่ เขามีชีวิตในช่วงปี 1924 ถึง 2017 แต่ฉันไม่รู้ว่ามันมาจากไหน…
-
รวมภาพวิถีชีวิตผู้คนและมอเตอร์ไซค์ใน “เชียงใหม่” พ.ศ. 2515 จากช่างภาพอเมริกัน
เยาวชน และวัยรุ่นทั้งหลายอาจเติบโตขึ้นมา พร้อมเห็นบ้านเมืองที่ศิวิไลซ์ เต็มไปด้วยเทคโนโลยีอันก้าวหน้าและสะดวกสบาย กลับกันจะพบว่า ของมีค่ากลายเป็น รถเก่าๆ อย่าง Honda CB หรือ Vespa รุ่นต่างๆ ซึ่งของเหล่านี้ หากเราย้อนเวลากลับไปสัก 30-40 ปีล่ะก็ เราคงจะเห็นมันเกลื่อนเมืองเลยล่ะ Nick Dewolf คือวิศวกรชาวอเมริกันนายหนึ่งที่ได้มาเที่ยวประเทศไทยตั้งแต่ปี 2515 แล้วได้เก็บภาพผู้คน บ้านเมือง และสถานที่เอาไว้ ใครจะรู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปนับหลายสิบปี ภาพเหล่านี้ จะมีคุณค่า ทำให้คนไทยรุ่นใหม่ ได้เห็นถึงวิถีชีวิตและความเป็นอยู่เมื่อกว่า 40 ก่อน เราจึงขอเสนอ ภาพวิถีชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะการใช้รถจักรยานยนต์ใน จังหวัดเชียงใหม่ ใน พ.ศ. 2515 ที่เห็นแล้วรู้สึกว่า ภาพเหล่านี้มีความคลาสสิก มีเสน่ห์ และเท่มากๆ Honda CB 72 เท่ตั้งแต่สมัยก่อนยันสมัยนี้ เห็นรถคลาสสิกกันได้ทั่วเมือง Vespa ก็มา ของที่เราเห็นว่าโบราณนั้น ถือเป็นของใหม่ในสมัยก่อนเลยนะ…
-
17 เครื่องใช้สุดแปลกจากสมัยก่อน ที่ทำให้รู้ว่าคนโบราณก็ทำอะไรแปลกๆ เหมือนกัน
สินค้าประหลาดๆ ในปัจจุบันนั้น มีอยู่มากมายหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นที่บีบสิวเทียม หรือตุ๊กตาหมีไร้หน้าเป็นต้น ของเหล่านี้ส่วนใหญ่นั้นมักจะหายไปตามกาลเวลาเพราะไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก แต่ก็มีของแปลกๆ แบบนี้ออกมาใหม่เรื่อยๆ อยู่เช่นกัน แต่เชื่อไหมล่ะว่า ความนิยมขายอะไรแปลกๆ นั้น มีออกมานานกว่าที่พวกเราคิดมาก เพราะในวันนี้ #เหมียวฝึกหัด ได้นำเอา 17 เครื่องใช้สุดแปลกจากสมัยก่อนมาให้ชมกัน เพื่อให้รู้ว่า บางทีนั้น คนโบราณก็ทำอะไรแปลกๆ เหมือนกันนะ หน้ากากเย็น ออกแบบมาให้นักแสดงคลายร้อนได้โดยไม่ทำให้เครื่องสำอางที่ทาอยู่หลุด เอายางในจักรยานมาใช้แทนห่วงยาง เป็นที่นิยมในประเทศเยอรมนี ในปี 1925 เครื่องอาบน้ำที่ทำจากไม้ เพื่ออะไร? ก็ไม้มันลอยน้ำได้ไง หน้ากากกันพายุหิมะ ทำมาให้สาวๆ ป้องกันใบหน้าสวยๆ แต่ไม่อยากบอกว่าเหมือนหลุดมาจากหนังผีมากกว่า เปียโนสำหรับนอนเล่น อันนี้น่าสนใจ หมวกวิทยุ ก็คงคล้ายๆ ที่พวกเราใส่หูฟังนั่นล่ะ แปลเด็กติดวิทยุ เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ขี้เกียจกล่อมลูกเอง รถที่วิ่งได้ในทุกสภาพถนน ติดตีนตะขาบไปเลยง่ายกว่าไหม รถจักรยานสะเทินน้ำสะเทินบก ถ้าไม่ติดที่มันใหญ่สะดุดตาไปนิด ก็ถือว่าน่าสนใจอยู่…
-
10 กิจกรรมสร้างความบันเทิงจากอดีต ที่ผู้คนต่างเอ็นจอยไปกับมัน แต่แปลกสำหรับคนยุคปัจจุบัน
ทุกวันนี้คนเรามักจะหันหน้าเข้าหาโทรทัศน์ สมาร์ทโฟน โซเชียลมีเดีย วิดีโอเกม หรือคอมพิวเตอร์ เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกเบื่อและต้องการความบันเทิงให้กับจิตใจ พร้อมกับคิดว่าเทคโนโลยีเหล่านั้นช่างเป็นสิ่งให้ความบันเทิงที่ดีเสียจริงๆ แล้วเคยสงสัยหรือไม่ว่า ก่อนหน้าที่เทคโนโลยีความบันเทิงอย่างที่กล่าวไปจะถูกสร้างขึ้น คนสมัยก่อนเขาทำอะไรเพื่อให้ได้รับความบันเทิงกันบ้าง เอาล่ะครับวันนี้ #เหมียวฝึกหัดหมายเลข21 จะพาทุกท่านไปรับชม 10 กิจกรรมเพื่อความบันเทิงของคนสมัยก่อนว่าเขาทำอะไรกันบ้าง บอกเลยว่าไม่ค่อยคำนึงถึงมนุษยธรรมซักเท่าไหร่… 1. เกมกระดาน เกมกระดานชิ้นแรกของโลกถูกคิดค้นขึ้นตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว เช่น เกมกระดานจากประเทศอียิปต์ที่เรียกว่า Senet เป็นเกมที่ประกอบไปด้วยกระดานและหมากเดินที่เรียกได้ว่าเก่าแก่ที่สุด กฎของเกมยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ที่ทราบแน่นอนก็คือเป็นเกมสำหรับเล่น 2 คน คล้ายกับหมากรุกสมัยปัจจุบันนี่แหละ ตามตำนานเชี่อว่าเกม Senet ถูกสร้างขึ้นโดย Thoth เทพแห่งปัญญา ผู้ที่ท้า Khonsu เทพแห่งดวงจันทร์ให้แข่งขันกับตน เมื่อ Thoth ชนะจึงขอให้ในหนึ่งปีมีจำนวนวันเพิ่มขึ้น 5 วันเพื่อให้ Nut เทพีแห่งท้องฟ้าหลุดพ้นจากคำสาปของเทพ Ra และสามารถให้กำเนิดบุตรได้ 2. การประลองนักสู้ Gladiator พวกเราอาจจะพอรู้เรื่องราวเกี่ยวสิ่งนี้กันมาบ้างแล้ว…
-
ชายหนุ่มลักลอบเข้าไปขโมย “นิ้วโป้ง” ของรูปปั้นทหารโบราณมูลค่ากว่า 140 ล้านบาท!!
ปกติในทุกๆ ปี พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา จะมีงานเลี้ยงที่เรียกว่า Ugly Sweater Party เพื่อให้ทุกๆ คนได้มาสนุกสนานกันภายใต้ชุดเสื้อถักเก๋ๆ สไตล์ใครสไตล์มัน แต่แล้วมันก็ได้เกิดเหตุโจรกรรมขึ้นท่ามกลางงานรื่นเริงในปี 2017 ที่ผ่านมา เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 21 ธันวาคม 2017 ระหว่างที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินไปกับงานเลี้ยง Michael Rohana หนุ่มวัย 24 ปี ก็หาจังหวะแอบเข้าไปในพื้นที่จัดแสดงชั่วคราว รูปปั้นทหารแห่งองค์จักรพรรดิที่หนึ่ง ซึ่งเป็นชุดผลงานศิลปะที่ถูกยืมมาจากประเทศจีน พื้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะรูปปั้นดินเผาอันเก่าแก่ ภายในพื้นที่จัดแสดงเต็มไปด้วยรูปปั้นนักรบรวมมูลค่ากว่าหลายร้อยล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มทหารที่ถูกปั้นขึ้นมาไว้สำหรับคุ้มครององค์จักรพรรดิคนแรกของจีน Qin Shi Huang (จิ๋นซีฮ่องเต้) หลังจากที่เขาจากโลกนี้ไป แต่อาจจะเป็นเพราะความชะล่าใจ จึงทำให้ทางพิพิธภัณฑ์ยังคงป้องกันพื้นที่ที่ถูกปิดเอาไว้ไม่เพียงพอ Michael เลยสามารถแอบเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ลอดผ่านเชือกสีดำที่ถูกผูกเอาไว้กับเสาสองต้นเท่านั้นเอง หลังจากที่เขาเข้าไปในเขตหวงห้าม ชายหนุ่มก็ควักสมาร์ตโฟนขึ้นมาเซลฟี่ภาพของตัวเองที่กำลังโอบไหล่รูปปั้นทหารเอาไว้หนึ่งรูป ก่อนที่เขาจะตัดสินใจขโมยนิ้วโป้งมือด้านซ้ายของรูปปั้นดินเผาชิ้นนั้นกลับบ้าน ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 140 ล้านบาท นิ้วโป้งซ้ายของรูปปั้นที่ชายหนุ่มขโมยไป การโจรกรรมของเขาถูกบันทึกเอาไว้ผ่านกล้องวงจรปิดของทางพิพิธภัณฑ์ พร้อมด้วยหลักฐานอีกชิ้นใน Snapchat (แอปพลิเคชั่นโซเชียลเน็ตเวิร์กรูปแบบหนึ่ง)…
-
พบประติมากรรมอูฐอายุ 2,000 ปี บนหน้าผาซาอุดีอาระเบีย ทั้งที่ยังไม่นิยมสลักภาพนูนในช่วงนั้น…
งานแกะสลักรูปอูฐขนาดเทียบเท่าของจริงจากราวๆ 2,000 ปีก่อน ถูกพบเจอ ณ ที่รกร้างแห้งแล้งในทะเลทรายของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเมื่อเทียบกับยุคที่มันเกิดขึ้นแล้ว มันเป็นประติมากรรมที่มีมาตราส่วนแบบไม่เคยคาดคิดมาก่อน งานชิ้นนี้ถูกพบในเมืองอัลเจาฟ์ ทางตอนเหนือของผระเทศซาอุดีอาระเบีย สถานที่ที่พบเจอถูกเรียกว่า Camel Site ส่วนผู้ที่ค้นพบก็คือทีมนักวิจัย Franco-Saudi แม้งานแกะรูปอูฐนี้ดูไม่สมบูรณ์นัก และถูกสลักบนหินทั้งสามส่วนที่ยื่นออกมาจากหน้าผา กลุ่มนักวิจัยก็สามารถระบุรูปร่างของอูฐได้หลายตัวทีเดียว ถึงกระนั้น เหตุผลที่ผู้สลักเลือกที่จะมาแกะสลักรูปสัตว์ไว้ ณ พื้นที่ห่างไกลแบบนั้น ยังคงเป็นปริศนาที่ต้องสืบหากันต่อไป นักวิทยาศาสตร์เสนอว่าสถานที่แห่งนี้อาจจะเคยเป็นสถานที่สำหรับพิธีการบูชาหรือไม่ก็รูปภาพอูฐเหล่านี้อาจถูกสลักไว้เป็นเครื่องหมายแบ่งเขตแดน มีการศึกษาเกิดขึ้นโดยอิงมาจาก Centre National de la Recherche Scientifique (CNRS) ในฝรั่งเศสและทีมงานจาก Saudi Commission for Tourism and National Heritage (SCTH) ที่เข้ามาสำรวจงานแกะสลักนี้ในปี 2016 และ 2017 นักโบราณคดีชื่อว่า Guillaume Charloux ผู้ที่เป็นวิศกรงานวิจัยของ CNRS ฝรั่งเศสกล่าวว่า “แม้ว่าการกร่อนที่เกิดจากธรรมชาติได้ทำลายภาพอูฐไปส่วนหนึ่ง แต่ด้วยร่องรอยของการใช้เครื่องมือ ที่มีการลงน้ำหนักหลากรูปแบบ ทำให้เราสามารถระบุภาพแกะสลัก และภาพผิวนูนของสัตว์จำพวกอูฐหรือม้าได้” ส่วนหนึ่งปรากฏภาพการพบกันของอูฐหนอกเดียวกับลาซึ่งเป็นสัตว์ที่แทบไม่พบอยู่บนการแกะสลักหิน…
-
มาดูหนังสือ ‘กามสูตร’ ในยุคล่าแม่มด ที่มีแต่คำแนะนำและความเชื่อแปลกๆ เกี่ยวกับเรื่องเพศ
สิ่งที่จะทำให้เราพอคาดเดาได้ว่าในยุคสมัยอดีต มีบริบทแวดล้อมแบบใด ผู้คนมีความเชื่อและค่านิยมอะไรกันบ้างนั้น ก็คงหนีไม่พ้น “หนังสือ” เพราะมันเป็นหลักฐานที่ปรากฏขึ้นด้วยลายลักษณ์อักษร ที่มักสะท้อนให้เห็นถึงบริบทแวดล้อมของสมัยนั้นๆ และวันนี้ หนังสือเล่มหนึ่งจากปี 1720 ได้ถูกพบและเผยว่าคนในยุคสมัยนั้นมีความเชื่ออย่างไรกันบ้าง ทว่าหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาที่ว่าด้วยเรื่อง “ทางเพศ” ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อแปลกๆ ของชาวอังกฤษสมัยที่พระเจ้าจอร์จเป็นกษัตริย์ แถมหนังสือเล่มนี้ยังมีราคาประมูลหลายพันบาท ผลงานการเขียนชิ้นเอกของ อริสโตเติล นี้ได้ชื่อว่าเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาสกปรกที่สุดในช่วงเวลาที่มันถูกตีพิมพ์ขึ้น ด้วยอายุเกือบ 300 ปีของมัน หนังสือเล่มนี้จึงเผยให้เห็นถึงทัศนคติของผู้คนที่มีต่อเรื่องทางเพศ ในยุคสมัยที่สหราชอาณาจักรบริเตนยังมีการล่าและเผาแม่มดอยู่ ในหนังสือมีเนื้อหาเกี่ยวกับเคล็ดลับแปลกๆ เพื่อทำให้เพศหญิงสามารถหลีกเลี่ยงการให้กำเนิดทารกที่น่าเกลียดได้ พร้อมทั้งคู่มือการปฏิบัติตนขณะร่วมเพศ และยังมีการแนะนำให้เพศชายทานเนื้อ นกสีดำ และนกกระจอก ก่อนที่จะแต่งงาน เพื่อให้มีน้ำเชื้อที่แข็งแรง และสามารถมีลูกได้มากมาย คู่มือทางเพศเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1684 แต่ถูกสั่งห้ามมาตลอดจนกระทั่งในช่วงปี 1960 หนังสือเล่มนี้ถูกพบในโรงประมูล เนื้อหาภายใน แนะนำว่า เพศหญิง ซึ่งถือเป็นเพศที่ชื่นชอบและหมกมุ่นในกาม หากต้องการลูกชายให้นอนตะแคงขวาหลังมีเพศสัมพันธ์ และกลับกัน หากต้องการลูกสาวให้นอนตะแคงซ้าย ซ้ำยังบอกว่า เพศชาย นั้นเป็นเพศที่มหัศจรรย์ และเป็นเพศที่อยู่เหนือทุกสิ่งบนโลก น้ำเชื้อของเพศชายถือว่าเป็นของขวัญอันศักดิ์สิทธิ์ที่มากับจิตวิญญาณแห่งชีวิต หนังสือเล่มนี้จะถูกนำไปประมูลอีกครั้งในเดือนมีนาคม 2018 ในหมู่บ้าน Etwall ในเขตดาร์บิเชอร์ของอังกฤษ…
-
ผู้เชี่ยวชาญร่วมไขรหัสลับ ของพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 จดหมาย 4 ฉบับต้องใช้เวลาร่วม 6 เดือน
เป็นเวลากว่า 500 ปีมาแล้วที่จดหมาย 4 ฉบับของ พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 แห่งอารากอนและหนึ่งในผู้บัญชาการทหารของเขา กอนซาโล เฟร์นันเดซ เดอ กอร์โดบา ได้ทำให้นักประวัติศาสตร์ถึงกับงงงัน เนื่องจากในจดหมายมีการใช้ “รหัสลับ” ที่มีความเฉพาะ และอักษรมากกว่า 200 ตัว ที่ใช้เพื่อติดต่อสื่อสาร ซึ่งยังไม่มีใครสามารถถอดความเนื้อหาในจดหมายได้กระทั่งทุกวันนี้ แต่สุดท้าย หน่วยสืบราชการลับของสเปนก็ได้ไขปัญหารหัสลับนี้ให้กระจ่างได้ และได้เผยถึงเนื้อหาภายในจดหมายว่ามีการตอบโต้สนทนากันระหว่างผู้สูงศักดิ์สองคน จดหมายนี้อยู่ในยุคสงครามเนเปิลส์ในอิตาลี ช่วง 1-2 ปีแรกของปี 1500 ขณะที่ พระเจ้าหลุยส์ที่ 12 แห่งฝรั่งเศส กำลังต่อสู้กับพระเจ้าเฟร์นันโดและ สมเด็จพระราชินีนาถอีซาเบลที่ 1 แห่งคาสตีล เพื่อแย่งชิงการปกครองทางใต้ของอิตาลี Jesús Ansón Soro เลขาธิการของพิพิธภัณฑ์กองทัพ Toledo ซึ่งเป็นที่จัดเก็บจดหมายทั้ง 4 ฉบับ ได้กล่าวว่า “ในสถานการณ์สมัยนั้น ช่วงสงครามเนเปิลส์ที่ส่งผลกระทบหลักๆ กับฝรั่งเศสและสเปน รวมไปถึงจักรวรรดิเยอรมัน รัฐสันตะปาปา จักรวรรดิออตโตมัน และนครรัฐอิตาลี มันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากในการรักษาความลับยามติดต่อสื่อสารเรื่องกลยุทธ์การรบและเรื่องการกบฏ เพราะเพียงแค่ละเลยในบางจุดก็อาจทำให้เสียกลยุทธ์ได้” กอร์โดบามีฉายาว่ากัปตันผู้ยิ่งใหญ่ที่นำทัพสเปนให้เคลื่อนไหว ดังนั้น เขาและพระราชาจึงมีการติดต่อกันบ่อยครั้ง…
-
นักท่องเที่ยวแห่ทำตามความเชื่อ นำเงินยัดใส่เสาศาลเจ้า “อิสึกุชิมะ” หวั่นทำให้พังในเร็ววัน…
ประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นหนึ่งในประเทศที่ผู้คนนิยมไปเที่ยวกันมากที่สุดอย่างปฏิเสธไม่ได้ เนื่องจากความโดดเด่นด้านองค์ประกอบทางทัศนียภาพ อาหาร และศิลปะวัฒนธรรม ตัวอย่างก็เช่น ย่านอะกิฮะบะระ หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบการ์ตูนญี่ปุ่น หรือจะเป็น เมืองฮะโกะเนะ สำหรับผู้ที่สนใจในน้ำพุร้อนและการแช่ออนเซ็น เกาะมิยาจิมะ ในเมืองฮิโรชิมานั้นเองก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเช่นกัน เพราะเป็นเกาะที่ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาอันเต็มไปด้วยผืนป่าเขียวชอุ่มและศาลเจ้าเก่าแก่กว่าร้อยปี ที่นั่น นอกจากจะมีกวางออกมาเดินให้เห็นในเมืองกันแล้ว ยังมีสิ่งที่ถือว่าเป็นจุดเด่นที่สุดของเกาะ นั่นก็คือ ซุ้มประตูโทะริอิ แห่งศาลเจ้าอิสีกุชิมะ ที่โผล่ขึ้นมากลางน้ำ เมื่อยามน้ำลดลงคุณสามารถเดินไปยังบริเวณขาตั้งของซุ้มประตูได้ เสาซุ้มประตูสีส้มนี้เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมเข้าไปถ่ายรูปใกล้ๆ . และด้วยความที่ช่วงล่างของซุ้มประตูนั้นต้องอยู่ใต้น้ำเป็นเวลานาน เสาไม้ก็เริ่มแตกและโก่งงอ แถมนักท่องเที่ยวบางกลุ่มมีความเชื่อในการนำ “เหรียญ” เข้าไปยัดในรอยแตกร้าวของเสา ซึ่งทำให้เกิดภาพที่ไม่สวยงามและส่งผลเสียต่อซุ้มโทะริอิอีกด้วย ทั้งนี้ผู้ใช้ Twitter ชาวญี่ปุ่นที่ใช้ชื่อว่า @riyusuisuiriyu ได้เผยแพร่ภาพสภาพปัจจุบันของเสาโทะริอิ พร้อมกับคำวิงวอนให้หยุดความเชื่อการยัดเหรียญดังกล่าว ในโพสต์ของเธอมีใจความว่า “หากยังทำเช่นนี้ต่อไป เสาโทะริอิจะต้องพังแน่ๆ ดูที่เหรียญเหล่านั้นสิ ผู้คนนำมันไปยัดไว้ในรอยแตกซึ่งมันก็จะยิ่งแตกมากขึ้นกว่าเดิม ฉันไม่อยากให้เสาโทะริอินี้กลายเป็นเพียงอดีตมรดกของโลกหรอกนะ จงจำไว้ นี่คือศาลเจ้า ไม่ใช่ของเล่นในสวนสนุก” ความเชื่อของชาวญี่ปุ่นที่เชื่อว่าการบริจาคเหรียญด้วยวิธีการโยนหรือใส่เข้าไปในกล่องนั้นจะนำมาซึ่งโชคลาภ สุขภาพ และพรต่างๆ คงไร้ค่า และศาลเจ้าอายุนับศตวรรษก็คงจะสูญสลาย หากความเชื่อผิดๆ ที่ว่าการนำเหรียญไปยัดในเสาไม้โทะริอิที่แตกจะนำมาซึ่งสิ่งเดียวกันนั้นยังคงแพร่หลายต่อไป การไปเที่ยวในสถานหนึ่งๆ…
-
ตำนานของ ‘ลิลิธ’ เทพแห่งเซ็กส์ นางมารผู้ชั่วร้าย หรือแท้จริงแล้วเป็นเทพธิดาแห่งอิสรภาพ!!
ปิศาจและเทพีชั่วร้ายแห่งลัทธินอกศาสนา คือสิ่งที่ผู้คนนิยามให้กับ “ลิลิธ” หนึ่งในภูติสาวที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ต้นกำเนิดของเธอนั้นมาจากมหากาพย์กิลกาเมช และยังถูกกล่าวถึงในพระคำภีร์ไบเบิลกับพระคำภีร์ทัลมุดอีกด้วย ในความเชื่อของชาวยิว ลิลิธถือได้ว่าเป็นปิศาจที่เลื่องชื่อ ในขณะที่บางตำนานเล่าว่าเธอนั้นเป็นหญิงคนแรกที่ถูกสร้างขึ้นมาบนโลก แต่กลับถูกสร้างด้วยเศษตะกอนและสิ่งสกปรก ชื่อของเธอ “ลิลิธ” แปลว่า รััตติกาลหรือกลางคืน เธอนั้นมักจะมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับราคะ อิสรภาพ และความสยดสยอง ปิศาจโบราณแห่งชาวสุเมเรียน คำว่า “ลิลิธ” นั้นมาจากคำว่า “Lilitu” ของชาวสุเมเรียนที่แปลว่า ภูตแห่งสายลม หรือปิศาจหญิง เธอถูกกล่าวถึงในจารึกเล่มที่ 12 ของมหากาพย์กิลกาเมชของชาวเมโสโปเตเมียโบราณราว 2,100 ปีก่อนคริสตกาล ในเนื้อเรื่อง ลิลิธปรากฏกายขึ้นบนกิ่งไม้รวมกับปิศาจตนอื่นๆ แต่ถึงกระนั้นผู้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังคงถกเถียงกันว่าเธอนั้นเป็นปิศาจหรือเป็นเทพีที่ชั่วร้ายกันแน่ และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ลิลิธก็ปรากฏขึ้นในตำนานของชาวยิวเช่นกัน ทำให้ไม่สามารถทราบได้เลยว่าปรากฏที่ใดก่อนกัน แต่ที่ทราบแน่นอนก็คือแต่ละการปรากฏตัวของเธอนั้นล้วนเกี่ยวของกับเวทย์มนต์ของสุเมเรียน พระคำภีร์ทัลมุดของชาวบาบิโลเนีย ลิลิธถูกพูดถึงว่าเป็นภูตมืดที่มีกามารมณ์เกินควบคุมและเป็นอันตราย ในพระคำภีร์กล่าวว่า เธอนั้นบำรุงตนเองด้วย “น้ำกาม” ของผู้ชายเพื่อให้กำเนิดปิศาจ จนได้ชื่อว่าเป็น “มารดาแห่งเหล่าปิศาจ” จากนั้น ลิลิธ ก็กลายเป็นที่รู้จักในวัฒนธรรมที่หลากหลาย จนภายหลังได้เข้ามาสู่ยุโรปเหนือ…
-
ตำนานของชาวอารยัน ตัวตนที่แท้จริง กับการถูกลบเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
หากพูดถึงชาว “อารยัน” แล้วล่ะก็ หลายท่านอาจะเคยได้ยินชื่อ แต่ก็อาจไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วชาวอารยันเป็นใครกันแน่ เพราะปัจจุบันประวัติและจุดกำเนิดของชาวอารยันนั้นถูกบิดเบือนไปมากเหลือเกิน ที่หลายคนเข้าใจก็คือ ชาวอารยันคือชนกลุ่มคนผิวขาว ผมสีอ่อน ตาสีฟ้า และเป็นชนที่อยู่บนวรรณะสูงของอินเดีย ความเชื่อนี้คาดว่าเป็นเพราะจักรวรรดินาซี ที่ได้แพร่ขยายความคิดนี้ออกไปเพื่อใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ มีเพียงช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 เท่านั้นที่ชาวอารยันมีความเท่าเทียบกันกับชาวเยอรมันและชาวนอร์ดิก และก่อนหน้าที่ความเข้าใจเกียวกับชาวอารยันจะถูกบิดเบือน คำว่า “อารยัน” ถูกกล่าวถึงว่าเป็นภาษาโบราณที่ได้เผยแพร่ออกสู่แผ่นดินย่อยของอินเดีย อารยันที่แท้จริง แรกเริ่มเดิมทีชาวอารยันเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชีวิตอยู่ใน อิหร่าน ช่วงก่อนประวัติศาสตร์ และน่าจะอพยพเข้ามาสู่ตอนเหนือของอินเดียช่วง 1,500 ปีก่อนคริสตกาล ชาวอินเดียในทวีปย่อยเรียกผู้ที่อพยพเข้ามาใหม่ว่า “อารยา” และคำว่า อารยัน หรือ “Aryan” นั้นไปคล้ายกับภาษาเปอร์เซีย “ērān” ที่หมายถึงประเทศอิหร่านอีกด้วย ก่อนชาวอารยันอพยพเข้ามา อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุนั้นรุ่งเรืองมากในประเทศอินเดีย มีศาสนาเกิดขึ้นตั้งแต่ 5,500 ปีก่อนคริสตกาล มีการทำการเกษตรตั้งแต่ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล และมีสังคมเมืองตั้งแต่ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล และมีช่วงเวลาที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล…
-
ตำราคุมโทนสีแต่กาลก่อน Werner’s Nomenclature of Colours สำหรับศิลปินและนักธรรมชาติวิทยา
การสร้างผลงานศิลปะทั้งภาพเขียนและภาพถ่ายนั้น ปัจจัยสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือ “สี” เพราะสีจะทำให้ภาพดูมีชีวิตชีวา มีมิติ และสะท้อนอารมณ์ของภาพได้ดียิ่งขึ้น ปัจจุบันยังมีการถ่ายภาพที่เน้นเรื่องการกำหนดสีที่เรียกกันว่า “คุมโทน” ซึ่งเป็นวิธีการถ่ายภาพที่นิยมมากทีเดียว แต่ทราบหรือไม่ว่า มีตำราคุมโทนสีมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ก่อนที่จะมีกล้องถ่ายรูปเสียอีก Werner’s Nomenclature of Colours คือหนังสือที่รวบรวมสีต่างๆ บนโลกมาจัดกลุ่มเข้าด้วยกันเป็นโทนๆ เพื่อใช้สำหรับเป็นแนวทางให้กับศิลปิน นักวิทยาศาสตร์ และนักมานุษยวิทยา หนังสือเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในศตวรรษที่ 19 ในหนังสือจะไม่มีภาพประกอบ (เพราะยังไม่มีกล้องถ่ายรูป) แต่มีเพียงตัวอย่างสีกับคำอธิบายถึงสีนั้นๆ ว่าสามารถพบเห็นได้ที่ไหน คุมโทนไหมล่ะ มีตัวอย่างกำกับว่าสีต่างๆ สามารถพบเจอได้ที่ไหน จำแนกสีได้อย่างละเอียดเลยทีเดียว ระบบการจำแนกสีถูกคิดค้นขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 โดยนักแร่วิทยาชาวเยอรมันชื่อว่า Abraham Gottlob Werner แต่หลังจากนั้นเขาก็มีการเปรียบเทียบสีต่างๆ กับพืช สัตว์ และสิ่งของเพื่อกำหนดชื่อให้สีเหล่านั้น โทนส้ม โทนน้ำเงินก็ว่ากันไป ส่วนนี่ก็โทนเขียว จัดเรียงอย่างสวยงาม …
-
12 เรื่องราวในอดีต ที่ทำให้เรารู้สึกโชคดีเหลือเกิน ที่ได้เกิดมาอยู่ในยุคศตวรรษที่ 21
ในปัจจุบันโลกของเรามีความเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรมและเทคโนโลยีมาก ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเรานั้นดูง่ายไปเสียหมด จะทำอะไรก็สะดวกสบายและรวดเร็ว ถ้าหากเราลองมองย้อนกลับไปล่ะก็ จะเห็นว่าชีวิตของผู้คนในอดีตลำบากกว่าเรามากนัก วันนี้เราจะพาทุกคนไปดูว่าถ้าเราเกิดมาอยู่ในยุคก่อนหน้านี้ชีวิตความเป็นอยู่มันจะพึลึกพิลั่นและเหนื่อยยากขนาดไหน 1. การย้อมสีผม ไม่ว่าคนเราจะเกิดมาในยุคไหนก็รักสวยรักงามด้วยกันทั้งนั้น แต่ในสมัยก่อนไม่มียาย้อมผมที่ใช้ง่ายเหมือนตอนนี้ ใครที่อยากจะย้อมสีผมต้องใช้ของที่มีอยู่ตามธรรมชาติอย่างเช่นหัวหอม อบเชย และขี้เถ้ามานวดผมเป็นประจำให้มันเปลี่ยนสี นอกจากนี้ก็ยังต้องไปนั่งให้ผมโดนแดดจะได้มีผมที่มันวาวดูดี แต่ในทางกลับกันการลองย้อมผมแบบทำกันเองย่อมทำให้ได้สีผมที่ไม่แน่นอน แถมเสี่ยงทำให้ผมเสียด้วย 2. เกิดเป็นชนชั้นสูงต้องเท้าเล็ก เกิดคุณบังเอิญได้เกิดมาเป็นหญิงชั้นสูงในประเทศจีนสมัยก่อน คนในครอบครัวจะบังคับให้คุณรัดเท้าตั้งแต่เด็กจะได้ใส่รองเท้าอันเล็กๆ ได้ พวกเขาเชื่อว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของผู้สูงศักดิ์ ถ้าใครมีขนาดเท้าปกติแปลว่าเป็นคนชนชั้นทั่วไป แต่การจะได้เท้าแบบนี้มาหญิงสาวต้องทนทุกข์ทรมานทุกวันตั้งแต่ยังอายุน้อย แถมเท้าเล็กแบบนี้ยังทำให้เดินยากอีกด้วย ดีนะที่สมัยนี้ไม่มีใครทำแบบนี้แล้ว 3. เขียนจดหมายร้องเรียน ในอดีตก็มีการเขียนจดหมายร้องเรียนเช่นกัน ทว่าในยุคนั้นยังไม่มีกระดาษและปากกาให้ใช้ คนในอดีตจึงต้องใช้วิธีการสลักอักษรลงไปบนแผ่นหินเพื่อเขียนจดหมายแทน แน่นอนว่ากว่าจะเขียนจดหมายได้ฉบับหนึ่งกินเวลานานมากเลย ลำบ๊ากลำบาก 4. รักษาโรคด้วยเวทมนตร์และอุจจาระ ย้อนกลับไปเมื่อ 1500 ปีก่อนคริสตกาล ประเทศอินเดียยังมีความเชื่อในการรักษาโรคด้วยเวทมนตร์อยู่เลย และพวกเขายังใช้อุจจาระมาผสมเป็นยาให้คนป่วยกินด้วย เพราะพวกเขาเชื่อว่าอุจจาระสามารถขับไล่วิญญาณร้ายซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุของอาการป่วยได้นั่นเอง แค่ได้ฟังก็รู้สึกดีใจแล้วที่สมัยนี้มีหมอมาวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องตามหลักการ แล้วยังมียารักษาทั้งแบบกินแบบฉีดด้วย ไม่ต้องมานั่งกินอุจจาระกันอีกต่อไป 5. รักษาโรคด้วยยาที่ทำจากมนุษย์…
-
ลุงรปภ. ผู้คลั่งไคล้อาวุธนิยายจีน ลงทุนสร้างและตีเองกว่า 150 ชิ้น ไม่แคร์ว่าใครจะมองว่าบ้า
ไม่ว่าใครก็ล้วนมีความใฝ่ฝันกันทั้งนั้น เมื่อคนเรามีสิ่งที่ชอบและหลงใหลมากๆ ก็มักจะมีความต้องการที่จะทำบางอย่างให้ตอบสนองกับความชอบของตน โดยบางครั้งก็ไม่สนใจหรอกว่า ใครจะคิดอย่างไรกับเรา เช่นคุณลุงจากแดนมังกรผู้นี้ ผู้ที่มีความหลงใหลงใน “ศาสตราวุธ” โบราณของจีน ขนาดที่ว่าลงทุนลงแรงสร้างมันขึ้นมาเอง ศึกษาเอง และก็ตีเหล็กเอง จนปัจจุบันมีอาวุธสงครามจีนมากกว่า 150 ชิ้นแล้ว คลังแสงเก็บศาสตราวุธของคุณลุงเฉิน ตีขึ้นมาด้วยความหลงใหลในยุทธภพ รายงานจากสำนักข่าว China Xinhua News กล่าวว่าชายผู้นี้เป็นคุณลุงชาวจีนที่ทำอาชีพพนักงานรักษาความปลอดภัย และชื่อของเขาก็คือ “เฉินชงหลิง” เป็นชาวเมืองเจียวจั้ว มณฑลหูหนาน ประเทศจีน อาวุธต่างๆ ที่คุณลุงเฉินตีขึ้นมานั้นมีต้นแบบมาจากนิยายกำลังภายในของจีน คุณลุงศึกษารูปแบบของอาวุธแต่ละชนิดด้วยตนเอง คุณลุงกล่าวกับ China Xinhua News ว่าอาวุธทั้งหมดนั้นเขาทำขึ้นมาจากความชอบของเขาเอง จึงอาจจะไม่ได้สวยงามมากนัก ถึงอย่างนั้นเขาก็ตั้งใจตีอาวุธทุกชิ้นขึ้นมาอย่างสุดความสามารถ จากนั้นเขาก็ทำการแสดงกระบวนท่าของอาวุธแต่ละชนิดให้ได้รับชมกัน คุณลุงมีการแสดงเพลงทวน และอาวุธอื่นๆ ให้ได้รับชมกันด้วย ด้วยความที่เขาหลงใหลในยุทธภพแห่งนิยายกำลังภายใน ทำให้เขารู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้มองผลงานศาสตราวุธเหล่านี้ ความตั้งใจของเขาก็คืออยากจะสร้างพิพิทภัณฑ์ศาสตราวุธเก็บไว้ให้ลูกหลานและคนอื่นๆ ได้เข้ามาชม สุดท้ายลุงเฉินกล่าวว่า “ใครจะว่าลุงบ้าหรือไร้สาระหรือสิ้นเปลืองเงินก็ไม่เป็นไร แต่ลุงจะทำต่อไป เพราะมันคือความฝันของเรา” ไปรับชมวิดีโอคลังศาสตราวุธและคุณลุงเฉินจ้าวยุทธภพกันเล้ยย… …
-
นักวิทย์สามารถไขรหัสลับอายุกว่า 500 ปี จากคัมภีร์ลึกลับที่สุดในโลกได้สำเร็จแล้ว
Voynich Manuscript หรือว่า “ข้อเขียนวอยนิช” นั้นถือว่าเป็นหนังสือโบราณที่เขียนด้วยอักษรและภาษาที่ไม่มีใครรู้จัก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญก็ได้พยายามอ่านมันมาเป็นเวลาหลายปี ขณะนี้มีข่าวออกมาว่า ผู้เชี่ยวชาญได้เริ่มถอดความข้อเขียนวอยนิชออกแล้ว ทำการศึกษาโดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอังกฤษ ซึ่งเชื่อว่าภาษาที่เขียนในหนังสือเล่มนี้นั้นเป็นภาษาฮิบรู หนังสือเล่มนี้ถูกนำเข้ามาในโปแลนด์ตั้งแต่ปี 1912 โดยนักสะสมหนังสือหายากชื่อว่า Wilfrid Voynich เนื้อหาและที่มาของหนังสือนั้นยังไม่มีใครทราบ แต่หลายคนเชื่อว่ามันถูกเขียนขึ้นในอิตาลีช่วงยุคสมัยฟื้นฟูศิลปะและวัฒนธรรม มีรายงานจาก Metro ว่า Greg Kondrak หัวหน้าผู้ศึกษาข้อเขียนวอยนิชได้กล่าวว่า “มันถูกเขียนออกมาเป็นประโยคที่มีหลักไวยากรณ์ มันอาจจะดูแปลกๆ แต่มันสมเหตุสมผล” กลุ่มผู้ศึกษาลองใช้โปรแกรมถอดรหัสทางสถิติเพื่อตีความประโยคแรกของข้อเขียน ซึ่ง Kondrak ออกมาเผยว่ามีความถูกต้องถึงร้อยละ 97 โดยทางกลุ่มผู้ศึกษาเองได้ออกมายอมรับว่าพวกเขาสามารถจำแนกศัพท์บางคำได้แล้ว เช่นคำว่า ชาวนา แสง และอากาศ เป็นต้น และเชื่อว่าผู้เชี่ยวชาญภาษาฮิบรูจะสามารถนำมันไปตีความได้เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มีคนบอกว่าข้อเขียนวอยนิชนั้นเป็นของที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อหลอกลวง แต่จากการวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์แล้วพบรูปแบบของภาษาจาก ศตวรรษที่ 15 ที่ไม่น่าปลอมแปลงขึ้นมาได้ เป็นการค้นพบที่น่าอัศจรรย์มาก หวังว่าในวันข้างหน้าจะสามารถถอดความเนื้อหาของมันได้นะครับ อาจจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ในนั้นที่ทำให้มนุษยชาติต้องสะทกสะท้านก็เป็นได้ ที่มา: Ladbible และ…
-
เครือข่ายหมู่บ้านถ้ำจีน Yaodongs เป็นที่อยู่ของชาวถ้ำกว่า 3,000 คน มาตั้งแต่โบราณกาล
เป็นที่เชื่อกันว่าลึกลงไปใต้ดินของเมือง ซานเหมินเซียะ แห่งมณฑลเหอหนานนั้น เป็นที่อาศัยของผู้คนเกือบ 10,000 ครัวเรือน และหมู่บ้านอีกนับร้อยแห่ง ลักษณะของการสร้างที่อยู่อาศัยใต้ดินโดยแบ่งออกเป็นย่านๆ ตามหมู่บ้านหรือลานกว้างนั้น เป็นภูมิปัญญาที่มีมาตั้งแต่โบราณกาล โดยหนึ่งหมู่บ้านนั้นสามารถมีผู้อาศัยได้ถึง 3,000 ชีวิต ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีให้พบเห็นกันในเมืืองซานเหมินเซียะนี่เอง . ปัจจุบัน หน่วยงานของรัฐบาลกำลังพยายามสำรวจไปตามอุโมงค์และสถาปัตยกรรมสุดล้ำที่อยู่ใต้ดินแห่งนี้ โดยลักษณะที่อยู่อาศัยใต้ดินที่เชื่อมกันเป็นถ้ำและอุงโมงค์แบบนี้ถูกเรียกว่า “Yaodongs” ซึ่งที่แห่งนี้ได้มีผู้คนอาศัยผ่านไปแล้วราว 6 รุ่น หรือมากกว่า 200 ปีด้วยกัน พวกเขาสร้างที่พักอาศัยใต้ดินแบบนี้ก็เพื่อรักษาความอุ่นเมื่ออากาศหนาว และรักษาความเย็นเมื่ออากาศร้อน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก Easy Tour China กล่าวว่า “มันมีคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และศิลปะ” . พวกเขาบอกว่าต้องใช้เวลาถึง 3 ปี กว่าที่จะขุดดินลงมาราว 7 เมตร เพื่อสร้างที่บ้านในถ้ำแบบนี้ ซึ่งผลงานที่พูดได้ว่าดีที่สุดนั้นถูกสร้างอยู่ในหมู่บ้าน Renma และ Miaoshang ในเมือง Shanxian มันเป็นบ้านที่มีสไตล์เรียบง่าย ฝุ่นเขลอะ แต่ก็เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแบบชาวตะวันตกยุคสมัยใหม่ เช่น…
-
10 งานศิลป์ชิ้นเอกระดับโลก พร้อมกับความลับเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในและยากที่จะมองเห็น…
วันนี้เรามาชมเรื่องราวที่เกี่ยวกับศิลปะกันบ้างดีกว่า โดยเฉพาะภาพวาด ที่เป็นชิ้นเอกระดับโลกในยุคสมัยก่อน เมื่อหลายร้อยปีก่อน นักวาดที่มีชื่อเสียงก็อย่างเช่น Michelangelo, Leonardo Da Vinci และ Vincent Van Gogh เป็นต้น หลายท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อเหล่านี้มาก่อน และก็อาจจะเคยเห็นภาพเขียนของพวกเขามาบ้างแล้ว ซึ่งวันนี้เราก็ไม่ได้แค่จะพาไปชมภาพเขียนต่างๆ ในยุคสมัยหลายร้อยปีก่อนเท่านั้น เรายังจะพาทุกท่านเจาะลึกลงไปถึง “ความลับ” ที่เหล่าศิลปินได้แฝงมันเอาไว้ในภาพ ในยุคสมัยปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น มันจึงถูกใช้เพื่อค้นหาความลับเล็กๆ น้อยๆ ที่แฝงมากับภาพเขียนในประวัติศาสตร์นั่นเอง ว่าแต่จะมีภาพไหน และมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันบ้าง ไปรับชมกันเลยดีกว่า 1. The Ambassadors (1533) โดย Hans Holbein ภาพที่เห็นด้านบนนี้ถึงจะดูเป็นภาพสมจริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะมองเห็นวัตถุแปลกประหลาดด้านล่างตรงกลางๆ ของภาพ ที่อยู่ระหว่างคน 2 คนในภาพ หากมองดีๆ ก็คงจะพอดูรู้ว่าเป็นภาพของ “หัวกะโหลก” ที่ถูกทำให้บิดเบี้ยว ใช่แล้ว มันคือรูปหัวกะโหลกจริงๆ ว่าแต่มันถูกนำมาใส่ในภาพแบบนั้นเพื่ออะไรกัน? บางคนสันนิษฐานว่า หัวกะโหลกในภาพจะหมายถึงคำพูดในภาษาละตินว่า “Memento Mori” ที่แปลว่า “อย่าลืมว่า วันหนึ่งคนเราก็ต้องตาย” โดยว่ากันว่าคำกล่าวที่ว่านั้นเป็นคติประจำใจของผู้ที่ว่าจ้างให้เขียนภาพนี้ขึ้นมา ชื่อว่า Jean de Dinteville ซึ่งเขาก็คือคนที่ยืนอยู่ด้านซ้ายของภาพนั่นเอง…
-
นักโบราณคดีค้นพบ “แหล่งล่าสัตว์” ที่มีอายุเก่าแก่ถึง 500,000 ปี พร้อมกับอุปกรณ์หากินจากยุคนั้นเพียบ!!
การค้นพบสิ่งต่างๆ ในโลกของเรานั้นสามารถเป็นหลักฐานซึ่งบ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง รวมไปถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตกาลที่มิได้มีผู้ใดจดบันทึกเอาไว้ อย่างเช่นที่ใน อิสราเอล มีการการค้นพบ ‘แหล่งล่าสัตว์’ ของเหล่าบรรพบุรุษของมนุษย์ที่น่าจะมีอายุราวๆ ครึ่งล้านปี เนื่องจากมีการขุดพบ “ขวานหิน” และเครื่องไม้เครื่องมืออื่นๆ นับพันชิ้น ในพื้นที่ก่อสร้างและบริเวณใกล้เคียง มีประกาศจากนักโบราณคดี ในวันที่ 7 มกราคม 2017 ว่าหลังจากที่มีการขุดลงไปในดินเพียง 5 เมตร ก็พบหลักฐานทางโบราณคดี ซึ่งก็คือเครื่องไม้เครื่องมือและขวานหินดังกล่าวที่สามารถสันนิษฐานได้ว่าพื้นที่บริเวณนั้นเคยเป็นดังสถานที่รวมตัวกันของเหล่านักล่าสมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ราว 500,000 ปีก่อน สถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่ที่ Jaljulia ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับเมือง คฟาร์ ซาบา ประเทศอิสราเอล อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับถนนสายหลักหมายเลข 6 ที่มีจำนวนรถที่สัญจรไปมามากที่สุดสายหนึ่งอีกด้วย ด้วยความที่ครั้งหนึ่งในอดีตสถานที่แห่งนี้เคยเป็นแม่น้ำ ลำธาร ประกอบกับการขุดพบโครงกระดูกของสัตว์จำนวนมาก นักโบราณคดีจึงสันนิษฐานว่า สถานที่แห่งนี้ต้องเคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ โฮโม อีเร็กตัส ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว “ที่นี่คือทำเลที่เยี่ยมยอดสำหรับมนุษย์” แรน บาร์ไค นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเทลอาวีฟกล่าว และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ฟลิ้นท์ที่ใช้ทำเครื่องมือไหลมากับแม่น้ำ มีแม่น้ำก็ต้องมีเหล่าสัตว์ ที่นี่มีทุกอย่างที่มนุษย์ยุคนั้นต้องการ” ทำให้นักโบราณคดีเกิดข้อสงสัยว่า มนุษย์ในยุคนั้นน่าจะกลับมาในพื้นที่บริเวณนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกตามฤดูกาล แรน จึงเสริมว่า…
-
คนงานรถไฟใต้ดิน LA บังเอิญเจอซากฟอสซิลอายุ 10,000 ปี คาดว่ามีชีวิตในช่วงยุคน้ำแข็ง
ในลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา มีการขุดเจาะขยายทางรถไฟใต้ดินมาตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งในระหว่างนั้นได้มีการค้นพบซากฟอสซิลของชิ้นส่วนสัตว์ดึกดำบรรพ์หลายชนิด อย่างเช่น กรามกระต่าย ฟันของสัตว์ขนาดใหญ่ หรือช่วงขาของอูฐ แต่ถึงแม้ฟอสซิลเหล่านั้นจะมีอายุเก่าแก่มากขนาดไหน ก็ไม่สามารถทำให้ Ashley Leger รู้สึกพึงพอใจได้เท่าครั้งนี้เลย เมื่อลูกทีมของเธอค้นพบฟอสซิลขนาดใหญ่ที่มีอายุมานานกว่า 10,000 ปี การขุดเจาะเพื่อขยายทางรถไฟใต้ดิน . เธอคนนี้คือผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ โดยการขุดเจาะถนนจำเป็นต้องมีเธอเข้ามาร่วมทีมด้วยก็เพราะว่า เมื่อไหร่ที่มีการพบฟอสซิล เธอจะเป็นคนเข้าไปตรวจสอบผลงานดังกล่าวด้วยตัวเอง ระหว่างการขุดเจาะนานเป็นปีๆ คืนหนึ่งลูกทีมของเธอก็ติดต่อมาและบอกว่า ค้นพบฟอสซิลขนาดใหญ่ ซึ่งนั่นทำให้เธอรีบตรงไปยังไซต์งานดังกล่าวในวันต่อมา ฟอสซิลที่ถูกค้นพบในครั้งนี้ก็มีขนาดใหญ่กว่าที่เคยค้นพบ เพราะมันคือส่วนกะโหลกของแมมมอธ ซึ่งเคยมีชีวิตอยู่เมื่อ 10,000 ปีก่อน ในช่วงสุดท้ายของยุคน้ำแข็ง ฟอสซิลขนาดใหญ่ที่บังเอิญพบเข้าระหว่างการทำงาน Ashley หญิงสาวผู้ควบคุมปฏิบัติการการขุดฟอสซิลในครั้งนี้ จากการตรวจสอบ น่าจะเป็นกะโหลกของโคลัมเบียนแมมมอธวัยประมาณ 8-12 ปี และความพิเศษของเจ้าสิ่งนี้คือ ส่วนของงามันยังคงติดอยู่กับส่วนหัว ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมากจากฟอสซิลที่เคยค้นพบก่อนหน้านี้ Ashley บอกว่า “มันเหมือนฝันที่เป็นจริง นี่คือหนึ่งในฟอสซิลที่ฉันอยากค้นพบมากที่สุดตลอดชีวิตการทำงาน” โดยก่อนหน้านี้เธอเคยตามหาฟอสซิลแมมมอธในรัฐเซาท์ดาโคตา แต่เธอก็ไม่เคยเจอฟอสซิลที่มีความสมบูรณ์มากขนาดนี้เลย …
-
การค้นพบ ‘ปราสาทอันเก่าแก่’ ที่จมอยู่ใต้ทะเลสาบในตุรกี อายุกว่า 3,000 ปี!!
เมื่อเรามองลงไปในน้ำ เราจะไม่ได้เห็นทุกอย่างที่อยู่ข้างใต้นั้น เราอาจคิดว่าข้างใต้ก็คงไม่มีอะไรนอกจากปลาหรือปะการัง แต่ความเป็นจริงมันอาจมีสิ่งที่เป็นตำนานซ่อนเอาไว้เหมือนกับปราสาทใต้น้ำแห่งนี้ นี่คือการค้นพบของช่างภาพ Tahsin Ceylan เมื่อเขาได้นำเหล่านักประดาน้ำออกสำรวจในทะเลสาบ Van ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศตุรกี และได้เจอเข้ากับปราสาทขนาดใหญ่อันเก่าแก่ซ่อนตัวอยู่ข้างใต้นั้น ในตอนแรกเขาได้ไปปรึกษากับนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์ พวกเขาเหล่านั้นกลับบอกว่าใต้ทะเลสาบไม่ได้มีอะไรอยู่เลย จนเขาได้ออกมาดำน้ำด้วยตัวเอง ถึงได้เจอกับโบราณสถานแห่งนี้ ข้างใต้คือกำแพงหินที่สูงยื่นออกมาจากพื้นใต้น้ำ โดยส่วนที่ยื่นออกมาสูงที่สุดอยู่ที่ราวๆ 3 เมตร และเชื่อว่าหากขุดลงไปข้างใต้นั้นก็จะได้พบกับความสูงที่แท้จริงของกำแพงปราสาทนี้ จากการสำรวจพบว่า โบราณสถานแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ใต้ทะเลสาบไปมากถึง 1 ตารางกิโลเมตร และเมื่อตรวจสอบโดยละเอียด ทำให้พอคาดเดาได้ว่านี้คงเป็นปราสาทที่มีมาตั้งแต่สมัยอาณาจักร Urartu เมื่อ 3,000 ปีก่อน ตามประวัติศาสตร์แล้ว เชื่อว่าปราสาทดังกล่าวจมลงหลังจากระดับน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นทะเลสาบในเวลาต่อมา Tahsin เชื่อว่าสิ่งนี้จะสามารถดึงดูดได้ทั้งนักท่องเที่ยวและนักโบราณคดีจำนวนมาก ให้เข้ามาชมและร่วมกันหาคำตอบถึงรายละเอียดของโบราณสถานแห่งนี้กันต่อไป คลิปวิดีโอการค้นพบซากปราสาทใต้น้ำที่มีมาตั้งแต่เมื่อ 3,000 ปีก่อน โลกของเรายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ซ่อนไว้มาตั้งแต่อดีตกาล และนี่คงเป็นอีกหนึ่งการค้นพบที่จะช่วยให้เราได้รับรู้ว่าในตอนนั้นความเป็นอยู่ของมนุษย์เราเคยเป็นอย่างไรมาก่อน ที่มา: thisisinsider
-
พบฉลามกอบลิน สัตว์ทะเลโบราณเกยตื้นที่ชายฝั่งญี่ปุ่น คำเตือน!! ไม่เหมาะสำหรับคนชอบซีฟู้ด
ฉลามกอบลิน หนึ่งในสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่หายากและมีวิวัฒนาการน้อยที่สุด หน้าตาของมันและรูปร่างนั้นแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากยุคโบราณเลยทีเดียว และนั่นจึงทำให้มันได้ฉายาว่า “ซากดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิต” และเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ชาวเน็ตญี่ปุ่นรายหนึ่งได้บังเอิญพบเจ้าสัตว์ดึกดำบรรพ์ชนิดนี้ขึ้นมาเกยตื้นอยู่ริมชายหาดที่จังหวัดชิซุโอะกะ ทางตอนใต้ของภูเขาฟูจิ ถึงแม้ว่าชื่อของเจ้าปลาฉลามสายพันธุ์นี้จะคล้ายๆ กับซีรีส์เกาหลียอดฮิต แต่ดูจากหน้าตาของมันแล้วอืม…. นะ เจ้าฉลามโบราณนี้จะอาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกมากกว่า 100 เมตร โดยปรกติแล้วเมื่ออาศัยอยู่ใต้ทะเล พวกฉลามเหล่านี้จะมีลำตัวและครีบสีขาว แต่เมื่อพวกมันถูกจับขึ้นมาเหนือน้ำ ลำตัวสีขาวนวลนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีเลือด นอกจากนี้มันยังมีฟันเล็กๆ ที่ดูน่ากลัวอีกด้วย หลังจากที่คุณ @Tomochin_s14 ชาวเน็ตเจ้าของภาพได้อัปเดตรูปเจ้าฉลามตัวนั้นลงบนโลกออนไลน์ก็ได้มีชาวเน็ตจำนวนมากที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น ชาวเน็ตส่วนมากได้แนะนำให้เขาบอกกับเจ้าหน้าที่เพื่อจัดการกับซากของเจ้าปลาตัวนี้อย่างถูกต้อง แต่ในขณะที่บางคนก็ที่เห็นภาพของเจ้าฉลามโบราณนี้แล้วก็เกิดอาการกลัวอาหารทะเลขึ้นมาทันทีเลยก็มี โดยธรรมชาติแล้วพวกฉลามกอบลินนั้นจะเป็นสัตว์ที่ขี้อาย พวกมันมักไม่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ และเมื่อไหร่ก็ตามที่นักวิทยาศาสตร์พยายามที่จะนำพวกมันมาศึกษา พวกมันมักจะตายภายในไม่สัปดาห์หลังจากนั้น ปัจจุบันมีรายงานว่ามีการพบเจ้าฉลามสายพันธุ์นี้ทั่วโลกเพียงแค่ 30 ครั้งเท่านั้น และพื้นที่ที่พบเจ้าฉลามสายพันธุ์นี้มากที่สุดนั่นก็คือ หุบเขาลึกใต้ทะเลในพื้นที่ของอ่าวโตเกียวนั่นเอง มีบันทึกว่าชาวประมงญี่ปุ่นเคยจับพวกมันได้อ่าวโตเกียวนี้มากถึง 148 ตัวเลยทีเดียว (ลองนึกภาพเรือประมงที่เต็มไปด้วยเจ้าปลาพวกนี้ดูสิ!!) ลองไปชมการกินอาหารของเจ้าปลาดึกดำบรรพ์ตัวนี้กันเลย… เจ้าปลาฉลามสายพันธุ์นี้ถือเป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ แต่สำหรับใครที่ชอบทานอาหารทะเลคุณจะไม่ค่อยชอบเจ้าฉลามกอบลินนี้สักเท่าไหร่นะ ฮ่าๆ ที่มา rocketnews
-
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบกะโหลกมนุษย์อายุกว่า 300,000 ปี เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบมา
หากจะว่าด้วยเรื่องต้นกำเนิดของมนุษย์เรานั้น ในปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่ามีที่มาที่ไปอย่างไรและเกิดขึ้นมาตอนไหน แต่ว่าในตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบหลักฐานสำหรับที่มาของมนุษยชาติแล้ว เพราะว่าพวกเขาได้ค้นพบหัวกะโหลกที่มีอายุมากกว่า 300,000 ปี ซึ่งอาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของโลกไปเลย Jean-Jacques Hublin และทีมงานของเขาจากสถาบันวิจัย Pax Planck ได้ค้นพบโครงกระดูกอายุกว่า 300,000 ปีซึ่งน่าจะเป็นที่มาของมนุษยชาติซึ่งเหล่าฟอสซิลเหล่านี้น่าจะเป็นโครงกระดูกที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ที่เคยมีการค้นพบเลยก็ว่าได้ ซึ่งที่มาของการค้นพบครั้งนี้เกิดจากเมื่อประมาณเมื่อ 20-30 ปีก่อนคนงานเหมืองแร่ใน Marrakesh ประเทศโมร็อกโกได้สะดุดเข้ากับหัวกะโหลกของมนุษย์เข้า นั่นจึงได้เริ่มการขุดค้นบริเวณนี้ขึ้นเพราะเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้ยังมีโครงกระดูกอื่นๆ อีกมาก จนมาพบเข้ากับซากโครงกระดูกโบราณนี้ในที่สุดโดยในตอนแรกพวกเขาสันนิษฐานกันไว้ว่ากะโหลกมนุษย์ที่ค้นพบนี้มีอายุกว่า 40,000 ปีเลยทีเดียวแต่เมื่อนำไปเทียบกับหลักฐานในยุคต่างๆ ที่เคยมี ปรากฏว่ามันไม่ตรงกับยุคไหนเลยและน่าจะมีความเก่าแก่มากกว่านั้น นอกจากกะโหลกอันนี้แล้วพวกเขายังพบโครงกระดูกอื่นๆ อีกในบริเวณนี้โดยน่าจะเป็นโครงกระดูกสำหรับคน 5 คนอีกทั้งยังพบมีดที่ทำมาจากหินอยู่ข้างๆ โครงกระดูกและเมื่อนำสิ่งต่างๆ ไปตรวจสอบรังสีแล้วก็พบว่าโครงกระดูกเหล่านี้น่าจะมีอายุกว่า 300,000-350,000 ปีก่อนเลยทีเดียว ในตอนแรก Hublin คิดว่าลักษณะของกะโหลกโบราณต้องมีกระดูกคิ้วที่แข็งแรง รูปร่างกะโหลกค่อนข้างใหญ่และมีใบหน้ามีแบนเรียบ แต่เมื่อมีการค้นพบนี้ขึ้นก็ปรากฏว่ากะโหลกของมนุษย์เมื่อ 3 แสนปีก่อนมีความใกล้เคียงกับมนุษย์ในยุคปัจจุบันเลย Hublin ยังมีความเชื่ออีกว่าประเทศโมร็อกโกนี้ยังมีซากดึกดำบรรพ์ซึ่งอาจเป็นกุญแจในการไขจุดกำเนิดของมนุษย์ ที่รอคอยการค้นพบอีกจำนวนมาก ที่มา: unilad , businessinsider
-
คุณยายนักเต้นวัย 102 ปี ได้เห็นการเต้นของตัวเองผ่านจอภาพยนตร์เป็นครั้งแรก
วินาทีอันน่าประทับใจของคุณย่าอดีตนักเต้นวัย 102 ปี ที่ได้มีโอกาสเห็นภาพเคลื่อนไหวจากการแสดงของตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต!! คุณย่า Alice Barker กำลังมีความสุขอย่างมากหลังจากที่ได้มีโอกาสเห็นการแสดงของเธอในช่วงปี 1930 ที่ Harlem Renaissance คลับชื่อดังในยุคนั้น เธอเคยปรากฏตัวในภาพยนตร์โฆาณาและรายการทีวีในสมัยนั้น แต่โดยส่วนตัวแล้วเธอเองไม่เคยมีภาพหรือของที่ระลึกจากการแสดงของเธอเลย นั่นจึงทำให้คุณย่าท่านนี้ไม่เคยได้เห็นภาพการแสดงของเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่หลังจากที่ได้พบกับ David Shuff เมื่อประมาณปีก่อนและได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวของเธอ ก็ทำให้คุณย่าท่านนี้ได้มีโอกาสเห็นภาพเคลื่อนไหวของตัวเอง หลังจากใช้เวลาค้นคว้าอยู่นานคุณ Shuff ก็ได้พบกับคุณ Mark Cantor นักสะสมภาพถ่ายเกี่ยวกับดนตรีแจ๊สเจ้าของเว็บไซต์ Jazz on Film ทั้งสองพบว่าคลิปวิดีโอของการเต้นของคุณย่านั้นก็ได้มีการบันทึกไว้เช่นเดียวกัน แต่ทว่ามีการสะกดตัวอักษรผิดทำให้ไม่สามารถค้นเจอได้ คุณ Barker มีความสุขอย่างมากระหว่างที่เธอกำลังชมคลิปวิดีโอดังกล่าว คุณย่าอายุกว่า 100 ปียังจำเพลงที่เธอเต้นวันนั้นได้เป็นอย่างดีเธอร้องเพลงตามด้วยในระหว่างที่ชมวิดีโอนั้น และนอกจากนี้เธอยังบอกอีกว่า วิดีโอนี้ทำให้เธอรู้สึกอยากจะลุกออกจาเตียงและออกไปเต้นอีกครั้งเลยทีเดียว Barker บอกว่าเธอมีความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นนักเต้นมาตั้งแต่วัยเด็กแล้ว เธอเล่าว่าวันหนึ่งระหว่างที่แม่ของเธอออกไปด้านนอกเพื่อหาของบางอย่าง ในตอนนั้นเธอได้ยินเสียงวงดนตรีอยู่ใกล้ๆ และจึงตัดสินใจออกไปเต้นกับพวกเขา “เมื่อแม่ของฉันกลับมา เขาก็ไม่พบฉันแล้ว ในตอนนั้นฉันออกไปเต้นด้านนอกทั้งๆ ที่เปลือยกายเลย ฉันอยากจะเต้นต่อทั้งๆ ที่วงเล่นเสร็จไปแล้ว” คุณย่ากล่าว Shuff ได้แชร์เรื่องราวของคุณยายท่านนี้ลงบนโลกอินเตอร์เน็ต เขาบอกว่าเมื่อคุณย่าได้ดูแล้วมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นดาราดังเลยทีเดียว นอกจากนี้เขายังได้กล่าวอีกว่า คุณย่ารู้สึกดีมากๆ…
-
รู้จักกับ ‘Bullroarer’ เครื่องดนตรีจากโลกโบราณเมื่อ 1,700 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
ดนตรีอาจจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้โลกของมีสีสันมากขึ้น มนุษย์เรานั้นเองก็รู้จักกับการสร้างเสียงเพลงจากสิ่งของต่างๆ มาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว และวันนี้เราก็จะพาทุกคนไปรู้จักกับเครื่องดนตรีโบราณที่ชื่อว่า Bullroarer เครื่องดนตรีโบราณจากเมื่อ 1,700 ปีก่อนคริสต์ศักราช!! Bullroarer หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Rhombus หรือ Turndun นอกจากมันจะเป็นเครื่องดนตรีแล้ว ในสมัยโบราณผู้คนยังใช้เจ้าสิ่งนี้ในการติดต่อสื่อสารกันจากระยะไกลอีกด้วย และนี่คือเจ้า Bullroarer จากสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอเชีย แอฟริกา เอเชีย อเมริกา และออสเตรเลีย Bullroarer เป็นแผ่นไม้ที่มีลักษณะคล้ายกับปีกเครื่องบิน และเจาะรูร้อยเชือกไว้ โดยขอบด้านของแผ่นไม้ดังกล่าวจะมีสลักเป็นรูปฟันปลา หรือรูปทรงต่างๆ ตามเอกลักษณ์ของพื้นที่นั้นๆ โดยขั้นตอนการใช้งานของเครื่องดนตรีโบราณนี้จะต้องทำการหมุนเชือกด้านบนก่อน 2 รอบ และจากนั้นจึงจับปลายของเชือกอีกด้านหนึ่งแล้วหมุมตามแนวนอนหรือแนวดิ่งเพื่อทำให้เกิดเสียง ถ้าหากนึกภาพไม่ออกล่ะก็ ลองไปชมคลิปวิดีโอด้านล่างนี้เลย… โดยเสียงที่ได้จากเจ้าเครื่องดนตรีนี้จะได้เสียงแบบ Vibrato ที่มีลักษณะเฉพาะ และนอกจากนี้ลักษณะของเสียงดังกล่าวยังเป็นคลื่นความถี่ต่ำ ซึ่งสามารถทำให้มันเดินทางได้ไกลมากอีกด้วย นอกจากจะใช้เป็นเครื่องดนตรี อุปกรณ์ในการประกอบพิธีกรรม และเครื่องมือสื่อสารระยะไกลเมื่อกว่า 19,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว มันยังถูกพบในวัฒนธรรมโบราณทั้งทางซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้อีกด้วย แต่โดยส่วนมากแล้วผู้คนจะรู้จักมันจากชนเผ่า Aborigines ของออสเตรเลียนั่นเอง โดยชนเผา Aborigines นั้นใช้มันสำหรับทำพิธีให้กับเด็กแรกเกิดและฝังศพของคนตาย โดยเชื่อกันว่า Bullroarer นั้นจะช่วยปัดเป่าวิญญาณชั่วร้ายออกไป นอกจากนี้เจ้าอุปกรณ์ดังกล่าวยังถือว่าเป็นของหวงห้ามสำหรับชายชาว Aborigines บางคน และห้ามมิให้เด็ก…
-
12 เรื่องแปลกๆ ที่คนโบราณเขาทำกัน แต่สำหรับคนสมัยนี้บอกเลยว่าแปลก!!!
พฤติกรรมหรือความเชื่อในแต่ละยุคแต่ละสมัยมีความแตกต่างกัน อาจจะด้วยเพราะวัฒนธรรมหรือธรรมเนียมที่แตกต่างจากในปัจจุบัน ซึ่งอาจทำให้คนในยุคหลังอย่างเราๆ อุทานออกมาว่า “ทำกันไปได้” และนี่คือ 12 สิ่งแปลกๆ ที่คนโบราณกาลเขานิยมทำกัน มาลองดูดีกว่าว่าจะมีความแปลกประหลาดขนาดไหน 12. การแบ่งการนอนออกเป็น 2 ช่วง ชาวยุโรปที่อาศัยอยู่ในยุคกลางแบ่งการนอนออกเป็น 2 ช่วงคือ ช่วงแรกระหว่างพระอาทิตย์ตกดินไปจนถึงเที่ยงคืน หลังจากนั้นจะใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงเพื่อทำกิจกรรมอย่าง อ่านหนังสือ สวดมนต์ หลังจากนั้นก็จะนอนจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นนั่นเอง 11. นาฬิกาปลุกที่มีชีวิต ในช่วงปี 1850-1950 ได้มีอาชีพรับจ้างปลุกเกิดขึ้น โดยพวกเขาจะเป่าเมล็ดถั่วเข้าไปที่หน้าต่างห้องนอนของลูกค้า แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าใครเป็นคนปลุกคนรับจ้างปลุกเหล่านี้ 10. กระโปรงสำหรับเด็กชาย… ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 16 จนถึงปี 1920 เป็นธรรมดาของเด็กผู้ชายที่จะสวมชุดกระโปรง เหตุผลเพราะว่าเด็กโตขึ้นทุกวัน และกระโปรงนั้นสามารถขยับขยายได้ง่าย ซึ่งชุดกระโปรงที่เด็กผู้ชายสวมนี้ ก็ไม่เว้นแม้แต่ชนชั้นสูงเลยทีเดียว 9. รองเท้าพื้นแบนยกสูง เป็นรองเท้าที่มีความสูงถึง 50 เซนติเมตร โดยแรกนั้นทำมาให้คนรับใช้ใส่เพื่อไม่ให้คนรับใช้ตามแฟชั่นมากนัก แต่ระยะหลังนี้รองเท้านี้ใส่เพื่อไม่ให้เสื้อผ้าเปื้อนเวลาเดินผ่านถนนที่สกปรก 8. การถ่ายเลือดออกเพื่อรักษาโรค…
-
สาวใหญ่ตัดสินใจฉีดแบคทีเรียอายุกว่า 3.5 ล้านปีเข้าผิวหน้า เพื่อความอ่อนเยาว์
อาจมีหลายวิธีที่จะช่วยให้ผิวหน้าของคุณดูอ่อนวัยและไร้ริ้วรอย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกครีมดีๆ มาบำรุงผิวหน้า การฉีดโบท็อก หรือการพอกหน้าด้วยขมิ้น แต่คุณผู้หญิงท่านนี้กลับเลือกวิธีเพื่อความอ่อนเยาว์แตกต่างออกไป นั่นก็คือเธอเลือกที่จะฉีดแบคทีเรียอายุโบราณเข้าไปในผิวหน้าตัวเอง!! คุณ Manoush ได้ให้สัมภาษณ์กับทางช่อง This Morning ถึงเคล็ดลับความอ่อนเยาว์ของเธอว่า เธอเลือกที่จะใช้เจ้าแบคทีเรีย Bacillus F แบคทีเรียที่มีอายุกว่า 3.5 ล้านปี ที่ค้นพบในเขตหนาวเย็นของประเทศรัสเซีย ฉีดเข้าไปในผิวหน้าเพื่อทำให้ดูเด็กลง คุณ Manoush สาวใหญ่วัย 48 ปีใช้เงินกว่า 2 ล้านบาทในการทำศัลยกรรมครั้งนี้ แต่อย่างไรก็ตามเธอยอมรับว่าหน้าของเธอนั้นไม่ได้ดูเด็กลงถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ “พวกเขาค้นพบแบคทีเรียตัวนี้ มันเป็นตัวที่ช่วยซ่อมแซมดีเอ็นเอของคุณ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองโดยฉีดมันเข้าไปในหนู แล้วพบว่าพวกมันดูอ่อนเยาว์ลง” คุณ Manoush นอกจากนี้คุณ Manoush ยังได้บอกอีกว่าเธอเองนั้นผ่านการทำศัลยกรรมมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการยกกระชับใบหน้า การศัลยกรรมดวงตา ทำตาสองชั้น ทำจมูกอีก 2 ครั้ง ผ่าตัดหน้าอก 6 ครั้ง ทำปาก 6 ครั้ง และทำผิวหน้าอีกหลายครั้ง เมื่อถูกสัมภาษณ์ถึงความเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ทำการฉีดแบคทีเรียตัวดังกล่าว คุณ Manoush ให้สัมภาษณ์ว่า “มันค่อนข้างอธิบายได้ยาก แต่ฉันรู้สึกว่าแข็งแรงขึ้น ฉันสามารถทำงานได้นานขึ้นและนอนหลับได้สบายขึ้น และนอกจากนี้ปัญหาไทรอยด์ของฉันยังดีขึ้นอีกด้วย” และนี่คือบทสัมภาษณ์ของเธอในรายการ This Morning …
-
เปิดประวัติ “คลองคอรินธ์” เชื่อมทะเลกรีีซทั้งสองฝั่ง กับ 2,000 ปี ที่กว่าความฝันจะเป็นจริง..!!
อีกหนึ่งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันน่าสนใจเกี่ยวกับการทำเส้นทางเชื่อมระหว่างอ่าวซาโรนิค และอ่าวคอรินทร์ ที่ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานานกว่า 2,000 ปี ถึงจะแล้วเสร็จ..!! ย้อนกลับไปในช่วง 602 ปี ก่อนคริสตกาล ผู้ปกครองเมืองคอรินทร์ตอนนั้นนามว่า ‘Periander’ มีความใฝ่ฝันที่อยากจะเอาชนะธรรมชาติด้วยการเชื่อมเส้นทางจากทั้ง 2 อ่าวเข้าด้วยกัน ทว่าด้วยยุคสมัยที่ไม่มีเทคโนโลยี หรือเครื่องมืออำนวยความสะดวกอะไรเท่าสมัยนี้ ทำให้โปรเจคดังกล่าวดูจะใหญ่เกินความสามารถของมนุษย์ และถูกล้มเลิกไปในที่สุด… บริเวณช่องคลองคอรินธ์ จนกระทั่งเมื่อ 300 ปีก่อนคริสตกาล กษัตริย์ Dimitrios Poliorkitis แห่งมาซีโดเนีย ก็ได้ริเริ่มโครงการที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายร้อยปีอีกครั้ง ทว่าท้ายที่สุดก็กลับไม่สำเร็จด้วยเหตุผลความเชื่อทางศาสนาของผู้คนที่เชื่อว่าการทำให้ทะเลทั้งสองฝั่งเชื่อมกัน อาจทำให้เทพโพไซดอนโกรธได้ แผนการณ์ทุกอย่างถูกล้มเลิก จนกระทั่งมาถึงยุคการปกครองของจักรพรรดิแนโรแห่งโรมัน ที่มีการสั่งให้สร้างจุดเชื่อมต่อดังกล่าวขึ้นอีกครั้ง ทว่าน่าเสียดายที่ในที่สุดกษัตริย์แนโรได้ถูกลอบปลงพระชนม์ และคำสั่งการสร้างทางเชื่อมก็ถูกยกเลิกตามไปด้วย ดูเหมือนว่าเรื่องราวทุกอย่างจะถูกลืมและไม่ได้มีการเล่าต่อ กระทั่งเมื่อปี 1830 ผู้ว่าการรัฐคนแรกของกรีซ ได้ริเริ่มโครงการขุดคลองคอรินธ์อีกครั้ง ทว่าด้วยปัญหาด้านการเงินทำให้ในที่สุดโครงการนี้ก็ตกเป็นของบริษัทเอกชนอย่าง Austrian General Etiene Tyrr ในปี 1869 ใช่ว่าเมื่อได้เป็นบริษัทเอกชนเข้ามารับช่วงต่อแล้ว เมกะโปรเจคต่างๆ จะสามารถเสร็จสิ้นได้โดยง่าย เพราะต่อมาในช่วงปี 1890…
-
พบซากเรือไวกิ้งโบราณพร้อมสมบัติอายุ 1,000 ปี ซ่อนอยู่ใต้ตลาดเล็กๆ ของประเทศนอร์เวย์
หลายครั้งที่การค้นพบวัตถุโบราณทำให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่ซ่อนอยู่ภายใต้สิ่งของชิ้นนั้น และอาจทำให้เราค้นพบความลับอะไรบางอย่างด้วยเช่นกัน เหมือนกับการค้นพบซากเรือโบราณที่เพิ่งเจอล่าสุด เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา ทางเว็บไซต์สื่อต่างประเทศ ได้รายงานว่ามีการขุดค้นพบซากเรือไวกิ้งอายุ 1,000 ปีที่มีขนาดยาวกว่ากว่า 4 เมตรในประเทศนอร์เวย์ พร้อมกับพบซากกระดูกและแผ่นโลหะทองแดงจำนวนมากด้วยกัน ซากเรือที่ถูกขุดพบในครั้งนี้ ซากเรือดังกล่าวคือเรือสำหรับฝังศพของชาวไวกิ้ง ซึ่งถูกค้นพบระหว่างการรื้อถอนตลาดในเมือง Trondheim จากการตรวจสอบเบื้องต้น คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 7 ถึง 10 สภาพทั่วไปของเรือและศพที่ถูกฝังด้วยกันนั้นยังคงมีความสมบูรณ์ เรือถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าของชาวไวกิ้ง และการฝังศพพร้อมๆ กับเรือนั้นก็มีความสำคัญและถือเป็นพิธีที่ศักสิทธิ์ ผู้ที่จะได้รับการประกอบพิธีนี้จะเป็นชนชั้นสูงอย่างหัวหน้าเผ่าหรือนักรบเท่านั้น ศพของพวกเขาจะถูฏฝังไปพร้อมกับอาวุธและข้าวของเครื่องใช้ อย่างเครื่องปั้นดินเผา และเหล้านั่นเอง ภาพของไซท์ก่อสร้าง ที่ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นไซท์ขุดค้นไปแล้ว ซากเรือที่มีการค้นพบในครั้งนี้ มีวางตัวของเรือในแนวทิศเหนือ-ใต้ และโครงกระดูกดังกล่าวก็มีการวางเอาไว้ในทิศเดียวกัน ซึ่งผลพิสูจน์ดีเอ็นเอจากผู้เชี่ยวชาญนั้นยืนยันว่าเป็นโครงกระดูกของมนุษย์อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีการค้นพบแผ่นทองแดงเล็กๆ และข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ตายที่ถูกฝังไปพร้อมกันด้วย “เราพบกุญแจและกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งในหลุมศพดังกล่าว ถ้าหากว่ามันถูกฝังไปพร้อมๆ กับศพนั้น มันจะยืนยันได้ว่าหลุมศพดังกล่าวน่าจะถูกสร้างราวๆ ปี ค.ศ. 600 ถึง 900 ” คุณ Julian Cadamarteri หนึ่งในทีมสำรวจจากสถาบันการศึกษาด้านวัฒนธรรมแห่งชาติของนอร์เวย์กล่าว สถานที่ฝังศพดังกล่าวตั้งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือของเมือง Trondheim ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันอาจอยู่ในช่วงยุคเหล็กหรือในยุคอนารยชน…
-
พาไปชมกระท่อมกลางป่าในสวีเดน ที่ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 200 กว่าปีที่แล้ว เอาใจคนรักธรรมชาติ
การได้ออกไปท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติต่างๆ หรือได้ออกไปนอนค้างคืนในป่าอาจจะเป็นกิจกรรมโปรดสำหรับหลายๆ คนที่หลงใหลในการใช้ชีวิตกลางแจ้ง คงจะดีไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ ถ้าหากเราได้ห่างจากเทคโนโลยีซักพักและสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มขั้วปอด และวันนี้เราก็มีที่พักดีๆ สำหรับคนที่รักธรรมชาติมาฝากกัน ซึ่งที่พักแห่งนี้ตั้งอยู่กลางป่าแห่งหนึ่งของประเทศสวีเดน โดยไฮไลท์ของที่นี่นอกจากความสวยงามของธรรมชาติแล้วก็คือความเก่าแก่ของที่กระท่อมที่มีอายุมากกว่า 200 ปีเลยทีเดียว และนี่คือโฉมหน้าของกระท่อมเล็กกลางป่าใหญ่แห่งนี้ สถานที่แห่งนี้มีชื่อเรียกในภาษาสวีเดนว่า “backstuga” หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษก็คือ earth cabins (กระท่อมใต้ดิน) นั่นเอง โดยแต่เดิมกระท่อมหลังนี้ถูกใช้เป็นที่พักอาศัยของคุณ Little Jon เมื่อช่วงปี 1800’s กระท่อมแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง Småland ประเทศสวีเดน โดยตัวกระท่อมนั้นจะฝั่งอยู่ใต้ดิน และสร้างจากวัสดุที่หาได้ทั่วไปอย่างไม้ และหิน ตัวกระท่อมที่ฝังอยู่ใต้ดิน และในส่วนของทางเข้าที่ต้องเดินลงไป โดยปรกติแล้วเราสามารถพบเห็นกระท่อมในลักษณะนี้ได้ทั่วไปในป่าลึกของประเทศสวีเดน มันถูกสร้างขึ้นราวๆ ช่วงปี 1600 ถึง 1800 ซึ่งโดยส่วนมากแล้วจะเป็นที่พักอาศัยของคนยากจน คนแก่ หรือบางครั้งก็เป็นเหล่าโจรป่า กระท่อมหลังนี้สร้างขึ้นระหว่างที่ดินของเจ้าของสองคน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ให้เช่าผืนเล็กๆ ที่แทบจะไม่มีพื้นที่ให้ทำกิจกรรมใดๆ เลยนอกจากการปลูกบ้าน และผู้ที่อาศัยในกระท่อมนี้ก็ทำงานให้กับเจ้าของที่ดินเพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน โดยครอบครัวของ Jon นั้นต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากที่นี่ หลังจากนั้นเมื่อระหว่างช่วงปี 1970 กระท่อมหลังดังกล่าวได้รับการปรับปรุงใหม่ และถูกใช้เป็นที่หลบภัยสำหรับผู้คนในหมู่บ้าน หลังจากมีข่าวว่ากองทัพโซเวียตในสมัยนั้น มีแผนจะบุกสวีเดน และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา…
-
‘กระโปรงสุ่มไก่’ แฟชั่นแห่งความตายจากยุค ‘วิคตอเรีย’ ที่คร่าชีวิตหญิงสาวมากกว่า 3,000 คน!!
หนึ่งในแฟชั่นที่ยอดนิยมมากที่สุดในช่วงยุค ‘วิคตอเรีย’ ก็คงหนีไม่พ้นกระโปรงสุ่มไก่ ซึ่งเป็นกระโปรงที่มีขนาดกว้างราวกับสุ่มไก่จริงๆ ทว่าน้อยคนนักที่จะรู้ว่า แท้จริงแล้วแฟชั่น Crinoline หรือกระโปรงบานเป็นสุ่มไก่นี้ จะมีจุดกำเนิดมาจากอะไร และมีจุดประสงค์ทำไปเพื่ออะไร เอาเป็นว่าเราไปตามหาคำตอบพร้อมๆ กันเลย ตัวอย่างโครงสุ่มไก่ที่ถูกนำมาใช้จริงในอดีต เริ่มแรกสุดในช่วงศตวรรษที่ 18 มีการค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับกระโปรงสุ่มไก่ขึ้น โดยพบว่าในยุคแรกกระโปรงจะถูกทำจากขนแข็งของม้า เพื่อรักษาสภาพความบานให้คงอยู่ได้ตลอดทั้งวัน กระทั่งเมื่อแฟชั่นเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น ก็เริ่มมีการพัฒนาปรับเปลี่ยนเส้นใยผ้าที่ทำจากขนม้ามาเป็นผ้าฝ้ายแทน ซึ่งตอนแรกสุดเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมเฉพาะกลุ่มชนชั้นสูงเท่านั้น จนต่อมาแฟชั่นดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะหญิงเล็กหรือหญิงใหญ่ต่างก็ต้องมีกระโปรงสุ่มไก่เก็บเอาไว้อย่างน้อย 1 ตัว ถ้าไม่อย่างนั้นจะถือว่าไม่อินเทรนด์ตามฉบับของคนยุคนั้น โครงสุ่มไก่จะถูกสร้างขึ้นจากโครงเหล็กดัด หรือโครงไม้ดัด ก่อนจะนำผ้ามาติดให้สวยงามจนกลายเป็นกระโปรง แฟชั่นสุ่มไก่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย จนกระทั่งช่วงปี 1875 George Routledge นักวาดการ์ตูนและนักเขียนได้ออกหนังสือที่บรรยายถึงโทษของแฟชั่นสุ่มไก่ให้สาวๆ ในยุคนั้นได้รับรู้กัน เนื้อหาส่วนหนึ่งในหนังสือที่มีส่วนสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงวงการแฟชั่นในยุคนั้น ได้ระบุไว้ว่า: ‘กระโปรงสุ่มไก่เป็นกระโปรงที่ต้องระวังมากๆ สำหรับหญิงสาว ไม่ว่าตอนนั่ง ยืน หรือแม้แต่ตอนเดินผ่านประตูเราก็มักจะเห็นพวกเธอติดปัญหาเรื่องกระโปรง อีกทั้งจากสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้น เราก็ได้เห็นแล้วว่า กระโปรงสุ่มไก่ถูกใช้เป็นที่ลักซ่อนอาวุธที่จะนำมาใช้ก่อเหตุความไม่สงบได้มากน้อยขนาดไหน’ แม้ว่าจะมีคนพยายามออกมาต่อต้านแฟชั่นนิยมแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เพราะสุ่มไก่กลับได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงขนาดที่ว่าแม้แต่โสเภณีในยุคนั้นก็ยังต้องหามาใส่กัน แต่ความน่ากลัวของแฟชั่นสุ่มไก่อีกอย่างหนึ่งก็คือ…
-
นักโบราณคดีค้นพบ หลุมศพของมัมมี่แห่งใหม่ พร้อมสมบัติล้ำค่าอายุมากกว่า 3,500 ปี!!
นับว่าเป็นอีกหนึ่งการค้นพบที่ช่วยทำให้นักโบราณคดี หรือนักประวัติศาสตร์ ได้เข้าใจและเข้าถึงความเป็นไปของอาณาจักรอียิปต์มากยิ่งขึ้น โดยล่าสุดเว็บไซต์ Dailymail ได้รายงานถึงการขุดค้นพบหลุมฝังศพมัมมี่ช่างทองหลวงของกษัตริย์ฟาโรห์ โดยระบุร่างที่พบในสุสานนั้นก็คือ ‘อาเมเนมฮัต’ ที่เชื่อว่ามีอายุมากกว่า 3,500 ปี ในเมืองลักซอร์ ประเทศอียิปต์ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าช่างทองหลวงน่าจะเคยมีชีวิตอยู่ในช่วงราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์ Khaled el-Anany รัฐมนตรีอียิปต์กล่าวว่า แม้สภาพโลงศพของช่างทองหลวงจะไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก แต่สิ่งของอื่นๆ ที่ถูกฝังมาด้วยกลับเป็นสมบัติอันล้ำค่าทางประวัติศาสตร์ นอกจากนั้นทีมโบราณคดียังขุดพบข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของกษัตริย์ ที่โยงไปถึงความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายของอียิปต์โบราณ อีกทั้งยังมีร่างของภรรยาและร่างของเด็กอีก 2 คน การค้นพบครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชาวอียิปต์มากๆ เพราะในอีกแง่หนึ่งพวกเขาก็หวังว่ามันจะช่วยทำให้เศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศดีขึ้น แต่ถึงกระนั้นทีมค้นหาก็ระบุว่า ยังมีอีกหลายส่วนพื้นที่ๆ พวกเขายังค้นหาไม่สำเร็จ และเชื่อว่าในอนาคตจะมีการค้นพบประวัติศาสตร์ของอียิปต์ที่ถูกฝังอยู่ ส่วนหนึ่งของรูปปั้นไม้ที่ถูกค้นพบจากสุสาน Draa Abul Nagga รูปปั้นจากหินทรายที่ชี้ให้เห็นภาพของช่างทองหลวงอาเมเนมฮัต ที่มีภรรยานั่งอยู่เคียงข้าง ตั้งตระหง่านอยู่ตรงทางเข้าสุสาน ในส่วนของเครื่องปั้นดินเผา หรือเครื่องใช้ต่างๆ นักโบราณคดีจะนำไปฟื้นฟูก่อนจะส่งให้เป็นการดูแลของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ซึ่งหลักฐานที่ถูกค้นพบทั้งหมด จะช่วยให้ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณถูกเติมเต็มให้มากขึ้น …
-
นักศึกษาชาวแคนาดา ค้นพบหมู่บ้านเก่าแก่ที่หายไป อายุมากกว่าปิรามิดอียิปต์ถึง 10,000 ปี..!!
นับเป็นเวลานานหลายสิบปีที่กลุ่มโบราณคดี Heiltsuk Nation ได้พยายามศึกษาและค้นคว้าวัตถุโบราณในแถบรัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา และล่าสุดนับว่าเป็นการค้นพบระดับโลกเลยก็ว่าได้ เมื่อทีมนักศึกษาชาวแคนาดา สามารถค้นพบหมู่บ้านที่มีอายุเก่าแก่มากกว่าปิรามิดอียิปต์โบราณถึง 10,000 ปีเลยล่ะ โดย Alisha Gauvreau ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีและนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยวิคตอเรีย ได้นำทีมนักศึกษาเข้าไปสำรวจยังบริเวณเกาะ Triquet ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงปลายปี 2016 ทีมสำรวจได้ขุดพบชิ้นส่วนหลักฐานทางโบราณคดี ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์ที่ทำจากไม้ ถ่านหิน และหลักฐานทุกชนิดที่เชื่อมโยงไปถึงวัฒนธรรมชุมชนอันเก่าแก่ ณ ที่แห่งนี้ Triquet Island เมื่อทีมสำรวจได้เก็บตัวอย่างถ่านหิน และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ขุดพบ เพื่อไปศึกษาหาอายุขัยของมันก็พบว่า ทั้งหมดล้วนเป็นวัตถุที่มีอายุเฉลี่ยมาแล้ว 13,613 – 14,086 ปี ซึ่งก็นับว่าเป็นช่วงเวลาก่อนการเกิดขึ้นของอารยธรรมอียิปต์โบราณเสียอีก แล้วการค้นพบดังกล่าวมันสำคัญอย่างไร? เพราะแค่อ่านเผินๆ เราอาจจะรู้สึกว่าเป็นการค้นพบที่ค่อนข้างไกลตัว แต่อันที่จริงในการค้นพบครั้งนี้ช่วยให้นักโบราณคดีรู้และเข้าใจความเป็นมาของวัฒนธรรมในแถบทวีปอเมริกาเหนือมากยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้เคยมีการแบ่งทฤษฏีที่พูดถึงการย้ายถิ่นฐานเข้ามาของมนุษย์ในแถบทวีปอเมริกาเหนือ ส่วนหนึ่งเชื่อว่ามาจากการเดินทางหลังยุคน้ำแข็ง และอีกส่วนหนึ่งกลับเชื่อว่ามาจากเรือค้าขายในครั้งสมัยโบราณ “การค้นพบครั้งนี้นับว่ามีความสำคัญมากๆ เพราะมันจะช่วยพาเราย้อนกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ในหลายๆ ส่วนที่เราอาจเคยตกหล่นไปในอดีต ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นปัญหาที่เราพยายามหาคำตอบมานานนับ 1,000…
-
หนุ่มรื้อถอนห้องน้ำ หวังเพื่อจะรีโนเวทใหม่… แต่ดันเจอสุสานโบราณ ที่ซ่อนอยู่ใต้ดินซะงั้น!!
เป็นเรื่องราวการค้นพบที่ไม่มีใครคิดหรอกว่าจะมาเจอกับอะไรแบบนี้ เมื่อ Lucian Faggiano หนุ่มชาวเมืองเลกเซประเทศอิตาลี ได้วางแผนที่จะเปิดร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยก่อนหน้านี้เจ้าตัวได้ทำการซื้อขายตึกแถว 56 Via Ascanio Grandi และก่อนที่จะเริ่มเปิดร้านได้ก็ต้องมีการปรับปรุงรีโนเวทร้านใหม่ทั้งหมดก่อน ในตอนแรกพวกเขาคิดว่า ใช้เวลาเพียงอาทิตย์เดียวก็คงจะเปิดร้านได้แล้ว แต่กลับไม่เป็นอย่างที่วางแผนไว้ เพราะหลังจากที่พวกเขาได้รื้อถอนห้องน้ำและตั้งใจจะรีโนเวทใหม่ ก็ต้องพบว่าใต้พื้นห้องน้ำเดิมทีเป็นที่ตั้งของสุสานโบราณ ซึ่งหลังจากที่มีการค้นพบดังกล่าว พวกเขาต้องใช้เวลานานกว่า 8 ปี เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่จัดการกับวัตถุโบราณทั้งหมดก่อนจะเปิดร้านได้ ทางนักโบราณคดีได้ชี้ว่า สุสานดังกล่าวน่าจะถูกสร้างขึ้นในช่วงยุคโรมัน โดยในตอนนั้นบริเวณดังกล่าวถูกใช้ชื่อเมืองว่า Sybar ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ชื่อ Lupiae และเปลี่ยนเป็น Lecce ในเวลาต่อมา Giovanni Giangreco หนึ่งในเจ้าหน้าที่โบราณคดีอ้างว่า “การค้นพบภายในบ้านของ Faggiano ในครั้งนี้ นับเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสตร์ เพราะสถานที่แห่งนี้เคยถูกใช้มาตั้งแต่ยุค Messapians ไปจนถึงยุคโรมัน และจากยุคกลางสืบสานไปจนถึงยุคไบแซนไทน์” นอจากนั้นนักโบราณคดียังขุดพบเครื่องปั้นดินเผา และเครืี่องประดับต่างๆ ที่ถูกสร้างมาโดยอัศวินเทมพลาร์ ซึ่งทางประวัติศาสตร์นั้นถือว่าเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่มาก แต่สำหรับพวกเขาที่มีแผนจะเปิดร้านอาหารนั้น นี้กลับไม่ใช่การค้นพบที่ดีซักเท่าไหร่ เพราะทันทีที่รัฐบาลรู้ว่ามีการค้นพบที่นี่…
-
พบขวดไวน์ที่ ‘เก่าแก่’ ที่สุดในโลกในสุสานชาวโรมัน บ่มไว้นานจนป่านนี้ก็ยังไม่เคยเปิด!?
หลายคนอาจจะเคยได้ยินวลียอดฮิตออย่าง “ไวน์ ยิ่งบ่มนานยิ่งรสชาติดี” กันมาบ้างแน่ๆ และคอไวน์หลายๆ คนก็คงอยากจะสรรค์หาไวน์อายุเก่าแก่และรสชาติดีมาลิ้มลองกันบ้าง ถ้าอย่างนั้นขอเชิญพบกับไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกขวดนี้ได้เลย!! ไวน์ขวดที่ว่านี้ถูกค้นพบที่สุสานโรมันแห่งหนึ่ง ใกล้ๆ กับเมือง Speyer ประเทศเยอรมนี ซึ่งการค้นพบครั้งนี้ได้ทำให้มันกลายเป็นขวดไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกไปในทันที โดยชื่อเต็มๆ ของเจ้าไวน์ขวดนี้ก็คือ The Speyer Wine นั่นเอง และนี่คือไวน์ขวดที่ว่านี้!! เป็นไงล่ะ เก่าได้ใจมั้ย!? ขวดไวน์เก่าแก่นี้ถูกค้นพบเมื่อปี 1867 ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการบรรจุไวน์ที่ผลิตในพื้นที่หมู่บ้านเก่าแก่ของเมือง Rhineland-Palatine ประเทศเยอรมนี โดยไวน์ที่ถูกบรรจุอยู่ภายในนั้น อาจจะมีการผลิตขึ้นเมื่อประมาณคริสต์ศักราชที่ 325 ถึง 359 และมันก็ถูกขุดพบระหว่างการสำรวจสุสานของชาวโรมันจากศตวรรษที่ 4 ลักษณะทั่วไปของขวดนั้นเป็นแก้วสีเขียวขุ่นขนาด 1.5 ลิตร คล้ายกับภาชนะโบราณ และนอกจากนี้ยังมีหูจับเล็กๆ รูปโลมาอยู่ตรงบริเวณคอขวด มีการคาดการณ์กันว่าปริมาณของแอลกอฮอลที่อยู่ภายในขวดนั้นอาจจะลดลง แต่อย่างไรก็ตามส่วนผสมหลักของมันก็ยังคงเรียกว่าไวน์อยู่ดี ถึงแม้จะมีความพยายามศึกษาถึงรายละเอียดของแก้วและส่วนผสมของไวน์ในขวด แต่ก็ไวน์ขวดดังกล่าวก็ยังไม่ถูกเปิดออกเพราะเกรงว่าสิ่งแวดล้อมภายนอก อาจจะทำให้ส่วนผสมและไวน์ที่อยู่ภายในเสียหายได้ และตอนนี้มันถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีด้วยการปิดผนึกปากขวดด้วยขี้ผึ้งและน้ำมันมะกอกไว้ในพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ของเมือง Speyer เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยากรู้เหลือเกินว่าตอนเปิดขวดครั้งแรก กลิ่นจะเป็นยังไงหว่า? ที่มา abandonedspaces
-
13 ความเชื่อโบราณเกี่ยวกับ “เซ็กส์” บางอันฟังดูโคตรแปลก แต่ก็มีคนเชื่อจริงๆ
ในยุคที่ทุกวันนี้เราเริ่มตระหนักถึงความเสมอภาคทางเพศมากขึ้น หลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ในยุคอดีตกาลมนุษย์เราเคยมีความเชื่อที่แตกต่างไปจากสมัยนี้มากขนาดไหน และครั้งนี้เราจะพาไปรู้จักกับ 13 ความเชื่่อโบราณแปลกๆ จากหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลกที่มีต่อ ‘เซ็กส์’ เมื่อครั้งอดีตกาล บางทีก็แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า.. ครั้งหนึ่งมนุษย์เราเคยเชื่ออะไรแบบนี้จริงๆ จังๆ ด้วยเหรอเนี่ย!? 1. การแข็งตัวของอวัยวะเพศเกิดจากท้องอืด (ห๊ะ!?) ย้อนกลับไปในยุคจักรวรรดิโรมัน เราก็ไม่รู้หรอกว่าคนยุคนั้นเขามีเซ็กส์กันที่ไหน หรือคุมกำเนิดอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่เราพอจะรู้คือ นักฟิสิกส์ชาวโรมัน Galen ได้ให้สมมุติฐานถึงอาการแข็งตัวของเจ้าโลกว่า ไม่ได้เกิดจากเลือดไปเลี้ยงแบบปัจจุบัน แต่เกิดจากกรดในกระเพาะที่มากเกินไป… แค่เนี๊ยะ!? 2. ชายหนุ่มจะเสียชีวิตจากการถูกดูดเลือด หากมีเซ็กส์กับผู้หญิงในช่วงประจำเดือน เป็นทฤษฏีที่หลายชั่วอายุคนได้พิสูจน์มาแล้วว่ามันไม่จริง ก็แหม่.. ถึงช่วงติดไฟแดงเมื่อไหร่พี่แกเล่นฝ่ากันตลอด แถมดูเหมือนยิ่งฝ่ายิ่งได้ใจซะด้วยสิ 3. ปาไข่ใส่เมียแล้วเธอจะให้กำเนิดลูกที่ร่างกายแข็งแรง อ้างอิงจากหนังสือของ Edvard Westermarck (Early Beliefs and Their Social Influence) ได้บันทึกประเพณีของชาวยิวที่เขาไปเจอมาในเมืองโมร็อคโคไว้ว่า เขามักจะเห็นสามีปาไข่ใส่ภรรยาหลายต่อหลายครั้ง ด้วยความเชื่อที่ว่า เธอจะให้กำเนิดลูกที่ดีและร่างกายแข็งแรง 4. ถึงจะแต่งงานแล้ว แต่คุณก็ยังต้องตกนรกอยู่ถ้ามีเซ็กส์!! (แล้วตูจะแต่งเพื่อ?)…
-
ญี่ปุ่นจัดแสดง ‘ดาบพระจันทร์เสี้ยว’ หนึ่งในตำนานสุดยอดห้าดาบใต้หล้า พร้อมให้ชมกันแล้ว!!
หากจะพูดถึงประเภทของดาบที่มีชื่อเสียงอยู่ทั่วโลกหลายๆ คนก็จะได้นึกถึง Katana ดาบแห่งประเทศญี่ปุ่น ที่มีความงดงามน่าหลงใหลในรูปลักษณ์ของมัน ที่มากไปกว่านั้นเมื่อถามผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ถึงที่สุดของ Katana ก็จะต้องเป็น “ห้าดาบใต้หล้า” หรือที่ญี่ปุ่นเรียก Tenko Goken โดยทั้ง 5 เล่มนั้นได้นำเสนอถึงรูปแบบวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์และฝีมืออันยอดเยี่ยมของช่างที่ตีดาบเหล่านี้ขึ้นมา ซึ่ง Mikatzuki Munechika นั้นคือดาบที่หลายคนจัดให้มีความงดงามที่สุดในทั้ง 5 เล่ม และในตอนนี้ก็ได้มีการจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์นานาชาติโตเกียว ชื่อของดาบที่ดูเหมือนจะเป็นชื่อของคนมากกว่านั้น ก็ด้วยเหตุผลที่ว่าส่วนหนึ่งมาจากชื่อของช่างที่ตีดาบนี้คือ Sanjo Munechika เขาเป็นหนึ่งในช่างตีดาบที่มีฝีมือมากที่สุดในยุคเฮอัน (ช่วงปีค.ศ. 794 ถึง 1185) โดยดาบเล่มนี้นั้นได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 10 ส่วนชื่อ Mikazuki นั้นในญี่ปุ่นมีความหมายว่า พระจันทร์เสี้ยว โดยในระหว่างการตีดาบประเภทนี้นั้นก็จะสร้างลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ลงไปบนผิวดาบแต่ละเล่ม สำหรับเล่มนี้นั้นมีลักษณะคล้ายจันทร์เสี้ยวที่โค้งอย่างสวยงาม เป็นเรื่องน่าเสียดายที่การจะถ่ายรูปให้เห็นลวดลายผ่านกระจกป้องกันที่กั้นไว้นั้นแทบเป็นไปไม่ได้ แต่รูปทรงและแสงสะท้อนจากตัวเหล็กกล้านั้นก็ยังคงสามารถจับภาพไว้ได้ ดาบ Mikazuki Munechika ในช่วงประวัติศาสตร์อันยาวนานพันปี ก็ได้มีผู้ที่เป็นตำนานในอดีตได้นำมันไปใช้ เช่น ในศตวรรษที่ 16 ได้แก่ยอดซามูไรอย่าง Toyotomi Hideyoshi…
-
เจ้าหนูวัย 9 ขวบสะดุดล้มกับก้อนหิน ดันพบซากดึกดำบรรพ์อายุกว่า 1,000,000 ปี โดยบังเอิญ!?
เรื่องราวน่าประหลาดใจมักเกิดขึ้นกับเราได้เสมอ เหมือนกับเจ้าหนูวัย 9 ขวบคนนี้ที่บังเอิญเดินไปพบกับโครงกระดูกสัตว์ดึกดำบรรพ์ จนกลายเป็นอีกหนึ่งการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มากๆ วันหนึ่งระหว่างที่เจ้าหนู Jude Sparks กำลังเดินเล่นกับครอบครัวในเมือง Las Cruces รัฐนิวเม็กซิโก หนูน้อยได้สะดุดเข้ากับหินก้อนใหญ่ และเมื่อพวกเขาลองตรวจสอบที่หินก้อนนั้นดูกลับพบว่ามันคือกรามของสัตว์โบราณขนาดใหญ่!! เจ้าหนูและกรามขนาดใหญ่ของช้างดึกดำบรรพ์ที่เขาพบโดยบังเอิญ “มันเป็นมีรูปร่างแปลกมาก ผมคิดว่ามันไม่ใช่วัตถุธรรมดาที่เราสามารถพบได้ทั่วไป” เด็กน้อยให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับสำนักข่าว New York Times เมื่อวันอังคารที่ 18 กรกฏาคมที่ผ่านมา หลังจากนั้นพ่อและแม่ของเจ้าหนูได้ถ่ายรูปของเจ้าวัตถุก้อนนี้ แล้วส่งไปให้คุณ Peter Houde ศาสตราจารย์ด้านชีววิทยาประจำมหาวิทยาลัย New Mexico State University หลังจากนั้นไม่นานศาสตราจารย์ Houde ก็รีบมายังสถานที่ที่พบโครงกระดูกดังกล่าว เขาบอกว่าโครงกระดูกนี้เป็นของพวก Stegomastodon สัตว์ดึกดำบรรพ์รูปร่างคล้ายช้างที่สูญพันธุ์ไปกว่า 1,200,000 ปีแล้ว ทีมสำรวจเริ่มลงมือขุดซากโครงกระดูกทันทีที่มาถึง “พวกเราดีใจมากๆ ที่พวกเขาติดต่อเรามา เพราะถ้าหากพวกเขาไม่ติดต่อเรามา หรือพยายามที่จะขุดโครงกระดูกนั้นด้วยตัวเองอาจทำให้เราสูญเสียฟอสซิลชิ้นสำคัญไปเลยก็ได้” ศาสตราจารย์ Houde กล่าว โครงกระดูกของ Stegomastodon หลังจากที่ถูกขุดขึ้นมา “เราควรจัดการกับซากดึกดำบรรพ์ที่พบด้วยความรู้และความระมัดระวัง” ศาสตราจารย์กล่าวทิ้งท้าย ไปชมการชุดกู้ซากดึกดำบรรพ์และการให้สมัมภาษณ์ของศาสตราจารย์ Houde ได้ที่คลิปวิดีโอด้านล่างนี้เลย… ที่มา boredpanda
-
นายหน้าค้าอสังหาฯ ค้นพบห้องสมุดโบราณอายุกว่า 200 ปี ซ่อนอยู่ในบ้านที่ถูกนำมาประมูล!!
ห้องสมุดสุดเก่าแก่ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในสมบัติอันล้ำค่านี้ ถูกค้นพบในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในประเทศเบลเยียม คุณ Henri Godts นายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์ ผู้พบห้องสมุดเก่าแก่แห่งนี้ที่ซ่อนอยู่ในบ้านหลังหนึ่งที่เจ้าของนำมาประมูลขาย!! ซึ่งเจ้าของคนเดิมนั้นเป็นปัญญาชนชาวฝรั่งเศส ที่ได้ทำการลี้ภัยจากการปฏิวัติฝรั่งเศสมายังเมือง Bouillon ประเทศเบลเยียม โดยที่ห้องสมุดดังกล่าวถูกรักษาเป็นอย่างดีและไม่เคยถูกแตะต้องมาเป็นเวลานานถึง 200 ปีแล้ว ภายในนั้นเต็มไปด้วยหนังสือเก่าแก่มากมายที่ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ “มันเป็นเรื่องยากมากที่จะเจอห้องสมุดเก่าแก่ที่สมบูรณ์มากถึงขนาดนี้ มันเหมือนกับการย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 18 เพราะหนังสือทุกเล่มที่นี่สภาพดีมากๆ ” คุณ Godts กล่าว ภายในห้องสมุดดังกล่าวมีหนังสือในระหว่างช่วงศตวรรษที่ 18 ถึงศตวรรษที่ 19 อันเป็นหนังสือหายากมากถึง 182 เล่ม รวมถึงอุปกรณ์แต่งห้องและเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ อีกมากมาย โดยส่วนมากแล้วจะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการสำรวจและอารยธรรมในพื้นที่ใหม่ๆ บนโลกในยุคก่อน แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและถือว่าเป็นสิ่งล้ำค่ามากที่สุดนั่นก็คือแผนที่ของ Abraham Ortelius ยอดนักสำรวจชาวเบลเยียม Abraham Ortelius ถือว่าเป็นหนึ่งในนักเขียนแผนที่ที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น แผนที่ที่ถูกพบในห้องสมุดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1575 ถือว่าเป็นหนึ่งในแผนที่ที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น และตีพิมพ์ออกมาแค่ 100 ฉบับเท่านั้น ราคาของแผนที่นี้อยู่ที่ประมาณ 1,700,000 แสนบาท แต่ในแง่ของความสำคัญทางประวัติศาสตร์นั้นมูลค่าของแผนที่ดังกล่าวไม่สามารถประเมินค่าได้เลย ตอนนี้ตัวห้องสมุดดังกล่าวกำลังเปิดให้ประมูลอยู่จนถึงวันที่ 20…
-
นักโบราณคดีชาวอียิปต์ ค้นพบสุสานอายุประมาณ 2000 ปี ที่เก็บมัมมี่ชนชั้นสูงมากถึง 17 ตัว!!
“มัมมี่” คือเทคนิคการรักษาสภาพศพที่ถือว่าเป็นการค้นพบที่ทันสมัยมากในยุคก่อน หลายคนที่สนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์คงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าการทำมัมมี่นั้นเกิดขึ้นมานานแคไหน และเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีเรื่องที่ทำให้วงการณ์โบราณคดีต้องฮือฮาอีกครั้ง หลังจากที่มีนักโบราณคดีได้ทำการขุดพบสุสานเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 2,300 ปี และยังไม่พอก็ยังพบมัมมี่ที่ถูกเก็บไว้ถึง 17 ตัวอีกด้วย!! นักโบราณคดีชาวอียิปต์ค้นพบสุสานโบราณที่ว่านี้ในหมู่บ้าน Tuna el-Gabal ใกล้กับแม่น้ำไนล์ ของประเทศอียิปต์ “เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากที่เราพบสุสานแห่งนี้” หนึ่งในคณะสำรวจบอกกับผู้สื่อข่าว พื้นที่บริเวณนั้นเต็มไปด้วยซากของนกพันธุ์พื้นเมืองอย่าง Ibis (นกช้อนหอย) สุสานแห่งนี้เป็นที่ฝังศพของมนุษย์แห่งแรกที่ถูกค้นพบในบริเวณหมู่บ้านนี้ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ ห่างจากกรุงไคโรเมืองหลวงของประเทศอียิปต์ถึง 220 กิโลเมตร นักโบราณคดี Khaled al-Anani บอกว่า “มัมมี่ที่เราขุดพบส่วนมากเป็นชนชั้นสูงและนักบวช” ซึ่งพวกเขาต้องทำการขุดหลุมลงไปถึง 8 เมตร ถึงจะได้พบกับซากของอารยธรรมดังกล่าว สถานที่แห่งนี้ถูกค้นพบโดยทีมสำรวจของนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยไคโร โดยการใช้เรดาห์ในการค้นหา ตอนนี้มัมมี่ที่ถูกพบยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเกิดขึ้นในช่วงยุคไหน เนื่องจากขณะนี้ยังอยู่ในช่วงต้นของการสำรวจ แต่ทางทีมจากมหาวิทยาลัยคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วง 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช และการค้นหามีแนวโน้มว่าจะพบมัมมี่ในสุสานแห่งนี้เพิ่มเติมมากขึ้น นี่คือส่วนหนึ่งของมัมมี่ที่ถูกค้นพบในสุสานแห่งนี้ โดยส่วนหัวยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมและมีสภาพที่สมบูรณ์ มัมมี่ในสุสานแห่งนี้ส่วนมากเป็นชนชั้นสูงและนักบวช ศาสตราจารย์ Salah Al-Kholi จากมหาวิทยาลัยไคโร คาดว่าจะสามารถพบมัมมี่ได้มากถึง…
-
24 ภาพจากโปสการ์ดในปี 1920 โชว์การจูบ ‘เฟรนช์คิส’ สุดโรแมนติกของชาวฝรั่งเศส
เมื่อพูดถึงประเทศฝรั่งเศส หลายคนคงจะจินตนาการถึงความหรูหรา และความโรแมนติกของคู่รัก ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ผู้คนเกือบทั่วทั้งโลกรู้จักก็คือ ประเทศนี้เขามีสไตล์การจูบที่มีความหลากหลาย เช่น การจูบแบบโรแมนติก การจูบทักทาย การจูบแบบคู่รัก การจูบแบบครอบครัว ฯลฯ และในวันนี้ #เหมียวขี้อ้อน จะขอพาเพื่อนๆ มารับชมภาพโปร์ดการ์ดจากฝรั่งเศสในปี 1920 ที่จะมาทำให้เราได้เห็นว่าวิธีการจูบที่แสนโรแมนติกของชาวฝรั่งเศสเขาทำกันอย่างไร ว่าแล้วก็มารับชมกันเลย 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 …
-
16 ภาพของโลกในยุคอดีต อันเคยอุดมสมบูรณ์มาก่อน ที่เหลือเพียงแค่ความทรงจำสีจาง
ทุกวันนี้เราแทบไม่เห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ในเมืองหรือแม้กระทั่งในป่าแล้ว เนื่องจากการเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ของมนุษย์ ทำให้มีการแผ้วถางตัดไม้เพื่อเปลี่ยนเป็นถิ่นที่อยู่หรือนำไปใช้ประโยชน์ต่างๆ จนป่าเหลือน้อยเต็มที แต่วันนี้ #เหมียวอ๊อดโด้ จะพาเพื่อนๆ ไปชม 16 ภาพในอดีต ที่ทำให้รู้ว่าโลกยุคโบราณของเราเคยอุดมสมบูรณ์มากขนาดไหน เราลองไปชมกันเลย ต้น Redwood ในอุทยานแห่งชาติ Yosemite ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1870 ต้น Sequoia ต้นเดิมในอุทยานแห่งชาติ Yosemite ประเทศสหรัฐอมริกา ปี 1955 เห็ดยักษ์ในเวลส์ ช่วงปี 1953 แฟงยักษ์ในอังกฤษปี 1938 กะหล่ำปลียักษ์ ในประเทศอังกฤษ ปี 1954 บัวสายยักษ์ ผักลีกยักษ์ ใบตองขนาดมหึมา ผักกาดเทอร์นิพยักษ์ในญี่ปุ่น ปี 1957 . คาวบอยกับต้นกระบองเพชรในปี 1955 เห็ดที่มีเส้นรอบวงยาวกว่า 42 นิ้วในปี 1936 ต้นโกฐน้ำเต้าขนาดใหญ่ในปี 1953…
-
จีนทุ่มงบกว่า 2,500 ล้านบาทเพื่อเนรมิต “เมืองกุ้ยหยางโบราณ” ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง!!
โดยทั่วไป หลายประเทศพยายามที่จะอนุรักษ์เมืองโบราณไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้เห็นประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน สถานที่สำคัญ หรือแม้กระทั่งกำแพงก็ยังเป็นสิ่งที่น่าค้นหา แต่สำหรับในมณฑลหูหนานแล้ว ได้ทำการลงทุนสร้างเมืองโบราณขึ้นมาใหม่เองซะเลย โดยใช้งบประมาณประมาณ 2,500 พันล้านบาท เพื่อเนรมิตเมืองกุ้ยหยางเก่าแก่ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง โดยโปรเจกต์นี้เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเมืองเก่าแก่นี้จะใช้พื้นที่ประมาณ 144 เฮกตาร์ หรือ 1,440,000 ตารางเมตร ซึ่งถือว่าใหญ่มากๆ ประมาณหนึ่งหมู่บ้านหรือหนึ่งตำบลในบ้านเราเลย ในเมืองนี้เราจะได้เห็นสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่เหมือนกับเมืองกุ้ยหยางโบราณทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวัด Guiyang Confucius Temple, พิพิธภัณฑ์, Kun Opera House, และเขตการค้าซึ่งจำลองแบบมาจาก 2,000 ปีที่แล้วอย่างครบถ้วน ตอนนี้ยังไม่มีกำหนดการว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ แต่ถ้าสร้างเสร็จออกมามันต้องเป็นอะไรที่สวยงามและเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบใหม่ๆ แน่นอน ที่มา people.cn
-
โบสถ์อายุกว่า 400 ปี โผล่มาให้เห็นเพราะภัยแล้งเม็กซิโก หลังจมอยู่ก้นแม่น้ำมานานนับ 50 ปี!!
โบสถ์โดมินิกันในประเทศเม็กซิโกได้จมไปอยู่ก้นแม่น้ำมาตั้งแต่ช่วงทศววรตที่ 1960 แต่หลังจากที่ประเทศเม็กซิโกต้องเผชิญกับปัญหาภัยแล้ง จนสามารถเห็นโบสถ์เก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 400 ปี นี้ได้อีกครั้งหนึ่ง โบสถ์แห่งนี้ถูกสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นมาโดยพระและแม่ชี ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1500 เมื่อพวกเขาเดินทางมายังประเทศเม็กซิโกเพื่อเผยแพร่ศาสนา ในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเม็กซิโก จนมาถึงช่วงปี 1962 ได้มีการสร้างเขื่อน Benito Juarez Dam ขึ้นมาทำให้โบสถ์แห่งนี้ถูกน้ำท่วมไปจนไม่เห็นแม้แต่เงา จากนั้นปริมาณน้ำในเขื่อน ก็ค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันเหลือจำนวนน้ำเพียง 16 เปอร์เซ็นต์จากความสามารถในการจุน้ำได้ทั้งหมดของเขื่อน นั่นหมายความว่าเราสามารถมองเห็นเกือบทุกส่วนของโบสถ์ได้แล้ว จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รู้ถึงความรุนแรงของปัญหาภัยแล้งในประเทศเม็กซิโกได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่ามันส่งผลไปถึงการทำการเกษตรอย่างเช่นการปลูกข้าวโพด ที่เป็นพืชเศรษฐกิจของพวกเขาด้วย สถาปัตยกรรมบางส่วนของโบสถ์ก็ถูกน้ำกัดเซาะจนหายไป แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงอยู่ในสภาพที่ดีอยู่ พื้นที่ที่แห้งแล้ง ภายในที่ยังคงมีน้ำขังอยู่ บางส่วนก็แห้งสนิท จนเด็กๆ สามารถเข้ามาวิ่งเล่นกันได้ ต้องขอบอกเลยว่า เป็นสถาปัตยกรรมที่อึด ถึก และทน จริงๆ หลังจากที่นอนอยู่ก้นแม่น้ำมานานนับ 50 ปี แต่ก็ยังคงรูปร่างเดิมเอาไว้ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเหตุการณ์นี้ก็ชี้ให้เห็นว่าโลกของเรากำลังเผชิญปัญหาภัยแล้งในหลายๆ พื้นที่…
-
ชม 12 ภาพถ่ายแห่งประวัติศาสตร์ของคนอินเดียสมัยโบราณ ในช่วงศตวรรษที่ 19
ครั้งนี้เราจะพาเพื่อนๆ ทุกคนมาชมภาพถ่ายของชาวอินเดียโบราณ ที่ไม่ได้หาชมง่ายในปัจจุบัน โดยภาพถ่ายทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของ มหาราช ซาราม ซิงห์ ผู้ปกครองเมืองชัยปุระ หรือ นครสีชมพู ในช่วงปี 1835-1880 ซึ่งในปัจจุบันเมืองแห่งนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความโดดเด่นที่สุดในโลกไปแล้ว ย้อนกลับไปในสมัยที่ มหาราช ซาราม ซิงห์ อยู่ในช่วงที่กำลังปกครองเมืองชัยปุระ เขามักจะชื่นชอบการเดินเที่ยวเตร่อยู่ตามท้องถนนโดยที่ไม่เผยตัวตน เพื่อที่จะได้สังเกตการทำงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ อีกทั้งเขายังชื่นชอบการถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจ พร้อมทั้งทุ่มเทเวลาที่มีสร้างผลงานภาพถ่ายของตนเองขึ้นมา และแน่นอนว่าผลงานภาพถ่ายของเขา ก็ทำให้คนรุ่นหลังอย่างเราได้มีโอกาสเห็นภาพของชาวอินเดียในสมัยนั้นอีกด้วย นี่คือภาพถ่ายของหญิงนางโลมแห่งเมืองชัยปุระ ปี 1857 ภาพถ่ายของหญิงนางโลมแห่งเมืองชัยปุระ ระหว่างปี 1857 – 1865 ชายในพระราชวังหลวงแห่งเมืองชัยปุระ ปี 1857-1865 มหาราช ซาราม ซิงห์ ที่ 2 แห่งเมืองชัยปุระ ในปี 1857 – 1865 ภาพถ่ายหญิงแห่งเมืองชัยปุระ ปี 1857 – 1865…
-
นักโบราณคดีจีนขุดพบ ‘ดิลโด้โบราณ’ อายุ 2,000 ปี แต่จุดประสงค์การใช้งานยังคงเป็นปริศนา!?
จากการค้นพบล่าสุดของนักโบราณคดีก็ทำให้รู้ว่าเหล่าขุนนางภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮั่น ในช่วงยุค 206 ปีก่อนคริสตกาล นั้นดูเหมือนว่ามีช่วงเวลาที่เยี่ยมยอดมาก… ในการขุดค้นสุสานโบราณที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี ที่ตั้งอยู่ในมณฑล Jiangsu นักโบราณคดีได้ค้นพบสมบัติที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากมาย ประกอบไปด้วยวัตถุที่เป็นเซรามิค, จานชาม, อุปกรณ์อาบน้ำ (ฟองน้ำที่ใช้ขัดตัว), และอุปกรณ์ที่น่าทึ่งอย่างดิลโด้ที่ทำจากทองแดงและหยก ถึงแม้มีการสันนิษฐานว่าดิลโด้ทองแดง อาจจะถูกใช้เป็นวัตถุทางด้านเพศ ทั้งให้ผู้หญิงใช้หรือผู้ชายใช้เพื่อเป็นเซ็กส์ทอยกับคู่ฝ่ายตรงข้าม อย่างไรก็ตามทางด้านนักวิจัยเชื่อว่าเจ้าดิลโด้หยกนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อสนองต่อความต้องการทางเพศแต่อย่างใด เพราะหยกนั้นถือเป็นอัญมณีที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองของชาวจีนมาอย่างช้านาน และคาดว่ามันน่าจะถูกนำมาใช้ในพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อมากกว่า “เจ้าสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายกับดิลโด้ที่ทำขึ้นมาจากหยกนี้ ถูกใช้งานเพื่อปิดผนึกร่างกายเพื่อกักเก็บเนื้อแท้ของตัวตน ไม่ให้มันรั่วไหลออกมาในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว” ภัณฑารักษ์ Fan Zhang กล่าว ส่วนเจ้าดิลโด้ทีทำขึ้นมาจากทองแดงนั้นเองก็ ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีไว้ทำอะไรกันแน่ เพราะรูปร่างของมันช่างแปลกประหลาด มีห่วงวงกลมเล็กๆ ติดอยู่ข้างหลังจึงทำให้นักวิจัยต่างก็ตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้วมันมีไว้เพื่อสนองต่ออารมณ์ทางเพศจริงหรือไม่!? “เจ้าดิลโด้ที่ทำมาจากทองแดงนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากมากๆ และมันมักจะถูกพบในหลุมฝังศพของชนชั้นสูง เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาทำมันขึ้นมาเพื่อใช้งาน แต่จะใช้งานในเรื่องใดนั้นยังไม่อาจทราบได้ เจ้าห่วงวงกลมนั้นก็คือสายหนัง หรือหนังที่ถูกคล้องเอาไว้ แต่มันก็ทำให้ชวนสงสัยว่าพวกเขาจะสวมใส่กันอย่างไร? มีไว้สำหรับผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่!?” คุณ Zhang กล่าว การค้นพบครั้งนี้ อาจจะเป็นหลักฐานสำคัญไขไปสู่เรื่องน่าสนใจในประวัติศาสตร์อีกหลายๆ เรื่องก็เป็นได้ ต้องคอยติดตามกันดูแล้ว… ที่มา :…
-
ย้อนอดีตไปชมภาพถ่าย “ห้องสมุดเคลื่อนที่” ในต้นศตวรรษ 20 ที่หาชมไม่ได้ง่ายๆ เลย
ในปัจจุบันโลกของเราได้มีการพัฒนาไปเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านเทคโนโลยีต่างๆ ที่ให้ทั้งความสะดวกสบาย และรวดเร็ว เช่น หากเราอยากได้หรืออยากซื้ออะไร เพียงแค่คลิกเข้าไปในเว็บไซต์นั้นๆ ก็สามารถสั่งซื้อ และรอรับของที่บ้านได้ และใครก็ตามที่ชื่นชอบการอ่านหนังสือ คุณสามารถไปยังห้องสมุด หรือซื้อผ่านเว็บไซต์ Amazon ที่หลายๆ คนรู้จักในนามของร้านหนังสือออนไลน์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกได้อีกด้วย แต่จริงๆ แล้ว เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่า Amazon ไม่ได้เป็นร้านหนังสือ หรือห้องสมุดเคลื่อนที่ที่เพิ่งเกิดขึ้นหรอกนะ เพราะในอดีตเมื่อย้อนกลับไปในต้นศตวรรษที่ยี่สิบ เราก็เคยมีห้องสมุดเคลื่อนที่มาแล้วเหมือนกัน และนี่คือภาพหาดูยากของห้องสมุดเคลื่อนที่ในอดีตก่อนที่ Amazon จะก่อกำเนิดขึ้น เรามาดูความคลาสสิค และชื่นชมกลิ่นอายห้องสมุดเคลื่อนที่ในอดีตกันเลย ห้องสมุดเคลื่อนที่ได้เปิดให้บริการในปี 1925 สำหรับห้องสมุดเคลื่อนที่แห่งแรกนั้น คาดว่าได้ปรากฏตัวขึ้นที่ Warrington ประเทศอังกฤษในช่วงปลายยุค 1850 โดยจะมีตั้งแต่รถม้าเทียมลากห้องสมุดคันเล็กๆ ไปจนถึงรถตู้คันใหญ่กว้างขวาง ในช่วงปีแรกของการเปิดให้บริการมีจำนวนการยืมหนังสือไปมากถึง 12,000 ต่อมาห้องสมุดเคลื่อนที่จึงถูกมาตั้งในยานพาหนะ หลังจากนั้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 จึงได้เข้ามาแพร่หลาย และได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศอเมริกา ห้องสมุดเคลื่อนที่ครั้งแรกในซินซินแนติ รัฐโอไฮโอ ปี 1927 ห้องสมุดเคลื่อนที่ในอิหร่าน ปี…
-
สุดยอดภาพวาดอายุ 450 ปีของ Bruegel ที่แฝง ‘สุภาษิตดัตช์’ ไว้นับร้อยในภาพเดียว!!
คำกล่าวว่าภาพวาดแค่หนึ่งภาพสามารถแทนคำพูดได้เป็นร้อยๆ คำนั้น เป็นคำที่ไม่ได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใดเลย… ภาพวาดเก่าแก่อายุกว่า 450 ปีของศิลปินชาวดัตช์ที่ชื่อว่า Pieter Bruegel นั้นเป็นคำตอบของเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะในภาพวาดของเขาแฝงเอาสุภาษิตโบราณของชาวดัชต์กว่าร้อยสุภาษิต!! (บางอันยังใช้มาถึงปัจจุบันนี้) Bruegel นั้นเป็นศิลปินที่ขึ้นชื่อในเรื่องความละเอียดอ่อนอยู่แล้ว ตอนนี้ภาพของเขาถูกเก็บไว้ที่ Gemäldegalerie กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และนี่คือภาพของเขาใบนั้น ‘The Netherlandish Proverbs’ To bang one’s head against a brick wall หรือเอาหัวโขกกำแพง ประมาณว่าทำอะไรที่เจ็บตัว แถมไม่ได้ประโยชน์อีกต่างหาก Move like your ass is on fire! เคลื่อนไหวให้มันรวดเร็วเหมือนไฟไหม้ตูดบ้างสิ! Two fools under one hood. หรือประมาณว่ากบในกะลา คนโง่ชอบอยู่ด้วยกันในโลกแคบๆ เพราะจะยกหางกันเสมอไม่ว่าจะทำอะไร To be pissing against…
-
ภาพเก่าเล่าใหม่ ชมภาพสีของคณะสำรวจ ‘สุสานฟาโรห์ทุตอังค์อามุน’ ครั้งแรกจากยุค 1920
เคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ‘สุสานของฟาโรห์ทุตอังค์อามุน’ กันมาบ้างไหมเอ่ย? ย้อนกลับไปในช่วงปี 1922 ‘ลอร์ด คาร์นาร์วอน’ ได้ทำการว่าจ้างทีมนักสำรวจของ ‘โฮเวิร์ด คาร์เตอร์’ ให้เข้าไปทำการสำรวจในสุสานของฟาโรห์องค์นี้ แต่คราวนี้เราไม่ได้พาไปเจาะลึกเรื่องคำสาป หรือสิ่งเร้นลับอะไรทำนองนั้นหรอกนะ แต่เราจะพาไปชมภาพเก่าเก็บของทีมนักสำรวจ แน่นอนว่าในยุคนั้นยังไม่มีกล้องสี แต่ด้วยนวัตกรรมของโลกสมัยใหม่ ทำให้เราสามารถนำภาพขาว-ดำ ให้กลายเป็นภาพสีราวกับรูปภาพทั้งหมดนี้ มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ ภาพจากกำแพงทางทิศเหนือของสุสาน สมบัติมากมายที่ถูกค้นพบในสุสานแห่งนี้ ก่อนจะถูกเอามารวบรวมไว้ที่ห้องโถง 29 พฤศจิกายน 1923 Howard Carter (ซ้าย) กำลังห่อรูปปั้นผู้เฝ้ายามด้วยผ้าอย่างดี เพื่อนำไปศึกษาต่อ สมบัติอีกจำนวนหนึ่งจากสุสานแห่งนี้ ส่วนใหญ่แล้วทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ และอัญมณีแท้ บริเวณที่บรรจุหีบศพขององค์ฟาโรห์ โดยมีเหรียญบรอนซ์วางกระจัดกระจายอยู่ด้านบน ตามความเชื่อโบราณของชาวอียิปต์ ตุลาคม 1926 กับการค้นพบหีบใส่อวัยวะภายในขององค์ฟาโรห์ ซึ่งหีบทั้งหมดที่เห็นนี้จะประกอบไปด้วย ตับ ไต ม้าม หัวใจ ฯลฯ 30 ตุลาคม 1925 คาร์เตอร์…
-
รวม 10 วิธีคุมกำเนิดสุดแปลกในอดีต ครั้งหนึ่งเคยเป็นทางเลือกของหนุ่มสาว!!
ทุกวันนี้มีวิธีการคุมกำเนิดที่สามารถใช้ได้จริงอยู่มากมาย ตั้งแต่การใช้ถุงยาง การกินยาคุม หรือแม้กระทั่งการนับหน้าเจ็ดหลังเจ็ด ซึ่งแต่วิธีกว่าจะได้มา ก็ต้องผ่านการคิดค้นและลองผิดลองถูกมามากมาย แต่วันนี้ #เหมียวอ๊อดโด้ จะพาเพื่อนๆ ไปชม 10 รวม 10 วิธีคุมกำเนิดสุดแปลกจากในอดีต ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทางเลือกของหนุ่มสาว ที่เราอ่านแล้วจะต้องเกาหัวแกรกๆ เลยว่า พวกเขาทำไปได้อย่างไร 1. กระปู๋ตัววีเซิล ในช่วงยุคกลางของยุโรป มีความเชื่อว่าการนำอัณฑะของตัววีเซิ่ลมาแปะที่ขาของหญิงสาวในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์จะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่จริง ภายหลังก็ได้ล้มเลิกไป แต่บางทีก็สงสัยว่า เวลาหนุ่มๆ เห็น “กระปู๋” ของตัววีเซิลแปะที่ขาของคู่รักระหว่างการมีเซ็กส์ พวกเขาจะรู้สึกยังไงนะ == 2. อึจระเข้ แม้ชาวอียิปต์โบราณได้สรรสร้างสิ่งมหัศจรรย์และความรู้ต่างๆ ไว้ให้กับโลกมากมาย แต่ดูเหมือนเรื่องการคุมกำเนิด พวกเขาก็มีการเข้ารกเข้าพงเหมือนกับดินแดนอื่นๆ บนโลก โดยพวกเขาได้สร้าง “เกราะป้องกัน” (คิดซะว่าเป็นถุงยางแบบแข็งละกัน) ที่ทำมาจาก อึของจระเข้ผสมกับน้ำผึ้ง แน่นอน ผลลัพธ์ก็ล้มเหลวไม่แพ้วิธีแรก 3. กระปู๋ตัวบีเวอร์กับแอลกอฮอล์ ในศตวรรษที่ 16 ชาวแคนาดาเชื่อว่าลูกอันฑะของสัตว์ตัวเล็กๆ…
-
รวม 11 วิธีการรักษาโรคสุดสยอง-อันตรายในอดีต ที่คนยุคนี้ได้ทราบคงจะขนหัวลุก
อย่างที่ทราบกันดีว่า วิทยาการทางการแพทย์ของมนุษย์พัฒนาอย่างรวดเร็วที่ช่วงร้อยปีที่ผ่านมา (ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับค่ายกักกันในช่วยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งของเยอรมันและญี่ปุ่นเลยล่ะ) ทำให้วิธีการรักษาโรคและอาการเจ็บป่วยต่างๆ นั้นถูกต้องและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แต่รู้หรือไม่ ในอดีตเราเคยมีวิธีการรักษาโรคแบบแปลกๆ มากมาย ซึ่งหลายๆ วิธีนั้นต้องบอกว่าสยดสยองจนน่าขนลุกเลยทีเดียว อย่างเช่น 11 วิธีการรักษาโรคในอดีตที่ #เหมียวอ๊อดโด้ นำมาให้เพื่อนๆ ได้ชมวันนี้ ลองไปชมกันเลย!! 1.เอาเลือดออก ย้อนไปเมื่อซักร้อยปีก่อน มีหมอหลายคนเชื่อว่าอาการป่วยของมนุษย์เกิดจากของเหลวในร่างกายทำงานผิดปกติหรือเป็นพิษ พวกเขาจึงใช้วิธีการเจาะเอาเลือดเสียออก (รู้ได้ไงว่าอันไหนเลือดเสีย -*-) จนกระทั่งช่วงต้นศตวรรษที่ 20 พวกเขาถึงรู้ว่า การเอาเลือดออกจากร่างกายมีแต่ทำให้ผู้ป่วยอ่อนแอลง หรือไม่ก็เสียชีวิตเลยก็ได้ พวกเขาจึงเลิกรักษาด้วยวิธีนี้ไปแต่โดยดี 2. โคเคน หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่าโคเคน หรือ ผงขาว เคยใช้เป็นยาแก้ปวดมาก่อน จนตอนหลังแพทย์พบว่าผู้ป่วยมีอาการเสพติดยาแก้ปวดเหล่านั้น พวกเขาจึงแบนและเลิกใช้ไปในที่สุด 3. ดื่มฉี่ของตัวเอง ในอดีต เคยมีความเชื่อว่าการดื่มฉี่ตัวเองหรือเอาฉี่มาทาตามร่างกายจะทำให้สุขภาพแข็งแรง ซึ่งปัจจุบันก็น่าจะรู้กันหมดแล้วว่ามันไม่จริง แต่ดูเหมือนว่าจะมีหลายคนยังเชื่อเรื่องนี้อยู่นะ 4. คลอโรฟอร์ม …
-
เปิดมิติใหม่แห่งการดูโบราณสถานกับ “กระจก” ที่ให้นักท่องเที่ยว เห็นสภาพจริงของที่นั้นๆ
เชื่อว่าหลายๆ ครั้งที่เที่ยวชมโบราณสถาน ซากปรักหักพังต่างๆ หลายคนอาจนึกภาพไม่ออกว่า สภาพที่แท้จริงของซากปรักหักพังเหล่านั้น มีหน้าตาอย่างไร แม้บางที่จะมีรูปจำลองไว้ให้ดู แต่นั่นก็ไม่สามารถเติมเต็มความรู้สึกของผู้ชมเท่าไหร่ แต่วันนี้ #เหมียวอ๊อดโด้ จะพาเพื่อนๆ ไปชมนวัตกรรมใหม่ของการเที่ยวชมโบราณสถานจากประเทศออสเตรีย (ไม่ใช่ออสเตรเลียนะ) ที่จะทำให้ผู้ชมทุกท่าน เห็นสภาพดั้งเดิมของโบราณสถานนั้นๆ ลองไปชมกันเลยดีกว่า!! ภาพที่เราเห็นนี้คือ Heidentor คือ อนุสาวรีย์แห่งชัยชนะของจักรวรรดิโรมัน ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศออสเตรีย สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4 ด้วยความที่เจ้าอนุสาวรีย์แห่งนี้พุพังและโดนทำลายไปตามกาลเวลา ทำให้มีการนำ “กระจก” ที่ร่างแบบคร่าวๆ ของโบราณสถานแห่งนี้ มาติดตั้ง เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถ “เห็น” ได้ว่า จริงๆ แล้วอนุสาวรีย์มีหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งเจ้าแบบจำลองอันนี้ จะทำให้เราได้เห็นลักษณะ รูปแบบ ขนาดคร่าวๆ ของโบราณสถานแห่งนี้ เรียกว่าแทบจะได้เห็นของจริงเลยล่ะ! เจ๋งใช่มั้ยล่า แต่ถ้าเพื่อนๆ อยากเห็นอะไรที่เจ๋งกว่านี้ #เหมียวอ๊อดโด้ จะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับแอพพลิเคชั่นของบริษัทสตาร์ทอัพจากอิสราเอล Architip ที่จะทำให้เพื่อนๆ เห็นอดีตจากหน้าจอโทรศัพท์ตัวเอง วิธีการใช้งานก็ไม่ยาก แค่เราเปิดแอพพลิเคชั่นแล้วดูโบราณสถานที่ต้องการผ่านทางกล้องโทรศัพท์…
-
หนุ่มญี่ปุ่น พาไปทดลองดื่ม ‘กาแฟกระป๋อง’ อายุกว่า 27 ปี เอิ่ม… ยังไม่เข็ดใช่ไหม!?
เอาจริงๆ แล้ว “ประเทศญี่ปุ่น” นี่ถือได้ว่าเป็นประเทศที่ชอบลองของแปลกมากที่สุดเลยก็ว่าได้เลยนะเนี่ย ซึ่งจากบทความที่แล้ว เราได้นำเสนอเกี่ยวกับหนุ่มญี่ปุ่นที่ตามหา บะหมี่ อายุกว่า 16 ปี แล้วนำมาต้มกิน ผลที่ได้ก็คือโป๊ะเชะ มันเน่าแล้วนั่นเอง และดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่เข็ดนะ เพราะล่าสุดคุณ Sanjun ก็ได้ตัดสินใจทดลองดื่มกาแฟกระป๋องที่มีอายุนานกว่า 27 ปี จากร้านขายของมือสอง ในจังหวัดยามากูชิ ประเทศญี่ปุ่น นั่นเอง ว่าแล้วก็อย่ารอช้าไปดูผลกันเลยว่ารสชาติของกาแฟสุดเก่าแก่กระป๋องนี้ จะออกมาเป็นอย่างไร และนี่คือ “จอร์เจีย คอฟฟี่” กาแฟกระป๋องพร้อมดื่มอันดับ 1 ในญี่ปุ่น จาก Coca Cola กาแฟกระป๋องนี้จะรสชาติดี๊ดี หากนำมาดื่มก่อนวันที่ 10 กันยายน 1989 แต่เดี๋ยวนะ!! นี่มันผ่านมานานแล้วนี่นา ดูจากสภาพแล้ว…มีใครอยากลองดื่มบ้างไหม? เอาละ!! เริ่มภารกิจ เมื่อลองสูดกลิ่นเขาไป ก็พบว่า…มันไม่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว หรือกลิ่นของความเน่าเสียเลย เทมันลงไปในแก้วเลยยยย…
-
นักท่องเที่ยวไม่ทราบสัญชาติ เข้าไปจับ “นาฬิกาโบราณ” หล่นแตก ทั้งๆ ที่มีป้ายห้ามจับ!!
เวลาที่เราพิพิธภัณฑ์ ก็คงจะรู้กฎกันดีอยู่แล้วว่าสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นมันมีคุณค่า และทางพิพิธภัณฑ์ก็ต้องเขียนป้ายห้ามจับหรือห้ามเข้าใกล้ติดไว้เป็นธรรมดา แต่ก็มักจะมีนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้เรื่องชอบทำข้าวของเสียหายอยู่เรื่อย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ National Watch and Clock Museum ในเพนซิวาเนีย ซึ่งกล้อง CCTV ได้จับภาพได้ เป็นภาพของนักท่องเที่ยว 2 คน กำลังเข้าไปจับกับเครื่องบอกเวลาโบราณที่ทำจากไม้ และแขวนอยู่บนผนัง ทันทีที่ผู้ชายเข้าไปเล่นมัน ด้วยความที่มันเก่ามาก จึงมีความเปราะบางเป็นพิเศษ ทำให้มันหล่นลงมาแตกหักเสียหาย ก่อนทั้งคู่จะวางทิ้งไว้แล้วก็เดินหนีไปในที่สุด ชมคลิปเหตุการณ์ดังกล่าว และก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ก็เพิ่งมีข่าวเกี่ยวกับการทำลายข้าวของในพิพิธภัณฑ์ เช่นเดียวกัน แต่เป็นที่จีนใน Shanghai Museum of Glass ซึ่งได้เกิดเหตุการณ์ที่เด็กเข้าไปเล่นในเขตที่กั้นไว้ โดยมีผู้ปกครองถ่ายคลิปอยู่ด้วย ผลงานที่ถูกทำลายชื่อว่า “Angel Is Waiting” ซึ่งหลังจากเด็กเล่นมันพัง Xue ซึ่งเป็นศิลปินที่สร้างผลงานนี้ขึ้นมาก็เปลี่ยนชื่อมันเป็น “Broken” แทน ดูคลิปแล้วมันรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกเลย แล้วก็มีแต่คำว่า “ทำไม” อยู่ในหัวเต็มไปหมดดดด ที่มา telegraph
-
นักโบราณคดีขุดค้นพบสูตรการหมัก ‘เบียร์’ โบราณในจีน ที่เก่าแก่มากกว่า 5,000 ปี!!
เป็นเวลาหลายปีที่นักวิทยาศาสตร์ของประเทศจีนได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าบรรพบุรุษของพวกเขาในสมัยโบราณนั้น เคยประสบความสำเร็จในการหมักเบียร์เพื่อนำมาบริโภคเองกันได้ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานชิ้นใดมายืนยันจนกระทั่งตอนนี้!!! จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เหล่านักโบราณคดีก็ได้พบหลักฐานชิ้นสำคัญในด้านการปั้นในสมัยจีนโบราณ ที่ทำให้สาวไปถึงสูตรการหมักเบียร์ของจีนที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 5,000 ปี!!! สูตรเบียร์กว่า 5,000 ปี จะหน้าตาเป็นยังไงหนอ!!? แน่นอนว่าการค้นพบครั้งนี้เปลี่ยนความเชื่อไปหลายๆ อย่างจริงๆ เพราะเบียร์ในสมัยก่อนนั้นต้องใช้ข้าวบาร์เล่ย์ในการผลิต และจากสูตรเบียร์ที่พบย้อนไปกว่า 5,000 ปีนั้นก็แสดงว่าพืชชนิดนี้ได้มีในประเทศจีนในระยะเวลาพอๆ กัน และหลักฐานของสูตรการทำเบียร์นี้ยังสมเหตุสมผลมากๆ กับปล่องกรวยโบราณ ที่เหล่านักโบราณคดีคาดว่าเป็นสิ่งที่ชาวจีนโบราณได้สร้างขึ้นเพื่อผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ปล่องกรวยสำหรับทำเบียร์ เมื่อนำอุปกรณ์เหล่านี้มาสกัดก็พบสารสีเหลืองที่อยู่ภายใน และยังมี Oxalate ที่เป็นสารที่ได้จากการผลิตเบียร์อีกด้วย ยิ่งทำให้หลักฐานชัดเจนมากขึ้นไปอีก ขัดกับความเชื่อเดิมที่ว่าการปลูกข้าวบาร์เล่ย์พึ่งมีขึ้นมาราวๆ 4,000 ปีก่อนเท่านั้น นอกจากนี้การผลิตเบียร์ยังแสดงให้เห็นว่า ผู้คนในสมัยหยางเซาในประเทศจีนนั้น มีการติดต่อกับโลกตะวันตกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะ ‘เบียร์’ ยังเป็นตัวชี้วัดว่าเกิดการผสมผสานของวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกอีกด้วย ไม่น่าเชื่อเหมือนกันนะเนี่ยว่าสูตรการทำเบียร์โบราณจะสามารถสาวข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ได้มากมายขนาดนี้ แถมยังเป็นเครื่องดื่มโปรดของหลายๆ คนอีกด้วย ฮ่าๆๆ ยอมรับกันมาซะดีๆ ^^ ที่มา: BusinessInsider
-
เกร็ดความรู้น่าสนใจ แท้จริงแล้ว มนุษย์เกือบมีอินเตอร์เน็ทใช้ตั้งแต่ปี 1964 แล้วล่ะ!!?
จะว่าไปแล้วเรื่องนี้นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ สำหรับพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีของมนุษย์ เพราะถ้าพัฒนาได้ในตอนนั้นนี่ไม่รู้ว่าตอนนี้โลกของเราจะก้าวไกลขนาดไหนเลยทีเดียว ก็อย่างที่เราทราบๆ กันแล้วว่าปัจจุบันอินเตอร์เน็ทนั้นเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ แทบจะขาดไม่ได้กันเลยล่ะ เพราะอำนาจทางการติดต่อสื่อสารได้อย่างรวดเร็วนั้น คือหัวใจของทุกๆ ด้านในปัจจุบัน แต่เพื่อนๆ รู้ไหม ในช่วงปี 1960 นั้น หน่วยเทคโนโลยีของทาง AT&T’s Bell สามารถสร้างวิดีโอคอลขึ้นมาได้และเรียกมันว่า Picturephone หรือ โทรศัพท์รูปภาพ และด้วยเทคโนโลยีนี้ บริษัทเกือบคิดค้นระบบอินเตอร์เน็ทขึ้นมาได้!!? Picturephone แต่หลังจากคิดค้นได้ไม่นาน พวกเขาก็เจอโจทย์ที่แก้ไขไม่ได้ ทำให้โครงการต้องหยุดชะงักและถึงขั้นล้มเลิกกันไปเลยทีเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เรื่องราวทั้งหมดเริ่มขึ้นในประเทศเยอรมนี โดย Dr. Goerg Schubert เป็นผู้จดสิทธิบัตรการวิดีโอคอลขึ้นในยุคนั้น ไม่นานหลังจากนั้นการไปรษณีย์เยอรมนีก็เริ่มการวิดีโอคอลกันมากขึ้น ในเมืองใหญ่ๆ ทั้ง Berlin, Leipzig, Nuremberg, Hamburg, และ Munich ล้วนแต่มีบูธสำหรับให้ผู้คนได้วิดีโอคอลกันในปี 1936 – 1940 แต่อนิจจา สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้การวิดีโอคอลในเยอรมนีนั้นยุติลงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งก็มีวิดีโอคอลบางแห่งหลงเหลืออยู่เช่นกันในประเทศฝรั่งเศส แต่ก็ไม่ได้ชุกชุมมากนักเหมือนเมื่อก่อน จนในปี 1964 บริษัทโทรคมนาคมของสหรัฐฯ ก็สามารถสร้าง Picturephone เป็นของตัวเองได้สำเร็จ และเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ใน New York…
-
วิถีชีวิต “พรานล่าน้ำผึ้ง” แบบโบราณของชาวเนปาล โรยตัวจากหน้าผาสูง เพื่อน้ำผึ้งอันหอมหวาน
คงจะไม่แปลกอะไรหรอกกับการเก็บน้ำผึ้งที่เราก็รู้ๆ กันอยู่แล้วว่า น้ำผึ้งส่วนใหญ่ที่ผลิตออกมานั้นมาจากผึ้งเลี้ยงในฟาร์ม มีความเสี่ยงเล็กน้อยหากไม่มีอุปกรณ์ป้องกันที่ดี เพราะอาจจะถูกผึ้งต่อยได้ แต่ในประเทศเนปาลนั้น ยังคงมีการเก็บน้ำผึ้งแบบโบราณอยู่ เป็นน้ำผึ้งที่ได้มาจากธรรมชาติแท้ๆ อีกทั้งยังต้องเสี่ยงตายจากเหล่าผึ้งและความสูงชันของหน้าผาด้วย!! ผลงานภาพถ่ายของ Andrew Newey ช่างภาพจากประเทศอังกฤษ ได้ทำการเก็บบรรยากาศการล่าน้ำผึ้งของชนเผ่าโบราณ Gurung จากประเทศเนปาล ซึ่งเป็นหนึ่งในประเพณีที่ยังคงอยู่ของชนเผ่านี้ โดยการล่าน้ำผึ้งนั้นก็เกิดขึ้น 2 ครั้งต่อปี นักล่าน้ำผึ้งทั้งหลายจะต้องปีนขึ้นไปบนหน้าผาอันสูงชัน ณ ใจกลางของประเทศเนปาล อันเป็นแหล่งของรังผึ้ง อุปกรณ์ที่ใช้ก็จะมีเพียงแค่เชือกบันไดในการโรยตัวจากหน้าผา พร้อมกับพกไม้ไผ่ก้านยาวปลายแหลมเพื่อใช้ตัดรังผึ้งให้ขาด และมีตะกร้าคอยรอรับอยู่ด้านล่าง ประเพณีการล่าน้ำผึ้งนี้ถือว่าเป็นอีกกิจกรรมโบราณชนิดหนึ่งที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน โดยมีหลักฐานประกอบจากภาพวาดบนผนังถ้ำอายุประมาณ 8,000 ปี ในประเทศสเปน แสดงให้เห็นว่ามนุษย์กำลังปีนป่ายเถาวัลย์เพื่อเก็บน้ำผึ้ง แม้จะต้องเสี่ยงอันตรายมากมายซักแค่ไหน แต่เพื่อน้ำผึ้งอันหอมหวาน มนุษย์ก็ยังคงดำเนินประเพณีนี้สืบต่อไป ที่มา : designyoutrust
-
ช่างภาพตามติดชีวิตชนเผ่าโบราณ Dukha แห่งมองโกเลีย กับความห่างไกลอันแสนสุข!!
ปัจจุบันมนุษย์มีความเจริญมากขึ้นกว่าแต่ก่อน จึงอาจจะทำให้เราเผลอคิดไปว่าทุกภาคส่วนบนโลกล้วนมีแต่ความเจริญ ทั้งด้านเทคโนโลยีและความเป็นอยู่ จากหมู่บ้านกลายมาเป็นเมือง มีไฟฟ้าใช้ เป็นต้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม บางส่วนของโลกยังคงมีอารยธรรมแบบโบราณหลงเหลืออยู่ ด้วยกระแสโลกาภิวัฒน์ที่ทำให้โลกนั้นไร้พรมแดน จึงเป็นเรื่องยากที่จะอนุรักษ์อารายธรรมท้องถิ่นโบราณเอาไว้ บางสิ่งจึงเริ่มหายไปตามกาลเวลา แต่สำหรับชนเผ่า Dukha แห่งมองโกเลีย กลับใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมมาอย่างยาวนาน จะเปลี่ยนถิ่นฐานไปเรื่อยๆ ซึ่งยังคงอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน ช่างภาพนามว่า Hamid Sardar-Afkhami ได้ทำการไปเยี่ยมและศึกษาวิถีชีวิตของพวกเขาในแต่ละวัน แล้วก็พบว่านอกจากจะใช้ชีวิตอยู่แบบโบราณแล้ว ยังมีการฝึกฝนสัตว์ป่าเพื่อใช้งานอีกด้วย นอกจากจะมีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์แล้ว ชนเผ่านี้ยังมีการฝึกฝนกวางเรนเดียร์เพื่อใช้เป็นยานพาหนะหลักด้วย เด็กๆ จะได้เรียนรู้วิธีการฝึกและเลี้ยงกวางเรนเดียร์ตั้งแต่อายุน้อยๆ กวางเรนเดียร์ที่ได้รับการฝึกแล้วจะเป็นสัตว์ที่เชื่องและอ่อนโยนมาก แม้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆ ก็ยังสามารถเข้าใกล้ได้ สาวน้อยกำลังจะพาลูกกวางเรนเดียร์อาบน้ำอาบท่า ชนเผ่า Dukha หรือในอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า Tsaatan แปลว่า ผู้เลี้ยงกวางเรนเดียร์ ปัจจุบันครอบครัวของชนเผ่า Dukha นั้นเหลือเพียงแค่ 44 ครอบครัวเท่านั้น หรือประมาณ 200…
-
เมื่ื่อนำไวโอลินในตำนานมาทดสอบ Blind Test กับไวโอลินตัวท๊อปยุคใหม่ ผลจะเป็นยังไงนะ
เชื่อว่าในทุกวงการ ต้องมีของชิ้นหนึ่งที่ทุกคนต่างยอมรับว่าเป็นเอกแห่งผลิตภัณฑ์ ที่ไม่ว่าถามใคร ก็ต้องยกให้เป็นตำนานไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน ไม่ว่าจะเป็นวงการพระเครื่อง วงการเครื่องเสียง วงการฟุตบอล และอื่นๆ อีกมากมาย สำหรับวงการเครื่องดนตรี โดยเฉพาะเครื่องดนตรีคลาสสิกนั้น เครื่องดนตรีแต่ละชนิดก็เครื่องดนตรีในตำนานของตนเอง อย่างเครื่องดนตรีไวโอลิน ก็จะมีไวโอลินของ Stradivarius ที่นักไวโอลินทั่วโลกต่างถือว่าเป็นไวโอลินที่ “สมบูรณ์แบบ” ที่สุดในโลก ไวโอลินตัวนี้ สร้างขึ้นโดย Antonio Stradivari จากตระกูลนักทำเครื่องดนตรีในตำนานจากประเทศอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 17 – 18 ซึ่งในปัจจุบันเหลือเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น และราคามันก็พุ่งขึ้นไปถึงตัวละ 3.5 ล้านปอนด์หรือราว 150 ล้านบาทเลยทีเดียว… แต่ไวโอลินตัวนี้ ถือว่า “ดี” ที่สุดในโลกจริงๆ หรือ? หากเทียบกับไวโอลินรุ่นท็อปๆ ในยุคปัจจุบัน มันจะดีกว่าจริงๆ หรือ? หรือว่าเป็นเพียงอุปทานของมนุษย์ ที่คิดว่าของเก่ามักจะดีกว่าเสมอหรือเปล่า? ทาง National Academy of Sciences จึงทำการทดสอบด้วยการทำ Blind Test หรือปิดตาทดสอบในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรม Indianapolis วิธีการของพวกเขาก็ง่ายๆ…
-
บ้านหลังเก่าที่ดูธรรมดาๆ แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่า ภายในกลับตกแต่งขึ้นมาได้อย่างสวยงามสุดๆ
ถ้าดูจากภายนอกคุณก็คงจะคิดเช่นเดียวกันกับเหมียวใช่ไหมละว่า บ้านหลังนี้มันก็เหมือนบ้านธรรมดาๆ ทั่วไป ที่ไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่น หรือสะดุดตาสักเท่าไหร่ แต่ใครจะไปรู้ละว่า ถ้าหากคุณได้ปิดประตูเข้าไปในบ้านหลังนี้ คุณจะได้พบกับความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ และความจริงนั้นมันก็จะต้องทำให้คุณถึงกับสตั้นไปชั่วขณะเลยทีเดียว อยากรู้แล้วใช่ไหมละว่าข้างในมีอะไร ถ้าอย่างนั้นเชิญเลื่อนมารับชมพร้อมกันเลย และภาพเบื้องหน้าที่คุณกำลังเห็นอยู่นี้ก็คือ เป็นภาพภายในบ้านหลังเก่าธรรมดาๆ นั่นเอง ดูสิ…ภาพในบ้านกลับตกแต่งขึ้นมาได้อย่างสวยงามจนน่าเหลือเชื่อ โดยบ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 72 ปีก่อน ในเมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา และที่สำคัญเจ้าของบ้านที่เป็นหญิงชราวัย 96 ปี ได้จัดสินใจขายมัน และเธอก็ได้เรียกตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ให้มาดูบ้าน เมื่อพวกเขามาถึงก็ถึงกับอึ้ง เพราะภายในบ้านกับนอกบ้านนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทุกตารางเมตรของบ้านหลังนี้ได้ออกแบบ และตกแต่งภายในปี 1950 มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยความประณีต มีความใส่ใจรายละเอียด จึงทำให้มันออกมาสวยงาม และน่าอยู่แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องนอนเล็กสำหรับรับแขก หรือแม้กระทั่งห้องน้ำ ก็ถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างสวยงาม ส่วนชั้นใต้ดินของบ้านก็หรูหราสุดๆ ภายนอกมันอาจจะเป็นเพียงบ้านที่ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ถ้าคุณได้ย่างกรายเข้ามาภายในบ้านหลังนี้ละก็ คุณจะพบกับความสวยงามที่ซ่อนอยู่ภายในบ้านหลังนี้ …
-
ย้อนวันเกิน!! รวม 10 เพลงโฆษณายุคไทยวินเท๊จ วินเทจ มีใครทันได้ฟังในสมัยนั้นบ้าง
จะว่าไปแล้วการนำเสนอสินค้าให้เป็นที่รู้จักก็ต้องผ่านการทำใบโฆษณาไปแปะตามผนังห้างร้านต่างๆ อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยก็คือสื่อที่มาในรูปแบบของเสียง ใช่แล้ว มันก็คือเพลงโฆษณานั่นแหละ โดยที่เมื่อก่อนนั้นจะได้ยินตามวิทยุทั่วไป เปิดแบบคั่นระหว่างรายการ ได้ยินครั้งแรกอาจจะไม่ค่อยรู้สึกอะไร ต่อพอได้ฟังบ่อยๆ ก็เริ่มรู้ถึงเอกลักษณ์สินค้าแต่ละตัว แถมแต่ละอย่างก็ช่างจะสรรสร้างคำมาร้อยให้เป็นเพลงที่ซึมซับเข้าไปในความจำได้อย่างง่ายดาย ฮ่าฮ่า!! มีใครทันอันไหนบ้างเนี่ย 1. ถ่านไฟฉายตรากบ 2. โรงเรียนสอนขับรถ ส.สะพานมอญ 3. แป้งน้ำสมใจนึก 4. แป้งน้ำสปริงซอง 5. โสมเกาหลีตังกุยจั๊บ 6. สเปรย์น้ำหอมคิงส์สเตลล่า 7. พู่กัน สง่า มะยุระ 8. แบตเตอรี่โบลิเด้น 9. ยาหม่องน้ำซีชวนอิ๊ว 10. ครีมย้อมผมซีโอต้า อื้อหืออออออ!! แต่ละเพลง เหมียวนี้ไม่เค๊ย ไม่เคยจะได้ยินมาก่อนเลยนะ ขอบอก แต่ยังจำแว่วๆ เสียงของถ่านไฟฉายตรากับได้อยู่…
-
20 ของใช้ร่วมสมัย ต้นกำเนิดของเทคโนโลยียุคปัจจุบัน ที่เด็กๆ สมัยนี้ไม่เคยได้สัมผัส!!
เหมียวนี่ชอบพาย้อนอดีตเหลือเกิน ฮ่าฮ่า!! ไม่ใช่อะไรหรอก เป็นเพราะว่าคิดถึงช่วงเวลาในยุคสมัยนั้น ที่ว่ามีอุปกรณ์ของใช้ที่เราคิดว่ามันทำให้ชีวิตเราสะดวกสบายมากๆ แต่ถ้าเอามาเทียบกับตอนนี้มันกลับกลายเป็นคนละเรื่อง อีกทั้งก็แทบจะไม่มีให้เห็นแล้วด้วย เพราะว่าเลิกใช้ หมดความหมายไปตามกาลเวลา อย่างเช่น 20 ของใช้ในสมัยก่อน ที่ยังคงความร่วมสมัยเอาไว้อยู่ ยังคงมีหลงเหลือให้เห็นบ้าง ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันเลยก็ว่าได้ เมื่อยุคใหม่เข้ามาแทนที่ สิ่งของเหล่านี้ก็เริ่มลดบทบาทของตัวเองลง เคยเห็น เคยผ่านอะไรกันมาบ้างจ๊ะ ตามมาดูกัน!! เปิดตัวด้วยสื่อบันเทิงทางเสียง เป็นทั้งเครื่องเล่นเทปและวิทยุ ทันสมัยมาอีกนิด ต้นกำเนิดเครื่องเล่นสื่อเสียงแบบพกพา Walkman ของ Sony ตรางยางปั้มวันที่ เลื่อนหาวันกันเพลินเลย (ยังมีใช้กันอยู่นะ) ค้นหาหนังสือในห้องสมุด ก็ต้องพึ่งพาระบบแคทตาลอคแบบเก่า กว่าจะหาเจอก็ใช้เวลาพอสมควร (เดี๋ยวนี้มีระบบค้นหาภายในห้องสมุดแล้ว) เครื่องอัดวิดีโอแบกบนไหล่ (เจ๋งมากในอดีต ได้ทั้งภาพและเสียง แต่หนักมาก ถูกแทนที่ด้วยสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว) เครื่องฉาย 3 มิติรุ่นบุกเบิก (ต้องส่องเอานะ) ค้นหาข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่บนโลกด้วยสารานุกรมเล่มหนา …
-
ชายหนุ่มหัวใส ขอสาวออกเดทด้วยมุกส่งจดหมายแบบโบราณ แต่ทำให้ทันสมัยได้แบบน่ารักสุดๆ
เพื่อนๆ ยังจำกันได้ไหม ในสมัยก่อนที่เราเรียนอยู่ เวลาหนุ่มๆ จีบสาวก็มักจะส่งจดหมายไปจีบ โดยให้เพื่อนๆ เป็นคนเอาไปส่งให้เพราะตัวเองเขิน อิอิ พอนึกถึงวันเวลาเก่าๆ แบบนั้นก็รู้สึกแก่ขึ้นมาจริงๆ -*- ด้วยสมัยนี้การจีบการคุยกันก็คงต้องใช้โซเชียลมีเดียเป็นตัวช่วยแหละเนาะ แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับผสานความทันสมัยและเทคนิคแบบโอลสคูล ได้อย่างลงตัว จนสาวเจ้าต้องนำมาโพสต์ลงในโลกออนไลน์เลยล่ะ เหตุการณ์นี้เกิดในห้องสมุด เจ้าหนุ่มคงสังเกตการอยู่นานแล้วล่ะ ก่อนที่จะนำกระดาษแผ่นนี้มาให้เธอ มีการทิ้งเบอร์ไว้ให้ด้วยนะจ๊ะ Whats App คลี่กระดาษเพื่อดูข้อความ อิอิ โปรดอย่ารบกวน ฉันกำลังดื่มกาแฟและอ่านหนังสืออยู่… ข้อความจากชายหนุ่มก็คือ ‘ขออภัยที่รบกวนคุณ แต่ผมต้องถามจริงๆ…ว่าคุณจะว่างไปดื่มกาแฟกับผมสักแก้วได้มั้ย วันไหนก็ได้??’ คำตอบมีสองช้อยส์คือ 1. ได้สิ ทำไมจะไม่ล่ะ :p และ 2. ไม่ล่ะขอบคุณ ฉันมีแฟนแล้วแถมตัวสูงชะลูดเลยด้วย ฮาจนสาวเจ้าต้องเอาไปโพสต์ในโลกออนไลน์ และมีคนรีทวีตมากมายเลยล่ะ เหมียวล่ะยอมในความคิดสร้างสรรค์จริงๆ ฮร่าๆๆๆ เป็นเพื่อนๆ ล่ะ?? ถ้ามีหนุ่มๆ มาจีบด้วยวิธีน่ารักๆ แบบนี้จะไปเดทกับเขารึเปล่า อิอิ ที่มา:…
-
ชวนคิดถึงเครื่องเล่นเกมสมัยก่อน ช่วงยุค 1996 มีใครทันได้จับมาเล่นกันบ้างมั้ยเนี่ย!?
จะว่าไปแล้วเครื่องเล่นเกมในสมัยก่อนเนี่ยก็ไม่ได้มีภาพกราฟฟิคที่สวยงามเท่าสมัยนี้ แต่ถ้าให้พูดถึงเรื่องความสนุกนี่ไม่เป็นสองรองใครเลยนะ แต่ด้วยความแพงในตอนนั้น ทำให้เด็กๆ หลายคนไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของ จนต้องไปยืมเพื่อนมาเล่น ฮ่าฮ่า!! แคตตาล็อคคอลเลคชั่นเครื่องเกมสมัย 1996 แต่ละเครื่องยังจำกันได้มั้ยเอ่ย? เครื่อง Nintendo 64 สหายเกมบอย เครื่อง Super Nintendo หรือเรียกสั้นๆ ว่า SNES เครื่อง Playstation รุ่นแรก บุกเบิกยุครุ่งเรืองของ SONY มาจนถึงปัจจุบัน เครื่อง SEGA Saturn ไม่ค่อยนิยมในบ้านเราซักเท่าไหร่ สุดยอดเครื่องเล่นเกมพกพา ต้องยกให้เกมบอยเลย หมดเงินไปกับค่าถ่านบ่อยกว่าค่าตลับซะอีก ฮ่าฮ่า!! ดักแก่คนเล่นเกมสุดๆ ว่าแต่เคยผ่าน เคยหยิบ เคยจับ เคยสัมผัสเครื่องไหนกันมาบ้างจ๊ะ? ที่มา : thechive
-
ชม 25 ภาพอันน่าตื่นตาของประเทศญี่ปุ่นยุคโบราณ บอกเลยเจ๋งสุดๆ
ภาพถ่ายเปรียบได้ดั่งเครื่องไทม์แมชชีนที่มีอยู่จริงบนโลก เราสามารถบันทึกเรื่องราวต่างในไปในภาพ และทุกครั้งที่เราหยิบมันขึ้นมา ก็เหมือนกับการที่เราได้เดินทางย้อนไปในอดีตอย่างใดอย่างนั้น และวันนี้เหมียวจะพาเพื่อนๆไปชมภาพของประเทศญี่ปุ่นยุคโบราณ ที่ถ่ายโดยช่างภาพนามว่า Kusakabe Kimbei ซึ่งเป็นช่างภาพคนแรกๆของประเทศญี่ปุ่น เขาบันทึกภาพเหล่านี้ในช่วงเวลาประมาณปีค.ศ. 1860 ถึง 1890 ปัจจุบันชุดภาพทั้งหมดอยู่ในการครอบครองของ New York Public Library และนี่คือภาพบางส่วนที่เหมียวนำมาให้เพื่อนๆได้ชมกัน จะเจ๋งขนาดไหน ไปชมกันเลย ย่าน Ginza ในกรุง Tokyo ย่าน Gion ในเมือง Kyoto อ่าว Yokohama ถนน Nakasendo ที่เชื่อมระหว่าง Tokyo กับ Kyoto พระใหญ่ Daibutsu แห่งเมือง Kumakura สะพาน Kintai เกาะ Hokkaido น่าตื่นตาดีเนอะเพื่อนๆ เหมียวชอบเวลาได้เห็นภาพแบบนี้จริงๆ เพราะเราจะได้เปิดมุมมองใหม่ๆ และได้เห็นว่า แท้จริงแล้ว รากเหง้าของเราเป็นยังไง จริงมั้ยละเพื่อนๆ…
-
ชม 28 ภาพถ่ายอันเก่าแก่ของประเทศ “เกาหลี” ก่อนที่จะแยกเป็น เหนือ-ใต้
เราอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้มาบ้าง แต่ก่อนหน้านี้ เราคงอาจไม่รู้ว่าทั้ง 2 ประเทศนี้เคยใช้แผ่นดินผืนเดียวกันมาก่อน ก่อนที่จะแยกออกเป็นสองประเทศนั้นก็เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย เหตุการณ์เริ่มจากช่วงที่กำลังสิ้งสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ญี่ปุ่นก็ได้ยอมแพ้สงครามไป ส่งผลให้สัมพันธมิตรได้ครอบครองคาบสมุทรเกาหลีแทนญี่ปุ่น โดยที่มีสหภาพโซเวียตคุมภาคเหนือ และอเมริกาคุมภาคใต้ โดยใช้เส้นแนวรุ้งที่ 38 เป็นตัวแบ่งเขต แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อต้องการจะให้เอกราชแก่เกาหลี เพราะการตกลงกันไม่ได้ว่าจะให้เกาหลีปกครองตัวเองแบบไหนดี จนท้ายที่สุดก็ต้องแบ่งให้ฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้สร้างรัฐบาลของตัวเองขึ้นมา แน่นอนว่าทั้งสองมีอุดมการณ์ที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก โดยที่ฝ่ายเหนือนั้นปกครองโดยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ โดยมี “คิม อิล-ซอง” เป็นผู้นำ และได้รับการสนับสนุนจากประเทศจีนและโซเวียต ส่วนฝ่ายใต้นั้นปกครองด้วยรัฐบาลระบอบประชาธิปไตย โดยมี “ยี ซึง-มาน” เป็นประธาณาธิบดี และอเมริกาให้การสนับสนุน เรื่องราวอันดุเดือดก็เริ่มประทุขึ้นเมื่องกองทัพของเกาหลีเหนือพยายามจะเข้าไปตีเกาหลีใต้ ซึ่งตอนนั้นกองทัพเกาหลีใต้ยังอ่อนกำลังมากๆ ทำให้กรุงโซลแตกภายใน 3 วัน และจุดประสงค์ของสงครามครั้งนี้ก็คือต้องการจะรวมประเทศให้เป็นระบอบคอมมิวนิสต์ทั้งหมด แต่หลังจากนั้นทางอเมริกาและสหประชาชาติก็ได้ส่งกองทัพไปช่วยเกาหลีใต้ และขับไล่กองทัพเกาหลีเหนือได้สำเร็จ แล้วก็บุกไปต่อถึงพรมแดนจีนเลย จนทำให้จีนต้องส่งกองทัพมาช่วยเกาหลีเหนือ ผลสุดท้ายคือต้องเจรจากัน และประกาศหยุดยิงในที่สุด จนถึงตอนนี้ก็คงเป็นเรื่องที่ยากเกินไปแล้วสำหรับการรวมประเทศของเกาหลีทั้ง 2 ฝั่ง หลังจากฟังประวัติมาเยอะแล้ว วันนี้เหมียวจะพาทุกท่านไปชมภาพครั้งหนึ่งที่ดินแดนเกาหลียังไม่มีคำว่า…
-
คลาสสิกสุดๆ เมื่อเหล่าตัวละครจาก Star Wars กลายเป็นรูปปั้นจากยุคกรีกโบราณ
ช่วงนี้เห็นว่ากระแส Star Wars กำลังมาแรง เพราะว่า Star Wars: The Force Awakens ใกล้จะเข้าโรงเข้าไปทุกทีแล้ว เหมียวก็เลยจะเกาะกระแสนี้ไปซะหน่อย ศิลปินท่านหึ่งชื่อว่า Travis Durden จากประเทศฝรั่งเศส เขามีความหลงไหลเกี่ยวกับของโบราณและป๊อปคัลเจอร์ ดังนั้นเขาจึงได้นำสองอย่างมารวมกันซะเลย ซึ่งเขาก็ได้จับเอาตัวละครจากหนังเรื่อง Star Wars มาทำใหม่ในรูปแบบของรูปปั้นจากยุคกรีกโบราณนั่นเอง รูปปั้นเหล่านี้ทำออกมาในรูปแบบสามมิติ เราจะได้เห็นตัวละครพวกนี้อยู่ในอิริยาบทแบบกรีกโบราณ รวมทั้งรูปร่างก็ยังคงความเป็นกรีกอยู่ มีแต่เพียงส่วนหัวเท่านั้นที่เปลี่ยนไป เราไปชมผลงาของเขาเลยดีกว่า ติดตามผลงานของเขาได้ที่ travisdurden.com | galerie-sakura.com | Facebook ที่มา boredpanda
-
ประวัติศาสตร์ 5,000 ปี แห่งการ “แต่งหน้า” สะท้อนสังคมของผู้หญิงในอดีตถึงปัจจุบัน!!
ถ้าใครอยากหัดแต่งหน้า เพียงแค่คุณเข้าไปในยูทูบ ก็จะมีคลิปวิธีสอนแต่งหน้าอยู่หลากหลายรูปแบบ เป็นพันๆคลิปเลยก็ว่าได้ บางคนก็แต่งหน้าเป็นอาชีพหลัก ว่าแต่การแต่งน้านี่มันเริ่มมาตั้งแต่ตอนไหนกันนะ แล้วทำไมมันต้องเป็นของที่คู่กับ “ผู้หญิง” มาตลอดด้วย Lisa Eldridge เธอเป็นช่างแต่งหน้ามืออาชีพ และเป็นนักเขียนเจ้าของหนังสือ Face Paint: The Story of Makeup ที่ได้เขียนอธิบายประวัติศาสตร์การแต่งหน้าที่มีมานานกว่า 5,000 ปี อีกทั้งยังมีคลิปนี้ที่สรุปใจความสำคัญของการแต่งหน้าแต่ละยุค เริ่มจาก… ยุคอียิปต์โบราณ ถือเป็นยุคบุกเบิกในการแต่งหน้าเลย แต่การแต่งหน้าในสมัยนั้นแต่งทั้งชายและหญิงทุกชนชั้น ยุคกรีกโบราณ ในยุคนั้นเป็นยุคที่ผู้ชายเป็นใหญ่ มีหน้าที่ออกไปทำงานหาเลี้ยง และผู้หญิงอยู่บ้าน ในยุคนั้นจะแต่งหน้าบางๆ เน้นทาหน้าขาว ส่วนแก้มและริมฝีปากจะใช้พืชหรือผลไม้ในการแต่งแต้มสี ยุคกลาง(ยุโรป) ในตอนนั้นมีคริสเตียนที่ได้ออกมาบอกกล่าวเรื่องราวที่ว่าการแต่งหน้าถือเป็นการหลอกลวง ดังการการแต่งหน้าถือเป็นเรื่องน่ารังเกียจและบาป ศตวรรษที่ 16 ถ้าอยู่ในสังคมชนชั้นสูงในเวนิส ถือว่ามีอะไรให้แต่งเยอะเลย เพราะที่นั่นถือเป็นเมืองแฟชั่นแห่งการแต่งหน้าของคนรวยเลยก็ว่าได้ แต่สิ่งที่เขาเอามานั้นล้วนแต่เป็นของที่มีผลร้ายต่อใบหน้าเป็นอย่างมาก ศตวรรษที่ 18 การแต่งหน้าในสมัยนี้เหมือนเป็นการบอกสถานะทางสังคม โดยเฉพาะที่ประเทศฝรั่งเศสที่เหมือนเป็นศูนย์กลางการแต่งหน้าทั่วยุโรป การแต่งหน้ากลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการแต่งสีฉูดฉาดด้วยการปัดแก้มแดงๆ …
-
นักดนตรีไทยไอเดียเจ๋ง นำเครื่องดนตรีอีสานมารวมกับดนตรี EDM เก๋ไก๋แบบสุดๆ!!!
หลายคนอาจมองว่าเครื่องดนตรีพื้นบ้านไทยเป็นสิ่งที่ล้าสมัยและไม่น่าดึงดูดใจ แต่คุณจะต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อได้ดูคลิปนี้ เพราะบอกเลยว่า ดนตรีไทยโบราณ ก็สามารถประยุกต์เข้ากับดนตรียุคใหม่อย่างแนวอิเล็คโทรนิคได้อย่างลงตัว ผลงานเพลงชุดนี้เป็นผลงานของ อ้นแคนเขียว Studio กลุ่มนักดนตรีจากเมืองขอนแก่น พวกเขาได้นำเครื่องดนตรีอีสานพื้นบ้าน มามิกส์รวมกับเพลงแนวอิเล็กโทรนิคได้อย่างลงตัว แถมยังไม่เสียเอกลักษณ์ความเป็นอิสานอีกด้วย ว่าแล้วไปลองฟังกันเลยดีกว่า ว่าจะเจ๋งอย่างที่เหมียวว่าหรือเปล่า นอกจากจะเป็นนักแต่งเพลงแล้ว เขายังสามารถร้องหมอลำได้อย่างสุดยอดอีกด้วยนะ โอ้โห สุดยอดไปเลย ตื๊ดไม่แพ้เพลงมิกส์ของฝรั่งที่เปิดตามผับเลยนะเนี่ย ขอชื่นชมจากใจเลยครับ คนไทยทำอะไรดีๆแบบนี้ ต้องช่วยกันหนับหนุน อิอิ ที่มา อ้นแคนเขียว Studio
-
ย้อนรอยกรุงเก่า…ชมภาพเมืองกรุงเทพเมื่อครั้งในอดีต ประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรเลือนหายไป
หลายๆคนในยุคนี้ คงติดภาพว่ากรุงเทพมหานคร เป็นเมืองหลวงที่มีความเจริญทางสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยร และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ แต่กว่ากรุงเทพจะมาถึงจุดนี้ได้ ก็ต้องผ่านเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆมากมาย และพอดีเหมียวไปเจอเว็บ Dek-D และ OKnation ที่เขาได้รวบรวมภาพกรุงเทพในยุคโบราณเอาไว้ เหมียวจึงเอามาให้เพื่อนๆได้ชมกัน รับรองว่าบางภาพ เพื่อนๆจะต้องอึ้งอย่างแน่นอน ว่าแล้วก็ไปชมกันเลย ภาพบริเวณชานเมือง คาดว่าต่อมาเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปี 2498 ดอนเมืองปี 2500 สนามบินดอนเมืองปี 2502 ดอนเมืองโทลเวย์กำลังสร้างเมื่อปี 2535 ตรอกอิสรานุภาพ เยาวราชเมื่อปี 2523 แยกราชประสงค์ ปี 2527 ตลาดพญาไท เมื่อปี 2530 ปัจจุบันเป็นคอนโดหมดแล้ว ถนนพระราม 4 แถวหัวลำโพง ปี 2518 ความวุ่นวายย่านประตูน้ำ ปี 2519 ย่านประตูน้ำ สมัยพันธุ์ทิพย์ประตูน้ำกำลังสร้าง ปี…
-
ทำความรู้จักดาบโบราณ 800 ปี ที่มีตัวอักษรโบราณเขียนอยู่ ไม่มีใครรู้ว่ามันหมายความว่ายังไงเลย!?
ย้อนกลับไปในยุคที่มนุษย์เริ่มมีการประดิษฐ์อักษรเพื่อใช้ในการสื่อสารต่างๆ ก่อนที่จะมาเป็นภาษาทางการปัจจุบันอย่างเช่นภาษาอังกฤษนั้น ข้อความต่างๆ ไม่อาจสามารถเข้าใจได้เลยว่าหมายถึงอะไร และอักษรเหล่านั้นก็ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน หอสมุดของประเทศอังกฤษได้ทำการเก็บดาบเล่มนี้เอาไว้ และพยายามที่จะถอดความหมายจากอักษรโบราณที่สลักอยู่บนดาบอายุ 800 ปีเล่มนี้ จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่สามารถหาความหมายที่แท้จริงได้เลย สำหรับดาบเล่มนี้เป็นดาบที่มีคมทั้งสองด้านและเป็นส่วนหนึ่งของ “มหากฎบัตร” (Magna Carta) มีประสิทธิภาพมากพอที่จะสามารถตัดหัวมนุษย์ให้ขาดเป็นสองท่อนได้!! สิ่งที่ยังคงค้างคาใจมาจนถึงปัจจุบันก็คือ ข้อความที่สลักอยู่บนดาบนี่แหละ โดยมีใจความว่า +NDXOXCHWDRGHDXORVI+ อาจจะเป็นรูปแบบของภาษาลาติน ซึ่ง ND น่าจะเป็น Nostrum Dominos แปลว่า ผู้เป็นเจ้า และ XOX น่าจะหมายถึง สัญลักษณ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (ไม้กางเขน) ซึ่งข้อความเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งของพิธีการของอัศวิน และมีด้ามจับดาบเหมือนกับไม้กางเขน เพื่อเป็นสิ่งที่ไว้ยึดเหนี่ยวให้อัศวินปฏิบัติตามหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัด คาดว่าเป็นดาบจากสมัยยุคกลางของยุโรป อย่างไรก็ตามความหมายของดาบเล่มนี้ก็ยังไม่สามารถระบุแน่ชัดได้ อักษรโบราณเหล่านี้อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดเอาไว้ก็ได้ ที่มา : thechive
-
หลักฐาน “อุ้งเท้าแมวโบราณ” บนกระเบื้องอายุ 2,000 ปี ชี้ชัดว่าแมวไม่เคยสนใจอะไรเลย!!
แมวเป็นสัตว์ที่อยู่ร่วมกับมนุษย์มาอย่างช้านาน ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานมากแค่ไหนก็ตาม จนถึงปัจจุบันแมวเป็นสัตว์ที่พยายามครอบครองมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้ว และลักษณะนิสัยที่ยังคงมีอยู่มาจนถึงปัจจุบันของแมวก็คือมันไม่เคยแคร์อะไรเลย!! หลักฐานที่สามารถชี้ชัดได้ว่าแมวเป็นสัตว์ที่ไม่เคยแคร์อะไร มาจากนักโบราณคดีจากพิพิธภัณฑ์ Gloucester City ได้ทำการตรวจสอบกระเบื้องหลังคาโบราณอายุประมาณ 2,000 ปีจากยุคโรมันในช่วง 100 ปีก่อนคริสตศักราช และก็พบว่ามีรอยอุ้งเท้าแมวโผล่ติดมาด้วย ก็เลยสันนิฐานเอาไว้ว่าลักษณะนิสัยของแมวตั้งแต่อดีตรุ่นยุคบรรพบุรุษเป็นยังไง ก็ยังคงสืบทอดมาจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานอยู่ดี ฮ่าฮ่า ที่มา : twistedsifter