Tag: social media

  • Edward Snowden: เฟซบุ๊กก็เป็นแค่บริษัทสอดส่องผู้ใช้ ที่เรียกตัวเองว่า “โซเชียลมีเดีย”

    Edward Snowden: เฟซบุ๊กก็เป็นแค่บริษัทสอดส่องผู้ใช้ ที่เรียกตัวเองว่า “โซเชียลมีเดีย”

    สื่อออนไลน์ในยุคปัจจุบันถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ไปแล้ว หากมองเพียงผิวเผินแล้วอาจจะคิดว่าเป็นเพียงแค่พื้นที่สาธารณะที่ให้อิสระแก่ผู้คน ในการนำเสนอหัวข้อต่างๆ และการแสดงความคิดเห็นที่มีต่อประเด็นนั้น แต่ทว่าในอีกแง่มุมหนึ่งของ Edward Snowden อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา ได้ออกมากล่าวผ่านแพลทฟอร์มทวิตเตอร์ เกี่ยวกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของสื่อโซเชียลมีเดียระดับโลกนั้น ไม่ได้เป็นไปตามที่เราคิดเท่าไหร่นัก…   Edward Snowden   นาย Snowden ได้กล่าวไว้ในทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า “ธุรกิจที่ทำเงินจากการเก็บและขายข้อมูลส่วนตัวนั้น จะถูกจำกัดความว่าเป็น ‘บริษัทสอดส่องและเฝ้าระวัง’… แต่การรีแบรนด์เพื่อเรียกตัวเองว่า ‘โซเชียลมีเดีย’ คือวิธีการลวงที่ประสบความสำเร็จที่สุด ตั้งแต่ครั้งที่กระทรวงการสงครามสหรัฐฯ เปลี่ยนชื่อมาเป็นกระทรวงกลาโหมสหรัฐ” “เฟซบุ๊กสามารถทำเงินได้ จากการใช้ประโยชน์และขายข้อมูลส่วนตัวรายบุคคลหลายล้านราย ซึ่งเป็นสิ่งที่นอกเหนือจากความสมัครใจของคุณ และพวกเขาก็ไม่ใช่เหยื่อ แต่เป็นพวกสมรู้ร่วมคิด”     การออกมาทวีตในครั้งนี้ของ Snowden เกิดขึ้นหลังจากที่ทางเฟซบุ๊กได้ทำการยุติบัญชีของ Cambridge Analytica บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลที่ทำงานด้านแคมเปญให้กับประธานาธิบดี Donald Trump และทางเฟซบุ๊กได้ออกมายืนยันว่าทำแค่เพียงยุติบัญชี แต่ไม่ได้ทำการลบข้อมูลที่ถูกแอบบันทึกออกไปอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งนับเป็นจำนวนข้อมูลของผู้ใช้ทั้งสิ้นกว่า 10 ล้านราย อันเป็นข้อมูลส่วนตัว รวมไปถึงเพื่อนและรายชื่อผู้ติดต่อ     ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Snowden ชี้เป้ามายังเฟซบุ๊กรวมไปถึงบริษัทอื่นๆ ที่ให้บริการพื้นที่โซเชียลมีเดียกับความชะล่าใจและปล่อยให้ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ต้องตกอยู่ในความเสี่ยง ในส่วนของบริษัท…

  • หนุ่มเสนอไอเดียสุดบ้าให้คนแปลกหน้าร่วมทำ ‘แซนวิชโลก’ ได้เพื่อนใหม่คนละฟากโลกเลย

    หนุ่มเสนอไอเดียสุดบ้าให้คนแปลกหน้าร่วมทำ ‘แซนวิชโลก’ ได้เพื่อนใหม่คนละฟากโลกเลย

    โซเชียลมีเดียเป็นดาบสองคมที่ให้ประโยชน์หรือโทษก็ขึ้นอยู่กับคนใช้งาน หากเล่นบ่อยจนเรียกว่าติดก็จะทำให้สุขภาพกายและจิตไม่ดีได้ แต่ถ้านำไปใช้หาความรู้หรือหาเพื่อนใหม่แต่พอดีก็จะใช้ประโยชน์จากมันได้เต็มที่ ชายอเมริกันคนนี้ก็ใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อเติมเต็มความต้องการของตัวเอง เขามีไอเดียที่อยากจะทำ ‘แซนวิชโลก’ ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ก็เลยติดต่อไปหาคนแปลกหน้าให้ช่วยกันทำมันขึ้นมา พอทำเสร็จมันก็ทำให้เขาได้รู้จักเพื่อนใหม่ และกลายเป็นกระแสไวรัลด้วย     Lee St. John ชายจากรัฐมิเนโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาจึงคิดอยากจะทำอะไรบางอย่างที่สุดยอดขึ้นมา ซึ่งสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขาก็คือการเอาโลกมาทำเป็นแซนวิชประกบ พอเกิดไอเดียนี้แล้วเขาก็เริ่มคิดที่จะหาคนที่จะมาช่วยให้ความต้องการของเขาเป็นจริงได้ หลังจากคิดอยู่นาน 4 ชั่วโมงเขาก็ติดต่อผ่านทางโซเชียลมีเดียไปหา Subash Luitel ชายแปลกหน้าจากประเทศอินเดีย     เขาส่งข้อความไปหา Luitel ว่า “หวัดดีพวก นายอยากมาทำแซนวิชโลกด้วยกันไหม … ฉันอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและนายก็อยู่ในประเทศอินเดีย ถ้าเราเอาขนมปังคนละแผ่นมาประกบลงบนพื้นพร้อมกัน เราก็จะได้แซนวิชโลกทันทีเลย ฉันรอจะทำมันมาตั้ง 4 ชั่วโมงแล้ว” หนุ่มอินเดียที่เพิ่งมีคนแปลกหน้าทักมาหาแล้วพูดเรื่อง ‘แซนวิชโลก’ ที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็เลยขอคำอธิบายเพิ่มเติมเพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งที่หนุ่มอเมริกันต้องการจะสื่อเลย     John จึงส่งรูปที่อธิบายภาพในหัวของเขาให้หนุ่มอินเดียดูอีกทีหนึ่ง ครั้งนี้หนุ่มอินเดียเข้าใจในความหมายของเขาแล้ว ว่าหนุ่มอเมริกันอยากจะให้เขาเอาแซนวิชไปวางไว้ที่พื้นประเทศอินเดียซึ่งอยู่คนละฟากโลกกับประเทศสหรัฐอเมริกา มันจะได้เหมือนกับว่าโลกอยู่กึ่งกลางแซนวิชคนละแผ่นของพวกเขานั่นเอง ไม่รู้ว่า Luitel คิดอะไรอยู่แต่เขาก็ร่วมทำแซนวิชโลกกับ John อย่างง่ายดาย ทั้งคู่จึงหยิบแซนวิชคนละแผ่นออกไปนอกบ้าน วางมันไว้บนพื้นแล้วถ่ายรูปส่งให้อีกฝ่ายดูว่าตัวเองได้ทำแซนวิชโลกเรียบร้อยแล้ว…

  • นักศึกษาผิวขาวจะไม่ทน ต้องป่าวประกาศ ‘ทวงคืนคนขาว’ เมื่อเห็นสาวผิวขาวจูบหนุ่มเอเชีย

    นักศึกษาผิวขาวจะไม่ทน ต้องป่าวประกาศ ‘ทวงคืนคนขาว’ เมื่อเห็นสาวผิวขาวจูบหนุ่มเอเชีย

    ในปัจจุบันที่โลกของเราพยายามจะเปิดรับความแตกต่างระหว่างบุคคลอย่างเท่าเทียม คนส่วนมากจึงต่อต้านแนวคิดการเหยียดเชื้อชาติ เหยียดสีผิว และการเหยียดเพศอีกด้วย ทว่าก็ยังมีคนส่วนหนึ่งที่ยังคงใช้ถ้อยคำดูถูกเหยียดเชื้อชาติอย่างโจ่งแจ้งอยู่ หนุ่มผู้ใช้เฟซบุ๊กคนนี้เองก็เช่นกัน เขาโจมตีคู่รักหญิงผิวขาวและชายเอเชียด้วยถ้อยคำรุนแรงบนเฟซบุ๊ก ทำให้ชาวเน็ตที่เห็นโพสต์นั้นพากันวิจารณ์เขายับเลย   โพสต์ในเฟซบุ๊กของหนุ่มผิวขาว   โพสต์ที่ว่านี้เขียนโดยหนุ่มที่ใช้ชื่อว่า Will Harrison เขาเขียนมันลงในกลุ่มเฟซบุ๊กของมหาวิทยาลัย University of California Irvine ที่ชื่อ UC Irvine (UCI) Class of 2020 ในโพสต์มีใจความว่า “ถึงสาวผิวขาวหน้าบ้านๆ ที่ผมเห็นเธอจูบกับหนุ่มน้อยเอเชียใกล้กับศูนย์นักศึกษาเมื่อวาน ไม่มีใครคิดว่าที่คุณทำอยู่มันเท่หรอกนะ แถมมันยังดูเหมือนคุณเสแสร้งแสดงเป็นพิเศษด้วย ใครๆ ก็รู้ว่าที่เธอคบกับหนุ่มน้อยชาวเอเชียคนนั้นเป็นเพราะว่าผู้ชายผิวขาวไม่มีใครอยากคบเธอต่างหาก แล้วก็อยากบอกกับหนุ่มน้อยเอเชียคนนั้นด้วยว่าถึงแกจะพยายามอย่างมากจนในที่สุดก็ได้คบกับสาวผิวขาวเสียที แต่สาวคนนั้นไม่ได้เซ็กซี่อะไรเลย เธอดูเหมือนพวกบ้าเห่อสตรีนิยมที่มีสีผมประหลาดแค่นั้นเอง”     “ในขณะเดียวกันสาวเอเชียน่ะก็ ‘ขึ้นชื่อ’ ว่าเป็นพวกบูชาผู้ชายผิวขาว ดูจากข้อมูลในแอปฯ หาคู่ก็รู้แล้ว แถมสถิติการแต่งงานของคนต่างสีผิวก็บอกแบบนั้นเหมือนกัน ลองแข่งกันเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ใน Tinder เป็นผู้ชายผิวขาวธรรมดาๆ ดูสิ แล้วมานับดูว่ามีสาวเอเชียอยากคุยกับพวกเธอมากแค่ไหน มันต้องเยอะพวกเธอตกใจมากแน่ๆ ยังไงซะก็ลองให้หนุ่มน้อยเอเชียคบกับสาวผิวขาวไปเถอะ คนเขารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าคบกันไม่ยาวหรอก” โพสต์นั้นหยาบคายมากเสียจนเมื่อผู้ดูแลกลุ่มเห็นแล้วต้องรีบลบทิ้งทันทีเลย แต่ก็ไม่ทันชาวเน็ตมือไวทั้งหลายหรอก พวกเขาเก็บภาพโพสต์ของหนุ่มผิวขาวเอาไว้ได้ทัน และเริ่มแชร์ลงโซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวางทันที พอโพสต์ถูกแชร์ไปคนก็เริ่มวิจารณ์หนุ่มคนนี้อย่างหนาหู…

  • เล่นเฟซบุ๊กบ่อยๆ ทันข่าวทันโลก แต่นี่คือ 7 เหตุผลจากนักจิตวิทยา ว่าคุณควรพักเล่นมันซะบ้าง!!

    เล่นเฟซบุ๊กบ่อยๆ ทันข่าวทันโลก แต่นี่คือ 7 เหตุผลจากนักจิตวิทยา ว่าคุณควรพักเล่นมันซะบ้าง!!

    ทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่ใช้งานโซเชี่ยลมีเดียยักษ์ใหญ่ชื่อดังอย่าง เฟซบุ๊ก หรอก เพราะมันทำให้เรื่องยุ่งยากในชีวิตเราง่ายไปเสียหมด อยากจะติดต่อพูดคุยกับเพื่อนก็ทำได้ในทันที หรือจะติดตามความเคลื่อนไหวของคนรู้จักก็ทำได้ไม่ยาก แม้แต่ซื้อขายของก็ยังทำกันบนเฟซบุ๊กเลย แต่ทุกสิ่งในโลกก็เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน มีข้อดีอยู่ในตัว ก็ต้องมีข้อเสียแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน ดังที่นักวิจัยท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า เฟซบุ๊กแฝงไปด้วยปัญหาด้านจิตวิทยา และปัญหาเหล่านี้ก็มองเห็นได้ยาก และปัญหาเหล่านี้จะทำให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กมีสุขภาพย่ำแย่ลง โดยตีเป็นปัญหาได้ 7 ข้อหลักๆ ดังนี้     1. เฟซบุ๊กทำให้คุณรู้สึกว่าชีวิตคุณไม่ดีเท่าคนอื่น นักจิตวิทยาด้านสังคม Leon Festinger ได้ทำการสังเกตผู้ใช้เฟซบุ๊กส่วนใหญ่ และพบว่าทุกคนมักจะทำการเปรียบเทียบชีวิตเพื่อนที่เห็นในเฟซบุ๊กกับชีวิตของตนเองอยู่เสมอและมักจะรู้สึกว่าตนเองมีชีวิตไม่ดีเท่าเพื่อนคนอื่นๆ เพราะส่วนมากพวกเขาจะโพสต์ภาพที่ได้ไปกินอาหารหรูๆ ภาพได้ไปเที่ยวต่างประเทศ และภาพตอนเกิดเรื่องดีๆ กับชีวิต 2. ข้อนี้เป็นผลต่อเนื่องกันจากข้อหนึ่ง คือเฟซบุ๊กทำให้คุณรู้สึกอิจฉาเรื่องดีๆ ของเพื่อนนั่นเอง โดยนักวิจัยได้ค้นพบว่าการได้เห็นเรื่องดีๆ ของคนอื่นผ่านทางการเลื่อนดูนิวฟี๊ดทำให้คุณเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นและอาจจะทำให้คุณรู้สึกเศร้าหรือหดหู่ได้     3. เฟซบุ๊กทำให้คุณเข้าใจผิดเกี่ยวกับความคิดเห็นของคนส่วนมาก นั่นเป็นเพราะเฟซบุ๊กมักจะนำเสนอเนื้อหาที่เราชอบติดตาม ซึ่งส่วนหนึ่งนับว่าเป็นความคิดเห็นและรสนิยมส่วนตัวของเราเอง และพอเราเห็นข้อมูลเหล่านี้บ่อยๆ แล้ว เราก็จะคิดว่าคนส่วนมากคิดเช่นนั้นเหมือนกัน 4. เฟซบุ๊กทำให้คุณรู้ความเป็นไปของคนที่คุณอยากลืม ซึ่งตัวอย่างที่ชัดที่สุดคงจะเป็นแฟนเก่านั่นแหละ เพราะเรามักจะเห็นภาพแฟนเก่าผ่านทางนิวฟี๊ด และแม้ว่าเราจะไม่ได้ติดตามเขาแล้วก็ตาม เราก็ยังมีโอกาสที่จะเข้าไปส่องดูเฟซบุ๊กของเขาอยู่ดีนั่นแหละ ซึ่งมันทำให้คุณตัดขาดจากเขาได้ยากยิ่งขึ้น     5. เฟซบุ๊กอาจทำให้คุณเกิดความอิจฉาแฟนก็ได้ นักวิจัยชี้ว่าหากเราดูเฟซบุ๊กของแฟนบ่อยๆละก็ เราก็จะเห็นว่ามีใครติดตามหรือกดไลค์แฟนเราอยู่บ่อยๆ ซึ่งอาจทำเราอิจฉา…

  • หนุ่มรับปากกับตำรวจ ถ้าโพสต์ได้ 1,000 แชร์ จะไปมอบตัว และเขาก็ทำที่สัญญาไว้จริงๆ

    หนุ่มรับปากกับตำรวจ ถ้าโพสต์ได้ 1,000 แชร์ จะไปมอบตัว และเขาก็ทำที่สัญญาไว้จริงๆ

    สื่อโซเชียลเน็ตเวิร์ค ในปัจจุบันมีประโยชน์อย่างมากในการช่วยงานของตำรวจ อย่างเช่นการแชร์เหตุการณ์หรือสถานที่ที่สามารถนำไปสู่การจับกุมได้ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าสื่อโซเชียลจะทำให้มันง่ายถึงขนาดที่ว่าผู้ร้ายเดินมามอบตัวด้วยตัวเองเลยทีเดียว ชายคนที่มีการกระทำดังกล่าวมีชื่อว่า Michael Martin Zaydel อายุ 21 ปี ชาวมิชิแกน หลังจากที่เขาโดนข้อหาเมาแล้วขับรถ เขาได้ท้าทายกรมตำรวจ Redford ว่าหากโพสต์ต่อไปของทางกรมมีคนแชร์โพสต์ดังกล่าวมากกว่า 1,000 ครั้งเขาจะยอมมอบตัวพร้อมทั้งซื้อโดนัทไปให้ตำรวจทั้งกรมเลย   โพสดังกล่าวที่ทำให้ชายคนนี้ถูกจับ   “ผมรู้สึกไม่กังวลเท่าไหร่ ถ้าโพสต์ต่อไปของกรมตำรวจถึง 1,000 แชร์ ผมจะยอมมอบตัวพร้อมซื้อโดนัทไปให้เลย นี่คือคำสัญญา นอกจากนั้นผมจะเก็บขยะบริเวณโรงเรียนให้อีกด้วย ถ้าแชร์กันถึงนะ”   หน้าตาของคุณพี่คนนี้   หลังจากพ่อหนุ่มคนนี้โพสต์ไป ดูเหมือนว่าชาวเน็ตจะอยากให้เขาไปมอบตัวมาก เพราะโพสต์ต่อมาของกรมตำรวจผู้แชร์กว่า 4,400 คนและคอมเม้นท์อีกกว่า 260 คอมเม้นท์   พอยอดแชร์ถึง พ่อหนุ่ม Zaydel ก็เข้ามอบตัวตามที่บอก แถมเอาโดนัทมาให้ตามสัญญาด้วย   ภาพโดนัทที่เขาได้นำมาให้   “เราต้องขอขอบคุณแก่ผู้ที่ติดตามโพสต์และกดแชร์ทุกคน เขาอาจจะมาหรือไม่มามอบตัวก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือเราได้เห็นความช่วยเหลือของผู้คนในสังคมที่อยากให้โลกนี้ดีขึ้น” ตัวแทนของกรมตำรวจได้กล่าวไว้บนเพจเฟซบุ๊ก โดย Zaydel โดนจำคุกเป็นเวลาหนึ่งคืน ก่อนที่จะไปพบผู้พิพากษาเพื่อพิจารณาความผิดของเขา ในตอนเช้าของวันถัดไป   อย่างน้อยก็มีสัจจะนะ ที่มา: dailymail

  • สาวช็อกเมื่อเห็นสภาพห้องเละราวกับเกิดคดีฆาตกรรม หลังปล่อยให้หนุ่มแคนาดามาเช่า

    สาวช็อกเมื่อเห็นสภาพห้องเละราวกับเกิดคดีฆาตกรรม หลังปล่อยให้หนุ่มแคนาดามาเช่า

    เมื่อกล่าวถึง Airbnb คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ค่อยรู้จักสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากคุณเป็นคนในแวดวงไอที แน่นอนว่าจะต้องร้องอ๋อ เพราะบริษัทดังกล่าวเป็นสตาร์ทอัพเกี่ยวกับการแบ่งปันที่พัก โดยให้ผู้คนที่มีบ้าน หรือห้องว่างสามารถเปิดให้ผู้อื่นมาเช่าได้ และถ้าหากคุณเป็นนักท่องเที่ยว ก็สามารถมองหาที่พักในราคาสบายกระเป๋าได้จาก Airbnb โดยไม่ต้องจองโรงแรมราคาแพงๆ อีกต่อไป     ล่าสุดวันที่ 5 กันยายน 2560 ทางสำนักข่าวเดลีเมล์มีรายงานว่า นี่อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของทาง Airbnb เลยก็ว่าได้ ภายหลังจากที่ Laurie Synakowski เจ้าของอพาร์ตเมนต์วัย 23 ปีจากปารีส ได้ให้ชายชาวแคนาดามาเช่าห้องพักของเธอเป็นเวลาสามสัปดาห์ โดยจองผ่านทาง Airbnb     แต่หลังจากที่เธอได้กลับไปยังอพาร์ตเมนต์นั่นทำให้เธอรู้สึกอึ้งและตกใจเป็นอย่างมาก เพราะ Laurie ได้พบว่าสภาพห้องเสียหายอย่างหนัก แถมยังเต็มไปด้วยขวดเหล้า รวมไปถึงคราบอุจจาระ และปัสสาวะอีกด้วย “ฉันรู้สึกตกใจและเสียใจมากที่ได้เห็นสภาพห้องหลังจากที่กลับมา ตอนนี้ห้องของฉันเต็มไปด้วยแมลง และมีกลิ่นเหม็นมาก” Laurie กล่าว นอกจากนี้ Laurie ยังได้เผยอีกว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับอพาร์ตเมนต์ของเธอนั้นต้องใช้เงินกว่า 10,000 ปอนด์ (หรือราวๆ 420,000 บาท)…