สำหรับเหล่านักโบราณคดีแล้ว มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่วัตถุโบราณที่พวกเขาพบจะไปเกี่ยวข้องกับความเชื่อและพิธีกรรมของคนในสมัยก่อน โดยเฉพาะวัตถุโบราณที่เกี่ยวข้องกับคำสาป หรือมนต์ดำ
แน่นอนว่าโดยมากแล้วสิ่งที่พวกเขาพบจะเป็นเพียงวัตถุโบราณที่คนสมัยก่อนเข้าใจผิดไปเอง และสามารถอธิบายได้ในทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน แต่มันก็มีบางครั้งเหมือนกันที่วัตถุที่พวกเขาพบนั้น มันเป็นอะไรที่น่ากลัวจนหลายๆ คนสงสัยว่ามีคำสาปอยู่จริงๆ
วัตถุโบราณทั้ง 10 ชิ้นต่อไปนี้ คือตัวอย่างที่ดีของวัตถุโบราณต้องสาปเหล่านั้น เพราะแม้เวลาจะผ่านไปจนถึงปัจจุบัน มันก็ยังคงมีคนอยู่มากมายไม่น้อยเลยที่เชื่อว่า คำสาปของวัตถุโบราณเหล่านี้ ยังคงหลับใหลรอวันตื่นอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
1. เริ่มกันจาก คำสาปของแหวนแห่งซิลวาเนียส
นี่เป็นแหวนที่คาดกันว่าถูกทำขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 4 และ มีจุดเด่นอยู่ที่รูปของเทพีวีนัสและคำสลักภาษาละติน ‘SENICIANE VIVAS IIN DE’ ซึ่งแม้จะมีการเขียนผิดอยู่แต่ก็แปลแบบรวมๆ ได้ว่า “ซิลวาเนียส ขอให้คุณมีชีวิตอยู่ในพระเจ้า”
โดยคำสาปของแหวนนี้โด่งดังขึ้นเมื่อมีการค้นพบศิลาบันทึกคำสาปในอดีต ซึ่งระบุไว้ว่า แหวนนี้เคยถูกขโมยไปเมื่อ 1600 ปีก่อน และเจ้าของร้องขอให้พระเจ้าลงโทษให้โจรล้มป่วยจนกว่าจะนำแหวนไปคืนให้กับวิหาร
ซึ่งแน่นอนว่าทำให้คนที่เกี่ยวข้องกับการค้นพบมันหลายๆ คนถึงกับเสียวสันหลังเลย (แม้จะไม่มีหลักฐานว่ามีใครล้มป่วยเพราะมันจริงๆ ไหมก็ตาม)
ที่สำคัญเจ้าแหวนวงนี้ยัง ถูกเชื่อกันว่าอาจจะเป็นแหวนต้นแบบของแหวนเอกธำมรงค์ในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ด้วยนะ
2. แตรสงครามของตุตันคาเมน
เรื่องราวของฟาโรห์ตุตันคาเมนนั้นเต็มไปด้วยคำสาปเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามแตรสงครามอันนี้กับมีความพิเศษกว่าวัตถุโบราณอื่นๆ อยู่เล็กน้อย นั่นเพราะนี่เป็นแตรที่เชื่อกันว่าจะจะก่อให้เกิดสงครามขึ้นทุกครั้งที่มีคนเป่ามัน
โดยเหตุการณ์ที่สำคัญๆ เกี่ยวกับแตรอันนี้คือการที่สถานีวิทยุ BBC อัดเสียงไปเผยแพร่ในปี 1939 ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานสงครามโลกครั้งที่สองก็เริ่มขึ้น
ต่อมาในปี 1967 เมื่อมีคนเอามันไปเป่าก็เกิดสงครามหกวันระหว่างอาหรับกับอิสราเอล
แถมในปี 1990 เมื่อมีนักเรียนนิรนามเอาแตรนี่ไปเป่าในการวิจัย มันก็เกิดสงครามอ่าวเปอร์เซียอีกต่างหาก
3. ตุ๊กตา “Robert The Doll” ของเล่นที่หลอนที่สุดในประวัติศาสตร์
นี่คือตุ๊กตาที่ถูกวางขายโดยบริษัทเยอรมันในช่วงปี 1904 ก่อนตกไปอยู่ในมือของเด็กชายชื่อ Robert Eugene Otto และในช่วงเวลาเดียวกันก็เริ่มทำให้ครอบครัวของ Eugene เริ่มได้ยินเสียงในบ้านทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยู่
ว่ากันว่าใครก็ตามที่รับมันไปจะต้องพบกับเรื่องสยองเหนือธรรมชาติอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น Myrtle Reuter ผู้หญิงที่มาซื้อบ้านของ Eugene ต่อและยืนยันว่าตุ๊กตาตัวนี้ขยับได้เอง
หรือพิพิธภัณฑ์ Fort East Martello ที่เริ่มได้รับจดหมายขอโทษตุ๊กตา Robert เป็นจำนวนมาก แทบจะทันทีที่พวกเขาได้มันมาเก็บไว้
และแม้แต่ทุกวันนี้ เวลาที่ที่คนพยายามจะถ่ายรูปของตุ๊กตาตัวนี้ บ่อยครั้งพวกเขาก็จะพบว่ากล้องของจู่ๆ ก็ไม่ทำงานไปเองอย่างมีปริศนาด้วย
4. เพชรโฮป
นี่คือเพชร 45 กะรัตที่มีสีน้ำเงินเข้มซึ่งว่ากันว่าจะนำพาเรื่องร้ายๆ มาให้กับเจ้าของ และเปลี่ยนผ่านมือบุคคลสำคัญๆ อย่างพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และแมรี่ อังตัวเนตต์มาแล้ว (ซึ่งทั้งสองถูกประหารชีวิตในการปฏิวัติฝรั่งเศส)
เพชรเม็ดนี้ได้รับชื่อเพชรโฮปมาจากการที่มันตกทอดมาในตระกูลของเฮนรี่ ฟิลิป โฮป และทำให้คนในตระกูลนี้ต้องพบกับความโชคร้ายแบบรุ่นต่อรุ่น
ก่อนที่สุดท้ายมันจะตกมาอยู่ในมือของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาสมิธโซเนียน สถานที่ซึ่งคำสาปดูเหมือนว่าจะหยุดไป… อย่างน้อยก็ในตอนนี้
5. “Unlucky Mummy” โลงมัมมี่อาถรรพณ์
นี่เป็นโลงใส่มัมมี่เปล่าๆ ที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษได้รับมาจากอียิปต์ในปี 1889 และมีชื่อเสียงเรื่องที่ว่าให้ก็ตามที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลงศพนี้จะต้องมีอันเป็นไป
ซึ่งตั้งแต่ที่มันถูกส่งมาในยุโรปเอง มันก็คนที่ประมูลมันไปเก็บไว้เสียชีวิตไปแล้วหลายต่อหลายคน
อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่ทำให้มัมมี่ร่างนี้มีชื่อเสียงที่สุดคงเป็นเรื่องที่ว่ามันเคยถูกโทษว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เรือไททานิคล่มในปี 1912
แม้ว่าในภายหลังจะมีคนออกมายืนยันว่าเรือไททานิคไม่ได้ขนวัตถุโบราณสุดอาถรรพณ์ชิ้นนี้ไปด้วยก็ตาม
6. “The Anguished Man” ตำนานภาพวาดสยองของ “ชายผู้ปวดร้าว”
นี่คือผลงานภาพวาดที่ไม่ทราบกันชื่อคนวาดและที่มา อย่างไรก็ตามมันถูกเก็บไว้โดยคุณ Sean Robinson มานานกว่า 30 ปี และเชื่อกันว่าคนวาดมีการใช้เลือดของเขาเองผสมกับสีน้ำมัน และฆ่าตัวตายหลังวาดมันเสร็จ
โดยตั้งแต่ได้ภาพวาดนี้มาคุณ Sean ก็พบเรื่องแปลกๆ ในบ้านอยู่หลายอย่างจนตนตัดสินใจเอาภาพไปวางในห้องเก็บของพร้อมถ่ายคลิปเสียเลย
และในวิดีโอซึ่งต่อมาคุณ Sean นำไปโพสต์ออนไลน์ ก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นเต็มไปหมดเลยด้วย (กดดูวิดีโอดังกล่าวได้ที่นี่)
7. สุสานต้องสาปของกษัตริย์คาสิเมียร์ที่สี่แห่งโปแลนด์
นี่คือสุสานซึ่งในตอนที่ถูกพบเมื่อปี 1973 เหล่านักโบราณคดีได้ล้อเล่นกันไว้ว่ามันอาจจะมีคำสาปอยู่ก็เป็นได้… แต่ปัญหาคือคำล้อเล่นดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นจริงขึ้นมานี่สิ
นั่นเพราะหลังจากที่โลงศพถูกเปิดออกได้ไม่นาน เหล่านักโบราณคดีที่ข้าไปตรวจสอบโลงศพนี้ก็เริ่มเสียชีวิตกันไปทีละคนสองคน คล้ายคำสาปของสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมนไม่มีผิด
จนในท้ายที่สุดสุสานนี้ก็คร่าชีวิตนักโบราณคดีไปถึง 15 คน ภายในเวลาแค่ราวๆ 1 ปี และทำให้เกิดทฤษฎีมากมายที่พยายามอธิบายความตายที่เกิดขึ้น
โดยแนวคิดที่ได้รับความเชื่อถือที่สุดในปัจจุบันก็คือสิ่งที่สังหารเหล่านักโบราณคดีนั้น แท้จริงเป็นเชื้อราชื่อ “Aspergillus flavus” ซึ่งมีความสามารถสร้างสารพิษอะฟลาทอกซิน และมีหลักฐานว่าแพร่พันธุ์อยู่ในตัวสุสานนั่นเอง
8. ลูกหินเครื่องยิงบัลลิซต้าแห่งความโชคร้าย
นี่คือลูกหินจากเครื่องยิงบัลลิซต้า (หน้าตาาคล้ายๆ หน้าไม้แต่ใหญ่กว่า บางครั้งก็ยิงลูกศรยักษ์แทนหิน) จากช่วงยุคกรีก-โรมัน ซึ่งถูกพบในปี 1989 และถูกขโมยไปจากแห่งโบราณคดีในปี 1995
อย่างไรก็ตามในปี 2015 จู่ๆ เจ้าหินที่หายไปนี้ก็ถูกส่งกลับมาให้พิพิธภัณฑ์ในอิสราเอลพร้อมโน้ตจากหัวขโมย ที่บอกว่าตั้งแต่ที่เขาแอบเอาหินนี้ออกไป ชีวิตของเขาก็ต้องพบแต่โชคร้าย
เริ่มจากธุรกิจที่เคยรุ่งเรืองของเขาได้จบลงอย่างกะทันหันแทบทันทีที่เขาแอบขโมยหินมา แถมต่อมาตนยังถูกครอบครัวทอดทิ้ง และถูกบังคับให้ต้องขายทรัพย์สินชำระหนี้หลีกเลี่ยงการล้มละลายอีกต่างหาก
เรียกได้ว่านี่เป็นหินที่ดูธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาเลยก็คงไม่ผิด
9. รูปวาดเด็กร้องไห้กับ คดีไฟไหม้บ้านลึกลับ
นี่คือภาพที่วาดโดย Bruno Amadio ศิลปินชาวอิตาลีเกิดที่เมืองเวนิสในปี 1911 ผู้ซึ่งมีโอกาสได้ต่อสู้ในสงครามโลกครั้งที่สอง และมีทุกข์ทรมานของเด็กๆ ในระหว่างความขัดแย้งเป็นแรงบันดาลใจ
โดยภาพเด็กร้องไห้นั้นมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 27 ภาพ และเมื่อมีชื่อเสีย(ง)ขึ้นหลังจากในช่วงปี 1985 ซึ่งบ้านที่นำรูปนี้ไปประดับหลายหลังมักต้องพบกับเหตุเพลิงไหม้บ้าน
แต่แม้ว่าจะต้องพบเหตุเพลิงไหม้อยู่บ่อยๆ ก็ตาม นักดับเพลิงกลับรายงานว่า ทุกๆ ครั้งรูปวาดเด็กร้องไห้กลับไม่เคยเสียหายเพราะเปลวเพลิงเลย แม้ในกรณีที่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ จะไหม้ไปหมดก็ตาม
(แม้ว่าหลายๆ คนจะบอกว่านี่เป็นเพียงการตีข่าวของสื่อต่างๆ ในอดีตก็ตาม)
10. วัตถุโบราณแห่งความโชคร้าย จากนครแห่งความตาย “ปอมเปอี”
ปอมเปอีเป็นเมืองโบราณที่ถูกทำลายจากการระเบิดของภูเขาไฟวิสุเวียสในปีคริสต์ศักราช 79 ฝังเอาเมืองทั้งเมืองพร้อมคนข้างในไว้ใต้เถ้าถ่านแห่งภูเขาไฟ
อย่างไรก็ตามเรื่องเกี่ยวกับวัตถุโบราณและความโชคร้ายจากปอมเปอีนั้น เริ่มต้นขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18 เมื่อการขุดค้นทางโบราณคดีเริ่มต้นขึ้นโดยฝีมือของวิศวกรชาวสเปน Roque Joaquín de Alcubierre
ในเวลานั้นปอมเปอีได้ถูกเปิดให้เข้าชมโดยนักท่องเที่ยว และแน่นอนว่าด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาก จำนวนคนมือบอนที่แอบขโมยวัตถุโบราณก็ย่อมที่จะมากตามไปด้วย
แต่ก็เช่นเดียวกับลูกหินเครื่องยิงบัลลิซต้าด้านบน วัตถุโบราณจากปอมเปอีเองก็มักจะถูกส่งกลับมาพร้อมกับจดหมายขอโทษที่บอกว่าตัวเองต้องพบกับโชคร้ายอยู่เสมอหลังขโมยวัตถุโบราณไป
แถมจดหมายที่ว่ายังมีมากถึงเฉลี่ยปีละ 100 ฉบับเลย เรียกได้ว่าทำเอาในช่วงหนึ่งเหล่าผู้เกี่ยวข้องคิดจะเปิดพิพิธภัณฑ์สำหรับ “ของต้องสาป” เหล่านี้โดยเฉพาะกันเลยทีเดียว
ที่มา ancient-origins และ thecollector