ต้นศตวรรษที่ 20 เป็นยุคที่ชาวแอฟริกัน-อเมริกันได้รับการเลิกทาสแล้วก็จริง แต่ก็ยังคงถูกกดขี่จากสังคมคนขาวอยู่ดี ดังนั้นใครจะไปคิดเล่าว่าในช่วงเดียวกันนี้เอง จะมีเด็กสาวชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนหนึ่งสามารถขึ้นเป็นมหาเศรษฐีได้
ชื่อของเด็กหญิงคนนั้นคือ Sarah Rector เด็กผู้เกิดมาในพื้นที่ของอินเดียนแดง ในโอคลาโฮมา (ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่เป็นรัฐ) ในครอบครัวซึ่งมีคุณย่าเป็นอดีตทาส
เธอเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มสัญญา Muscogee หรือ “Creek Nation” กลุ่มที่เกิดจากการรวมตัวของ 5 ชนเผ่าพื้นเมืองในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ และได้รับสัญญาว่าจะได้รับการแบ่งที่ดินในตอนที่โอคลาโฮมาได้เป็นรัฐ
5 ชนเผ่าพื้นเมือง ในสนธิสัญญารัฐโอคลาโฮมา
นั่นทำให้ตอนที่ Sarah อายุได้เพียง 4 ขวบเธอก็ได้รับที่ดินแห่งหนึ่งมาจากสนธิสัญญาที่ว่านี้ โดยมันเป็นที่ดินแห้งแล้งซึ่งไม่เหมาะแก่การทำการเกษตร
นั่นทำให้ที่ดินแห่งนี้กลายเป็นที่ดินที่ทำประโยชน์ไม่ได้ และรังแต่จะทำให้ครอบครัว Rector ต้องเสียภาษีที่ดินไปเปล่าๆ เท่านั้น แถมจะขายที่ดินก็ขายไม่ได้เพราะกฎหมายของรัฐในตอนนั้นห้ามมีการขายที่ดินที่เป็นของผู้เยาว์
พอดีว่าในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ทางบริษัทน้ำมันออกขุดหาน้ำมันไปทั่วพอดี ดังนั้นในเมื่อขายที่ดินไม่ได้ ทางครอบครัวของ Rector จึงให้บริษัทขุดหานำมันเช่าที่ไปเสี่ยงดวงขุดหาน้ำมันเสียเลย
และการตัดสินใจครั้งนั้นก็นับว่าเป็นโชคดีของพวกเขาเลยก็ว่าได้ เพราะในพื้นที่เปล่าๆ ที่พวกเขาได้มานั้น ดันมีบ่อน้ำมันขนาดใหญ่อยู่ข้างใต้พอดีเลย
และการค้นพบครั้งนี้เองก็ทำให้ครอบครัวของเธอได้เงินไปเฉลี่ยถึงวันล่ะ 300 ดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินปัจจุบันได้ 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 260,000 บาท) เลยทีเดียว
เท่านั้นยังไม่พอ กิจการบนที่ดินนี้นั้น ยังถูกวิเคราะห์ว่ามีมูลค่าราวๆ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินปัจจุบันได้ 26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 860 ล้านบาท) อีกด้วย
นั่นทำให้ Sarah Rector ผู้มีชื่อเป็นเจ้าของที่กลายเป็นเด็กหญิงที่ร่ำรวยสุดๆ ไป จนถึงขั้นที่ว่าหนังสือพิมพ์ในสมัยนั้นบอกว่าเธอเป็น “เด็กนิโกรที่รวยที่สุดในโลก” เลย
เธอนั้นรวยมากจนที่บ้านเลือกคนขาวมาเป็นผู้ปกครองตามกฎหมายให้เธอได้ (ถึงแม้ว่าจริงๆ แล้วจะเลือกกันมาตั้งแต่ก่อนเจอน้ำมันก็ตาม) แถมรัฐบาลโอคลาโฮมายังถึงกับระบุให้เธอเป็น “คนขาว” เพื่อที่จะให้ทำธุรกิจได้ง่ายอีก
โชคดีมากที่ผู้ปกครองตามกฎหมายที่เป็นครอบครัวคนขาวของ Sarah ไม่ได้เอาเปรียบสิทธิ์ทางน้ำมันของเด็กหญิงแต่อย่างใด (ซึ่งนับว่าแปลกมากในสมัยนั้น) จนทำให้ Sarah ได้ใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างสบายๆ
จริงอยู่ว่าในช่วงเวลานั้นมีคนหลายคนที่พยายามใช้ประโยชน์จากเธอ แต่ศาลของรัฐก็ตัดสินคดีให้แก่ Sarah อย่างเป็นธรรมแบบไม่น่าเชื่ออยู่เสมอ
อย่างไรก็ตามหลังจากอายุได้ 18 ปี Sarah ก็ปลีกตัวออกจากสังคมไปใช้ชีวิตอยู่ที่รัฐมิสซูรี และใช้ชีวิตอย่างสงบเรื่อยมาจนกระทั่งเสียชีวิตไปในปี 1967 ด้วยวัย 65 ปีนั่นเอง
ที่มา allthatsinteresting, ranker