เรียกได้ว่ากำลังเป็นเรื่องราวที่เป็นกระแสแรงอย่างมากบนโซเชียลตอนนี้เลยครับ
กับชีวิตของ หมอกฤตไท ธนสมบัติกุล อายุ 28 ปี ที่ได้ออกมาเล่าเรื่องว่า มีสุขภาพแข็งแรง มีการงานมั่นคง มีอนาคตที่สดใสรออยู่
ก่อนที่จะไปตรวจพบว่าตัวเองเป็น “มะเร็งปอดระยะสุดท้าย”
เชื่อว่านี่คือเรื่องราวที่อ่านจบแล้วคุณจะตระหนักถึงชีวิตและสุขภาพของทั้งตัวเองและคนใกล้ตัวมากขึ้น ลองมาติดตามเรื่องราวกันครับ…
โพสต์แรกจากหมอกฤตไท ที่ได้สร้างเพจ “สู้ดิวะ” ขึ้นมาเล่าเรื่องของตัวเอง
สวัสดีครับ
วันนี้จะขอแนะนำตัวเองนิดนึงครับ
ผมชื่อ กฤตไท ธนสมบัติกุล ครับ ปัจจุบันอายุ 28 ปีครับ
ผมจะพยายามเล่าให้กระชับที่สุดละกันนะครับ
ผมเกิดในครอบครัวใหญ่ครับ นึกภาพครอบครัวที่มีอากงอาม่า กับหลานๆหลายสิบชีวิตครับ
ผมมีชีวิตวัยเด็กที่มีความสุขมากๆครับ กินเก่ง เล่นเก่ง พูดเยอะ เป็นเด็กน้อยตาตี่อ้วนกลมที่อารมณ์ดีมากๆครับ
แต่ชีวิตผมก็มีจุดเปลี่ยนตรงช่วงมัธยมต้น ครอบครัวผมมีปัญหานิดหน่อย พ่อแม่ผมท่านได้ตัดสินใจอยู่ห่างกัน ซึ่งดีต่อท่านทั้งสองจริงๆ แต่ในมุมของผม มันทำให้ผมต้องเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะต้องอยู่กับแม่และน้องสาว ผมต้องเป็นผู้ใหญ่ทันที
ซึ่งมองย้อนกลับไป ผมขอบคุณเหตุการณ์ครั้งนั้นมากๆที่ทำให้ผมได้อ่านหนังสือ ได้พัฒนาความคิดและทัศนคติตัวเองขึ้นมา ถ้าไม่ได้เจอเรื่องนี้ ผมคงยังเป็นคุณชาย เป็นเด็กมัธยมธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
ผมเป็นคนที่มีเพื่อนฝูงมากมายตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม คือต้องบอกว่าผมให้ความสำคัญกับเรื่องเพื่อนมากกว่าเรื่องเรียน
ผมได้มีช่วงชีวิต 6 ปีที่ทรงคุณค่าที่สุดในโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ผม OSK 131 ครับ
แน่นอนครับ ขึ้นชื่อว่าสวนกุหลาบ ผมมีความเป็นสวนกุหลาบอย่างที่สุด และผมมีเพื่อนสวนกุหลาบที่เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมผมได้ถูกปลูกฝังให้เป็นสุภาพบุรุษสวนกุหลาบ รักเพื่อน เคารพพี่ นับถือครู กตัญญูพ่อแม่ ดูแลน้อง
หลังจากจบสวนกุหลาบ ผมได้สอบติด คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รุ่น 56 ครับ
ชีวิตได้ขึ้นเหนือในวัย 18 ปี เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตที่สำคัญเลยครับ จากเด็กกรุงเทพ ย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเชียงใหม่
โอเค ผมเรียนหมอ 6 ปีครบตามเวลา ไม่ขาดไม่เกินครับ เนื่องจากว่าผมมาเชียงใหม่คนเดียว จึงได้มามีเพื่อนใหม่ที่นี่ทั้งหมด ผมโคตรรักพวกมันเลย เพื่อนชาวเหนือ พาผมไปกินอาหารแปลกๆ เรียนรู้วัฒนธรรม คำเมือง การใช้ชีวิต ซึ่งทุกอย่างมันมาผ่านบาสเกตบอลครับ ผมเป็นนักบาสเกตบอลของคณะแพทย์เชียงใหม่ที่ยิ่งใหญ่ครับ เรื่องราวเยอะมากๆ
คราวนี้ผมเรียนจบหมอละ ก็เรียนต่อเฉพาะทางต่ออีก 3 ปีทันทีเลยครับ
ผมเลือกสาขา เวชศาสตร์ครอบครัว (Family Medicine) เป็นแพทย์ใช้ทุนร่วมกับเรียนต่อเฉพาะทางที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ครับ เรื่องแฟมเมดเองก็เล่าได้อีกหนึ่งตอนใหญ่ๆเหมือนกันครับ ทำไมคนแบบผม ที่หยิบคนมาสิบคนก็ไม่มีใครบอกว่าผมดูเป็นหมอแฟมเมด แต่ทำไมผมถึงเลือกเรียนสาขานี้ และ ที่สำคัญคือทำไม ผมถึงเลือกที่เมื่อเรียนจบแล้ว ผมกลับไม่ได้ปฏิบัติงานในฐานะหมอแฟมเมด แต่กลับย้ายมาทำงานสายระบาดวิทยาคลินิก น่าสนุกใช่ไหมครับ ไว้เรามาว่ากันครับ
ระหว่างที่เรียนเฉพาะทาง ผมก็ฟิตมากพอที่จะไปศึกษา สาขาเฉพาะทางอีกอันหนึ่งคือ ระบาดวิทยาคลินิก (Clinical Epidemiology and Clinical Statistic) สาขาที่เรียกได้ว่าหลายคนในประเทศไทยอาจจะยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ แต่หลักๆคือเป็นศาสตร์ของการตอบโจทย์ ตอบปัญหาของหมอในกระบวนการรักษาคนไข้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และสถิติ สร้างผลงานวิจัยเพื่อช่วยให้กระบวนการดูแลคนไข้นั้นดีขึ้นครับ
และผมยังฟิตกว่านั้น ด้วยการเรียนปริญญาโท วิทยาการข้อมูล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (Data Science) อีกใบพร้อมกันไปเลย สนุกมากครับ ปัจจุบันก็เรียนจบด้วยดี กำลังจะรับปริญญาแล้วครับ ได้เรียนรู้เรื่องข้อมูล เรื่องแนวคิดทางธุรกิจ การแก้ปัญหาด้วยแนวคิดทาง DS และวิธีการจัดการกับข้อมูลต่างๆ เพื่อพร้อมรับมือกับโลกอนาคตครับ
โอเคครับ ปัจจุบัน ผ่านไป 3 ปี ผมจบแพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ครอบครัว และปริญญาโทวิทยาการข้อมูล
ผมได้บรรจุเป็นอาจารย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์คลินิก ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผมทำงานได้สองเดือนแล้วครับ ผมค่อนข้างมีทักษะในเรื่องการเล่าเรื่องและการสอนครับ
เรากำลังสร้างทีมกัน สร้างทีม CE (clinical epidemiology) เชียงใหม่ กับสุดยอดอาจารย์แห่งยุคและทีมงานคุณภาพ
ในส่วนของการใช้ชีวิตเอง ผมชอบออกกำลังกายมากครับ เนื่องจากเป็นนักกีฬาด้วย เข้ายิมด้วย ดูแลสุขภาพดีมากๆ ครับ ให้ความสำคัญกับอาหารและการนอนหลับ ชอบอ่านหนังสือ ฟัง podcast ลงทุน ตามสไตล์วัยรุ่น productive ครับ
ชีวิตในวัย 28 ปี หลังจากผ่านการลงทุนในตัวเองมาอย่างหนักหน่วง ผมได้เริ่มวิ่งตามความฝันอย่างเต็มที่
เดินตามแผนที่วางไว้ได้อย่างงดงาม
ผมกำลังจะแต่งงาน กำลังจะซื้อบ้านแล้ว… ผมก็เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายครับ
จากนั้นหมอก็มาอัปเดตต่อด้วยโพสต์ที่ 2
นี่คือเอกซเรย์ปอดของผมครับ
อย่างที่บอกว่าผมสุขภาพมากๆ การเอกซเรย์ครั้งล่าสุดของผมจึงเป็นปี 2019 ตอนสมัยที่ตรวจสุขภาพก่อนเริ่มงาน
จากรูปจะเห็นชัดเจนครับว่าปอดด้านขวาผมหายไปครึ่งหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วยการมีก้อนขนาดใหญ่ถึง 8 เซนติเมตร และมีน้ำในปอดร่วมด้วย
นอกจากนี้เรายังจะเห็น ก้อนเล็กๆในปอดด้านซ้ายด้วยอีกหลายก้อน และในด้านขวาบนเอง ก็มีก้อนเล็กๆเช่นกันครับเอกซเรย์แบบนี้
ผมน่าจะหายใจเหนื่อยแม้แต่นั่งคุย หรือ ขึ้นไปสอนด้วยซ้ำแต่ผมบอกเลยว่า วันก่อนจะเอกซเรย์นี้ ผมยังไปเล่นบาสในระดับนักกีฬาได้อยู่เลยครับ แต่โอเคผมรู้สึกว่าช่วงหนึ่งเดือนมานี้ ผมฟิตลดลงจริงๆ แต่ก็ยังฟิตพอจะเล่นกับน้องนักกีฬาบาสหนุ่มๆได้
เหลือจริงๆครับ
ทั้งเอกซเรย์ และ ความฟิตของผมก้อนขนาดใหญ่แบบนี้ มีการกระจายไปปอดอีกฝั่ง และมีน้ำในปอดแบบนี้
ในฐานะหมอแล้ว ผมทราบดีครับ
มันไม่ใช่การติดเชื้อ และมันไม่ใช่โรคธรรมดา
ถึงจะคิดว่าตัวเองอายุน้อยและไม่มีปัจจัยเสี่ยงแต่เอกซเรย์แบบนี้
มันคือมะเร็งปอดระยะลุกลามครับซึ่งจากฟิล์มนี้เรายังบอกไม่ได้ว่ามันกระจายไปที่อวัยวะอื่นอีกไหม สมอง กระดูก หัวใจ ต่อมน้ำเหลือง ตับ ไต
ชั่วโมงนี้ มันสามารถกระจายไปได้หมดเลยครับ
ไว้ผมจะมาเล่าเรื่องการวินิจฉัยของผมแบบละเอียดในโพสต์ต่อๆไปครับ
และนี่คือโพสต์ล่าสุดที่หมอได้เล่าถึงอาการของมะเร็งของตัวเอง รวมถึงบอกจุดประสงค์ในการทำเพจขึ้นมา
สวัสดีครับ
ผมเป็นมะเร็งปอดครับSquamous cell carcinoma of the lung with multiple brain, pleural, and lung to lung metastasis
มันจะเรียกว่า ระยะสุดท้ายก็ได้ครับ ระยะลุกลาม ระยะที่เรียกได้ว่าไม่สามารถผ่าตัดเอาก้อนออกแล้วก็หายขาดได้อย่างแน่นอนครับ
กำลังบรรจุเป็นอาจารย์แพทย์ได้ 2 เดือน ก็ได้ตั๋วเลื่อนขั้นเป็นอาจารย์ใหญ่เฉยเลย
สงสัยใช่ไหมครับ เพราะผมก็สงสัยเหมือนกัน
ผมมั่นใจในสุขภาพร่างกายตัวเองมากๆนะ ทั้งเข้ายิมสม่ำเสมอ เล่นกีฬา กินอาหารคลีน ไม่สูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็น้อยมากๆ ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เครียด นอน 4 ทุ่ม ตื่น 6 โมงเช้ามาอ่านหนังสือ ทำวิจัย สอนนักศึกษา ไม่ได้เข้าเวรอดนอนอะไรเลย การงานอาชีพที่เรียกได้ว่ากำลังไปได้สวย เพิ่งจะอดทนเรียนแพทย์เฉพาะทางจบ พร้อมกับปริญญาโทวิทยาการข้อมูลอีกใบ เพื่อมาทำงานเป็นอาจารย์แพทย์ตามที่ฝันไว้
แล้วผมก็เริ่มไอครับ
ไอมีเสมหะบ้าง ไอแห้งบ้าง ตรวจโควิดแล้วก็ไม่เจอ ตอนนั้นไปรักษาไปทางกรดไหลย้อนก่อน
ผ่านไป 2 เดือน ระหว่างนี้ผมสามารถเล่นกีฬาได้ตามปกติ ทำงาน ใช้ชีวิตได้ตามปกติเลยจริงๆ มีแค่เรื่องไอที่ไม่หายสักทีจึงตัดสินใจไปตรวจจริงๆจัง เอาจริงๆคือเพิ่งจะมีเวลาว่างจากงานด้วยครับ
3 ตุลาคม 2565 เป็นวันที่ไม่มีตารางงานเลย จึงถือโอกาสไปตรวจสุขภาพหน่อย
Chest X-ray บอกผมว่า ชีวิตผมจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เป็นฟิล์มที่ปอดข้างขวาผมเหลืออยู่ครึ่งเดียว ลักษณะเหมือนมีก้อนกับน้ำอยู่ในปอดด้านขวา และปอดด้านซ้ายก็มีก้อนเล็กๆเต็มไปหมด
จังหวะนี้ผมบอกเลยนะ
คุณจะไม่คิดถึงงานของคุณเลย ผมว่าผมเป็นคนบ้างานคนหนึ่งเลยแหละ แต่ ณ ตอนนั้นผม ไม่มีเรื่องงานเหลือในหัวเลยคุณจะไม่มีความคิดเลยว่าอยากทำงานให้มากกว่านี้ อยากใช้เวลาในออฟฟิศให้นานกว่านี้สักนิด
ถึงจะคิดว่า อายุเราน้อย ไม่มีปัจจัยเสี่ยงอะไรเลย สุขภาพโคตรแข็งแรง แล้วเอาจริงก็คิดว่าผมไม่ใช่คนทำบาปเยอะอะไรนะ
แต่
หลังจากผ่านการตรวจทุกอย่างมาแล้ว ทั้งเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ผ่าตัดเข้าไปเพื่อไปเอาชิ้นเนื้อมาตรวจ ตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สมอง ผลมันก็คือผมเป็นมะเร็งปอดจริงๆ แถมเป็นระยะสุดท้ายด้วย ตัวก้อนหลักขนาดเกือบ 8 cm ที่ปอดด้านขวา นอกจากนี้ตัวมะเร็งยังมีการกระจายไปที่เยื่อหุ้มปอด และปอดข้างซ้ายอีกหลายจุด ที่สำคัญคือ มันกระจายไปที่สมองถึง 6 ก้อนด้วยกัน
แต่ละก้อนก็ใหญ่ซะด้วย โชคดีที่ผมไม่มีอาการทางสมองอะไร ทั้งที่ตำแหน่งที่มันกระจายไป สามารถทำให้ผม แขนขาอ่อนแรง ชา เดินไม่ตรง ทรงตัวไม่ได้ หรือแม้แต่เสียการมองเห็นไปเลย
อย่างไรก็ตามผมได้รับการรักษาที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้แล้วครับ ขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านจากใจจริงครับที่ให้ความช่วยเหลือผมมากขนาดนี้ ทั้งการ
ผ่าตัด การได้รับ chemotherapy Immunotherapy และได้รับการฉายแสงที่ศรีษะทันทีที่เจอก้อน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ยอดเยี่ยมและรวดเร็วแบบนี้ผมอาจจะไม่สามารถมานั่งเขียนสเตตัสนี้แล้วก็ได้ครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ
รวมถึงประกันด้วยครับ ผมโชคดีที่ได้ทำประกันสุขภาพโรคร้ายแรงไว้ ตอนทำคิดแค่ว่าจะเอาไว้ไปผ่าไส้ติ่งที่เอกชน ถึงตอนนี้ประกันจะยังไม่อนุมัติ ยังอยู่ในกระบวนการสืบค้นข้อมูล ซึ่งมันก็เข้าใจได้ครับ ผมเป็นหมอ อายุน้อย ทำไมถึงเลือกประกันนี้ แล้วเป็นเร็วขนาดนี้ แต่ผมอยากจะบอกประกันเลยว่า ผมเนี่ยวางแผนชีวิตไว้เยอะมาก และก่อนหน้านี้ผมก็แข็งแรงมากๆ อนุมัติให้ผมเถอะ ผมไม่ได้ตุกติกครับ สำหรับคนที่ยังไม่มีประกันสุขภาพ ผมแนะนำครับ ถ้าคนแบบผมเป็นมะเร็งได้ ทุกคนมีโอกาสเป็นได้จริงๆครับ โลกเราตอนนี้มันไม่ปกติครับ ทั้งมลภาวะ อากาศ น้ำ รังสีต่างๆ ยีนส์เรามันพร้อมกลายพันธ์ครับ
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมเป็นคนที่เชื่อสุดหัวใจว่า ถ้าเรามีเป้าหมายและวางแผน พยายามทุ่มเท อดทน มันจะได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการได้ ผมเชื่อว่าเราสามารถควบคุมชีวิตเราได้ พัฒนาตัวเอง ดูแลสุขภาพ อ่านหนังสือ ลงทุน ใช้ชีวิตให้ยอดเยี่ยมมาเสมอ
มันเลยทำให้ในมือผมมีการ์ดดีๆมากมายเลยครับ
ผมมีสุขภาพที่โคตรแข็งแรง มีการงานที่โคตรมั่นคงและมีอนาคตสดใส ผมมีสังคมและความสัมพันธ์ที่อบอุ่นมากๆ รายล้อมไปด้วยผู้คนที่สุดยอดและน่ารัก ผมกล้าพูดว่าผมมีแต่คนรักมากกว่าคนเกลียด อาจเพราะผมใช้ชีวิตด้วยคติคือว่า ทุกคนที่ได้มาเจอและรู้จักผม เขาจะต้องรู้สึกว่าโชคดีจังที่ได้รู้จักกับผม ผมทำแบบนั้นมาตลอด และตอนนี้ผมมีการ์ดเหล่านั้น ผมลงทุนมาตลอดเดินไปตามแผนเกษียณได้อย่างสบายๆ ผมกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด ผมกำลังจะสร้างบ้านในฝันของเรา
แล้ว
ผมก็จั่วได้การ์ด ที่ชื่อว่า มะเร็งระยะสุดท้าย
การ์ดที่ถึงผมจะไม่อยากได้ แต่ผมก็มีมันอยู่ในมือ
เป็นวันที่ตระหนักว่าจริงๆแล้ว มนุษย์เรามันโคตรเปราะบางเลยครับ
มันเหมือนโลกทั้งใบของเราแตกสลายลงไปต่อหน้าเลยนะครับ แผนชีวิตที่วางมาทั้งหมด พังลง ต่อหน้าต่อตาเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตอนที่ได้ chemo หรือได้ยาอะไรเข้าไปแล้วร่างกายจะเป็นยังไง ฉายแสงที่หัวด้วยรังสีเข้มข้น จะเกิดผลข้างเคียงอะไรไหม จะเดินได้อยู่ไหม จะมองเห็นอยู่ไหม จะกินข้าวได้อยู่ไหม จะยังจำทุกคนได้ไหม จะยังเป็นตัวของตัวเองแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน
ผมก็ได้กลายเป็นคนที่มีเวลาชีวิตจำกัดขึ้นมาทันที
ไม่ว่าผมจะตอบสนองกับยาดีแค่ไหน หรือผมจะแข็งแรงแค่ไหน ผมคงไม่ได้แก่ตายแน่ๆ
เวลาจำกัดแค่ไหนเหรอครับ
ก็อาจจะหลักเดือน หกเดือน หนึ่งปี สองปี ถ้าโชคดีหน่อยก็อาจจะห้าปี
ผมไม่รู้จริงๆว่าโลกจะให้เวลากับผมเท่าไร ผมไม่สามารถพยายามอะไรได้เลย ทำได้แค่ภาวนาให้ยาตอบสนอง ให้โรคสงบ ให้ไม่มีผลข้างเคียงอะไรเกิดขึ้น ภาวนา ให้มีชีวิตอยู่อย่างปกติไปได้อีกสักวัน หรืออีกสักเดือน
แต่คุณเชื่อไหม
ผมไม่เสียดายชีวิตที่ผ่านมาเลยนะ
ผมมีช่วงชีวิตที่ผ่านมาที่โคตรดี ดีแบบไม่มีอะไรเสียใจ ไม่มีอะไรที่อยากย้อนกลับไปทำเลย แปลว่าที่ผ่านมาใช้ชีวิตมาได้น่าพอใจมากๆเลยแหละ คือ ไม่ได้รู้สึกว่า รู้งี้ทำแบบนั้นตอนนั้นดีกว่า หรือย้อนกลับไปเปลี่ยนทางเดินชีวิตอะไรเลย ไม่ได้อยากไปเที่ยวรอบโลก ไม่ได้อยากขับ supercar ไม่ได้อยากมีอะไรที่มากไปกว่าที่ชีวิตตอนนี้มีอยู่เลย ผมมีชีวิตที่ดีมากแล้วจริงๆ
28 ปีที่ผ่านมาของผม มันยอดเยี่ยมและมีคุณค่ามากพอที่จะเรียกว่าชีวิตที่มีความหมายแล้ว
ผมและพีมใช้เวลาหนึ่งเดือน ไปกับการรักษาทั้งสารรังสี ยาสลบ การผ่าตัด ยากระตุ้นภูมิ เคมีบำบัด รังสีรักษา รวมถึงยา molnupiravir (ใช่ครับ หลังได้คีโม ผมติดโควิด ลูกรักพระเจ้าไหมละ) และตั้งหลักชีวิตใหม่ เพื่อกลับมามองว่าผมจะเล่นการ์ดในมือนี้ต่อไปยังไง
การ์ดมะเร็งในมือนี้ เมื่อมันมาอยู่ในมือผม เพลย์ต่อไปที่ผมจะเล่น คือการฝากบางอย่างไว้ให้กับโลกที่อาจจะไม่ได้น่ารักกับผมเท่าไร
ผมได้รับโอกาสที่จะถ่ายทอดสิ่งที่ผมได้ตกตะกอนมาตลอดชีวิตผม สิ่งที่ได้เรียนรู้ มุมมองการใช้ชีวิต ความเชื่อ ความฝัน ความประทับใจ
รวมถึงเรื่องราวที่ผมอยากจะฝากไว้กับโลกนี้ ทั้งช่วงอารมณ์อ่อนไหว และเข้มแข็ง เผื่อถ้าวันหนึ่งที่ผมไม่อยู่แล้ว ตัวตนของผม จะยังอยู่ตลอดไป
ผมจะยังได้เป็นอาจารย์ จะยังได้มีลูกศิษย์ ที่เติบโต ที่ได้เรียนรู้จากผมอยู่
มันคงจะดีมากๆถ้าการที่ชีวิตที่สั้นลงของผมสามารถเป็นกำลังใจ เป็นพลังให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อ
ผมและเพื่อนรักของผม
จึงมีความตั้งใจที่จะสร้างเพจนี้ขึ้นมา
เพื่อส่งต่อสิ่งเหล่านี้ครับ
ณ ตอนที่เขียนอยู่นี้ เรื่องราวนี้ก็ได้ถูกแชร์ต่อไปมากกว่า 100,000 แชร์แล้ว กลายเป็นเรื่องที่ทัชใจชาวเน็ตอย่างมาก
ใครที่อยากให้กำลังใจหมอกฤตไท ก็เข้าไปที่เพจ “สู้ดิวะ” กันได้เลยตามลิงก์ด้านล่างนี้ครับ
– https://www.facebook.com/ktlivethelife/
ที่มา : สู้ดิวะ