หลายคนคงเห็นเรื่องราวของถูกจองจำของศิลปินสาว Britney Spears ผ่านสื่อกันมาตลอด ซึ่งในตอนนี้เรื่องราวมหากาพย์ที่เปรียบเสมือนนิยายได้เดินทางมาสู่บทสรุปแล้ว
หลังจากในวันที่ 12 สิงหาคม 2021 คุณพ่อ Jamie Spears ออกมายื่นเอกสารลาออกจากการเป็นผู้พิทักษ์ แต่ถึงอย่างนั้นหลายคนก็คงมีคำถามว่า “เรื่องราวมันเป็นอย่างไร? ทำไมเธอถึงต้องมีผู้พิทักษ์?” ใช่ไหมล่ะ
วันนี้ #เหมียวนานะ เลยขอพาทุกคนมาสรุปเรื่องราวมหากาพย์นี้กันเลยดีกว่า
จุดเริ่มต้นของการถูกจองจำ
จุดเริ่มต้นทั้งหมดเกิดขึ้นในปี 2007 เป็นช่วงเวลาที่ Britney เสียศูนย์หลังจากที่หย่ากับอดีตสามีหนุ่ม Kevin Federline และต้องสูญเสียสิทธิในการเลี้ยงลูกทั้ง 2 คนให้กับเขา
Britney ไม่ได้เสียแค่สิทธิเลี้ยงดูเท่านั้น เพราะเธอยังต้องจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูให้กับสามีเป็นจำนวนเงินที่มากถึง 3 ล้านดอลลาร์ต่อปี อีกด้วย
ในตอนนั้นสภาพจิตใจของเธอบอบช้ำมากค่ะ แถมยังโดนเหล่าปาปารัซซี่ตามติดชีวิตสุดๆ จนทำให้มีแต่ข่าวแปลกๆ เกี่ยวกับเธอมากมายปล่อยออกมามากมาย ทั้งโกนหัวตัวเอง เอาร่มไล่ฟาดปาปารัซซี่ และถูกหามเข้าโรงพยาบาลเพื่อประเมินสภาพจิตใจ
จนในปี 2008 ศาลได้ตัดสินให้ Britney จัดอยู่ในประเภทบุคคลที่ไม่สามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญต่างๆ ได้และต้องมี ‘ผู้พิทักษ์’ คอยดูแล โดยผู้พิทักษ์มีสิทธิในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตของเธอ ทั้งเรื่องงาน ทรัพย์สิน การเงิน ไปจนถึงการแพทย์ต่างๆ
ซึ่งศาลได้มอบหมายให้ Jamie Spears พ่อแท้ๆ ของ Britney มารับตำแหน่งนี้
ในช่วงนั้นชีวิตของ Britney เริ่มเข้าที่เข้าทาง แม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องสภาพจิตใจแต่เธอก็ยังออกผลงานอยู่เรื่อยๆ และเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตเป็นว่าเล่น (เผลอๆ บ่อยกว่าศิลปินคนอื่นเสียด้วยซ้ำ) แน่นอนว่าชีวิตของเธอมีคุณพ่อคอยดูแลในทุกเรื่อง
การเปลี่ยนผู้พิทักษ์ชั่วคราว
ในปี 2013 Britney เดินสายทัวร์ที่มีชื่อว่า Piece of Me ที่ยาวนานกว่า 4 ปี โดยทัวร์นี้ตามตารางจะเสร็จสิ้นลงในปี 2017 และหมดสัญญากับค่ายเดิม ซึ่งเธอเคยกล่าวเอาไว้ว่าหลังจากนั้นจะขอพักผ่อน รักษาสภาพจิตใจและไม่ขอรับงานอีก (ถึงอย่างนั้นในปี 2018 เธอก็จัดทัวร์ต่ออยู่ดี)
แต่ทว่าทางคุณพ่อและทีมงานได้จัดการต่อสัญญาทันทีและประกาศทัวร์ชุดใหม่อย่าง Domination โดยทัวร์นี้มีกำหนดการรอบแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 แต่กลับประกาศยกเลิกในเดือนมกราคม 2019
และเหตุผลที่ยกเลิกคือในตอนนั้นคุณพ่อ Jamie ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ใหญ่และหนักมากจนเกือบจะเสียชีวิตค่ะ จึงทำให้ Britney ต้องยกเลิกการแสดงเพื่อใช้เวลากับครอบครัวและทำการคืนเงินค่าตั๋วให้กับผู้ชม
ในระหว่างนั้นศาลได้มอบอำนาจให้ผู้จัดการของ Britney อย่าง Jodi Montgomery มาเป็นผู้พิทักษ์ชั่วคราว
การกลับไปบำบัดจิตใจอีกครั้ง
ไม่นานคุณพ่อ Jamie ก็หายป่วยเป็นปกติและเตรียมกลับมารับหน้าที่ผู้พิทักษ์ต่อ
แต่แล้วในเดือนเมษายนปี 2020 จู่ๆ Britney ก็ออกมาประกาศว่าตนกำลังกลับไปรักษาในสถานบริการรักษาผู้ป่วยทางจิตอีกครั้ง ตอนนั้น Britney ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมาก
แน่นอนว่าแฟนคลับไม่อยู่เฉย เพราะเรื่องราวมันแปลกขึ้นทุกที จนเกิดการสืบสาวราวเรื่องและพบว่าคุณพ่อคือต้นเหตุของหลายๆ เรื่องในชีวิตของ Britney
การเล็งเป้ามาที่คุณพ่อผู้น่าสงสัย
หลังจากที่แฟนๆ เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด รวมถึงข่าวคราวต่างๆ ทำให้พวกเขาเริ่มคิดเห็นเอนเอียงไปในทางเดียวกับว่า
“คุณพ่อ Jamie เป็นคนบังคับให้ Britney รักษาอาการทางจิตโดยที่เธอไม่ได้เต็มใจ” นอกจากนี้ยังมีคนคิดอีกว่าการที่ Britney เข้าสถานบำบัดเพื่อเป็นการกักบริเวณเธออีกด้วย
ซึ่งหลายคนคาดเดาว่าเขาอาจจะอยู่เบื้องหลังในการตกลงกับเจ้าหน้าที่ทางกฎหมายและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ เพื่อให้ศาลตัดสินว่า Britney ยังคงเป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถอยู่และเขาจะได้คอยควบคุมด้านการเงินของเธอต่ออย่างเต็มที่
การสืบสาวราวเรื่องเผยไปถึงรายงานทรัพย์สินของ Britney ในปี 2019 ว่าเธอได้รับเงินรายได้มากถึง 59 ล้านดอลลาร์ แต่เธอใช้เงินต่อปีเพียง 1.1 ล้านดอลลาร์เท่านั้น (คาดว่าคุณพ่อเก็บเอาไว้หมดเลย)
ไม่พอ ในคลิปสารคดีของ Britney Spears เธอยังเคยเผยเอาไว้เป็นนัยๆ อีกว่า ชีวิตของตนเองเหมือนถูกบังคับและจองจำมาตลอด นั่นจึงทำให้กระแส #FreeBritney ผุดขึ้นมาบนโลกอินเทอร์เน็ตทันที
การยื่นขอศาลปลดปล่อยตัวเองจากการถูกจองจำ
เรื่องราวกลับปรากฏความจริงมากขึ้น หลังจากในเดือนพฤษภาคม 2020 Britney ได้ยื่นขอยกเลิกสิทธิในการควบคุมของผู้พิทักษ์ พร้อมกล่าวว่า “พ่อเป็นคนบังคับให้ใช้ยารักษาทั้งที่ยาไม่จำเป็นต่อร่างกายของเธอเลย”
ซึ่งคุณพ่อ Jamie ก็ยื่นเอกสารโต้แย้ง ทำให้คำร้องของ Britney ถูกปฏิเสธในเดือนพฤศจิกายน 2020 แน่นอนว่าระหว่างนั้นกระแส #FreeBritney ยิ่งเพิ่มขึ้น จนถึงขนาดที่มีแฟนคลับมาประท้วงหน้าศาลเลยทีเดียว
คำให้การที่ปล่อยออกสื่อเป็นครั้งแรก
Britney ยังคงสู้เพื่ออิสระของตนเอง เธอยื่นเอกสารขอยกเลิกสิทธิต่อและในเดือนมิถุนายน 2021 เธอก็กลายเป็นที่พูดถึงไปทั่วโลก หลังจากที่ออกมาให้การกับศาลว่าตนถูกบังคับและถูกข่มขู่มาตลอดเวลาที่พ่อดำรงตำแหน่งนี้
อ่านคำให้การ: สรุปคำให้การของ Britney Spears กรณีผู้พิทักษ์ กับ 13 ปีแห่งการถูกบังคับ – จองจำ – ข่มขู่
แต่ก็ไม่เป็นผล… สุดท้ายศาลก็ปฏิเสธคำร้องนั้นอีกครั้ง
แน่นอนค่ะว่า Britney ไม่ยอมแพ้ เธอยื่นคำร้องยกเลิกสิทธิผู้พิทักษ์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอพ่วงมากับคำร้องขอเปลี่ยนทนายอย่าง Samuel D. Ingham III
เนื่องจากทนายความคนนี้เป็นคนที่คุณพ่อแต่งตั้งให้เป็นทนายประจำตัว Britney ตั้งแต่ปี 2008 และเขาไม่เคยบอกสิทธิในส่วนของเธอเลย แต่ศาลยังไม่ทันได้ทำอะไร Samuel ก็ออกมาลาออกด้วยตัวเอง
ทำให้ Britney ได้สิทธิแต่งตั้งทนายความคนใหม่ที่มีชื่อว่า Mathew Rosengart ขึ้นมาแทน
การยอม (?) ลงจากตำแหน่งผู้พิทักษ์ของคุณพ่อ
บอกเลยค่ะว่าทนายความคนนี้ประสานงานและฟาดฝั่งคุณพ่อ Jamie แบบยับๆ จนสุดท้ายในวันที่ 12 สิงหาคม 2021 ทางทนายความของ Britney ได้ออกมาประกาศว่า
“เรายินดีที่จะบอกว่า นาย Spears และทนายของเขายอมยื่นลาออกจากตำแหน่งแล้ว”
ทนายความยังกล่าวอีกว่า “นี่คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่และเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสู่ความยุติธรรมของ Britney Spears”
ซึ่งทางด้านคุณพ่อ Jamie ไม่ได้ยอมรับข้อกล่าวหา แต่ที่เขาออกมาลาออกเพราะไม่อยากให้คดีความยืดเยื้อจนกระทบกับตัวลูกสาวไปมากกว่านี้
แต่คำตัดสินนี้ไม่ได้มีผลในทันที เพราะศาลยังไม่ได้ตัดสินและหลังจากนี้ยังต้องมีขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านผู้พิทักษ์ต่ออีก นอกจากนี้คุณพ่อและทนายความของเขายังให้ความร่วมมือในกระบวนการนี้อีกด้วย (คือดูเหมือนจะยอมลาออก แต่ก็ขอมีส่วนในเรื่องนี้อยู่ดี)
ในตอนนี้ Britney อยู่ภายใต้การดูแลของผู้จัดการ Jodi ที่คอยดูแลเรื่องการแพทย์และเรื่องส่วนตัวของเธอค่ะ
#เหมียวนานะ คิดว่าที่การเธอยังต้องมีผู้พิทักษ์อยู่ส่วนหนึ่งก็เพราะคำตัดสินของศาลในตอนแรกที่ให้เธอเป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถยังมีผลอยู่มาจนถึงตอนนี้
และอีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะปัญหาในเรื่องของจิตใจของเธอ (ไม่เคยเปิดเผยต่อสื่อ) ที่ยังไม่หายดี ซึ่งตรงนี้อยู่ที่แพทย์ประจำตัวของเธอค่ะ
นี่คือเรื่องราวทั้งหมดของชีวิตตลอด 13 ปี ของ Britney Spears แม้ว่าจะยังไม่จบแบบ 100% แต่ก็ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของอิสรภาพในครั้งนี้เลยก็ว่าได้ ต้องรอติดตามเรื่องนี้กันต่อไป…
เรียบเรียงโดย #เหมียวนานะ
ที่มา: reuters, variety, wikipedia, BritneyThailand