เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่องราวของชายชื่อ “โยชิเอะ ชิราโทริ” กันมาก่อนไหม?
แน่นอนว่าสำหรับคนต่างประเทศอย่างพวกเรา ชื่อนี้อาจจะไม่ใช่ชื่อที่เราคุ้นหูกันเท่าไหร่นัก แต่สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว ชายคนนี้นับว่าเป็นหนึ่งในตำนานที่มีชีวิตอยู่จริงเลยก็ว่าได้
แม้ว่าตำนานของเขา จะไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่ก็ตาม
นั่นเพราะโยชิเอะ ชิราโทรินั้น เป็นชายที่มีชื่อเสียงในด้านการหลบหนีจากคุกคุมขัง ผู้เป็นเจ้าของตำนานการหนีออกมาจากคุกที่ญี่ปุ่นถึง 4 แห่งด้วยตัวคนเดียว ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคุกที่อะบาชิริคุกที่ได้ชื่อว่าเข้มงวดที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย
เริ่มสงสัยกันแล้วใช่ไหมว่าชายคนนี้ หนีจากคุกอย่างต่อเนื่องถึง 4 แห่งได้อย่างไร เพราะวันนี้ เราจะไปชมเรื่องราวของชายคนนี้กัน
เรื่องราวก่อนเข้าคุก
โยชิเอะ ชิราโทริ เกิดในวันที่ 31 กรกฎาคม 1907 โดยเขาเติบโตมาในกลุ่มเพื่อนที่มีประวัติ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก และมักมีปัญหากับตำรวจมาตั้งแต่สมัยเด็ก
ดังนั้นเมื่อปี 1933 ในตอนที่ชิราโทริอายุได้ 26 ปี เขาจึงก็ถูกจับในข้อหาปล้นทรัพย์และฆาตกรรม ซึ่งเป็นคดีความสองคดีที่เจ้าตัวปฏิเสธมาตลอดว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำ
น่าเสียดายที่ในเวลานั้น ชิราโทริไม่มีหลักฐานมากพอที่จะยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง เขาจึงถูกตัดสินโทษให้จำคุกตลอดชีวิต ภายในเรือนจำที่อาโอโมริ
สถานที่ซึ่งตำนานของ “จอมเวทแห่งเรือนจำ” กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
การหลบหนีจากเรือนจำอาโอโมริ ด้วยลวดจากถังน้ำ
ชีวิตในเรือนจำของชิราโทรินั้น เป็นไปอย่างค่อนข้างยากลำบาก เพราะด้วยลักษณะระบบที่คุมขังในอดีต ทำให้เขาถูกปฏิบัติตัวด้วยอย่างเลวร้าย ไม่ว่าจะเป็นการทรมานหรือทำร้ายร่างกาย
แถมซ้ำร้ายอัยการในคดีของเขาก็ยังพยายามจะเพิ่มโทษประหารชีวิตให้กับชิราโทริอีก
เมื่อไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ชิราโทริ จึงตัดสินใจที่จะแหกคุกในปี 1936 โดยอาศัยช่วงเวลาราวๆ 15 นาทีที่เรือนจำเปลี่ยนทีมผู้คุม ในการใช้เศษลวดที่เขาได้มาจากถังตักน้ำที่นักโทษใช้อาบน้ำสะเดาะกุญแจมือและกุญแจห้องขังของตัวเองออก
ก่อนที่จะหลบหนีออกจากคุกไป โดยทิ้งเศษไม้ไว้ใต้ผ้าห่มที่นอนเพื่อหลอกผู้คุมว่าตัวเองนอนอยู่
การหลบหนีครั้งแรกของชิราโทริ กลับจบลงเร็วกว่าที่คิด เมื่อเขาถูกจับได้ระหว่างการพยายามขโมยยาจากโรงพยาบาลใกล้เคียง ซึ่งทำให้เขาถูกส่งตัวไปยังเรือนจำอะกิตะซึ่งมีการป้องกันดีขึ้นอีกขั้น
การหลบหนีจากเรือนจำอะกิตะ ด้วยการไต่กำแพงห้องขัง
ที่เรือนจำแห่งนี้ ชิราโทริถูกปฏิบัติตัวด้วยอย่างเลวร้ายกว่าที่เคย นอกจากการถูกทุบตีตามปกติเขายังต้องถูกบังคับใช้แรงงาน แถมยังต้องนอนแบบไม่มีที่นอนในคุกเดี่ยวที่ออกแบบมาให้แคบและมีเพดานสูงแทบจะไร้ซึ่งแสง ภายในช่วงเวลาที่อากาศหนาวจัด
เรื่องดีๆ เพียงไม่กี่เรื่องของชิราโทริในเรือนจำ คือหนึ่งในผู้คุมในเวลานั้น ยังคงปฏิบัติตัวกับชิราโทริอย่างดี และที่เพดานสูงของห้องขังที่เขาอยู่มีหน้าต่างพอจะมีแสงเข้ามาอยู่บ้างเป็นบางเวลาก็เท่านั้น
และด้วยความที่ชิราโทริมีประวัติการแหกคุกมาก่อน ผู้คุมในเวลานั้นก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เขาแหกคุกได้สำเร็จอีก
แต่แล้วผู้คุมของเรือนจำอะกิตะก็ต้องพบกับเรื่องไม่น่าเชื่อเข้าจนได้ เพราะในวันหนึ่งในปี 1942 ตอนที่พวกเขาทำการตรวจสอบห้องขังที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการหลบหนีโดยเฉพาะของชิราโทริ พวกเขาก็ต้องพบว่าห้องขังนั้น ว่างเปล่า
ชิราโทริเล่าในภายหลังว่า ในช่วงเวลาที่อยู่ที่เรือนจำอะกิตะ เขาจะใช้วิธีการเดิมในการสะเดาะกุญแจมือทิ้ง ก่อนที่จะใช้แขนขายันกำแพงปีนขึ้นไปขยับหน้าต่างที่เพดานห้องขัง (ซึ่งมีกรอบทำจากไม้) ซ้ำๆ กันแทบทุกวันไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งวันหนึ่งวันหนึ่งหน้าต่างก็หลุดออกและเขาหนีออกจากคุกได้สำเร็จ
ชิราโทริโดนทรยศ
ในตอนที่หนีออกมาจากคุกได้ ชิราโทริที่ไม่มีที่ไปได้ทำการติดต่อไปยังเจ้าผู้คุมเรือนจำเพียงคนเดียวที่ปฏิบัติตัวดีต่อเขา
โดยในเวลานั้น เจ้าตัวได้ยื่นข้อเสนอว่าตัวเองจะยอมกลับไปยังคุก หากเขาไม่ถูกทารุณ และสามารถมีโอกาสขึ้นศาลเพื่อนำเรื่องราวความโหดร้ายของคุกไปเปิดเผยเพื่อปรับเปลี่ยนระบบเรือนจำ
นี่นับว่าเป็นการกระทำที่ถือว่ากล้าหาญมากของนักโทษแหกคุกเลยก็ว่าได้ อย่างไรก็ตามแทนที่ชิราโทริจะได้มีโอกาสขึ้นศาล เขากลับถูกทรยศโดยคนที่ไว้ใจที่สุด และต้องกลับเข้าคุกอีกครั้ง เนื่องจากเจ้าหน้าที่แจ้งเรื่องของเขาให้กับเรือนจำ ในขณะที่เขากำลังเข้าห้องน้ำ
ชีวิตในเรือนจำอะบาชิริ
ประวัติการหลบหนีอย่างต่อเนื่องของชิราโทริ ทำให้เขาถูกส่งตัวไปยังเรือนจำอะบาชิริในฮอกไกโด สถานที่ซึ่งไม่เพียงแค่มีการคุมเข้มที่สุดในญี่ปุ่นช่วงสงครามเท่านั้น แต่ยังมีอากาศที่หนาวเหน็บจนนักโทษไม่คิดจะหลบหนีเนื่องจากกลัวแข็งตาย
แน่นอนว่าชีวิตนักโทษของชิราโทริในที่นี่เอง ก็เต็มไปด้วยความลำบากไม่ต่างจากคุกอื่นๆ เพราะเขาต้องถูกขังในห้องขังแบบเปิดในชุดฤดูร้อน ถูกลดปริมาณอาหารเนื่องจากกลัวว่าจะมีแรงหนี แถมยังถูกทารุณรุนแรงขึ้นทุกวัน
การทารุณที่เกิดขึ้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง อ้างอิงจากคำบอกเล่าของผู้คุม ชิราโทริโมโหจนกระชากโซ่กุญแจมือขาด และสาบานว่าจะแหกคุกออกไปให้ได้
(เป็นไปได้ว่าโซ่กุญแจมือในเวลานั้นจะทำจากเหล็กไม่ได้คุณภาพมันจึงเปราะ หรือไม่ก็ชิราโทริมีความสามารถใช้แรงได้มากกว่ามนุษย์ทั่วไป)
การหลบหนีจากเรือนจำอะบาชิริ ด้วยซุปมิโซะ
การกระชากโซ่กุญแจมือขาดของชิราโทริ สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คุมเป็นอย่างมาก
จนทำให้เจ้าหน้าที่ตัดสินใจย้ายชิราโทริไปขังในห้องขังพิเศษซึ่งมีหน้าต่างใหญ่กว่าหัวของนักโทษเพียงเล็กน้อยและติดลูกกรงไว้เท่านั้น แถมยังมีการสั่งทำกุญแจมือแบบใหม่ที่ไม่มีรูกุญแจเพื่อใส่ให้แขนและขาชิราโทริแบบ 24 ชั่วโมงอีก
นี่อาจจะเป็นการป้องกันนักโทษหนีที่ฟังดูสมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก แต่ผู้คุมกลับลืมเรื่องสำคัญกันไปอย่างหนึ่ง นั่นคือชิราโทริที่เป็นนักโทษนั้นมี “เวลา” อยู่เคียงข้าง และในอาหารอันน้อยนิดของเขาก็บังเอิญว่ามีซุปมิโซะอยู่ด้วย
ชิราโทริอาศัยการสาดซุปมิโซะปริมาณน้อยนิดใส่น็อตของประตูห้องขังและกุญแจมือของเขา เพื่อให้เกลือที่อยู่ในซุปมิโซะค่อยๆ กัดกินน็อตไปทีละน้อย จนกระทั่งมีน็อตหนึ่งตัวหลุดออกมา และใช้น็อตดังกล่าวขันน็อตตัวอื่นๆ อีกที
วิธีการนี้ทำให้ชิราโทริ สามารถหลุดจากอุปกรณ์ที่พันธนาการเขาอยู่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นรูหน้าต่างของประตูห้องขังก็เล็กเท่ากับหัวคนเท่านั้น และคนธรรมดาไม่น่าที่จะรอดผ่านมันไปได้เลย
ปัญหาคือชิราโทรินั้น ไม่ใช่คนที่ธรรมดาสักเท่าไหร่ เพราะอ้างอิงจากปากคำของเขาในเวลาต่อมา ชิราโทริได้มุดผ่านรูหน้าต่างของประตูห้องขังที่เล็กสุดๆ ไปด้วยการทำให้กระดูกไหลของตัวเองหลุด
ก่อนที่จะสร้างตำนานด้วยการไต่เพดานของเรือนจำหนีออกไปอีกครั้งราวกับเป็นยอดมนุษย์ โดยอาศัยเพียงเหตุการณ์ไฟดับในปี 1944
ชิราโทริระหว่างการหลบหนี
เมื่อหลบหนีออกมาจากคุกได้ ชิราโทริที่ถูกตามล่าตัวก็ได้หนีไปอาศัยในถ้ำทางเหนือของฮอกไกโด ก่อนที่จะเอาตัวรอดอยู่ได้ กว่า 2 ปี โดยอาศัยการล่าสัตว์ประทังชีวิต
เขาใช้ชีวิตอย่างโดดเดียวเรื่อยมาจนกระทั่งในปี 1946 เมื่อที่เขาคิดถึงครอบครัว ขึ้นมาและตัดสินใจเดินทางกลับบ้านแบบไร้ซึ่งเงิน เพียงเพื่อที่จะถูกเจ้าของสวนมะเขือเทศจับได้ระหว่างที่เขาพยายามขโมยมะเขือเทศกิน ทำให้ทั้งสองมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันและชิราโทริพลั้งมือสังหารเจ้าของสวนในการต่อสู้
เรื่องราวที่เกิดขึ้นทำให้ชิราโทริ โดนจับอีกครั้งในปี 1947 และถูกตัดสินโทษประหารชีวิต โดยในเวลานั้น เขาถูกส่งตัวไปรอคอยวันตายที่เรือนจำที่ซัปโปโร
การหลบหนีจากเรือนจำครั้งสุดท้าย
ที่เรือนจำแห่งนี้ ชิราโทริที่เริ่มแก่ถูกขังไว้ในห้องขังพิเศษอีกครั้ง ในคราวนี้หน้าต่างทุกบานในห้องถูกออกแบบมาให้เล็กเสียยิ่งกว่าหัวของเขา ทำให้แต่ละวันชิราโทริได้แต่เหม่อมองเพดานห้องราวกับคนไม่มีวิญญาณ
และผู้คุมก็มั่นใจในห้องขังมากจนถึงกับไม่ใส่กุญแจมือให้ชิราโทริ
แต่เรื่องที่พวกเขาไม่ได้คิดมาก่อนเลยคือห้องขังที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับชิราโทรินี้ จะกลายเป็นห้องขังที่ชิราโทริหลบหนีได้ง่ายที่สุดไป
นั่นเพราะด้วยความที่ว่าตัวห้องถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการหนีขึ้นไปข้างบน จากประวัติการหนีครั้งก่อนๆ ของชิราโทริ ทำให้ด้านล่างของตัวห้องแทบจะไร้ซึ่งการป้องกันโดยสิ้นเชิง
และที่ชิราโทริมองเพดานห้องทุกครั้งที่มีโอกาสมันก็เป็นเพียงการแบนความสนใจจากทางหนีที่แท้จริงเสียด้วย
อาศัยโลหะที่ตัวเองได้มาจากถังตักน้ำที่นักโทษใช้อาบน้ำเช่นเดียวกับในตอนที่เขาหลบหนีจากเรือนจำอาโอโมริ ชิราโทริได้ทำการค่อยๆ ตัดพื้นของเรือนจำ และขุดดินหนีใต้เรือนจำไปเรื่อยๆ ทุกคืน จนกระทั่งในที่สุด เขาก็สามารถหนีไปได้อีกครั้ง
ชิราโทริกลับมาเชื่อใจคนอีกครั้ง
มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชิราโทริจะหนีหายไปแบบไม่มีกลับหลังจากการแหกคุกในครั้งนี้ แต่ด้วยความที่ตัวเองเป็นผู้ต้องหา ชิราโทริจึงไม่สามารถกลับไปหาครอบครัวของตัวเองได้และต้องเร่รอนไปเรื่อยๆ อย่างไรจุดหมาย ในขณะที่ทำทุกอย่างเพื่อประทังชีวิต
และนั่นก็นำมาซึ่งเหตุการณ์อีกที่สำคัญที่สุดในชีวิตของชายคนนี้ เมื่อวันหนึ่งของปี 1948 ระหว่างที่ชิราโทริวัย 41 ปีกำลังนั่งพักจากชีวิตที่เหนื่อยหน่าย เขาได้มีโอกาสพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่ง ซึ่งนั่งลงข้างๆ เขาและแบ่งบุหรี่มาให้ ทั้งๆ ที่ทั้งสองไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย
การกระทำเล็กๆ นี้อาจจะเป็นเรื่องที่ดูธรรมดาๆ สำหรับหลายๆ คน แต่สำหรับคนที่ถูกเพื่อนมนุษย์ทำร้ายมาทั้งชีวิตแบบชิราโทริ การกระทำนี้ นับว่าเป็นอะไรที่มีคุณค่าต่อจิตใจอันบอบช้ำของเขามาก
ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากที่รับบุหรี่มาไม่นาน ชิราโทริจึงตัดสินใจเล่าประวัติของตัวเองให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่นั่งอยู่ด้วยกันฟัง ก่อนที่จะตัดสินใจมอบตัวกลับสู่เรือนจำอีกครั้ง ด้วยความสมัครใจของเขาเอง
เรื่องราวหลังจากนั้น
ด้วยความที่ว่าระบบกฎหมายของญี่ปุ่นเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วจากการที่ประเทศแพ้สงคราม เมื่อศาลสูงได้ยินเรื่องราวเต็มๆ ของชิราโทริ พวกเขาจึงตัดสินให้คดีสังหารเจ้าของสวนมะเขือเทศเป็นการป้องกันตัว เพื่อยกเลิกโทษประหารชีวิตของชิราโทริ และให้รางวัลแ่นักโทษผู้ตัดสินใจเขามอบตัว
โดยพวกเขาได้ตัดสินให้ชิราโทริต้องจำคุกเป็นเวลา 20 ปีในเรือนจำที่โตเกียว โดยสัญญาว่าเจ้าตัวจะได้รับการปฏิบัติตัวด้วยเป็นอย่างดี ซึ่งทำให้ชิราโทริพอใจเป็นอย่างมาก และไม่คิดที่จะแหกคุกอีกเลย
ในท้ายที่สุดแล้วชิราโทริก็ได้รับโทษอยู่ในเรือนจำเรื่อยมาจนกระทั่งในปี 1961 ซึ่งเขาถูกปล่อยตัวแบบพ้นโทษก่อนกำหนด และได้กลับไปหาครอบครัวอีกครั้ง
ปิดตำนานจอมเวทแห่งเรือนจำ
น่าเสียดายที่ตอนที่ชิราโทริกลับไปหาครอบครัว คนที่เขารู้จักจะเหลืออยู่เพียงแค่ลูกสาวของเขาเท่านั้น แถมด้วยความที่ตัวลูกสาวต้องจากกับพ่อตั้งแต่ยังเด็ก ก็ทำให้เธอแทบไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับเขาเลยด้วย
ด้วยเหตุนี้เองชิราโทริจึงใช้เวลา 10 ปีสุดท้ายในการทำงานและสร้างครอบครัวใหม่กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ก่อนที่จะจากโลกใบนี้ไปด้วยโรคหัวใจในปี 1979 ปิดตำนานของจอมเวทแห่งเรือนจำไป โดยทิ้งไว้เพียงหุ่นขี้ผึ้งของเขา ซึ่งถูกเก็บไว้ในเรือนจำอะบาชิริซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์สืบไป
รวบรวมและเรียบเรียงโดย เหมียวศรัทธา
ขอขอบคุณข้อมูลจาก japantimes, ocn และ Kento Bento