เรื่องราวของนักร้องผู้โด่งดัง Britney Spears กับการฟ้องร้องต่อศาลให้ Jamie Spears พ่อแท้ๆ ของเธอยุติการเป็นผู้พิทักษ์ยังคงดำเนินมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปลายปี 2020 มาจนถึงตอนนี้
อ่านข่าว: สรุปมหากาพย์การถูกจองจำของ Britney Spears จนแฟนๆ เรียกร้องให้ศาลปลดปล่อยเธอ
แม้ว่าจะมีกระแสเรียกร้องจากชาวเน็ตให้ปลดปล่อย Britney ออกจากการจองจำนี้ แต่ศาลก็ยังคงปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลงผู้พิทักษ์ตามคำร้องของเธออยู่ดี
ซึ่งล่าสุด ทางสื่อต่างประเทศได้มีการปล่อยบันทึกคำให้การของ Britney ที่เธอให้การผ่านทางโทรศัพท์ออกสู่โลกออนไลน์แล้วค่ะ คำให้การนี้เป็นคำให้การแบบเต็มๆ ครั้งแรกและมีความยาวมากกว่า 24 นาทีเลยทีเดียว
วันนี้ #เหมียวนานะ จึงอยากจะมาสรุปคำให้การทั้งหมด 24 นาทีของเธอให้ทุกคนอ่านในบทความนี้กันเลย
โดยภาพรวมของคำให้การนี้ Britney ได้เล่าให้กับทางอัยการฟังว่าเธอต้องการชีวิตของเธอคืน รวมถึงเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่ถูกคุณพ่อกระทำมาตลอด 13 ปี จนกลายเป็นบาดแผลในจิตใจของเธอ
Britney ได้หยิบยกเหตุการณ์ในปี 2018 ขึ้นมา ในตอนนั้นเธอต้องออกทัวร์ในอเมริกาเหนือและยุโรป ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เธอไม่พร้อมออกทัวร์เลยสักนิดเดียว
แต่ในตอนนั้นเองทางทีมจัดการของ Britney ได้ทำการข่มขู่เธอว่า “หากไม่ออกทัวร์ก็จะทำการยื่นฟ้องร้อง” เธอจึงยอมอย่างไม่เต็มใจ
Britney ต้องฝึกซ้อมอย่างหนัก เพราะเธอต้องกำกับและออกแบบท่าเต้นเธอจึงต้องสอนแดนเซอร์เองทั้งหมด ครั้งหนึ่งเธอเคยล้มป่วย แต่ก็ถูกบังคับให้ขึ้นแสดง ทำให้เธอพยายามต่อต้านการออกทัวร์มากขึ้น
จากนั้นเหล่าทีมงานก็เรียกประชุมกัน พร้อมบอกกับทีมแพทย์ประจำตัวของ Britney ว่าเธอไม่ยอมให้ความร่วมมือ ไปจนถึงไม่ยอมกินยาตามที่หมอสั่ง
“เขาบอกฉันว่าฉันไม่กินยา ซึ่งมันฟังดูโง่เง่ามาก ฉันอยู่กับยาตัวเดิมทุกเช้าเป็นเวลา 8 ปี มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด”
Britney ต้องการพักผ่อนจากการซ้อมทัวร์ที่หนักเกินไปจนทำให้เกิดความเครียด เธอจึงปฏิเสธที่จะทำทัวร์ต่อ
แต่ทว่า 3 วันต่อมา แพทย์ได้สั่งยาลิเทียม (ยากล่อมประสาทสำหรับผู้ป่วยจิตเวช) เป็นยาตัวใหม่และแรงจนทำให้ Britney ที่ไม่เคยทานมาก่อนเกิดอาการมึนเมา
เธอโดนบังคับให้กินยาเป็นเวลา 1 เดือน โดยมีพยาบาลมากถึง 6 คนมาดูแล และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้าน Britney ไม่มีที่พึ่งใดแม้กระทั่งครอบครัวของตัวเอง เพราะครอบครัวของเธอไม่ต่อต้านอะไร แถมยังสนับสนุนคำแนะนำของคุณพ่อด้วย
Britney โดนส่งไปยังบ้านหลังเล็กๆ ในเบเวอร์ลีฮิลส์ และต้องจ่ายค่าใช้จ่ายด้วยเงินของตัวเองถึง 60,000 เหรียญ ต่อเดือน บังคับให้ Britney ทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ หากต่อต้านก็จะยึดทุกอย่างทั้งโทรศัพท์ เงินสด พาสปอร์ตและบัตรเครดิต
เธอโดนขังอย่างโดดเดี่ยวในบ้านหลังเล็กๆ อยู่กับคนดูแลและพยาบาล 24 ชั่วโมง ไม่มีเวลาส่วนตัว แม้กระทั่งตอนเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ฉันร้องไห้กับโทรศัพท์นานเป็นชั่วโมง และเขาชอบทุกวินาทีที่ได้ยินมัน อำนาจการควบคุมที่เขามีมันเหนือกว่าฉัน เขาชอบที่ได้ควบคุมและทำร้ายลูกสาวของเขา 100,000% เขารักที่จะทำมัน”
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ หาก Britney ไม่ทำงาน 10 ชั่วโมงต่อวัน และ 7 วันต่อสัปดาห์ เธอจะไม่มีโอกาสได้เจอลูกๆ และแฟนของเธอ แน่นอนว่าเธอไม่รู้เกี่ยวกับตารางงานต่างๆ ของเธอก็เลยแม้แต่น้อย
นอกจากนี้เธอยังไม่สามารถแต่งงานหรือมีลูกได้ตามที่เธอต้องการ เธอมี IUD (ห่วงอนามัยคุมกำเนิด) อยู่ในร่างกายและต้องการจะไปหาหมอเพื่อเอามันออก แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำมัน
“ฉันโกหกและบอกกับทั้งโลกว่าฉันสบายดีและมีความสุข นั่นคือคำโกหก ฉันแค่อยากบอกว่าฉันพอแล้ว เพราะฉันทั้งสะเทือนใจและบอบช้ำ ฉันนอนไม่หลับ โกรธ ซึมเศร้าและร้องไห้ทุกวัน”
เหตุผลที่ Britney ออกมาพูดตอนนี้ก็เพราะว่าคำให้การของเธอไม่ได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังจากศาลแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย เพราะเป็นศาลที่สนิทและเคารพคุณพ่อของเธอ รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมเธอในอดีต
“เหตุใดฉันถึงต้องถูกคุกคามโดยพ่อผู้ให้กำเนิดและผู้คนในองค์กรที่ควบคุมชีวิตฉัน พวกเขาปฏิบัติต่อฉันราวกับทาส ลงโทษให้ฉันรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น คำพูดของฉันไม่มีความหมายเหมือนที่พวกเขาไม่เคยทำอะไรให้ฉันเลย”
Britney กล่าวปิดท้ายกับอัยการว่า “ฉันสมควรที่จะได้ใช้ชีวิต ฉันทำงานมาทั้งชีวิตและควรพักสัก 2-3 ปี ฉันอยากทำในสิ่งที่ฉันต้องการจะทำ ฉันรู้สึกเหมือนมีที่พึ่งที่นี่และโล่งใจที่ได้คุยกับคุณในวันนี้
แต่ฉันหวังว่าจะได้คุยโทรศัพท์กับคุณตลอดไป เพราะเมื่อฉันต้องวางสายคุณฉันจะได้ยินตัวเองพูดว่า ‘ไม่ ไม่ ไม่’ แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกถูกกักขังและถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว ฉันสมควรได้รับสิทธิเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ด้วยการมีลูก ครอบครัว และอื่นๆ อีกมากมาย”
นี่คือการสรุปคำให้การทั้งหมดของ Britney ค่ะ รู้สึกเห็นใจเธอจริงๆ ที่ต้องเผชิญเรื่องราวนี้มานานกว่า 13 ปี…
เรียบเรียงโดย #เหมียวนานะ
ที่มา: variety