เคยได้ยินเรื่องราวของชายชื่อ “ฮิซาชิ โออุจิ” กันมาก่อนไหม?
นี่คือชายชาวญี่ปุ่น ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1960-1999 ผู้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในชายผู้ได้รับรับสารพิษจากรังสีที่รุนแรงที่สุดในโลก จนต้องทนอยู่ในนรกบนดินเป็นเวลานานถึง 83 วัน
จุดเริ่มต้นของเรื่องราว
เรื่องราวของฮิซาชิ โออุจิเริ่มต้นขึ้นในปี 1999 ในขณะที่เขามีอายุได้ 39 ปี โดยในเวลานั้นเขาและเพื่อนร่วมงานอีกสองคนกำลังทำงานอยู่ที่ โรงงานแปรรูปเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ JCO ภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โตไคมูระ จังหวัดอิบารากิ
โดยโรงงานของเขารับหน้าที่แปรสภาพยูเรเนียมให้เป็นเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ซึ่งปกติจะมีการใช้เครื่องมืออัตโนมัติ อย่างไรก็ตามในช่วงหลัง โรงงานกลับใช้วิธีลัดผิดกฎหมาย โดยให้คนผสมสารยูรานิลไนเตรทด้วยมือก่อนจะเอาไปเทใส่เครื่อง
วิธีการนี้ตามปกติแม้จะอันตรายแต่ก็ไม่มีคนโวยวายอะไรนัก เนื่องจากความเข้มข้นของยูเรเนียมในสารที่ผสมด้วยมือนั้น มีอยู่แค่ 5%
อย่างไรก็ตามในวันที่ 30 กันยายน 1999 โรงงานของโออุจิ กลับต้องพบความล่าช้าในการผลิตจน เขาและเพื่อนตัดสินใจผสมยูเรเนียมมากกว่า 18% เพื่อเร่งกระบวนการผลิต
ปัญหาคือการทำแบบนี้ทำให้เกิดปฏิกิริยานิเคลียร์รุนแรงภายในถัง ซึ่งต่อมาเกิดเป็นการระเบิดของรังสีแกรมม่า และรังสีนิวตรอน ส่งผลให้โออุจิ และเพื่ออีกสองคนต้องรับรังสีเข้าไปเป็นปริมาณมหาศาล
ผลของรังสีที่ได้รับ
ด้วยความที่ในตอนที่เกิดเหตุโออุจิอยู่ชิดกับถังที่สุด เขาจึงได้รับรังสีไปในปริมาณถึง 17,000 มิลิซีเวิร์ต สูงกว่าปริมาณรังสีที่ปกติจะรุนแรงถึงขั้นทำให้คนเสียชีวิต (5,000 มิลิซีเวิร์ต) ถึง 3 เท่า
ส่งผลให้บ่อยครั้งเขาก็ถูกระบุว่าเป็นคนที่ได้รับปริมาณรังสีสูงที่สุดเท่าที่มีการบันทึกของโลกเลย
เขาและเพื่อนมีอาการเวียนหัวและอาเจียนอย่างรุนแรง จนหมดสติไป พวกเขาจึงต้องถูกส่งตัวเข้าสถาบันรังสีวิทยาแห่งชาติ ในจังหวัดชิบะ และต่อมาถูกย้ายตัวไปยังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโตเกียวที่เทคโนโลยีดีกว่า เพื่อดูแลอาการในทันที
นับว่าค่อนข้างน่าสนใจเลยที่ในวันแรกๆ ของการพักในโรงพยาบาลโออุจินั้น แทบจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เลย เขา พูดคุยเล่นกับคนในโรงพยาบาล แถมยังอารมณ์ดีร่าเริงสุดๆ ด้วยซ้ำ
ปัญหาคือจากการตรวจเลือดของโรงพยาบาล ทีมแพทย์นั้นได้พบว่าในตอนนี้ร่างกายของคุณโออุจิได้รับรังสีเข้าไปจน DNA ถูกทำลาย และจับเรียงตัวใหม่แบบไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว
นั่นหมายความว่าจากนี้เป็นต้นไปร่างกายของคุณโออุจิจะไม่สามารถสร้างเซลล์ใหม่ๆ ได้อีกต่อไป
และเหตุผลเดียวที่เขายังคงดูแข็งแรง ไม่มีอะไรผิดปกติ ก็เพียงเพราะว่าเซลล์ที่จะตายไปในอนาคตอันใกล้ของเขายังคงทำงานอยู่ก็เท่านั้น
ร่างกายที่ตายทั้งเป็น
ระบบแรกของร่างกายคุณโออุจิซึ่งได้รับผลกระทบจากรังสีคือ ระบบภูมิคุ้มกัน โดยในการตรวจร่างกายทีมแพทย์ได้พบว่าเม็ดเลือดขาวของโออุจินั้น เหลืออยู่เพียงแค่ 10% ของคนปกติเท่านั้น ทำให้เขาเสี่ยงต่อโรคมากยิ่งกว่าคนติดเชื้อ HIV เสียอีก
ในเวลานั้นทางหนเดียวที่จะช่วยโออุจิ ที่ทีมแพทย์นึกออกมีเพียงการทดลองการรักษาใหม่ด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Stem cell) จากครอบครัวของเขา ทำให้เขากลายเป็นคนไข้รายแรกที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้ของโลก
นับว่าน่าเสียดายมากที่แม้ในตอนแรกการรักษาจะดูเป็นไปได้ด้วยดี เซลล์เม็ดเลือดขาวของโออุจิกลับเป็นปกติ แต่ต่อมาไม่นาน เซลล์ที่ปลูกถ่ายไปกลับเริ่มได้รับผลกระทบจากรังสีไปด้วย
ใบหน้าของโออุจิเริ่มที่จะบวมผิวของเขาเริ่มลอกออกจนเห็นกล้ามเนื้อ เพราะเซลล์ของเขาไม่สามารถงอกใหม่ได้ สร้างความเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมากให้กับเจ้าตัว
เขาเริ่มหายใจลำบากเพราะของเหลวในร่างกายไปทั่วปอดจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพียงเพื่อการยื้อชีวิต ถึงอย่างนั้นก็ตามทางบ้านของเขาก็ยังคงหวังว่าทีมแพทย์จะช่วยเหลือโออุจิได้…
…ความหวังที่แม้ไม่ตั้งใจก็ตามแต่ก็ทำให้คุณโออุจิต้องทุกทรมานเป็นเวลานานหลังจากนั้น
ช่วงเวลาในนรก
ตั้งแต่อยู่ในโรงพยาบาลได้ราวๆ 1 เดือน อาการของโออุจิก็เริ่มเข้าขั้นทรุดรุนแรง อวัยวะภายในก็เริ่มที่จะ “ละลาย” มีเลือดออกจากอวัยวะทุกอย่าง แถมการที่เจ้าตัวไม่มีผิวหนังยังทำให้ร่างกายของเขาสูญเสียน้ำตลอดเวลาอีก
ระบบภายในของเขาเริ่มเป็นพิษจนทีมแพทย์ต้องถ่ายเลือดให้เขาทุกวัน แถมยังถี่มากถึงขั้นที่บางวันแพทย์ต้องถ่ายเลือดให้เข้าถึง 10 ครั้ง
โออุจิร่างกายอ่อนแอสุดๆ จนมีอาการท้องเสีย และเลือดออกอยู่ตลอดเวลาซึ่งทำให้ไม่ว่าหมอจะให้ยาอะไรกับเขา ยาดังกล่าวก็จะไม่อยู่ในร่างกายผู้ป่วยนานพอที่จะแสดงผล
ที่สำคัญต่อให้หมอจะพยายามปลูกผิวหนังใหม่ให้เขาการที่ร่างกายของโออุจิสร้างเซลล์ใหญ่ไม่ได้ก็ทำให้ผิวหนังที่ปลูกมาเหมือนแปะไปบนตัวเฉยๆ ไม่นานก็กลายเป็นผิวเน่าเสียอีก
และแล้วในวันที่ 59 ของการรักษาหัวใจของโออุจิเต้นด้วยความเร็วพุ่งไปถึง 120 ครั้งต่อนาที ก่อนที่หัวใจของเขาเองจะทนต่อความล้าที่เกิดขึ้นไม่ไหว และหยุดลงโดยสมบูรณ์
แต่ความทรมานของชายคนนี้กลับไม่ได้หยุดลงตรงนั้น
ท้ายที่สุด
อย่างที่ระบุไปข้างต้นว่าครอบครัวของโออุจินั้นไม่ได้ทิ้งความหวังที่จะช่วยชีวิตชายคนนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ลงนามยินยอมการปล่อยให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในกรณีที่หัวใจหยุดเต้น
ดังนั้นแม้ว่าร่างกายคนไข้จะอ่อนแอสุดๆ แต่ทีมแพทย์ก็จำเป็นที่จะต้องปั๊มหัวใจของชายคนนี้ และไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของโออุจิ หลังจากที่แพทย์พยายามปั๊มหัวใจอยู่ 3 ครั้ง หัวใจของเขาก็กลับมาเต้นอีกครั้ง
การปั๊มหัวใจในเวลานั้นทำให้ทั้งสมองและไตของโออุจิที่เลวร้ายอยู่แล้วยิ่งเสียหายเข้าไปอีก (อย่าลืมว่าชายคนนี้ไม่สามารถสร้างเซลล์ใดๆ มาฟื้นตัวได้) เขาไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียกของครอบครัวอีกต่อไป
แถมราวกับทำให้เรื่องเลวร้ายขึ้นอีกเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกายของเขายังเริ่มทำลายเม็ดเลือดขาวที่เหลืออยู่น้อยนิด จนโออุจิ “ไม่เหลือเม็ดเลือดขาวในร่างกายเลย”
ในวันที่ 81 นายแพทย์ที่ดูแลโออุจิถึงขั้นต้องเรียกครอบครัวของโออุจิมา “แนะนำ” ว่าอาการของชายคนนี้ไม่ใช่อะไรที่จะสามารถยื้อชีวิตได้อีกแล้ว จนทำให้ในที่สุดทางครอบครัวก็ยอมลงนามยินยอมปล่อยโออุจิไป
และในอีก 2 วันต่อมา ในวันที่ 83 ของการรักษาโออุจิก็จากไปในที่สุดด้วยอาการอวัยวะล้มเหลวหลายแห่ง
เรื่องราวหลังจากนั้น
แม้ไม่มีรายงานมากเท่ากับเรื่องราวของโออุจิ แต่เพื่อนอีกสองคนที่โดนรังสีไปพร้อมๆ กันก็เสียชีวิต ตามโออุจิไปในช่วงต้นปี 2000
ส่งผลให้โรงงานของเขาต้องถูกสอบสวนเกี่ยวกับการปล่อยปละละเลยที่เกิดขึ้นจนต้อง ชดใช้ค่าเสียหายมหาศาลให้เหยื่อ 6,875 ราย และโดนถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจ
ในขณะที่โรงพยาบาลเอง ก็ถูกตราหน้าว่าจงใจยื้อชีวิตของโออุจิ ไว้เพียงเพื่อการทดลอง และถูกตีข่าวไปต่างๆ นานา จนถึงขนาดที่ว่าภาพเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ในโลกออนไลน์กว่าครึ่งไม่ใช่ภาพของโออุจิจริงๆ เลย
ความตายของฮิซาชิ โออุจินั้นเรียกได้ว่าเป็นเรื่องราวที่ให้ข้อคิดมากมายกับผู้คนเลยก็ได้ ไม่ว่าจะในด้านความปลอดภัยของการทำงาน หรือการตัดสินใจทำอะไรโดยลืมคำนึงถึงผลกระทบที่ตามมา
เพราะในท้ายที่สุดแล้วบริษัทต่างๆ นั้นสามารถหาพนักงานใหม่ได้เสมอ แต่ชีวิตของคนเรานั้นมีอยู่เพียงชีวิตเดียวเท่านั้น