Tag: Child
-
มาพักดูคู่ดูโอ้ แม่สัตว์และลูกตัวน้อย ได้เห็นเป็นต้องรู้สึกอบอุ่นหัวใจไปกับพวกมัน
วันนี้เรามาพักชมสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ที่ทั้งงดงามและบริสุทธิ์ ซึ่งก็คือความรักระหว่างแม่และลูกยังไงล่ะ ช่วงเวลาที่ลูกสัตว์ตัวน้อยได้อยู่กับแม่ ไม่ว่าจะได้เห็นเมื่อไหร่ก็ทำให้เราเคลิ้มไปกับความห่วงใยที่มันมีให้กัน คงไม่มีอะไรมาสู้ความรักบริสุทธิ์ที่แม่มีให้กับลูกได้หรอก จริงไหม? อยากบอกว่ารักแม่จังเลย เวลาเล่นก็ระวังตัวด้วยนะลูก อย่าซนมาก มามะ ขึ้นหลังแม่ไปเที่ยวดีกว่า ขอนอนเล่นแป๊บนะแม่ ลมมันเย็นดี งื้อ แอบหนีไปเล่นที่ไหนมาห๊ะ ทำไมไม่บอกแม่ เดี๋ยวงับเข้าให้ วันนี้ไม่อยากไปเล่นข้างนอกแล้ว อยากกอดแม่ โอ๋เอ๋ หลับให้สบายนะจุ๊บๆ ทำตัวแรดอีกแล้ว ไปได้เชื้อใครมาเนี่ย แม่ฮะ ดอกไม้ตรงนั้นสวยจัง คนดีมาให้แม่หอมก่อนออกไปเล่นนะ ลูกวอมแบดขนยังไม่ขึ้นเลย ต้องให้แม่สอนอีกเยอะ แม่รออีกหน่อยนะ เดี๋ยวผมจะโตจนลายใหญ่กว่าแม่ให้ดู แม่อย่าเอาแต่นอนสิ ไปเล่นกับเก๊าหน่อย อย่าดึงผมแม่สิคะ แม่ไม่อยากหวีใหม่ สู้ๆ นะเจ้าตัวเล็ก ขอนไม้แค่นี้ลูกข้ามได้แน่จ้ะ บางทีแม่ก็สงสัยว่านี่ลูกเสือจริงเหรอ…
-
ตูบรอต้อนรับนายน้อยกลับจากโรงเรียนทุกวัน ทำให้ชีวิตบนรถเข็นของเด็กชายสดใส
ชีวิตของเด็กที่ต้องพึ่งพารถเข็นในการเคลื่อนที่ ย่อมมีอุปสรรคในการใช้ชีวิตมากกว่าคนทั่วไป เพราะเคลื่อนที่ได้ลำบากเลยอาจทำให้ออกไปเล่นข้างนอกไม่ค่อยได้ ก็เลยพลอยทำให้เหงาไปด้วย ทว่าสำหรับ Henrique Muraro หนุ่มน้อยวัย 6 ขวบแล้ว เขามีความสุขทุกวันเพราะรู้ว่ามีคนที่รักเขารอเจออยู่ที่บ้าน นั่นก็คือเจ้าหมา Pipo Henrique อาศัยอยู่ในประเทศบราซิล เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพเขาก็เลยต้องใช้รถเข็นช่วยในการเคลื่อนที่ แพทย์เห็นว่าเด็กชายไม่ค่อยออกไปไหน แล้วก็ยังใช้รถเข็นไม่คล่อง เขาก็เลยแนะนำให้ลองเอาสุนัขมาเลี้ยงดู เผื่อว่าเด็กชายจะออกไปเล่นข้างนอกมากขึ้น ตอนนั้นเองเจ้าหมาน้อย Pipo ก็ได้เข้ามาอยู่กับเขา เด็กชายกับเจ้าหมาดูจะเข้ากันได้ดี พอพวกเขาสนิทกันแล้วก็จะเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลาเลย แต่ก็มีช่วงเวลาหนึ่งที่พวกเขาต้องแยกจากกัน ซึ่งก็คือเวลาที่ Henrique ต้องไปโรงเรียนนั่นเอง ทำให้หนุ่มน้อยต้องแยกจากเพื่อนรักของเขาไป อย่างไรก็ตาม เจ้าหมาก็รู้วิธีที่จะทำให้เด็กหนุ่มร่าเริงได้ นั่นก็คือการออกไปต้อนรับหนุ่มน้อยตอนรถโรงเรียนมาส่งที่บ้านทุกวันนี่เอง คนในครอบครัวเล่าว่า “Pipo เริ่มทำแบบนี้เอง มันชอบตามแม่ของฉันไป ตอนที่เธอไปส่ง Henrique ขึ้นรถไปโรงเรียน แล้ววันหนึ่งมันก็เริ่มโดดขึ้นไปต้อนรับเขาบนรถบัส จากนั้นมามันก็ขึ้นไปต้อนรับเขาทุกวันเลย” การต้อนรับของเจ้าหมาทำให้เด็กชายมีความสุขที่รู้ว่ามีเพื่อนที่รักเขารออยู่ ถึงแม้ Pipo จะไม่ใช่สุนัขที่ถูกฝึกมาเพื่อบริการเด็กพิการ แต่มันก็ทำหน้าที่ให้กำลังใจนายน้อยของมันได้ไม่ขาดตกบกพร่องเลย นอกจากนี้ครอบครัวของเขายังบอกว่ามันช่วยให้ Henrique ใช้รถเข็นได้คล่องแคล่วขึ้นจริงๆ ด้วยนะ ทั้งหมดต้องขอบคุณเจ้าตูบน้อยตัวนี้นี่แหละ ที่มา:…
-
‘แม่ต้องปกป้องลูกให้ได้’ แม่พอสซัมช่วยเหลือลูกน้อย ให้รอดพ้นจากคมเขี้ยวอสรพิษ
ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่แล้ว ย่อมรักลูกและยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกอยู่อย่างปลอดภัยและมีความสุข แม่พอสซัม (สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 4 เท้า ลักษณะเหมือนหนูตัวโต) ตัวนี้ก็เหมือนกัน มันเข้าไปปกป้องลูกน้อยจากงูเหลือมโดยไม่เกรงกลัวอันตราย จนลูกของมันรอดมาได้อย่างปลอดภัย ภาพถ่ายการต่อสู้ของแม่พอสซัมเพื่อช่วยลูกของมัน ได้ถ่ายไว้โดยหญิง Christine Birch Williams เธอรู้ว่ามีงูเหลือมตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในสวนหลังบ้านของเธอ และวันหนึ่งเธอก็บังเอิญผ่านมาเห็นมันกำลังจะกินลูกพอสซัมเป็นอาหาร แต่แม่ของมันก็เข้ามาช่วยเอาไว้ได้พอดี เจ้างูเหลือมจับลูกพอสซัมเอาไว้ได้ มันใช้ลำตัวรัดไว้แน่นเพื่อจะกินเป็นอาหาร แต่แม่พอสซัมตามมาช่วยลูกไว้ได้ทัน มันพยายามแกะหางของงูที่รัดของลูกตัวเองออก พอเห็นว่างูเหลือมไม่ยอมปล่อย มันก็กัดเจ้างูไปหลายแผลเลย สุดท้ายงูเหลือมตัวนั้นก็ยอมแพ้ต่อแม่พอสซัม แล้วปล่อยลูกพอสซัมให้เป็นอิสระ แม่ของมันก็เลยพาลูกขี่หลังหนีไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นลูกอยู่ในอันตรายแม่พอสซัมก็สู้กับงูเหลือมไม่ยอมถอย มันทั้งใช้แรงแกะแล้วก็ใช้ฟันกัดเพื่อให้ลูกรักหลุดพ้นจากการถูกงูกินได้ แล้วหนีไปได้อย่างปลอดภัยทั้งแม่และลูก เป็นภาพความรักของแม่ที่น่าประทับใจจริงๆ ภาพนี้ถูกแชร์ลงในอินเตอร์เน็ตและได้รับการแชร์ต่อไปถึง 1,700 ครั้ง ชาวเน็ตต่างก็ชื่นชมความรักของแม่พอสซัมที่มีให้กับลูกจนยอมเสี่ยงอันตรายไปช่วยขนาดนี้ และอีกส่วนหนึ่งคิดว่าเธอควรจะเข้าไปช่วยลูกพอสซัมไว้ สำหรับ Williams แล้วเธอบอกว่าเธอเลือกที่จะถ่ายภาพเอาไว้โดยไม่เข้าไปช่วย เพราะคิดว่ามันเป็นวิถีทางธรรมชาติ เราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว Stuart McKenzie ชายที่ทำอาชีพจับงูก็เสริมอีกว่า “ถ้าเป็นผมก็ไม่รู้จะเข้าไปช่วยดีไหมเหมือนกัน จริงอยู่ว่ามันอาจจะใจร้ายไปหน่อยที่เอาแต่นั่งดู แต่งูตัวนั้นก็พยายามอย่างหนักเพื่อหาอาหารเหมือนกัน” ที่มา: Daily Mail
-
หนุ่มน้อยวัย 6 ขวบ สวมชุดฮีโร่ตามดูแลแมวจรจัดทุกตัวที่เจอ ใจใหญ่เหมือนฮีโร่จริงๆ
ซูเปอร์ฮีโร่ในภาพยนต์ที่ต่อสู้กับเหล่าร้ายเพื่อกอบกู้โลก เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมายได้ออกมาทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อให้โลกของเราน่าอยู่มากขึ้น หนุ่มน้อย Shon Griffin ก็อยากเป็นซูเปอร์ฮีโร่เหมือนกัน และทุกวันนี้เขาก็เป็นซูเปอร์ฮีโร่ตัวจริงไปแล้ว ถึงจะไม่ได้สู้กับผู้ร้ายที่ไหนเลย แต่เขาก็เป็นเด็กที่ได้ช่วยแมวจรจัดมากมายไม่ให้อดตาย Shon Griffin ซูเปอร์ฮีโร่วัย 6 ขวบของแมวจรจัด Shon Griffin เป็นเด็กที่อาศัยอยู่ในประเทศฟิลาเดลเฟีย เขาเริ่มต้นช่วยเหลือแมวจรจัดตั้งแต่ยังอายุได้ 3 ขวบ คนที่มอบแรงบันดาลใจในการช่วยเหลือแมวก็คือป้าของเขา Kris และ Kia ผู้เป็นป้าของหนุ่ม Shon เป็นคนดูแลกลุ่มช่วยเหลือแมว Kolony Kats ที่ตระเวนให้อาหารแมวจรจัดในชุมชนกว่า 50 ตัว แล้วก็ช่วยทำหมันพวกมันเพื่อควบคุมประชากรแมวจรจัดด้วย เขาเริ่มช่วยเหลือแมวจรจัดตั้งแต่ 3 ขวบ ถึง Shon จะเป็นคนที่รักแมวอยู่แล้ว แต่ตอนแรกป้าทั้ง 2 ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะชวนเขาไปช่วยแมวด้วยดีรึเปล่า เพราะแมวจรจัดบางตัวก็ไม่เป็นมิตร พวกมันอาจจะทำให้หนุ่มน้อยขี้กลัวมีความรู้สึกที่ไม่ดีกับแมว ทว่าเมื่อเด็กหนุ่มได้เข้ามาช่วยทำงานครั้งแรก Kris และ Kia ก็เห็นเลยว่าเขามีความรักให้พวกแมวอย่างเปี่ยมล้น เขาไม่กลัวแมวจรจัดเลย ยิ่งไปกว่านั้นแมวจรจัดก็ดูจะเข้าหาเด็กหนุ่มมากเป็นพิเศษด้วย เขาเข้าไปเล่นกับเจ้าแมวที่ชื่อ Bug ได้ตั้งแต่ครั้งแรก มันเข้ามาเล่นกับหนุ่มน้อยเองเลย…
-
หนุ่มนึกว่าช่วยลูกสุนัขไว้ 5 ตัว ที่แท้มันคือลูกจิ้งจอก รีบเอาไปคืนแม่แทบไม่ทัน
หนุ่ม Craig Mcgettrick เป็นคนเก็บขยะที่ทำงานอยู่ในประเทศอังกฤษ เขาใช้ชีวิตทุกวันตามปกติ และไม่เคยนึกเลยว่าวันหนึ่งจะได้ช่วยสัตว์จนกระทั่งวันนี้ แถมมันยังวุ่นวายกว่าที่ควรจะเป็นด้วย ครั้งนี้ในขณะที่ Mcgettrick กำลังจัดการกับขยะที่กองอยู่ตรงหน้า พอเขายกที่นอนอันหนึ่งขึ้นมา เขาก็เจอลูกหมา 5 ตัวอยู่ตรงนั้น แต่ในบริเวณนั้นไม่มีแม่ของมันอยู่เลย เขาก็เลยคิดว่าลูกหมาคงถูกทิ้งไว้ Mchettrick เจอลูกหมา 5 ตัวถูกทิ้งไว้ เขาก็เลยเอาลูกหมาทั้งหมดไปฝากไว้กับศูนย์พักพิงสัตว์ Freshfields Animal Rescue ที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อน แล้วก็โพสต์รูปของมันลงบนเฟซบุ๊กเพื่อเล่าเรื่องที่เขาเจอวันนี้ให้ชาวเน็ตฟัง ชาวเน็ตคนหนึ่งที่เห็นรูปได้ส่งรูปนั้นต่อไปให้ National Fox Welfare Society ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลสุนัขจิ้งจอกดู ผู้ก่อตั้งองค์กร Martin Hemmington เห็นแล้วก็รู้ทันทีเลยว่านั่นไม่ใช่ลูกหมา แต่เป็นลูกหมาจิ้งจอกต่างหาก เขาเลยพาพวกมันไปให้กลุ่มช่วยเหลือสัตว์ Freshfields Animal Rescue แต่จริงๆ แล้วพวกมันไม่ใช่ลูกหมา แต่เป็นลูกสุนัขจิ้งจอก แม้ว่าสุนัขจิ้งจอกจะมีขนสีส้ม แต่ตอนมันยังเด็กก็จะมีขนสีน้ำตาลแบบนี้นี่แหละ แล้วมันก็ดูเหมือนกับลูกหมามาก คนทั่วไปก็เลยมักจะเข้าใจผิดว่าลูกสุนัขจิ้งจอกเป็นลูกหมา กว่าจะรู้ว่ามันเป็นจิ้งจอกก็ตอนมันโตแล้ว ปกติแล้วสุนัขจิ้งจอกจะทิ้งลูกตัวเล็กไว้ในถ้ำของมันแล้วออกไปหาอาหารข้างนอก ในกรณีนี้แม่สุนัขจิ้งจอกคงจะใช้พื้นที่ใต้ที่นอนเป็นถ้ำสำหรับลูกของมัน แล้วก็ทิ้งลูกออกไปหาอาหารตามแถบนั้น พวกมันคล้ายกันมาก คนก็เลยมักจะสับสนว่าลูกจิ้งจอกเป็นลูกหมา…
-
ลูกแรดน้อยไม่ประสีประสา ปกป้องแม่จากสัตวแพทย์ เพราะคิดว่าแม่จะโดนทำร้าย
ลูกสัตว์ตัวเล็กก็เหมือนกับผืนผ้าใบว่างเปล่า พวกมันยังเป็นเด็กไร้เดียงสา ยังต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ เหมือนกับลูกแรดตัวนี้ที่ไม่รู้ว่าสัตวแพทย์ไม่ได้มีเจตนาร้าย มันก็เลยพุ่งโจมตีพวกเขาซะอย่างงั้น จะทำอะไรแม่เก๊าอะ เดี๋ยวตีเลย จากคลิปวิดีโออันหนึ่งที่ถ่ายจากประเทศแอฟริกาใต้ สัตวแพทย์กำลังจะช่วยกันรักษาแม่แรด เนื่องจากนิ้วเท้าของมันเคลื่อนหลุดออกจากตำแหน่งปกติ ทว่าสัตวแพทย์ไม่ใช่คนกลุ่มเดียวเท่านั้นที่เป็นห่วงสวัสดิภาพของแม่แรด ลูกแรดที่อยู่ข้างๆ กันก็เป็นห่วงแม่ของมันเหมือนกัน และสำหรับมันอาการป่วยของแม่ไม่ได้ดูอันตรายเท่ากับสัตวแพทย์ใจดีด้านหน้าเลย คลิปวิดีโอ พอมันเห็นสัตวแพทย์เข้าใกล้แม่เพื่อที่จะทำการรักษาให้ มันก็คิดว่าพวกเขาจะทำร้ายแม่ของมัน ก็เลยพุ่งชนสัตวแพทย์จนเขาถอยหนีแทบไม่ทัน สัตวแพทย์คนหนึ่งก็เลยต้องทำหน้าที่กันไม่ให้แรดน้อยเข้ามาขัดขวางการรักษา ด้วยการเอามือดันจมูกน้อยๆ ของมันไว้ สัตวแพทย์คนอื่นจะได้รักษาแม่แรดได้โดยไม่ถูกรบกวน ถึงอย่างนั้นลูกแรดก็ยังพยาามดันมือของเขาอยู่ดี สู้เหรอ เดี๋ยวสู้กลับนะเจ้ามนุษย์ เหตุการณ์ทั้งหมดถูกสัตวแพทย์ที่รักษาแม่มันถ่ายเอาไว้ได้ ก็เลยเอาความน่ารักไร้เดียงสาของมันมาให้เราได้ดูกันแบบนี้แหละ แหม่…พี่เขามาช่วยก็ยังพุ่งใส่อีกนะ ดีแล้วล่ะที่มันเป็นห่วงแม่ของตัวเอง ถ้าเกิดมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นจริงๆ แม่ของมันจะได้มีคนช่วยปกป้องยังไงล่ะ แต่คราวหน้าต้องแยกแยะให้ออกนะว่าคนไหนมาดี คนไหนมาไม่ดี ไม่อย่างงั้นพอมันโตขึ้นแล้วยังพุ่งใส่สัตวแพทย์อยู่อีก แม่ก็ไม่ได้รักษาแผลกันพอดี ที่มา: Metro, the dodo
-
ลิงน้อยกำพร้า 2 ตัว มาเจอกัน กลายเป็นเพื่อนที่มอบความรักให้กันจนขาดกันไม่ได้
ปัญหาการค้าสัตว์ป่าในไทยยังคงเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ ลูกสัตว์ป่าเกิดใหม่หลายตัวต้องใช้ชีวิตเป็นสัตว์เลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมกับมัน แต่ท่ามกลางเรื่องเลวร้ายเหล่านี้ก็ยังมีเรื่องน่ายินดีอย่างมิตรภาพระหว่างลูกลิงเพิร์ลและบุญมา ลูกลิง เพิร์ล เป็นลิงแสมตัวน้อยที่เจ้าของของมันส่งมอบให้กับ มูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า ตอนแรกมันเป็นลิงที่ถูกวางขายเป็นสัตว์เลี้ยง คาดว่าคนขายน่าจะขโมยมันมาจากแม่ลิง พอเจ้าของของมันไปซื้อมาเลี้ยงแล้วเห็นว่ามันไม่มีความสุขก็เลยมอบให้กับทางมูลนิธิ ลูกลิงน้อยเพิร์ล ลิงน้อยมีท่าทางโหยหาความอบอุ่นอย่างเห็นได้ชัด มันชอบกอดตุ๊กตาหมีในแบบเดียวกับที่มันต้องการกอดแม่เลย ท่าทางของมันเมื่อได้กอดตุ๊กตาหมีดูช่างอบอุ่นและปลอดภัยราวกับอยู่ในอ้อมกอดของแม่ แม้ว่าทางมูลนิธิจะดูแลมันเป็นอย่างดี มันก็ยังดูเหงาหงอยอยู่ดี เพราะความรักจากคนหรืออ้อมกอดจากตุ๊กตาไม่สามารถทดแทนไออุ่นจากลิงตัวอื่นได้ มันต้องการเพื่อนลิงสักตัวที่ให้ความรักกับมันได้ อยากกอดแม่จังเลย เป็นลิงที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวมันเหงามาก โชคดีที่ไม่นานนักมันก็ได้พบกับเพื่อนตัวใหม่ที่จะมาเติมเต็มความต้องการของมัน ซึ่งก็คือลูกลิงแสม บุญมา ที่กำพร้าแม่เหมือนกับมัน ในกรณีของบุญมานั้น เจ้าของของมันช่วยเก็บมันมาเลี้ยงเพราะว่าเจอมันอยู่ตามลำพังกับแม่ที่ถูกรถชนตายไปแล้ว เจ้าของเคยพยายามเอามันไปให้แม่ลิงตัวอื่นเลี้ยง แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ สุดท้ายก็เลยส่งมันให้กับมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า บุญมา ลูกลิงกำพร้าแม่ บุญมาก็มีลักษณะคล้ายกับเพิร์ล พวกมันต่างก็ขาดความอบอุ่นจากแม่ลิง พอบุญมาเจออาสาสมัครจากมูลนิธิมันก็เข้าไปกอดเธอไว้ไม่ยอมปล่อยมือเลย เพราะมันต้องการอ้อมกอดจากใครสักคน ขอกอดหน่อยนะ เก๊าอยากได้ความอบอุ่น นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ลิงทั้ง 2 ตัวได้เข้ามาเจอกัน ทั้งเพิร์ลและบุญมาต่างก็กำพร้าแม่ทั้งคู่ และพวกมันก็ต้องการลิงที่ให้ความรักกับตัวเองได้เหมือนกัน พอเจอกันครั้งแรกพวกมันก็เลยเข้ากันได้ดีเลย เธอไม่มีเพื่อนเหมือนกันใช่ไหม เรามาเป็นเพื่อนกันนะ…
-
ลูก ‘เสือดำ’ วัยเรียนรู้เดินไม่คล่อง มนุษย์เลยพาเจ้าตัวเล็กมาว่ายน้ำบำบัด น่าร๊ากกก
สัตว์ตัวน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลก นอกจากจะต้องได้รับการดูแลจากพ่อแม่แล้ว พวกมันยังต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตจากพ่อแม่ด้วย ดังนั้นหากปล่อยลูกกำพร้าพ่อแม่เหมือนเจ้าเสือดำน้อยตัวนี้ไว้คนเดียวมันคงลำบากแน่ Giles Clark ก็เลยช่วยเลี้ยงดูลูกเสือดำตัวนี้ Clark เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสัตว์ตระกูลเสือและสิงโต เขาก็เลยเลี้ยงดูมันได้อย่างไม่มีปัญหา เจ้าเสือดำตัวน้อยเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อย่างแข็งแรง ลูกเสือดำกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก พี่ชาย Giles Clark จะช่วยดูแลแกเองนะเจ้าหนู ทั้งขี้เล่นทั้งซน น่ารักจริงๆ อย่างไรก็ตามการที่มันไม่มีพ่อแม่เสือเป็นแบบอย่าง ก็ทำให้เสือดำน้อยมีปัญหาในการเรียนรู้อยู่บ้าง อย่างเช่นตอนนี้เจ้าหนูก็เดินได้ไม่คล่องนัก เพราะขาหลังยังใช้งานได้ไม่เต็มที่ บางครั้งก็เลยเดินลื่นล้มอยู่ เดินสะดุดเกือบตกบันไดแน่ะ Clark ก็เลยพยายามช่วยให้มันได้ฝึกใช้ขามากขึ้น โดยการพามันไปทำกายภาพบำบัดในน้ำ หรือพูดง่ายๆ ก็คือการว่ายน้ำนั่นแหละ เช่นเดียวกับการเดิน ถึงเสือดำจะเป็นสัตว์ที่ล่าสัตว์ในน้ำอยู่บ่อยครั้ง แต่มันก็ต้องฝึกว่ายน้ำเช่นกันในตอนแรกมันก็เลยยังว่ายน้ำได้ไม่ค่อยดีนัก แต่ใช้เวลาไม่นานมันก็ปรับตัวได้แล้ว เก่งจังเลยนะแกเนี่ย เห็นสระน้ำครั้งแรก เลยรู้สึกตื่นเต้น แต่ก็ไม่ได้กลัวน้ำเลย แป๊บเดียวก็ลงไปว่ายน้ำแล้ว ในตอนแรกมันยังว่ายน้ำไม่คล่องนัก เพราะใช้ขาไม่ค่อยเป็นเหมือนตอนเดิน แต่พอว่ายน้ำเล่นกับมนุษย์แป๊บเดียวก็คล่องปรื๋อเลย หลังจากได้มาฝึกว่ายน้ำจนคล่องแล้ว ตอนนี้ลูกเสือดำคงใช้ขาได้คล่องแคล่วกว่าเดิมสักที…
-
รวมภาพความมุ้งมิ้งของ ‘ลูกลา’ ที่จะมาทำให้ใจของคุณละลายไปกับความน่ารักแบบบ๊องๆ
ลูกสัตว์ตัวเล็กน่ารักอย่างเช่นลูกแมวหรือลูกหมาได้ขโมยหัวใจคนมานักต่อนักแล้ว แต่น่าเสียดายที่คนส่วนมากไม่ได้ให้ความสนใจกับสัตว์น่ารักๆ อย่าง ‘ลา’ เลย ลาเป็นสัตว์ที่เรามักจะเห็นเป็นแรงงาน แต่จริงๆ แล้วพวกมันมีนิสัยไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงเท่าไหร่เลย ลาเป็นสัตว์สังคมที่ชอบคลุกคลีอยู่กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แถมพวกมันยังรู้สึกผูกพันและรักเพื่อนมากเป็นพิเศษด้วย วันนี้เราเลยอยากนำเสนอความน่ารักของลูกลาให้เพื่อนๆ ได้เห็นกัน ขอกอดลูกมนุษย์หน่อย งือ ลูกลาน้อยนอนกอดตุ๊กตาหมีน่ารักมว๊ากกก ดูท่าทางดีใจจังเลยที่ได้ออกมาวิ่งเล่นแล้ว อ้อนแม่ใหญ่เลยนะเรา เปลของมนุษย์มันนอนสบายใช่ไหมล่ะ ลูกลาก็ขนนุ่มฟูเหมือนกันนะ แถมมีหลายสีด้วย ดูน่ารักไปคนละแบบ ไม่ว่าสัตว์ตัวไหนก็ชอบวิ่งเล่นในทุ่งหญ้าทั้งนั้น ลูกหมาหลับไปก่อนนะ เดี๋ยวลูกลาพากลับบ้านเอง ดอกอะไรหอมจังเลย วันคริสต์มาสในแบบฉบับลาๆ น้องบอกว่าอย่าเอาแต่มอง เข้ามากอดได้เลย เล่นซนจนเหนื่อยแล้วก็มานอน นิสัยเหมือนลูกหมามาก ไม่ต้องลำบากจัดที่นอนให้ในบ้านก็ได้ เรานอนคอกได้สบายๆ วันนี้จะออกไปเล่นกับใครดีน้า เธอจะรีบไปไหน อยู่เล่นกับเราก่อน หมวกใบใหม่สวยใช่ป่าว ง่วงแล้ว…
-
ลูกช้างน้อยขาติดซอกหิน อาสาสมัครเลยช่วยมันขึ้นมา ทำให้แม่ลูกได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง
ในเย็นวันหนึ่งระหว่างที่เจ้าหน้าที่ของอุทยานแห่งชาติ Amboseli National Park ซึ่งอยู่ในประเทศเคนย่า กำลังขับรถตรวจตราพื้นที่ทุ่งหญ้าอยู่ พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องดังมาจากทางสระน้ำเป็นระยะ ก็เลยมั่นใจว่ามีสัตว์กำลังรอให้พวกเขาช่วยอยู่แน่ๆ เมื่อเข้าไปใกล้สระน้ำก็เห็นว่ามีลูกช้างตัวหนึ่งอยู่ในนั้น มันขยับไปไหนไม่ได้เพราะว่าขาติดอยู่ในช่องหินด้านล่าง แถมแม่ช้างก็ช่วยมันออกมาเองไม่ได้ด้วย ข้างล่างมีช้างน้อยติดอยู่ ทุกคนมาช่วยกันเร็ว เจ้าหน้าที่เลยติดต่อไปหาหน่วยกู้ภัยของอุทยานเพื่อให้พวกเขาออกมาช่วยลูกช้าง ในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางมา เจ้าหน้าที่ก็พยายามช่วยลูกช้างขึ้นมาด้วย แต่พอพยายามเข้าไปช่วยลูกช้าง แม่ช้างที่แอบเฝ้ามองอยู่ข้างทางก็เดินออกมาไล่พวกเขา ทำให้ไม่สามารถช่วยลูกช้างออกมาได้ ฮึบออกแรงอีกนิดนะ จะขึ้นมาได้แล้ว โชคดีที่ตอนหน่วยกู้ภัยมาถึงแม่ช้างก็หายไปไหนไม่รู้ซะแล้ว พวกเขาก็เลยช่วยลูกช้างได้อย่างเต็มที่ แล้วพามันขึ้นมาจากสระน้ำได้อย่างปลอดภัย ดูเหมือนลูกช้างจะไม่ได้ติดอยู่ที่นั่นนานเท่าไหร่ เพราะมันไม่ได้ดูเหนื่อยล้าเลย เจ้าหน้าที่ก็เลยไม่ได้พามันไปรักษาต่อ แต่พามันขึ้นรถแล้วขับตระเวนตามหาแม่ของมัน ดูเหมือนจะสบายดีนะ งั้นขึ้นรถไปตามหาแม่กันเลยดีกว่า ดีที่แม่ช้างไม่ได้เดินออกไปไกลมาก ขับรถวนอยู่ไม่นานก็เจอแม่ช้างแล้ว ตอนที่พวกเขาเจอมันก็เห็นมันกำลังชูงวงขึ้นสูงเพื่อตามกลิ่นของลูกช้างอยู่เหมือนกัน เจอแม่ช้างแล้ว! พอแม่ช้างรู้ว่าลูกอยู่ทางที่รถวิ่งมา มันก็เดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าลูกปลอดภัยดีมันก็เดินพาลูกช้างกลับไปยังถิ่นของมัน ก่อนจะไปก็ไม่ลืมหันมาร้องแปร๊นเสียงดังเพื่อขอบคุณเจ้าหน้าที่ด้วย ถึงการช่วยลูกช้างจากบ่อน้ำจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ไปเจอมันเข้าลูกช้างอาจจะติดอยู่นานจนเป็นอันตรายก็ได้ แถมแม่ช้างที่ไม่สามารถช่วยลูกมันเองได้คงจะร้อนใจน่าดู เรื่องที่พวกเขาทำจึงเป็นเรื่องน่ายกย่องมาก ดีใจจังเลยที่แม่กับลูกได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ได้ช่วยมันเอาไว้ก็รู้สึกดีใจไปกับมันด้วยที่แม่และลูกได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าปัญหาจะเล็กหรือใหญ่สักแค่ไหน พวกเขาก็ยินดีจะช่วยเหลือสัตว์ทุกตัวเสมอ เพราะพวกเขาอยากให้สัตว์ทุกตัวที่นี่อยู่อย่างมีความสุขยังไงล่ะ…
-
ครอบครัวตั้งกล้อง แอบถ่ายพี่เลี้ยงเด็กที่ทำร้ายลูกของเขาด้วยการทุบตีและบีบจมูก
ปัจจุบันหลายครอบครัวนิยมจ้างพี่เลี้ยงเด็กให้มาดูแลลูกของตัวเอง เพราะตนเองไม่ว่างและไม่อยากปล่อยให้เด็กอยู่ในบ้านตามลำพัง แต่ก่อนจะรับพี่เลี้ยงเด็กมาควรจะตรวจสอบประวัติและพฤติกรรมของเธอให้ดี ไม่เช่นนั้นลูกของคุณอาจจะลำบากเพราะการเลี้ยงดูที่ไม่ดีของพี่เลี้ยงเด็กเอาได้เหมือนกับครอบครัวนี้ Elena Levendeeva เป็นคุณแม่อายุ 26 ปี เธออาศัยอยู่ในเมือง Nefteyugansk ประเทศรัสเซีย เมื่อไม่นานมานี้เธอเพิ่งจ้าง Anastasia Zhelyabova หญิงอายุ 31 ปี มาเป็นพี่เลี้ยงคนใหม่ให้กับลูกชายอายุ 8 เดือนของเธอ Elena Levendeeva และลูกชายของเธอ แต่พอพี่เลี้ยงมาดูแลลูกได้ไม่นาน เธอก็สังเกตเห็นว่าลูกของเธอร้องไห้งอแงทุกครั้งเมื่อพี่เลี้ยงคนนี้มาทำงาน เธอจึงเอะใจว่าบางทีพี่เลี้ยงคนนี้อาจจะเลี้ยงลูกของเธอได้ไม่ดีก็ได้ เธอจึงลองติดกล้องวงจรปิดไว้ในบ้านเพื่อสังเกตพฤติกรรมของพี่เลี้ยงดู หลังจากติดกล้องวงจรปิดได้วันเดียวเท่านั้น สิ่งที่กล้องบันทึกภาพได้ก็ทำให้เธอโมโหมาก เพราะ Zhelyabova ใช้ความรุนแรงกับลูกของเธอหลากหลายรูปแบบเลยทีเดียว ในตอนต้นของคลิป ในขณะที่เธอกำลังให้นมหนุ่มน้อยอยู่ เขาคงขัดขืนจนทำให้เธอโมโหเธอก็เลยใช้มือตบก้นและหน้าของเขา เท่านั้นยังไม่พอตอนที่เธอป้อนนมหนุ่มน้อยอยู่ เธอก็ใช้มือบีบจมูกของเขาเอาไว้ด้วย เพื่อบังคับให้เขาดื่มนมเข้าไป หลังจากเธอป้อนนมเขาเสร็จเธอก็จับมือของเด็กชายไว้และลากเขาไปตามทาง แล้วเธอก็โยนเด็กน้อยไปบนพื้นข้างๆ กันด้วย พอดูคลิปวิดีโอที่เธอแอบถ่ายเอาไว้จบ เธอก็ตัดสินใจนำคลิปวิดีโอส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้พวกเขาดำเนินคดีกับ Zhelyabova ทันที นอกจากนี้เธอยังอัปโหลดคลิปวิดีโอลงในโซเชียลมีเดีย เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้กับครอบครัวอื่นที่คิดจะจ้างพี่เลี้ยงเด็กมาดูแลลูกของตัวเองด้วย โดยเธอโพสต์ว่า “เนื่องจากลูกของฉันร้องไห้บ่อยมาก ฉันก็เลยลองติดกล้องวงจรปิดดู…
-
เด็กๆ ถูกสั่งห้าม ‘ไฮไฟว์’ กับคุณตาผู้พาข้ามถนน หวั่นอาจทำให้เกิดปัญหาจราจรตามมา…
การ ‘ไฮไฟว์’ หรือก็คือการแปะมือกันของคนสองคน เป็นสิ่งที่ผู้ดูแลความปลอดภัยบนท้องถนนหน้าโรงเรียนแห่งหนึ่งทำกับเด็กๆ มานานแล้ว แต่ล่าสุดหัวหน้าของเขาก็มีคำสั่งห้ามให้เด็กๆ ทำแบบนี้ ก็เพื่อความปลอดภัยของเด็กเองและคุณตาด้วย จึงเป็นเหตุทำให้ผู้ปกครองและเด็กๆ ทักท้วงกันใหญ่เลย… Colin Spencer ชายวัย 83 ปี ทำหน้าที่เป็นคนดูแลให้เด็กๆ มา 14 ปีแล้ว เขาทำงานให้โรงเรียน St. George’s CE Primary ในชุมชน Heaviley ของเมือง Stokeport ประเทศอังกฤษ โดยปกติแล้วเขาจะไฮไฟว์กับเด็กๆ เพื่อเป็นการทักทายและให้กำลังใจพวกเขานั่นเอง Colin Spencer คุณลุงใจดีของเด็กๆ ผู้มีฉายาว่า ‘Lolly’ ทว่าเมื่อไม่นานมานี้หัวหน้าของเขามีคำขอร้องไม่ให้เด็กๆ และผู้ปกครองทำไฮไฟว์กับคุณตาอีกเด็ดขาด เนื่องจากเกรงว่ามันจะทำให้คุณตาและเด็กๆ ไม่สนใจท้องถนนจนอาจเกิดอุบัติเหตุได้ คุณตาเล่าว่า “ผมบอกกับผู้จัดการว่าผมทำแบบนี้มาตั้ง 14 ปีแล้ว แล้วเด็กๆ ก็ชอบมันมากด้วย แต่เธอบอกว่าผมควรจะหยุดทำแบบนั้นเพราะมันเป็นการก่อกวนสมาธิของผมและเด็กๆ เวลาข้ามถนน” เขามีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้เด็กๆ เวลาข้ามถนน เมื่อผู้ปกครองได้ทราบข่าวนี้พวกเขาก็รู้สึกไม่พอใจเช่นกัน…
-
คุณแม่อธิบายว่าทำไมถึงหัวเสียจนต้องตีลูก หลังลูกทำตั๋วรถไฟราคา 5 หยวนหาย
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2018 ที่ผ่านมานี้ในเว็บไซต์ Pear Video ซึ่งเปรียบเสมือนยูทูบของประเทศจีน ได้มีคนอัปโหลดคลิปวิดีโอของคุณแม่คนหนึ่งที่ตีลูกชายเพราะเขาทำตั๋วรถไฟหาย ในคลิปเธออธิบายถึงสาเหตุของการตีลูกให้ชาวเน็ตฟังด้วย ชาวเน็ตได้ฟังแล้วก็พูดไม่ออกเลย โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นในรถไฟใต้ดินในเมือง Nanchang มณฑล Jiangxi ประเทศจีน คุณแม่ท่านหนึ่งเดินทางมากับลูกชายของเธอ แต่จู่ๆ เธอก็โกรธลูกชายแล้วทุบเขาที่หลัง ทำให้คนในรถไฟหันมาสนใจเธอกันหมดเลย คนที่อยู่ใกล้ๆ ก็เลยนำมือถือขึ้นมาถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้ ตอนที่เธอตีลูกนั้นเธอพูดว่า “ทำไมพูดแล้วไม่ยอมฟังเลย เวลาที่บอกว่าอย่าเล่นก็ห้ามเล่น เข้าใจไหม!” จากนั้นเรื่องก็ดูเหมือนจะสงบลง แต่ผ่านไปสักพักเธอก็ตีลูกอีกครั้งหนึ่งและด่าลูกไม่หยุดเลย คนที่เห็นเหตุการณ์อยู่จึงทนดูไม่ได้ เมื่อแม่และลูกลงจากรถไฟใต้ดินแล้ว คนที่ถ่ายคลิปอยู่จึงเข้าไปสอบถามเหตุการณ์จากคุณแม่ เธอจึงอธิบายว่าสาเหตุที่เธอตีลูกไปเพราะโมโหที่เขาทำตั๋วรถไฟราคา 5 หยวน (ประมาณ 25 บาท) หายไปนั่นเอง พอได้ฟังแล้วหญิงที่อยู่ข้างๆ ก็เลยแนะนำว่าแค่ซื้อตั๋วใหม่เสียก็จบแล้ว ทว่าคุณแม่กลับตอบมาว่า “ฉันไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอก” เธออธิบายต่อว่าแม้ว่าเงินจำนวนนั้นอาจจะดูไม่มากสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับเธอแล้วเงินจำนวนนั้นมีค่ามากกว่าที่คนอื่นคิด เธอเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีเงินเดือนเพียง 900 หยวน (ประมาณ 4,500 บาท) เท่านั้น แต่ค่าใช้จ่ายในการดูแลลูกชายแต่ละเดือนก็ปาเข้าไป 1,000 หยวน…
-
ลูกน้อยสองคนถูกทิ้งให้อยู่กับร่างไร้วิญญาณของพ่อที่ตายเพราะหัวใจวายตลอดทั้งวัน
คุณแม่ร้อนใจ ลูกสาวสองคนของเธอต้องอยู่กับศพของคุณพ่อที่หัวใจวายตายทั้งวัน เนื่องจากทางโรงเรียนไม่ยอมติดต่อไปหาเธอ ทำให้เธอไม่รู้ว่าที่บ้านเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้น เธอหวังว่าจะไม่มีครอบครัวไหนต้องเจอเรื่องแบบนี้อีก ครอบครัว Daykin อาศัยอยู่ที่เมืองฮาลิแฟ็กซ์ เขตเวสยอร์กชายร์ ประเทศอังกฤษ Helen Daykin ผู้เป็นแม่ต้องเดินทางไกลไปทำงานนอกสถานที่ค่อนข้างบ่อย สามี Chris Daykin จึงมักจะรับหน้าที่ดูแลรับส่งลูกสาวสองคนไปโรงเรียนอยู่เสมอ ครอบครัว Daykin แต่ในปี 2016 ที่ผ่านมาเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เนื่องจากตอนนั้น Helen จำเป็นต้องเดินทางไปทำงานที่กรุงลอนดอน แต่สามีของเธอเกิดหัวใจวายเสียชีวิตไปในตอนกลางคืน ทำให้ลูกสาวทั้งสองคนต้องอยู่กับร่างไร้วิญญาณของคุณพ่อทั้งวัน เนื่องจากเด็กสาวทั้งสองคนไม่ได้ไปโรงเรียนในวันถัดมา ทางโรงเรียนจึงได้พยายามติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ของคุณพ่อแล้ว แต่คุณพ่อเสียชีวิตไปแล้วจึงไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้ จากคำบอกเล่าของสำนักข่าว ฺBBC แต่พอทางโรงเรียนพอติดต่อคุณพ่อไม่ได้ พวกเขาก็ไม่ได้พยายามติดต่อไปหาคุณแม่แต่อย่างใด คุณแม่ Helen Daykin และลูกสาวสองคนปัจจุบันอายุ 3 และ 5 ปี ตอนหัวค่ำของวันเดียวกันกับที่เด็กสาวไม่ได้ไปโรงเรียน คุณยายของพวกเธอก็ผ่านมาเห็นว่าไฟในบ้านนั้นมืดสนิทและยังมีนมวางทิ้งไว้หน้าประตูด้วย เธอสังหรณ์ใจว่าคงจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นจึงโทรแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบดูให้ หลังจากตำรวจบุกข้าไปในบ้านจึงพบว่าคุณพ่อเสียชีวิตอยู่ในห้องนอนตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ทางด้านคุณแม่นั้นได้โทรหาสามีตั้งแต่ตอนเช้าวันนั้นแล้ว แต่คิดว่าเขาคงไม่รับสายเพราะส่งลูกไปโรงเรียนอยู่ และทางโรงเรียนก็ไม่ได้ติดต่ออะไรมาจึงคิดว่าทุกอย่างปกติดี แต่เมื่อเวลา 20.00 น. ตอนที่เธอกำลังนั่งรถไฟอยู่…
-
สองหนุ่มบุกรุกฟาร์มผึ้ง ทำลายรวงผึ้งซะราบเป็นหน้ากลอง ผึ้งกว่าครึ่งล้านตายเรียบ
ผึ้งอาจจะเป็นสัตว์ที่หลายคนหวาดกลัว เพราะหากถูกมันต่อยเข้าล่ะก็จะรู้สึกเจ็บแสบไม่ใช่น้อยเลย แต่จริงๆ แล้วผึ้งเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อโลกนี้มาก มันมีส่วนช่วยในการผลิตพืชผักกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลกเลยทีเดียว แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ผึ้งมีจำนวนลดน้อยลงมากเนื่องจากมีการใช้ยาฆ่าแมลง นอกจากนี้แหล่งที่อยู่อาศัยของมันยังถูกบุกรุกด้วย และเหตุการณ์ที่เด็กชายสองคนบุกไปฆ่าผึ้งในฟาร์มกว่า 500,000 ตัวก็คงมีผลไม่น้อยเลยทีเดียว เหตุเกิดที่ฟาร์มเลี้ยงผึ้ง Wild Hill Honey ในเมือง Sioux รัฐไอโอวา ประเทศสหรัฐอเมริกา มีเด็กชาย 2 คนอายุ 12 ปีและ 13 ปีบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ของฟาร์มผึ้งแห่งนี้ จากนั้นทั้งคู่ก็ทำลายข้าวของทุกอย่างที่ขวางหน้า รวมไปถึงรวงผึ้งด้วย จากนั้นตำรวจจึงจับกุมเด็กชายทั้งสองคน นาย Engelhardt เจ้าของฟาร์มเล่าว่า “พวกเขาทำลายรวงผึ้งทุกรวงทิ้งราบคาบ ทำให้ผึ้งทุกตัวของเราตาย เหมือนกับว่าพวกเขาทำให้เราหมดตัวเลยทีเดียว” และในเมื่อรวงผึ้งพังทลายลงไปหมด ก็เป็นเหตุให้ผึ้งที่เลี้ยงไว้ไม่มีที่อยู่ด้วย ในหน้าหนาวแบบนี้ผึ้งก็ย่อมจะทนลมหนาวไม่ได้เป็นธรรมดา ผึ้งที่มีอยู่กว่าครึ่งล้านตัวในฟาร์มจึงตายเกลี้ยง นอกจากนี้ข้าวของอุปกรณ์ในฟาร์มก็เสียหายเช่นกัน ดังที่เจ้าของบอกว่า “พวกเขาบุกเข้ามาในห้องเก็บอุปกรณ์ของเรา แล้วก็เอาอุปกรณ์ทุกอย่างโยนทิ้งไว้กลางหิมะ จากนั้นก็ทำลายทุกสิ่งที่เห็น ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาขโมยอะไร แต่ข้าวของทุกอย่างนั้นพังหมดเลย” เมื่อคำนวณมูลค่าความเสียจากการถูกบุกรุกครั้งนี้แล้วรวมเป็นมูลค่ามากถึง 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ (เกือบ 2…
-
ความแตกต่างของเด็กในเกาหลีเหนือ กับเด็กทั่วโลก มาดูกันว่าวิถีชิวิตเด็กที่นั่นเป็นอย่างไร
วิถีชีวิตของคนในประเทศที่ปิดกั้นตัวอย่างเองอย่างเกาหลีเหนือนั้น เป็นสิ่งที่เรามีข้อมูลอยู่น้อยนิดมาก นานๆ ทีเราจะได้มีโอกาสเห็นภาพหรือข่าวเกี่ยวกับเรื่องในประเทศเกาหลีเหนือสักครั้ง นอกจากนี้เกาหลีเหนือยังปิดกั้นข้อมูลส่วนใหญ่จากภายนอกไม่ให้คนในประเทศรู้อีกด้วย แล้วในประเทศปิดแบบนี้เด็กเล็กจะใช้ชีวิตกันอย่างไรบ้าง วันนี้เราได้ลองรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็กในเกาหลีเหนือมาให้เพื่อนๆ แล้ว ไปดูกันว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตต่างกับเด็กในประเทศอื่นอย่างไรบ้าง 1.ทารกเกิดใหม่ก็มีชั้นวรรณะแล้ว เด็กทารกที่เกิดในประเทศเกาหลีเหนือจะได้รับชั้นวรรณะ หรือที่คนเกาหลีเหนือเรียกว่า ‘songbun‘ โดยวรรณะจะแบ่งเป็น 3 ชนชั้นก็คือ มีความจงรักภักดี เป็นกลาง และเป็นภัยต่อสังคม ซึ่งชั้นวรรณะที่ทารกได้รับนั้นจะเป็นแบบเดียวกับพ่อแม่ของตัวเอง และชั้นวรรณะเหล่านี้จะใช้เป็นตัวกำหนดว่าเด็กคนนั้นสามารถเข้าเรียนที่ไหนได้บ้าง และทำงานแบบไหนได้บ้าง เหมือนว่าเกิดมาก็ถูกกำหนดทางเดินชีวิตไว้เลย 2.เด็กทุกคนที่นี่ต้องเข้าเรียนชั้นอนุบาล เด็กๆ สามารถเลือกเข้าไปเรียนในชั้นอนุบาลได้ตั้งแต่อายุ 4 ปี แต่ถ้าหากว่าอายุ 5 ปีแล้วทางรัฐบาลจะบังคับให้เด็กทุกคนไปเรียนตามกฎหมาย นอกจากนี้เด็กทุกคนที่ต้องการเรียนหนังสือต้องเคยเข้าเรียนชั้นอนุบาลมาก่อนเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปีด้วย ไม่สามารถข้ามไปเรียนชั้นประถมได้ทันทีเลย 3.เด็กกำพร้าบางคนก็มีพ่อแม่เหมือนคนทั่วไป สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าในประเทศเกาหลีไม่ได้รับเลี้ยงเฉพาะเด็กที่ไม่ทราบว่าพ่อแม่เป็นใครเท่านั้น หากว่าพ่อแม่คู่ไหนมีเงินไม่พอจะเลี้ยงลูก ก็สามารถส่งลูกไปให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้เช่นกัน นอกจากนี้ถ้าเกิดรับเลี้ยงเด็กไปแล้วแต่เงินไม่พอเลี้ยงทีหลัง ก็ส่งตัวกลับมาได้ด้วย 4.กิจกรรมและการเรียนการสอนล้วนแฝงไปด้วยแนวคิดรักชาติ ในโรงเรียนของเกาหลีเหนือ มักจะมีโปสเตอร์เกี่ยวกับการเมืองติดไว้ตามทางเดินให้เด็กๆ ได้ดูกัน และเวลาที่จัดปาร์ตี้ให้กับเด็กๆ แทนที่จะได้แต่งตัวเป็นตัวการ์ตูนที่ชอบ…
-
หญิงสาววัย 59 ปี ให้กำเนิดลูกชายคนแรก จากที่ต้องใช้ความพยายามนานถึง 40 ปี!!!
การมีลูกนั้นคงเป็นความฝันของใครหลายๆ คน ในการเติมเต็มและเป็นสายสัมพันธ์ให้กับคำว่า “ครอบครัว” นี่คือเรื่องราวของ Akosua Budu Amoka หญิงสาวอเมริกันวัย 59 ปี ซึ่งประสบความสำเร็จให้กำเนิดลูกชายคนแรก หลังจากที่ต้องรอคอยมานานถึง 40 ปีเต็ม ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เธอก็คลอดเด็กชายน้ำหนัก 3.2 กิโลกรัมได้เป็นผลสำเร็จ ที่โรงพยาบาล Bellevue Woman’s Center ในรัฐนิวยอร์ก ย้อนกลับไปตั้งแต่แต่งงานกับสามี เธอก็พยายามมีลูกมาโดยตลอด แต่ก็ได้หยุดไปช่วงหนึ่งเมื่อเธอพบว่าท่อนำไข่ของเธอนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถมีลูกได้ตามธรรมชาติ จนเมื่อปีที่แล้วหลังจากที่เธอศึกษาเรื่องราวของหญิงสาวจากประเทศกานาที่ได้ให้กำเนิดแฝดสาม ภายหลังการรักษาภาวะเจริญพันธุ์ ทำให้เธอเข้ารับการทำเด็กหลอดแก้วของคลินิกในเขตเมือง Albany โดยใช้สเปิร์มของสามีเธอและไข่ที่มีผู้บริจาคข้ามา โดยเด็กที่เกิดมานั้นได้ใช้ชื่อเดียวกับพ่อของเขา Isaiah Somuah Anim Budu ได้ให้สัมภาษณ์กับ Times Union ว่า “เราไม่ได้หลับกันมากนัก แต่ฉันก็ยินดีและคิดว่าลูกรู้แล้วว่านี่คือเสียงของพวกเรา บางครั้งที่ลูกร้องไห้สามีของฉันจะโทรมาให้ลูกได้ยินเสียง ทำให้หยุดร้องและหลับไปในที่สุด” จากข้อมูลการบันทึกของ Centers for Disease Control and Prevention ระบุว่า มีเด็กที่คลอดจากแม่ที่อายุเกิน 50 ปีเพียง…
-
8 เหตุผลที่ว่าทำไมเด็กๆ ในยุคเก่าไม่น่าจะรอดชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ (แต่ก็ยังผ่านมาได้)
เคยลองนึกย้อนไปในสมัยอดีตกาลโน้นของตัวกันบ้างรึเปล่า ในยุคที่ยังไม่มีอะไรมากมายเท่าปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเป็นปกติ ไม่มีพิษไม่มีภัย แตกต่างจากเด็กสมัยนี้ที่ว่าถึงแม้จะมีความปลอดภัยในชีวิตสูง แต่ก็ยังดูอันตรายอยู่ดี แต่ก่อนเนี่ยนะ เหมียวจะบอกให้ การที่เด็กๆ จะออกไปเล่นข้างนอก นั้นก็มีแค่สนามเด็กเล่นในหมู่บ้านเท่านั้นแหละ แถมแต่ละอย่างก็เป็นเหล็กทั้งนั้น อันตรายยิ่งกว่าสมัยนี้เยอะ ของเล่นอะไรต่อมิอะไรก็ดูโหดร้ายไปในสมัยนี้เลย ดังเช่นตัวอย่างต่อไปนี้ 1. ลูกดอกเหล็กแห่งความตาย ในอดีตถือว่าเป็นของเล่นที่ฮิตมากๆ เลยนะ แต่ว่าการเล่นที่ถูกต้องก็คือปาให้เข้าเป้าที่แขวนเอาไว้ หรือไม่ก็ปาลงเป้าที่อยู่บนพื้น สำหรับเด็กๆ ไม่ปาเข้าเป้าหรอก เอามาปาใส่กันเอง ซึ่งในช่วงที่มันกำลังฮิตๆ มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บประมาณ 7,000 ราย และถึงตาย 4 ราย จนกระทั่งกลายเป็นของผิดกฏหมายไปซะงั้น 2. เข็มขัดนิรภัยที่มีก็เหมือนไม่มี ในยุคเก่าแก่ ระบบความปลอดภัยบนรถยนต์ยังมีไม่มากนัก จนกระทั่งการมาถึงของเข็มขัดนิรภัยที่ไว้ใช้ลดความเสี่ยงของผู้ขับขี่เมื่อเกิดอุบัติเหตุ และในตอนนั้นก็ยังไม่มีที่นั่งสำหรับเด็กด้วย ซึ่งไม่มีใครสนใจที่จะคาดเข็มขัดนิรภัยเลย 3. สนามเด็กเล่นที่ร้อนระอุจนแทบละลาย สมัยก่อนสวรรค์ของเด็กๆ ก็คงจะเป็นสนามเด็กเล่นนี่แหละ แต่ทว่าในยุคโน้นเครื่องเล่นแต่ละอย่างเป็นเหล็กหมดเลย ลองคิดสภาพที่มันตากแดดทั้งวัน แล้วเด็กไปจับเล่นดูสิ มันจะร้อนมากแค่ไหน แถมเครื่องเล่นสไลด์เดอร์อันโปรดปรานของเด็กๆ ก็ไม่ได้มีเบาะทรายหรือพื้นนิ่มๆ…