ในปีคริสต์ศักราชที่ 79 การปะทุของภูเขาไฟวิสุเวียสได้กลบเมืองปอมเปอีในอิตาลีลงไปอยู่ใต้เถ้าถ่านเป็นเวลาเกือบๆ 1,500 ปี ก่อนที่จะมีการขุดค้นขึ้นมาในอีกครั้งในปี 1738
ตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้เวลาได้ผ่านไปเนิ่นนานเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นก็เชื่อเถอะว่ายังมีเรื่องราวของเมืองปอมเปอีอีกหลายอย่างที่เราอาจจะไม่เคยเห็น
ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจะไปชม 5 เรื่องราวแปลกๆ เกี่ยวกับเมืองปอมเปอี ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
โครงรูปร่างมนุษย์ที่เห็นจากปอมเปอี แท้จริงแล้วคือปูนที่ถูกเทลงไปภายหลัง
ข้อนี้ต้องอธิบายกันนิดหนึ่งว่า ร่างของคนตายในเมืองปอมเปอีที่เราเห็นกัน เกิดจากการที่นักโบราณคดีสมัยก่อนเทปูนปลาสเตอร์ลงไปในช่องว่างระหว่างเถ้าภูเขาไฟ (ที่ตอนนั้นกลบเมืองอยู่)
นั่นทำให้ปูนเข้าไปแทนที่ช่องวางซึ่งเกิดจากที่เนื้อเยื่อของคนในอดีตย่อยสลายไปตามกาลเวลา และทำให้ปูนมีรูปร่างเหมือนคนที่เคยตายอยู่ใต้เถ้าภูเขาไฟไป
จริงอยู่ว่าการทำแบบนี้ทำให้คนในสมัยนั้นสามารถขุดค้นเมืองได้โดยไม่ต้องกังวลว่าท่าทางของศพจะถูกทำลายไปเสียก่อน แต่การเทปูนลงไปในเถ้าภูเขาไฟเลยก็ทำให้โครงกระดูกของคนสมัยก่อนถูกฝังอยู่ใต้ปูนไปตลอดเช่นกัน
นั่นหมายความว่าทุกครั้งที่เราดูร่างของชาวเมืองปอมเปอี เราก็กำลังมองโครงกระดูกของพวกเขาที่อยู่ในตัวปูนเองไปในเวลาเดียวกัน
คนในปอมเปอีมีสุขภาพช่องปากที่ดีมาก
นี่เป็นเรื่องที่เราทราบได้จากการทำซีทีสแกนร่างที่พบในเมืองเมื่อปี 2015 และเป็นเรื่องที่น่าแปลกพอสมควรเพราะในสมัยนั้นยังไม่น่าจะมีระบบทันตแพทย์ที่ทันสมัยพอจะรักษาฟันผุด้วยซ้ำ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้ในสมัยนั้นจะยังไม่มีระบบทันตแพทย์ที่ดี แต่ในยุคที่ภูเขาไฟวิสุเวียก็ระเบิดคนในปอมเปอีก็ยังไม่รู้จักน้ำตาลเช่นกัน ว่าง่ายๆ ว่ายังไม่มีอาหารที่ทำร้ายฟันมากๆ นั่นเอง
ปอมเปอีมี “ร้านฟาสต์ฟู้ด” อยู่เต็มไปหมด
ร้านเหล่านี้มักถูกเรียกกันว่า “Thermopolium” โดยมันเป็นร้านค้าอาหารที่ให้บริการแบบสแน็คบาร์ โด่งดังเรื่องการขายขนมปังกับปลาเค็ม ถั่ว ชีสอบ และสไปซี่ไวน์
โดยคำว่า Thermopolium สามารถแปลตรงๆ ว่า “สถานที่ซึ่งมีอาหารร้อนๆ ขาย” มีหน้าที่ขายอาหารพร้อมรับประทาน ซึ่งคาดกันว่าเป็นที่นิยมในหมู่คนจน ที่ไม่มีเงินซื้ออุปกรณ์ทำครัวของตัวเองในสมัยก่อน
และในช่วงปี 2019 ที่ผ่านมา ทีมนักโบราณคดีได้ออกมาประกาศการค้นพบร้านแบบนี้ถึง 150 แห่งเป็นอย่างต่ำๆ เลย
มีเด็กเป็นซิฟิลิสอยู่มาก
ดูเหมือนว่าการจะรอดชีวิตไปจนอายุ 10 ขวบในสมัยก่อนจะเป็นเรื่องที่ยากกว่าที่คิดมาก เพราะจากการตรวจสอบร่างของเด็กที่พบในเมืองปอมเปอี นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่ามีเด็กไม่น้อยเลยที่มีอาการของโรคซิฟิลิส (คาดว่าอาจติดจากในครรภ์)
ที่เป็นแบบนี้อาจจะเป็นเพราะในสมัยก่อนโรคซิฟิลิสยังไม่มีการรักษาที่ดีก็เป็นได้
อย่างไรก็ตามในตอนที่มีการค้นพบความจริงในข้อนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถยืนยันได้อย่างแท้จริงว่าโรคซิฟิลิสไม่ได้เข้ามาในยุโรปเพราะการเดินทางของโคลัมบัสอย่างที่เคยมีการอ้างกันในสมัยก่อนแน่
ร่างที่พบจำนวนมาก ยังคงอยู่ในท่าทางเดียวกับตอนที่ตาย
เนื่องจากความตายที่เกิดขึ้นจากภูเขาไฟนั้นรวดเร็วมาก บวกกับชาวเมืองไม่ได้มีการอพยพใดๆ ทำให้คนส่วนมากเสียชีวิตไปในระหว่างการใช้ชีวิตประจำวัน และร่างก็ค้างอยู่ในท่านั้นๆ ใต้เถ้าถ่านเลยด้วย
และลักษณะการตายแบบนี้เองที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าคนในเมืองส่วนใหญ่น่าจะตายจากความร้อนแทบจะในทันทีมากกว่าที่จะขาดอากาศตายจากการถูกทับด้วยเถ้าภูเขาไฟ
ที่ปอมเปอีมีสถานบริการเพียบ
แม้ไม่น่าเชื่อก็ตามแต่ ที่ปอมเปอีนั้นมีการค้นพบภาพฝาผนังจำนวนมาก ซึ่งเกี่ยวข้องกับการร่วมเพศ โดยมันมักถูกพบตามสถานบริการและคาดกันว่าน่าจะใช้ปลุกอารมณ์ลูกค้า ไม่ก็นำเสนอไอเดียท่าทางการร่วมเพศใหม่ๆ
โดยภาพฝาผนังเหล่านี้โดยมากแล้วจะเป็นภาพของหญิงสาวผิวขาว ไว้ทรงผมเข้ากับยุคสมัย และกำลังร่วมเพศกับผู้ชายที่มีทั้งเด็ก คนผิวสี หรือแม้กระทั่งนักกีฬา ในท่าทางการร่วมรักที่หลากหลาย
แต่ต่างไปจากในภาพ คุณภาพชีวิตของผู้หญิงเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะไม่ดีนัก โดยพวกเธอมักจะเป็นทาส และมักต้องใช้ชีวิตในห้องที่เล็กๆ ที่ไม่มีประตูด้วยซ้ำ
เราอาจจะคาดเดาวันที่ภูเขาไฟวิสุเวียปะทุผิด
ตั้งแต่ในอดีตพวกเราเชื่อกันว่าภูเขาไฟวิสุเวียปะทุ ขึ้นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ปี ค.ศ. 79 (ซึ่งเป็นฤดูร้อน) จากบันทึกของนักประพันธ์ในกรุงโรม
อย่างไรก็ตามจากหลักฐานการแต่งกายด้วยชุดหนาของคนในพื้นที่ อุปกรณ์ทำความร้อน และผลไม้ที่มีการค้นพบ นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากก็เชื่อกันว่าภูเขาไฟวิสุเวียน่าจะปะทุขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงมากกว่า
และเมื่อไม่นานเองก็มีการพบข้อความบนผนังในเมืองปอมเปอี ที่เป็นหลักฐานอย่างดีว่าคนในเมืองยังมีชีวิตอยู่ในวันที่ 17 ตุลาคมปีนั้นอีกด้วย ทำให้วันที่น่าจะเป็นไปได้ว่าภูเขาไฟวิสุเวียปะทุจึงกลายเป็นวันที่ 24 ตุลาคมแทนนั่นเอง
ที่มา ranker