Tag: โรคอ้วน
-
22 การเปลี่ยนแปลงจากคนไซส์บิ๊กแทบเดินไม่ไหว กลายเป็นหุ่นที่ราวกับปาฏิหาริย์
ดูจะเป็นเรื่องง่ายมากที่เราจะหาข้ออ้างเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องออกกำลังกาย ก็แหม่แค่ก้าวขาออกจากบ้านมันก็ร้อนแล้ว กว่าจะเลิกงานก็เย็นก็ค่ำ วันเสาร์อาทิตย์หยุดทั้งทีก็อยากจะพักผ่อนยาวๆ เราก็เลยปล่อยให้ร่างกายมันเป็นไปตามกลไกธรรมชาติ แต่การปล่อยเนื้อปล่อยตัวก็คงไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ต่อเมื่อร่างกายของคุณมันฟ้องด้วยตัวเองผ่านโรคต่างๆ และอาการเหนื่อยง่าย และเชื่อเถอะว่าการลุกขึ้นมาออกกำลังกาย สลัดไขมันทิ้งมันไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไรสำหรับคุณเลย ต่อไปนี้คือการเปลี่ยนแปลงตัวเองของคนไซส์บิ๊กจนกลายเป็นคนผอม มีตั้งแต่เป็นร้อยโลจนเหลือเพียง 70-80 กิโลเลยก็มี ลองไปดูกันเลย 1. Christina Philips เคยหนัก 321 กิโลกรัม แต่ลดเหลือ 83 กิโลกรัมเท่านั้น 2. Amber Rachdi เคยหนักมากถึง 299 กิโลกรัม เธอลดเหลือ 107 กิโลกรัม 3. จาก 362 กิโลกรัม Marla Mccants สามารถลดน้ำหนักลงไปจนเหลือ 136 กิโลกรัม 4. จากที่ Amber Rachdi เคยหนัก 299 กิโลกรัม เหลือ 107 กิโลกรัม…
-
จากคำกล่าวของหมอ ว่าเค้าอาจจะไม่รอดจนถึงวันเกิดครั้งหน้า เลยลดน้ำหนักไปได้ 200 กิโลฯ
Stanley Hollar ชายที่เป็นโรคอ้วนและน้ำหนักเกิน เขาอ้วนชนิดที่ว่าเขาอาจจะไม่รอดถึงวันเกิดปีหน้าได้หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เนื่องจากเขามีภาวะเจ็บป่วยและข้อจำกัดทางการรักษามากมายรวมอยู่ในความอ้วนของเขา ทุกอย่างจึงพากันย่ำแย่ลง ขณะที่ชีวิตของเขากำลังมองเห็นจุดจบ ก็กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง เมื่อปี 2015 เขาเริ่มรู้ตัวว่าเขาต้องทำอะไรบางอย่างกับน้ำหนักตัวของเขา ย้อนกลับไปสมัยที่เขายังเป็นเด็กซึ่งแน่นอนว่า ไม่เคยมีช่วงไหนที่เขาผอมเลย สมัยที่เขาเป็นเด็กอนุบาล เขามีน้ำหนักถึง 45 กิโลกรัม Stanley กล่าวว่า “สมาชิกในครอบครัวส่วนมากก็ตัวใหญ่เหมือนผม การที่ผมมีน้ำหนักเกินนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก และผมก็ไม่รู้สึกอะไรกับมันด้วย” แต่ถึงกระนั้น ญาติของเขาก็เริ่มมองเห็นว่าการมีน้ำหนักเกินของ Stanley เริ่มไม่ปกติ “ครอบครัวผมเองก็เริ่มพูดบางอย่างเกี่ยวกับน้ำหนักของผม แต่ก็แค่คำพูด ผมชินชากับเสียงหนวกหูเหล่านั้นเสียแล้ว” Stanley กล่าว ปัญหาของเขายิ่งเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม เมื่อในปี 1996 Stanley ได้รับความบาดเจ็บสาหัสส่งผลให้เขาต้องตัดขาทิ้ง และต้องใช้เวลาเกือบ 20 ปี กว่าที่เขาจะรู้ตัวว่า เขาควรรักตัวเองได้แล้ว เพราะครั้งหนึ่งที่เขาไปหาแพทย์ แพทย์บอกกับเขาว่า เขาอาจจะไม่รอดชีวิตถึงวันเกิดปีหน้า คำพูดนี้ไม่ใช่แค่เสียงหนวกหู มันเป็นสิ่งเขาไม่สามารถมองข้ามได้ Stanley รู้ได้ทันทีว่าเขาต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตัวเอง ในเวลานั้น เขามีน้ำหนักตัวถึง 307 กิโลกรัม เขากล่าวว่า…
-
คู่รักหนักรวมกัน 560 กิโล กลับมาจ้ำจี้ได้อีกครั้งในรอบ 11 ปี ด้วยปฏิบัติการลดน้ำหนัก!!
แม้ร่างกายจะต้องเจอกับปัญหาเรื่องน้ำหนัก แต่ด้วยความรักกลับทำให้ทั้ง Lee Sutton วัย 42 ปี และ Rena Kiser วัย 39 ปีมองข้ามปัญหาดังกล่าวและตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกันในท้ายที่สุด จุดเริ่มนต้นความรักของทั้งสองนั้นเริ่มเมื่อ 11 ปีก่อน โดย Rena และพี่ชายจะต้องเดินทางไปยังคลินิกลดน้ำหนักแห่งหนึ่ง ซึ่งที่นั่นทำให้เขาได้เจอกับ Lee ชายผู้มีปัญหาเรื่องน้ำหนักเช่นกัน ทั้งคู่ได้พูดคุยกันและรู้สึกว่าถูกชะตากันมากๆ เพียงแต่ว่าการออกเดตกันในคลินิกนั้นเป็นเรื่องที่ผิด ทำให้ทั้งคู่ต้องหยุดการพูดคุยกันไป เพื่อจะได้ตั้งเป้าอยู่ที่การลดน้ำหนัก ในตอนนั้น Lee มีน้ำหนัก 323 กิโลกรัม ส่วน Rena มีน้ำหนัก 245 กิโลกรัม ซึ่งถ้าทั้งคู่ยังปล่อยไว้แบบนี้มันจะส่งผลกับสุขภาพของทั้งคู่มากๆ แต่ด้วยความรักที่ทั้งคู่มีให้กันและมันก่อตัวขึ้นจนสุกงอมพวกเขาจึงตัดสินใจจะเลิกไปคลินิกเพื่อแหกกฎ จะได้สานต่อความรักของพวกเขา พวกเขาดูแลความรักกันเป็นอย่างดี ต่างคนต่างบอกว่าอีกฝ่ายนั้นน่ารักใจดีและดูแลกันไม่ห่างแม้จะมีน้ำหนักที่เยอะก็ตาม แต่แล้วเรื่องร้ายก็เกิดขึ้นตามมา การออกมาใช้ชีวิตด้วยกันด้วยน้ำหนักตัวดังรวมกับร่วมครึ่งตัน มันส่งผลร้ายกับทั้งคู่เป็นอย่างมาก เพราะยิ่งพวกเขาตั้งใจจะไม่ลดน้ำหนักและหยุดกินไม่ได้ น้ำหนักก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นสุขภาพก็แย่ลง จนสุดท้าย Lee ก็ไม่สามารถเดินได้ไปไหนมาไหนได้อีกต่อไป จะทำได้ก็เพียงไปเข้าห้องน้ำเท่านั้น . เช่นเดียวกันกับ Rena…
-
คู่รักลดน้ำหนัก เปลี่ยนไปจนคนในครอบครัวกับเพื่อนแทบจะจำไม่ได้ว่าคนเดียวกันใช่ไหมเนี่ย!!
สำหรับคนที่มีน้ำหนักเยอะ การจะขยับเขยื้อนไปไหนแต่ละทีดูจะเป็นสิ่งที่ยากลำบาก อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้มากกว่าคนรูปร่างสมส่วนทั่วๆ ไป ใครหลายคนที่มีรูปร่างจ้ำม่ำจึงมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น และคล่องตัวมากขึ้นกว่าเดิม และคู่รักคู่นี้ก็เช่นเดียวกัน โดยพวกเขาได้ทำการลดน้ำหนักสลายไขมันให้ออกไปจากร่างกาย ชนิดที่ว่าทั้งครอบครัวและเพื่อนๆ แทบจะจำกันไม่ได้เลยว่าเป็นคนเดียวกันจริงหรือเปล่าเนี่ย?? รูปร่างอวบอั๋นของคู่รักคู่นี้ และนี่คือเรื่องราวของ Ben และ Caroline Marshall ผู้เป็นพ่อและแม่ของเด็กๆ ที่น่ารักชื่อว่า Imogen และ Jacob โดยสำหรับลูกๆ ของพวกเขานั้น ทั้งคู่มัักจะเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพให้รับประทานเสมอ แต่กับตัวของพวกเขาเองกลับ ชอบกินขนมขบเคี้ยวชนิดที่ว่าต้องกินแทบจะทุกคืนเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็แน่นอนว่ารูปร่างของพวกเขาก็ต้องเป็นไปตามพฤติกรรมการกิน แต่อย่างไรก็ตามทั้งคู่ก็เกิดความคิดอยากลดน้ำหนักขึ้นมา เพราะกลัวว่าจะเป็นโรคมะเร็งในอนาคตและไม่สามารถอยู่ดูแลลูกๆ ได้ ติดขนมขบเคี้ยวจนทำให้ร่างกายเริ่มแย่ พวกเขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมโปรแกรมการลดน้ำหนักที่ชื่อว่า Cambridge Weight Plan ซึ่งเป็นโปรแกรมลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั้งในผู้หญิงและผู้ชายชาวอังกฤษ “ฉันได้เริ่มตระหนักว่าสุขภาพของฉันกำลังเริ่มเสื่อมโทรมลง ซึ่งเป็นผลมาจากน้ำหนักตัวของฉัน ฉันจึงอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง นอกจากเพื่อสุขภาพที่ดีแล้วยังจะสามารถเป็นแบบอย่างให้กับเด็กๆ ได้อีกด้วย” “สำหรับ Ben สามีฉัน เขากลัวว่าตัวเองจะเป็นโรคมะเร็ง เมื่อเขาพบก้อนเนื้อขึ้นมาบนใบหน้าของเขา ต้องขอขอบคุณก้อนเนื้อก้อนนั้นทำให้เขาได้รู้ความเป็นจริงที่ว่า น้ำหนักตัวของเขาในตอนนั้นมันมีมากเกินไป และร่างกายของเขาได้เริ่มหมดกำลังต่อสู้กับมันแล้ว อีกทั้งด้วยความที่เขาอยากจะมีชีวิตที่ยืนยาวเพื่ออยู่กับลูกๆ เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมโปรแกรมที่ว่านี้ร่วมกับฉัน” Caroline กล่าว ผอมเพรียวลมราวกับคนละคนเลย หลังจากทั้งคู่ได้เข้าร่วมโปรแกรมลดน้ำหนักอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ก็ปรากฏว่าน้ำหนักของทั้งคู่ลดลงอย่างรวดเร็ว และรูปร่างของทั้งคู่เปลี่ยนไปจนแทบจะจำกันไม่ได้เลยทีเดียว และเธอก็ได้ให้ออกมาสัมภาษณ์ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวของเธอกับสามี…
-
หญิงสาวที่เคยอ้วนจนต้องนั่งรถเข็น ลดน้ำหนักได้เกือบ 200 กิโล จนกลับมีชีวิตที่มีแฮปปี้อีกครั้ง
การลดน้ำหนักนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หลายคนจึงยอมแพ้และยอมอยู่กับความอ้วนอย่างภาคภูมิใจ แต่คุณจะรู้สึกภูมิใจกว่าเมื่อสามารถลดน้ำหนักได้สำเร็จ Amber Rachdi จาก Troutdale รัฐออริกอน เป็นหนึ่งในตัวอย่างและแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลกในการลดความอ้วน เพราะเธอเคยมีน้ำหนักมากถึง 298 กิโลกรัม ตอนอายุ 23 ปี การต้องใช้ชีวิตกับน้ำหนักเกือบ 300 กิโลนั้น ทำให้หญิงสาวไม่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม เธอไม่สามารถขับรถได้(แทบจะนั่งในรถไม่ได้ด้วยซ้ำ) เธอไม่สามารถอาบน้ำเองได้ และแทบจะไม่สามารถออกจากบ้านเพื่อซื้อาหารได้ เวลาไปไหนมาไหน Amber ต้องใช้สกู๊ตเตอร์หรือมอเตอร์ไซต์ ที่สำคัญเธอต้องย้ายกลับไปอยู่บ้านกับพ่อแม่ เพราะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ต่อมาหญิงสาวได้ไปออกรายการ TLC… ตอนนั้นเองที่เธอตระหนักได้ว่าชีวิตมันไม่ควรเป็นแค่การอยู่รอดไปวันๆ เท่านั้น Amber ตัดสินใจทำในสิ่งที่เธอคิดมาตลอดว่าไม่สามารถทำได้ นั่นคือการลดน้ำหนัก และเธอก็ได้เริ่มลงมือทำ ณ ตอนนั้นเลย สิ่งแรกที่ทำคือการเดินเพื่อลดน้ำหนัก โดยอยู่ภายใต้การดูแลของ Dr. Younan Nowzardian ขณะที่ทางครอบครัวก็ย้ายไปอยู่ในฮูสตัส รัฐเท็กซัส เพื่อที่จะได้อยู่ชิดกับลูกในระหว่างที่เธอต่อสู้กับลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพ “คุณต้องทุ่มเทที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีและยั่งยืน มันไม่สายเกินไปเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น” Amber กล่าว จากนั้นเธอก็เริ่มลดปริมาณแคลอรี่…
-
ทำไมคนเกาะซามัว 95% ถึงเป็นโรคอ้วน บทเรียนที่ประเทศไทยควรเอามาคิดตาม..!?
ไม่น่าเชื่อว่า ‘ประเทศซามัว’ กำลังเผชิญปัญหาวิกฤตโรคอ้วนที่มีประชากรเป็นมากถึง 95% เลยทีเดียว และนับว่าเป็นประเทศที่มีประชากรเป็นโรคอ้วนเยอะที่สุดในโลก อีกทั้ง 1 ใน 3 ของประชากรยังป่วยเป็นเบาหวานอีก..!! และคราวนี้เราจะพาไปหาคำตอบกันว่า ทำไมประชากรที่นี่ถึงต้องเผชิญกับวิกฤตโรคอ้วน ซึ่งทั้งหมดนี้อาจเป็นบทเรียนที่ทำให้คนไทยเราหันมารักสุขภาพกันมากขึ้น Tavita ชาวพื้นเมืองอีกคนหนึ่งที่กำลังต่อสู้กับโรคอ้วน อดีตคนขับแท็กซี่ Tavita เล่าว่า ก่อนหน้านี้เขามักจะดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำวันละ 2 ลิตร ขนมหวานจุกจิก อีกทั้งยังรับประทานแต่อาหารประเภทที่มีไขมันสูง “ผมรู้สึกเป็นห่วงสุขภาพตัวเองมากๆ ตอนนี้น้ำหนักตัวมันมากเกินไป และมันก็ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเรา ด้วยความรักที่มีต่อภรรยาและลูกๆ เราก็อยากจะอยู่กับพวกเค้าไปนานๆ” Tavita กล่าว แต่ดูเหมือนว่าปัญหา ‘โรคอ้วน’ ของชาวซามัวจะมีปัจจัยที่มากกว่าพฤติกรรมการบริโภคแบบจุกจิก เพราะข้อมูลจาก WHO พบว่า พฤติกรรมการบริโภคยังส่งผลตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงสุขภาพโดยรวมด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นยังพบว่ากว่า 9 ใน 10 ของชาวซามัว ยังต้องต่อสู้กับโรคอ้วน และตัวเลขของผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท 2 ในแต่ละปีพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย (เบาหวานประเภท 2 ส่วนใหญ่มักเกิดในกลุ่มคนอ้วนที่ขาดการออกกำลังกาย…
-
ภาพชีวิตช่วงสุดท้าย ของชายผู้ป่วยเป็นโรคอ้วน ก่อนที่จะถูกพรากจากไปด้วย ‘อาหาร’
ตามธรรมชาติ มนุษย์ทุกคนเกิดมาก็ต้องดำรงชีวิตด้วยปัจจัย 4 ทั้ง อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ทุกวันนี้มนุษย์ทานอาหารประมาณ 3 มื้อต่อวัน การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ดูเหมือนจะเป็นอีกทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่ดูแลรักษาสุขภาพ การกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายนั้นส่งผลที่ทำให้เรามีสุขภาพดี แต่หากได้รับอาหารในปริมาณเยอะเกินความจำเป็นของร่างกาย จะเกิดการสะสมไขมันทำให้เกิดกลายเป็นโรคอ้วน ส่งผลเสียต่อสุขภาพ จนอาจเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตได้ เรื่องราวต่อไปนี้ เป็นเรื่องของ Hector Garcia Jr. ชายผู้ที่ต้องเผชิญกับโรคอ้วน ด้วยน้ำหนักตัวถึง 288 กิโลกรัม มันส่งผลให้ร่างกายของเขาต้องอ่อนแอ แถมยังส่งผลให้เขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอีกด้วย Hector ได้ลองพยายามลดน้ำหนักอยู่หลายต่อหลายครั้ง ทั้งวิธีการอดอาหารหรือการทานยาลดน้ำหนัก แต่สุดท้ายมันก็กลับมาโยโย่อีกครั้ง และส่งผลเสียทำให้เขายิ่งมีร่างกายที่อ่อนแอลงไปอีก เมื่อปี 2000 เขาได้เข้ารับการผ่าตัดกระเพาะอาหาร ซึ่งมันทำให้น้ำหนักของเขาหายไปถึง 181 กิโลกรัมเลยในช่วงฟื้นตัว เขาได้บอกว่า “ผมทานอาหารมากเกินไปเพราะกระเพาะอาหารมันไม่เคยปฏิเสธ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าสิ่งที่ผมทำลงไปนั้นมันกำลังจะฆ่าผมจริงๆ “ หลังจากนั้นเขาได้เข้ารับการผ่าตัดอีกครั้งแต่เป็นการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า แต่ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดทำให้เขาเป็นกลายโรคซึมเศร้าในเวลาต่อมา…
-
สื่อญี่ปุ่นเผย “ความอ้วน” ของพระไทย จากอาหารบิณฑบาต ภัยเงียบที่หลายคนมองข้าม!?
สำหรับคนไทยหลายๆ คนแล้ว การทำบุญตักบาตรถือเป็นการสร้างบุญอย่างหนึ่ง ในขณะเดียวกัน ผู้คนก็อาจจะลืมไปว่าอาหารที่เรานำไปถวายให้แก่พระสงฆ์นั้น อาจส่งผลต่อสุขภาพของพระ และยังทำให้พระมีอัตราการเป็นโรคอ้วนสูงขึ้นอีกด้วย เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2560 ทางสำนักข่าว ANNnewsCH ของญี่ปุ่น ได้นำเสนอเรื่องราวของพระไทยที่กำลังประสบปัญหาโรคอ้วน จากอาหารที่ญาติโยมนำมาถวาย โดยในปี 2012 ที่ผ่านมา ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ทำการออกสำรวจวัดในกรุงเทพมหานครทั้ง 4 แห่ง และพบว่า ร้อยละ 48 ของพระสงฆ์ในประเทศไทยนั้นเป็นโรคอ้วน อีกทั้งยังมีพระสงฆ์ที่มีอาการความดันโลหิตสูงมากถึงร้อยละ 23 เลยทีเดียว ส่วนสาเหตุหลักที่ส่งผลให้พระสงฆ์ไทยมีอัตราการเป็นโรคอ้วนสูงขึ้นนั้น มาจากอาหารที่บรรดาญาติโยมได้นำไปถวาย ไม่ว่าจะเป็น อาหารคาวหวาน หรือขนม โดยส่วนใหญ่พบว่าอาหารเหล่านั้นมีส่วนผสมของแป้งและน้ำตาลในปริมาณสูง อย่างไรก็ตาม ในบางวันทางวัดก็ได้มีการจัดทำอาหารสำหรับพระขึ้นมาเอง และได้นำอาหารพลังงานสูงเหล่านั้นไปบริจาคต่อให้กับอาชีพผู้ใช้แรงงานและผู้มีรายได้น้อยแทน . นี่ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เราอาจจะมองข้ามไป ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่คนไทยควรจะต้องหันมาให้ความสนใจกันมากขึ้นซะแล้ว ที่มา : ANNnewsCH
-
ภาพที่เหล่าเจ้าของทั้งหลายพากันสงสัยว่าแรกๆ ก็เป็นแมว หลังๆ ทำไมกลายเป็นหมูเฉย!?
หลายคนเวลาที่เล่นกับเจ้าเหมียวก็อยากจะกอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างเมามัน ยิ่งถ้าเป็นเจ้าตัวที่มีลักษณะอ้วนกลมด้วยแล้วยิ่งแล้วใหญ่เลย เพราะความนุ่มนิ่มของพวกมันและนิสัยที่ดูเฉื่อยๆ ยิ่งทำให้ดูน่ารักมากขึ้นไปอีก ความชอบเหล่านั้นทำให้มีทาสแมวหลายคนทำการแชร์รูปสัตว์ตัวใหญ่ยักษ์ ที่บางทีก็ดูไม่ออกเหมือนกันว่ามันคือแมวด้วยขนาดตัวของพวกมัน ในท่าทางต่างๆ หรือความพยายามที่เขาเหล่านั้นอุ้มมันขึ้นมาอย่างยากลำบาก เพราะแน่นอนว่าน้ำหนักจะต้องแปรผันไปกับขนาดอยู่แล้ว ว่าแล้วก็ลองไปดูก็เลยว่าภาพของพวกมันแต่ละตัวจะออกมาเป็นอย่างไรกันบ้าง นั่งชิลล์ๆ ชมวิวริมหน้าต่าง แน่ใจนะว่าเธอไม่ใช่นักกีฬา เหมือนหัวกับตัวจะสามารถแยกออกจากกันได้ กินอิ่มแล้วก็ต้องมานอนพักบนโซฟาซักงีบ ชายหนุ่มพยายามให้แมว(ที่เหมือนเสือมากกว่า) ให้มันลุกมาออกกำลังกายบ้าง พุงห้อยเลยนะคะคุณนาย เอิ๊กกก สงสัยจะกินข้าวเยอะไปหน่อยนะเรา ลุกเดินไม่ไหวแล้ว ขนาดตัวของมันใหญ่พอๆ กับมนุษย์เลยนะนั่น ทำไมถึงเห็นได้แค่ข้างหน้าเพียงข้างเดียวกันละเนี่ย ไม่ได้ตกใจแมว แต่ตกใจว่ากิ่งไม้รับน้ำหนักไหวได้เยี่ยงไร หิวจนทนรอเวลาอาหารเย็นไม่ไหวแล้วโว้ย แน่ใจนะว่าใช่สายพันธุ์เดียวกัน? หน้าตาเหมือนกับแสดงอยู่ในหนังสยองขวัญ กินข้าวยังไงให้ไม่ออกหน้ากันนะ ที่นอนมันเล็ก หรือว่าเจ้าเหมียวตัวใหญ่บอกผมที ทว่าในประเทศอังกฤษได้มีการพูดถึงปัญหาของสัตว์ที่มีน้ำหนักเกินจนอาจทำให้พวกมันป่วยเป็นโรคอ้วนได้ แต่เจ้าของสัตว์เลี้ยงทั้งหลายก็ยังคงไม่หยุดที่จะโชว์ความน่ารักของพวกมันออกมาให้เห็นกันอยู่ ทางสมาคมสงเคราะห์สัตว์ได้ออกมาบอกถึงวิธีการสังเกตว่าพวกมันอ้วนเกินไปแล้วหรือไม่ อย่างแรกคุณต้องสามารถเห็นและสัมผัสซี่โครง กระดูกสันหลัง และกระดูกสะโพกของพวกมันได้ สองคือต้องสามารถเห็นส่วนเอวได้อย่างชัดเจนเมื่อมองจากด้านบน…
-
คุณแม่ลูกสองผู้กินจั๊งค์ฟู๊ดวันละเกือบ 10,000 แคลอรี่ จนหนักกว่า 187 กิโล พยายามหาทางลดหุ่น…
อาหารฟาสต์ฟู๊ด หรือที่บางคนเรียกว่า จั๊งค์ฟู๊ด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นอาหารที่หากินได้ง่าย สะดวก และมีราคาถูก(ในต่างประเทศ) นั่นทำให้หลายคนถึงกลับเสพติด และนั่นแน่นอนว่ามันส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างปฏิเสธไม่ได้ Tiffaney Anderson คุณแม่ลูกสอง วัย 26 ปี จากรัฐยูทาห์ ซึ่งเธอคนนี้มีน้ำหนักมากถึง 187 กิโลกรัม ด้วยผลของการกินอาหารฟา่สต์ฟู๊ดทุกวันของเธอทำให้เธอได้รับแคลอลี่มากถึง 11,000 แคลอรี่ทุกวัน แน่นอนว่าการมาติดอาหารของเธอนั้นก็มีสาเหตุ เธอบอกว่ามันเกิดจากความเครียด จากผลที่เธอถูกรังแกโดยพ่อและเพื่อนร่วมคลาสของเธอทำให้เธอหันมากินอาหารจำนวนมากนั่นเอง “ฉันกินอาหารฟาสต์ฟู๊ด ทุกวันโดยที่ฉันไม่สนเลยว่าปริมาณแคลอรี่ในแต่ละมื้อที่กินมันจะสูงแค่ไหน นี้จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันอ้วนขึ้นไวมากๆ” “ที่แย่ไปว่านั้นหลังหลังจากที่ฉันกินมื้อแรกเสร็จ 20 นาทีต่อมาฉันก็กลับไปที่แมคโดนัลและสั่งอาหารแบบเดิมมาอีกชุดก่อนจะไปทำงาน” เธอเล่าว่าเธอกินเพราะเธออารมณ์เสียมากๆ เธอเติบโตมาอย่างไม่ค่อยมีความสุขนัก และอาหารก็คือสิ่งที่ทำให้เธออารมณ์ดีขึ้น “ฉันโตมาด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีนัก แถมยังถูกรังแกที่โรงเรียนอีกตะหาก พวกเขาเรียกฉันว่า ยัยวัวอ้วน หรือยัยวาฬยักษ์” . แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่เธอเริ่มอ้วนมากเกินไป ทำให้เธอต้องเริ่มหันมามองการผ่าตัดเอาไขมันออก เธอบอกว่าหลังจากที่เธอดูดไขมันทำให้น้ำหนักของเธอลดลงถึง 108 กิโลกรัมแต่ว่าผลกระทบจากการดูดไขมันทำให้เธอต้องมีผิวหนังที่เหี่ยวและดูน่าเกลียดมากๆ เธอจำเป็นต้องใช้เงินถึง 520,000 บาท แต่ว่าเธอไม่มีเงินมากขนาดนั้น เธอจึงเริ่มที่จะทำงานหนักมากขึ้นพร้อมกับขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ เพื่อให้เธอกลับมาสวยอีกครั้ง แต่หลังจากการดูดไขมันตอนนี้เธอก็ผอมสวยลงบ้าง สุดท้ายแล้วเธอจะได้ผ่าตัดเอาหนังส่วนเกินออกหรือไม่ เราคงต้องเป็นกำลังใจให้เธอแล้วล่ะ …
-
แม่วัย 37 เป็นโรคอ้วน ลุกขึ้นมาออกกำลังกาย เพียงปีเดียวก็ได้ผลลัพธ์อันคุ้มค่า!!
อะไรที่มันมากเกินไป หรือน้อยเกินไปก็มักจะไม่ดี เช่นเดียวกับภาวะโรคอ้วน ที่เกิดจากการได้รับสารอาหารมากเกินความจำเป็นที่ร่างกายใช้ จนติดเป็นนิสัยรักการกินไปในที่สุด และนี่คือเรื่องราวของคุณแม่วัย 37 ปี เธอประสบปัญหาน้ำหนักตัวมากกว่าปกติ เธอจึงลุกขึ้นสู้อีกครั้ง ด้วยความหวังที่อยากจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง กับเวลา 1 ปีที่เธอทุ่มเทให้กับการออกกำลังกาย เราตามไปดูเรื่องราวของเธอกัน Karen Sharpe น้ำหนักตัวของเธอเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆอย่างฉุดไม่อยู่ การกินเปรียบได้ดั่งอาชีพ ของเธอในขณะนั้น นอกเหนือจากการเป็นแม่บ้านเต็มตัวที่ต้องดูแลลูกทั้ง 4 แล้ว เธอยังเป็นแฟนพันธุ์แท้ร้านอาหารฟาสต์ฟู๊ดอีกด้วย ทุกคืนกลางดึกเธอจะต้องแวะซื้อของกินก่อนเข้านอนอยู่เป็นประจำ แต่แล้วเวลานั้นก็มาถึง เธอเริ่มรู้สึกว่าร่างกายของเธอไม่เอื้ออำนวยในการทำกิจกรรมใดๆเลยในชีวิตประจำวัน ตลอดระยะเวลา 6 ปี ที่เธอต้องรู้สึกอึดอัด และเหนื่อยง่ายมากกว่าคนอื่นๆ “ฉันอยากจะขยับ ฉันอยากจะเต้น ฉันอยากจะเคลื่อนที่ได้เหมือนคนอื่น แต่ฉันทำไม่ได้” เธอให้สัมภาษณ์ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอรู้สึกว่าตัวเองน่าเบื่อ และขาดความมั่นใจในตัวเอง หลังจากที่เธอคิดได้ เธอจึงเริ่มเข้าพบคุณหมอเพื่อขอคำแนะนำ เกี่ยวกับการปรับสภาพร่างกาย รวมไปถึงนิสัยการกิน หลังจากที่เธอรู้ว่าจะต้องรอคุณหมอกว่าปี ในการผ่าตัดดูดไขมัน เธอก็ไม่ได้อยู่เฉยๆนิ่งนอนใจแต่อย่างใด แต่คุณแม่กลับลุกขึ้นมาออกกำลังกายด้วยตัวเอง เมื่อออกกำลังกายไปได้เรื่อยๆ เธอก็พบว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดใดๆอีกแล้ว สิ่งที่เธอทำมีเพียงแค่การควบคุมอาหาร และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น…
-
ลองเปลี่ยนเซเลปดังให้ ‘อ้วนฉุ’ หวังให้สังคม ตระหนักถึงปัญหาสุขภาพที่ตามมา!!
ถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากอ้วนหรอกจริงมั้ย?? ดูอย่างดาราดังหลายๆคน ต่างมีหุ่นที่ผอมเพรียว ล่ำบึก ใครๆ ต่างอยากมีหุ่นเหมือนกับพวกเค้า แต่ในขณะเดียวกัน กลับไม่ดูแลตัวเอง ปล่อยให้ร่างกายอ้วนจนมีปัญหาสุขภาพ เพื่อให้คนเราตระหนักว่า โรคอ้วน ไม่ได้ส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่มันยังทำให้เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพด้วย ดังนั้นศิลปินหลากหลายคน จึงร่วมกันตัดต่อรูปดาราดังทั้งหลายให้กลายมาเป็นคนอ้วน Taylor Swift โดย Fichtenbrenner Superman โดย Dolphinsdock Amy Winehouse โดย ThreeProngs Christina Aguilera โดย Sudiptatatha Jennifer Aniston โดย Baechi Catherine Zeta-Jones โดย Sbalou 96 Cameron Diaz โดย Chrisboo1974 Taylor Lautner โดย LikeAPeach …
-
Arya เด็กน้อยวัย 10 ขวบ ที่ต้องเข้าคอร์สไดเอ็ทเร่งด่วน เพราะน้ำหนักตัว 192 กิโล!!
หากเลือกได้ ก็คงไม่มีใครอยากเกิดมาเป็นคนอ้วนหรอก จริงมั้ย เพราะการเป็นโรคอ้วนนั้น อาจจะทำให้มีโรคแทรกซ้อนต่างๆเข้ามามากมาย และยังเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตด้วย เด็กชายคนนี้ ถูกขนานนามเป็น เป็นเด็กที่อ้วนที่สุดในโลก ด้วยวัยเพียง 10 ขวบ ซึ่งเขาจะต้องกินอาหารบางอย่างเพื่อช่วยชีวิตของเขา เขาไม่สามารถเดินได้ จึงต้องลาออกจากโรงเรียนเพราะเป็นโรคอ้วน สืบเนื่องมาจากการกินอาหาร 5 มื้อต่อวัน พ่อแม่ของเขาก็ไม่สามารถหาเสื้อผ้าที่พอดีกับตัวเขาได้ จึงตระหนักว่า ลูกของเขาควรจะหยุดกินได้แล้ว แม่ของเขา Rokayah Somantri เล่าว่า… “เขาจะหิวตลอดเวลา และกินเข้าไปในปริมาณมาก อาหารของผู้ใหญ่สองจาน เขาสามารถกินหมดได้ในครั้งเดียว นอกจากนี้เขามักจะเหนื่อยง่ายและมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจที่ถี่เกินไปด้วยเขากินแล้วก็นอน บางครั้งก็จะลงไปแช่ในน้ำเป็นชั่วโมงๆ” ‘คงไม่มีอะไรที่เจ็บไปกว่าการต้องทนเห็นลูกตัวเองต้องอยู่อย่างทรมาน…’ “ลูกชายของฉันไม่สามารถไปโรงเรียน เพราะเขาเดินเองไม่ได้ เขาต้องอาศัยความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง เขาเดินได้แค่ก้าวสั้นๆ ในขณะที่ฉันก็อยากเห็นเขาได้เล่นสนุกกับเพื่อนๆบ้าง” Arya เป็นลูกชายคนที่ 2 ของ Rokayah วัย 35 และ สามีของเธอ Ade Somantri วัย 45 ปี โดยทั้งคู่เป็นชาวนา พวกเขาคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ…
-
ทนไม่ไหว!! หนุ่มมะกันหนัก 363 กิโล ถูกไล่ออกจากโรงพยาบาล หลังแอบสั่งพิซซ่ามากินในห้อง
เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์ Metro ได้เปิดเผยเรื่องราวของนาย Steven Assanti วัย 33 ปี ผู้มีน้ำหนักมากกว่า 363 กิโลกรัม ที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล Rhode Island สหรัฐอเมริกา แต่ในระหว่างที่รักษาตัวอยู่นั้นเอง เขากลับถูกโรงพยาบาลไล่ออก เหตุเพราะแอบสั่งพิซซ่ามากินในโรงพยาบาล ตามรายงานบอกว่านาย Steven เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลมาแล้วกว่า 80 วัน เพื่อลดน้ำหนักและควบคุมอาหาร เพื่อให้น้ำหนักของเขาลดลงเหลือ 250 กิโลกรัม แต่ในระหว่างอดอาหารอยู่นั้นเองเขากลับแอบโทรสั่งพิซซ่าให้มาส่งถึงห้องผู้ป่วย ทำให้ทางโรงพยาบาลต้องไล่เขาออกมาในที่สุด ทางด้านนาย Steven Veillette ผู้เป็นพ่อ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าเขาจะไม่พาลูกชายของเขากลับบ้าน เพราะพฤติกรรมการกินของเขาจะกลับมาเป็นอย่างเดิม ซึ่งตอนนี้นาย Steven ต้องใช้ชีวิตอยู่ในรถตู้ SUV เพื่อไปตามโรงพยาบาลต่างๆ จนกว่าจะมีที่ไหนรับเขาเข้ารักษาโรคอ้วนของเขา แต่ดูเหมือนว่าชีวิตของนาย Steven ไม่ได้น่าสงสารเท่าไหร่ เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ก็มีชาวเน็ตพากันเข้าไปขุดคุ้ยคลิปเก่าๆ ของเขามาแฉ โดยมีคลิปหนึ่งที่เจ้าตัวประชดประชันและด่าผู้เสียภาษีในรับโรดไอแลนด์ว่า “ขอบคุณพวกผู้เสียภาษีโง่ๆ ทั้งหลาย ที่ทำให้ผมมีข้าว…