จากกรณีที่มีเครื่องบินรบมิก-29 บินล้ำชายแดนไทยมาที่ อ.พบพระ จ.ตาก 4-5 กิโลเมตร แล้วอ้อมยิงจรวดใส่ชนกลุ่มน้อย 4 รอบ เป็นเวลาราว 15 นาที
ทำเอาชาวบ้านในละแวกแตกตื่นจนโรงเรียนต้องกดสัญญาณเตือนให้เด็กเข้าหลุมหลบภัยและหยุดเรียนฉุกเฉินทันที แต่เจ้าหน้าที่ทหารไทยในพื้นที่ได้แค่ยืนมองโดยทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีเครื่องบินออกไปป้องกันน่านฟ้า
จนล่าสุดวันนี้ นายกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาบอกว่าทางเมียนมาร์ได้ขอโทษแล้ว ไม่ได้ตั้งใจรุกล้ำ แต่ต้องตีวงเลี้ยวเข้ามานั้น
ทำให้ล่าสุด นายรัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตไทย ได้โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador Returns” ตั้งข้อสงสัยไปถึงกองทัพและทางรัฐบาล
พร้อมระบุว่านี่คือความล้มเหลวในด้านการป้องกันประเทศอย่างชัดเจน
โพสต์เต็มๆ เอาไว้ดังนี้ว่า…
“เก่งกับลาซาด้า เจอพม่าแล้วหงอย? /
ผู้แทนพิเศษด้านพม่าที่กระทรวงต่างประเทศตั้งมานั้นทำอะไรบ้าง?
ได้อ่านรายงานข่าวเมื่อวานนี้เรื่องพม่าส่งเครื่องบินรบรุกล้ำดินแดนไทยเข้ามาถึงห้ากิโลเมตรนานร่วมสิบห้านาทีเพื่อบินวกเข้าไปโจมตีกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า ที่ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนไทย ลูกเด็กเล็กแดงต้องหนีหลบภัยกันจ้าละหวั่น (ที่ก่อนหน้าก็มีรายงานข่าวการสู้รบจากฝั่งพม่าที่กระทบและสร้างความเสียหายทรัพย์สินและการทำมาหากินอย่างต่อเนื่อง) ก็มีหลายคำถามเกิดขึ้นที่ล้วนแต่บ่งชี้ถึงความล้มเหลวของทั้งด้านการป้องกันประเทศและโยบายของไทยที่มีต่อพม่าอย่างชัดแจ้ง
จากการชี้แจงของโฆษก ทอ. ที่ออกมายืนยันว่า “เครื่องบิน F 16 ของไทยขึ้นบินถึงที่หมายภายใน 5-10 นาที ชี้เครื่องบินรบเมียนมาไม่เป็นภัยคุกคาม เพราะไม่ได้พุ่งปักหัวเข้ามาในเขตไทย แต่ได้ใช้อาวุธกับชนกลุ่มน้อย แล้วม้วนตัวออก – ทางกองทัพอากาศได้เฝ้าระวัง และติดตามอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง จากการวิเคราะห์และดูจากสถานการณ์ ไม่พบว่าจะมีการบินเข้ามาในลักษณะของภัยคุกคาม เพราะเจตนาไม่ได้พุ่งตรงปักหัวมาทางทางเรา เพราะหากว่าเขายังไม่ล้ำแดน เข้ามาเราก็ยังไม่สามารถปฏิบัติการใดๆ ได้ เพราะจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อกัน”
ยิ่งฟังดูเป็นการแก้ตัวที่คือการยอมรับโดยปริยายในความล้มเหลวของการป้องกันประเทศนะครับ
คือถ้าในจอเรดาร์ก็เห็นอยู่แล้วว่ามีเครื่องบินรบพม่าบินวนประชิดชายแดนอยู่นานขนาดนั้นที่จะรุกล้ำเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้ ก็ยังปล่อยให้เขารุกล้ำเข้ามาได้อีก โดยไม่คิดทำอะไรก่อนหน้า แทนที่จะส่งเครื่องบินของเราขึ้นไปเป็นเชิงป้องปรามแต่แรก ถ้าเขายังบินวนได้ เราบินในเขตเราเองไม่ได้หรือ? ต้องรอให้เขาบุกเข้ามาก่อนหรือ?
แล้วจะมาบอกว่าดูแล้วไม่คุกคาม แต่นี่มันเป็นเรื่องอธิปไตยและความปลอดภัยชีวิตทรัพย์สินคนไทยนะครับ มันไม่มีความสำคัญเลยหรืออย่างไร?
การแถลงแบบนี้ก็เท่ากับยอมรับเองถึงการปล่อยปละละเลย ความหละหลวมในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันประเทศชาติ
และที่อ้างกลัวกระทบความสัมพันธ์อะไรนั่นคือตลกมาก ก็แล้วทางทหารพม่าเขากลัวหรือเกรงใจเราบ้างไหมล่ะครับ?
หรือว่าเก่งแต่กับลาซาด้าแต่เจอพม่าแล้วหงอย?
ในส่วนของด้านนโยบายต่างประเทศของไทยต่อพม่านั้น สิ่งนี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ถามว่าที่ตั้งผู้แทนพิเศษอะไรมานั่น ที่ไปคุยกับเขามา ฝ่ายพม่าเขาเกรงใจ ยินยอมลดความรุนแรง หยุดยิงหรือยุติการสู้รบอย่างที่เป็นมติของอาเซียนที่ร้องขอบ้างไหม? และต่อความรุนแรงที่มีผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชนไทยตามชายแดนทุกวันนี้มีท่าทีลดลงหรือเพิ่มขึ้นกันแน่ จนเขารุกล้ำอธิปไตยของเราอย่างจงใจและชัดแจ้งแบบนี้?
และช่วยตอบให้ชัดๆทีครับว่า นโยบายไทยต่อพม่าทุกวันนี้มัน serve ปกป้องส่งเสริมผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนไทยอย่างไร??
ก่อนหน้านี้ก็เห็นคนของกระทรวงต่างประเทศออกมาบอกว่าการ engage มีปฏิสัมพันธ์กับรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าเป็นเรื่องจำเป็น ซึ่งผมอยากจะเรียนว่ากับคนที่สั่งการให้เข่นฆ่าประชาชนตนเองอย่างโหดร้ายทารุณ เช่นเผาคนทั้งเป็น ฆ่าไม่เว้นแม้แต่เด็กและผู้หญิงก็ตาม คนส่วนใหญ่ในโลกเขามีแต่รุมประนามความชั่วช้าและไม่อยากเข้าไปเกลือกกลั้วด้วย
ถามว่าคนเช่นนี้เขาจะมาเคารพกฎเกณฑ์คำพูดความถูกต้องอะไรไหม?
นอกเสียจากจะเป็นคนที่มีความคิดและจิตใจคล้ายกัน จัดเป็นคนประเภทเดียวกัน ถึงจะได้คอยเข้าใจและเห็นใจเขานะครับ”
จากนั้นเจ้าตัวก็คอมเมนต์ต่อในโพสต์อีกว่า “ถ้านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ก็ยุบไปเถิดครับกองทัพทั้งหมด มีให้เปลืองภาษีทำไม?”
ที่มา :
– https://www.facebook.com/thealternativeambassadorreturns/posts/175874461576195