Tag: Great Big Story
-
เปลี่ยนอพาร์ตเมนต์ให้กลายเป็นโบสถ์แห่งเพลงแจ๊สทุกวันอาทิตย์ น่าสนใจจนคนทั่วโลกต้องมา!!
ถ้าเกิดคุณเป็นคนที่ชอบเพลงแจ๊ส อยากจะฟังสดๆ ในบรรยากาศสุดอบอุ่น แต่ไม่รู้ว่าจะไปหาสถานที่แบบนี้ที่ไหนดี วันนี้ #เหมียวมู่ทู่ ขอเสนออพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนโบสถ์แห่งเพลงแจ๊สทุกวันอาทิตย์ และเล่นเพลงกันให้ฟังสดๆ ดูกันแบบฟรีๆ เกริ่นมาขนาดนี้หลายคนก็อาจจะยังสงสัยว่า เอ๊ะแล้วมันน่าสนใจตรงไหน? มันมีการรวมตัวของเหล่านักดนตรีแจ๊ซอันโด่งดังอย่างนั้นเหรอ? คำตอบคือไม่!! เพียงแต่ว่าอพาร์ตเมนต์ที่ว่านี้จะเป็นสถานที่รวบควมคนชอบเพลงแจ๊สจากทั่วทุกมุมโลก ทุกครั้งที่มาคุณจะได้พบเจอกับคนใหม่ๆ บทเพลงที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา พร้อมกับบรรยากาศสุดอบอุ่นจากกลุ่มคนที่ชื่นชอบในเสียงเพลงเดียวกัน ไม่เกี่ยงชนชาติและสถานะ…เป็นไงฟังดูดีใช่ไหมล่ะ? แต่ละคนล้วนเป็นคนแปลกหน้าเพียงแต่รักในเสียงดนตรีเดียวกัน โบสถ์แจ๊สแห่งนี้ตั้งอยู่บนชั้น 3 ของอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในย่านฮาเล็ม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหานครนิวยอร์ก ในห้องพักเล็กๆ ของสองแม่ลูก Marjorie Eliot และ Rudel Drears ที่ชื่นชอบในเพลงแจ๊ส Rudel เล่าที่มาที่ไปของการเปลี่ยนห้องพักตัวเองให้กลายเป็นโบสถ์เพลงแจ๊สว่า เขาและแม่สูญเสียพี่ชายคนโตไปเมื่อ 24 ปีก่อนในวันอาทิตย์ ซึ่งมันก็ดันตรงกับวันไปโบสถ์คริสต์พอดี ส่วนการเล่นเพลงแจ๊สนั้นก็ทำไปเพื่อรำลึกถึงพี่ชายเท่านั้น จนกระทั่งทำไปทำมาคนที่ได้ยินก็ชอบและบอกกันปากต่อปากจนคนเริ่มเดินทางมาเรื่อยๆ เพื่อฟังบทเพลงแจ๊สของสองแม่ลูก แน่นอนว่าทุกคนที่มาก็จะได้รับการต้อนรับแบบครอบครัว มันทั้งอบอุ่นหัวใจและฟังเพลงสบายๆ ให้ความสุขอันล้นเหลือ ผู้คนชื่นชอบและยอมที่จะนั่งในห้องครัว ทางเดินหรือยืนดูการบรรเลงเพลงแจ๊ซในห้องแคบๆ แห่งนี้ หลายคนรู้สึกประทับใจ และบอกว่ามันเหมือนการได้ไปโบสถ์จริงๆ ได้ไปปลดปล่อยความเครียดพร้อมทำให้จิตใจสงบสุข เพียงแต่ใช้เพลงแจ๊สเป็นตัวช่วยเท่านั้น…
-
เสียงที่ไม่มีใครได้ยิน จากเด็กหนุ่มไร้กราม สู่เวทีชีวิตนักแต่งเพลงเพื่อความสุขของผู้คน
เคยคิดไหมว่าเด็กคนหนึ่งที่เกิดมาไม่มีกราม พูดไม่ได้กินข้าวปกติก็ไม่ได้จะสามารถก้าวเข้าสู่วงการดนตรีได้? ถ้าคุณไม่เคยคิดหรือไม่รู้ว่าคนแบบนี้อยู่ เชิญพบกับ Isaiah Acosta เด็กหนุ่มผู้เกิดมาไร้กรามแต่ไม่ไร้เสียงดนตรี… Isaiah Acosta เป็นเด็กหนุ่มวัย 17 ปี จากเมืองฟินิกซ์ รัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเขานั้นแตกต่างจากเด็กหนุ่มคนอื่นๆ ตรงที่เขาเกิดมาไม่มีฟันกรามข้างล่าง ซึ่งนั่นส่งผลให้เขาไม่สามารถพูดหรือกินได้ตามปกติ ในตอนแรกนั้นหมอบอกกับ Isaiah ว่าเขาไม่มีโอกาสที่จะรอดและมีชีวิตด้วยสภาพนี้ได้ แต่ถ้าเขารอดเขาก็จะเดินไม่ได้ ทว่าเด็กหนุ่มนั้นไม่ยอมแพ้และสู้กับชีวิตอันโหดร้ายของเขามาพร้อมแสดงให้หมอเห็นว่า เขาไม่ตายและเขาก็เดินได้สบายมาก แน่นอนว่าการเกิดมาในสภาพนี่้การใช้ชีวิตก็จะต้องลำบากว่าคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งจากสังคมรอบตัวของเขา หรือการใช้ชีวิตที่ยากลำบากก็ตาม ซึ่งเขาไม่ยอมแพ้ต่อมัน และด้วยความที่ Isaiah เป็นคนที่ชื่นชอบเสียงเพลงมากๆ โดยเฉพาะเพลงแรป ผนวกเข้ากับการที่เขาไม่ได้หูหนวกแต่อย่างใดทำให้เขาสามารถเข้าใจทำนองและจังหวะของเพลงได้ เขาจึงเริ่มหัดเขียนเพลง บทกวีและอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ตัวหนังสือก็เลยเป็นชีวิตของ Isaiah เขาใช้มันเพื่อบอกถึงชีวิตของเขาผ่านเพลงแรปที่เขาแต่งขึ้น แต่กลับกันในเมื่อเขาพูดไม่ได้ ก็หมายความว่าเขาร้องเพลงแรปที่แต่งขึ้นไม่ได้ ฉะนั้นเพลงที่เขาแต่งจึงไม่ถูกถ่ายทอดออกไป จนกระทั่งโชคก็นำพาให้เด็กหนุ่มผู้ไร้เสียงมาเจอกับ Trap House แรปเปอร์ชื่อดังของ West Coast ซึ่งทั้งคู่ได้ตัดสินใจทำงานร่วมกันโดยเด็กหนุ่มไร้เสียงเป็นผู้เขียนเนื้อเพลงขึ้นมา ส่วนแรปเปอร์ผู้มีเสียงเป็นเอกลักษณ์จะเป็นคนถ่ายทอดความในใจของเด็กหนุ่มออกมาเป็นบทเพลง …
-
ชายสูงอายุชาวดัตช์ ผู้ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตตามเก็บและส่งจดหมายในขวดกว่า 1,200 ฉบับ!!
แม้ปัจจุบันเวลาจะเปลี่ยนไป เทคโนโลยีการส่งข้อความจะว่องไวแค่ไหน ชายชาวดัตช์เจ้าของเรื่องนี้เขาก็ยังชื่นชอบในการส่งจดหมายผ่านขวดและปล่อยให้ลอยไปกับทะเลอยู่ดี… Wim Kruiswijk ชายชาวดัตช์วัย 68 ปีจากประเทศเนเธอร์แลนด์ผู้ค้นพบความชอบของตัวเองเมื่อปี 1983 โดยเรื่องราวมันเริ่มจากเขาบังเอิญไปเจอเข้ากับขวดลอยทะเลที่ภายในมีจดหมายจำนวน 3 ขวดจากบริเวณชายหาดแถวบ้านของเขาในเมือง Zandvoort ซึ่งหลังจากที่เขาได้อ่านจดหมายข้างในเขาก็คิดสนุก เลยตอบจดหมายทั้ง 3 ฉบับแล้วส่งกลับไปยังทะเลทันที แต่ที่แปลกคือเวลาผ่านไปเขากลับได้รับการตอบกลับจากจดหมายทั้งหมด!? และเมื่อมันเป็นแบบนั้น มันก็จุดประกายให้เขาเริ่มหันมาชอบที่จะตอบรวมถึงตามล่าหาจดหมายในขวด ซึ่งลุง Wim ก็ทำมันเรื่อยมาจนรู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไป 34 ปี แล้ว โดยนับรวมจดหมายในขวดที่เก็บได้ก็ราวๆ 1,200 ขวด เรียกว่าเยอะมากๆ เลยนะเนี่ย ลุง Wim ยังเล่าถึงประสบการณ์การออกไปเก็บขวดอีกว่า ทุกครั้งที่เขาออกไปที่ชายหาดแล้วเจอจดหมายในขวด ลุงแกจะไม่เปิดอ่านมันทันทีตรงนั้น แต่จะเก็บไว้ในกระเป๋าที่เตรียมจากนั้นค่อยนำมันกลับมาอ่านที่บ้าน เพื่อให้ตัวเองรู้สึกตื่นเต้นอีกครั้งหลังจากความตื่นเต้นครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อตอนเจอขวด เขาได้ให้เหตุผลในการสะสมและส่งต่อจดหมายในขวดของตัวเองว่า ความตื่นเต้นในการรอคอยจดหมายแต่ละฉบับ จะต้องใช้เวลาให้ขวดเดินทางไปถึงผู้รับ โดยมันอาจจะใช้เวลานานเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน หรืออาจจะเป็นปีเลยก็ได้ ซึ่งทุกครั้งที่ได้รับ เปิดอ่านและตอบกลับ มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่หาไม่ได้ในปัจจุบัน แต่ทีเด็ดที่สุดนั้นเขาได้บอกว่า “สิ่งที่ทำให้ผมชอบเขียนจดหมายคือ ทุกครั้งที่ผมคุยกับใครสักคนไม่ว่าจะบนโทรศัพท์หรือในชีวิตจริง ผมมักจะได้รับคำตอบแทบจะทันทีโดยไม่ต้องคาดหวังอะไรกับมัน …