สำหรับมหาวิทยาลัยวอร์ซอของประเทศโปแลนด์ พวกเขานั้นเคยได้รับตัวอย่างมัมมี่จากประเทศอียิปต์มาในช่วงปี 1826 เพียงแต่ตลอดระยะที่ผ่านมาพวกเขากลับไม่เคยมีโอกาสได้ศึกษามันแบบจริงจังนัก
แต่ใครจะไปคิดกัน ว่าการไม่ได้ตรวจสอบมัมมี่แค่ร่างเดียว จะทำให้โปแลนด์ได้พลาดการค้นพบครั้งสำคัญครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศไปเป็นเวลาเกือบ 200 ปี นั่นเพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง หลังจากการย้อนไปตรวจสอบมัมมี่ที่พวกเขาได้รับมา
ทีมนักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบความจริงข้อใหม่ที่ว่า… มัมมี่ที่พวกเขามีนั้น จริงๆ แล้วเป็นมัมมี่คนท้องร่างแรกที่เคยถูกพบมาในโลกเลย!!
อ้างอิงจากรายงานชิ้นใหม่ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Archaeological Science เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2021 การตรวจสอบมัมมี่ในครั้งนี้จัดทำขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยวอร์ซอ กับพิพิธภัณฑ์แห่งชาติโปแลนด์
โดยในตอนแรกพวกเขาเชื่อว่ามัมมี่ที่ตนเองมีนั้น เป็นของนักบวชชื่อ Hor-Djehuty จากนครธีบส์ (อยู่ในพื้นที่เมืองลักซอร์ในปัจจุบัน) ผู้ซึ่งเคยมีชีวิตอยู่ในช่วง 1 ศตวรรษก่อนคริสตกาลในอียิปต์ (ราวๆ 2,100 ปีก่อน) จากจารึกบนโลงศพ
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาตรวจสอบมัมมี่ดังกล่าวด้วยระบบซีทีสแกนและเอกซเรย์พวกเขาก็ได้พบความจริงสุดน่าสนใจที่ว่า มัมมี่ร่างนี้จริงๆ แล้วเป็นของผู้หญิงผิดไปจากที่ระบุไว้บนโลง
ที่สำคัญมัมมี่ร่างนี้ยังถูกฝังโดยมีร่างของทารกอยู่ในครรภ์เลยด้วย!!
“มันเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะตอนนั้นเรากำลังมองหาโรคโบราณหรือสาเหตุของการเสียชีวิตอยู่…
เราคิดว่านี่เป็นร่างกายของนักบวชชายด้วยซ้ำ”
คุณ Wojciech Ejsmond ผู้อำนวยการโครงการวอร์ซอมัมมี่กล่าว
อ้างอิงจากข้อมูลของทีมนักวิทยาศาสตร์ มัมมี่ของหญิงสาวคนนี้เป็นไปได้ว่าจะเสียชีวิตในขณะที่อายุได้ 20-30 ปี ส่วนเด็กที่ถูกพบในครรภ์ของเธอจะมีอายุราวๆ 6.5-7.5 เดือน เมื่อดูจากเส้นรอบวงศีรษะ
น่าเสียดายที่ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์จะยังไม่สามารถบอกเพศของทารกในครรภ์ หรือเหตุผลที่ว่าทำไมทารกร่างนี้จึงถูกบ่อยทิ้งไว้ได้
แต่หากเราดูจากการที่อวัยวะภายในหลายชิ้นของมัมมี่หญิงร่างหลักมีการถูกนำออกไปอาบยาศพก่อนใส่กลับเข้าไปในร่าง มันก็มีความเป็นไปได้ว่าทารกร่างนี้จะถูกทิ้งไว้ด้วยความจงใจ
ดังนั้น ทีมวิจัยจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าหญิงสาวคนนี้อาจจะเสียชีวิตด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ ส่วนทารกนั้น น่าจะถูกทิ้งเอาไว้เนื่องจากเขาหรือเธอยังคงเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของผู้เป็นมารดา มิได้ลืมตาออกมาดูโลกนั่นเอง
ที่มา livescience และ sciencedirect