ในบรรดาผู้ป่วยอาการทางจิตมันไม่ใช่เรื่องแปลกนักที่ในบางครั้งพวกเขาจะมีการคิดไปเองว่าตัวเองเป็นบุคคลสำคัญในทางศาสนาอย่าง “พระเยซู” หรือในบางครั้งก็อาจหนักถึงขั้นคิดว่าตัวเองเป็น “พระเจ้า”
แต่เคยคิดกันเล่นๆ ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเราเอาบุคคลที่เชื่อว่าตัวเองเป็นตัวตนที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเหล่านี้มาเจอกัน พวกเขาจะมีปฏิสัมพันธ์กันแบบไหน? และจะเป็นไปได้หรือไม่ที่การพบกันนี้จะทำให้พวกเขาหายบ้า?
นั่นเพราะในปี 1959 นี่คือคำถามที่นักจิตวิทยาอย่างนาย Milton Rokeach เคยพยายามจะหาคำตอบ
แนวคิดของนาย Rokeach นำมาซึ่งงานวิจัยสุดแปลกที่ได้รับการตีพิมพ์ในชื่อ “The three Christs of Ypsilanti; a psychological study” เมื่อปี 1964
ในงานวิจัยนี้ Rokeach และทีมงานได้ติดต่อขอนำตัวคนไข้ 3 คน ซึ่งประกอบด้วยนาย Joseph, Clyde และ Leon จากโรงพยาบาลรัฐอิปซิแลนที ในมิชิแกน ซึ่งเชื่อว่าตัวเองเป็นพระเจ้าหรือพระเยซูมาพักรักษาอยู่ในหอเดียวกัน
โดยตลอด 2 ปีหลังจากนั้น พวกเขาจะต้องมาพบปะกันเป็นพักๆ ภายใต้การดูแลของ Rokeach และทีมงาน
แน่นอนว่าอย่างที่ทุกคนพอจะคาดเดากันได้ การพบปะกันครั้งแรกของคนไข้ทั้งสามนั้น เป็นไปด้วยความเครียดและกดดัน เนื่องจากคนไข้ทั้งสามเชื่อมั่นอย่างไม่สั่นคลอนว่าพวกเขาเป็นใคร
ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับคนอื่นที่อ้างสิทธิ์เดียวกัน พวกเขาจึงกลายเป็นศัตรูกันได้ไม่ยาก โดยเชื่อว่าอีกสองคนที่เหลือเป็นเพียง “ผู้แอบอ้าง” เท่านั้น
“ก็บอกแล้วไงว่าข้านี่ล่ะคือพระเจ้า!!”
Joseph กล่าวในขณะที่เถียงกับ Clyde
โดย Leon ไม่พูดอะไรจนจบการพบปะครั้งแรก
ดูเหมือนว่าสำหรับพวกเขาทั้งสามคนแล้ว นี่คงถือว่าไม่ใช่การพบปะที่พวกเขาอยากเจอเท่าไหร่นัก
แต่ถึงอย่างนั้นราวกับเพื่อยืนยันว่าตัวเองเป็น “ของจริง” พวกเขาก็เลือกที่จะกลับมายังห้องนี้ทุกครั้งที่นักวิทยาศาสตร์ขอความร่วมมืออยู่ดี
เรื่องราวในครั้งนี้ดูจะยิ่งเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป เพราะไม่เพียงแต่คนไข้ทั้งสามจะไม่เลิกเชื่อว่าตัวเองเป็นพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังเริ่มนำสองคนที่เหลือมา “คิดไปเอง” ในความคิดเพ้อเจ้อของตัวเองด้วย
Clyde ระบุว่าผู้ป่วยอีกสองคนที่เหลือ “ไม่ได้มีชีวิตอยู่จริงๆ แต่เป็นเพียงแค่เครื่องจักรเท่านั้น” ในขณะที่ Leon เชื่อว่าอีกสองคน “เป็นเทพชั้นต่ำ” ซึ่งเขาสร้างขึ้นมาอีกที
ไม่นานนักรอยร้าวนี้ก็นำไปสู่ความรุนแรงในช่วงกลางของการทดลองเมื่อ Clyde ตัดสินใจลุกขึ้นต่อย Leon ภายในการถกเถียงเรื่อง “Adam (ในพระคัมภีร์) เป็นคนขาวหรือไม่?” และ “Adam เป็นเขยของ Leon จริงๆ ไหม?”
“แกควรบูชาข้า ข้าขอบอกไว้เลย”
Clyde กล่าวกับ Leon
แต่ที่น่าสนใจคือหลังจากการทดลองดำเนินการไปสักพัก คนไข้ทั้งสามกลับเริ่มที่จะคุยกันอย่างมีชั้นเชิงกันมากขึ้น พวกเขาสามารถสื่อสารกันโดยที่ไม่ไปยั่วยุอีกฝ่าย และเข้ากันได้ค่อนข้างดีจนจบการทดลองเลยด้วย
แม้ในท้ายที่สุดแล้วนี่จะเพียงการหลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องใครกันที่เป็นพระเจ้า หรือพระเยซู จริงๆ ก็เท่านั้น
แน่นอนว่าการทดลองครั้งนี้คงจะเรียกว่าสำเร็จไม่ได้นัก เพราะตลอดสองปีในการทดลอง คนไข้ทั้งสามนั้นไม่มีใครเลยที่เปลี่ยนแนวคิดของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
และแม้นักวิทยาศาสตร์จะใช้วิธีสารพัดเพื่อให้ทั้งสามเลิกคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า ถึงขั้นลองทำอะไรที่ดูผิดจรรยาบรรณอย่างให้ผู้ช่วยวิจัยทำเป็นหลงรักคนไข้ การกระทำของพวกเขาก็มีแต่จะสูญเปล่าทั้งนั้น
“ความจริงคือเพื่อนของข้า… เพราะข้านั้นไร้ซึ่งเพื่อนอื่นใด”
Leon ระบุในจดหมายหลังทราบว่า
ผู้ช่วยวิจัยแค่ทำเป็นหลงรักเขา เพราะถูกสั่งมา
ถึงอย่างนั้นก็ตามในหนังสือ The three Christs of Ypsilanti; a psychological study นาย Rokeach ก็ระบุไว้ด้วยว่าในท้ายที่สุดแล้วการวิจัยในครั้งนี้ก็อาจจะทำให้มีคนคนหนึ่งเลิกคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าได้จริงๆ ก็เป็นได้
และคนที่ว่านั้นก็คือตัวเขาเอง ซึ่งเล่นเป็นพระเจ้าในนามของวิทยาศาสตร์นั่นเอง
“ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ์ใดๆ แม้แต่ในนามของวิทยาศาสตร์
ที่จะเล่นเป็นพระเจ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของพวกเขาขณะที่ข้าพเจ้าล้มเหลวในการรักษาสามคนไข้จากจินตนาการของตัวเอง พวกเขากลับสำเร็จในการรักษาอาการหลงผิด
คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้าพวกเขารักษาข้าพเจ้าจากการคิดว่าตัวเอง มีอำนาจสามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขา ด้วยกรอบของสิ่งที่เรียกว่า
‘สถาบันแบบเบ็ดเสร็จ’ “
นาย Milton Rokeach
ที่มา iflscience และ The three Christs of Ypsilanti; a psychological study