หากจะพูดถึงโทนีสักคน ที่เป็นกลางยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ล่ะก็ ชื่อของ “โทนี โครส” น่าจะติดมาอันดับต้นๆ เป็นแน่
ชายหนุ่มจากทางตะวันออกของเยอรมนีคนนี้ ไม่ได้วิ่งเร็วอย่างเหลือเชื่อ ไม่ใช่คนที่จะเลี้ยงหลบคู่แข่งได้ครึ่งทีม และไม่ใช่พวกบ้าหลังวิ่งปะทะคู่แข่งตลอดเกม
แต่สิ่งที่ทำให้เขาเป็นกลางที่ดีที่สุดคนหนึ่ง นั่นก็เพราะเทคนิคความสามารถในการควบคุมลูกฟุตบอล และทำทุกอย่างในสนามให้กลายเป็นเรื่อง “ง่าย” ที่สุดเสมอ
ลองจินตนาการมีเพื่อนส่งลูกบอลมาให้คุณในระยะไกลมากๆ พร้อมกับคู่แข่งวิ่งเข้ามาแย่ง คุณต้องคิดว่าจะใช้เท้าจับบอลอย่างไรให้ควบคุมมันได้ จะหลบคู่แข่งอย่างไร และจะส่งให้เพื่อนคนไหนเล่นต่อ
ทั้ง 3 ขั้นตอนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่โทนีสามารถทำมันได้ทั้งหมดในขั้นตอนเดียว เขาสามารถพักบอลหลอกคู่แข่งพร้อมกับจ่ายมันออกไปให้กองหน้าของทีม ได้อย่างไหลลื่น
การเล่นอย่างมีประสิทธิภาพนี้เอง ทำให้ฟุตบอลของโทนี กลายเป็นฟุตบอลที่ดูง่าย แต่สามารถใช้งานได้จริง และกลายเป็นต้นแบบให้กับเยาวชนทั้งเยอรมันและทั่วโลกได้เห็นว่า..
“การเป็นกลางที่ดี มันต้องทำตัวแบบนี้นะ!!”
หากจะนับรางวัลส่วนบุคคลที่โครสได้รับ แทบไม่หวาดไม่ไหว เพราะเขาได้รับรางวัลส่วนตัวมากกว่า 40 รายการ กระทั่งเกียรติยศอย่างนักกีฬาเยอรมันที่ดีที่สุดในปี 2014 หรือนักฟุตบอลเยอรมันยอดเยี่ยมในปี 2018
ถึงแม้ว่าในด้านรางวัลส่วนตัว เขาจะไม่เคยแตะตำแหน่งของ “นักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก” จากสถาบันใดเลยก็ตาม แต่หากเราพิจารณาจากความสำเร็จในทีมที่เขาลงเล่น
ไม่ว่าจะเป็นการเป็นตัวหลักของ Real Madrid กวาดแชมป์ยุโรป 3 สมัยติดต่อกัน การเป็นหัวใจสำคัญของทีมชาติเยอรมนี คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2014
ตลอดชีวิตการค้าแข้งของเขา ทั้งทีมสโมสรและทีมชาติ เขาลงสนามมากกว่า 556 นัด ทำประตูได้ 84 ประตู ถือเป็นสถิติที่ไม่แย่เลยสำหรับนักเตะผู้เป็นกลางตัวรับ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ตัวเลข 23 คือจำนวนถ้วยรางวัลอย่างเป็นทางการ ที่เขาได้รับในระดับการเล่นฟุตบอลอาชีพ ซึ่งมากกว่านักฟุตบอลระดับท็อปอีกหลายคน
และเราก็ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากองกลางเลือดด๊อยช์แลนด์รายนี้ มีส่วนสำคัญกับการขับเคลื่อนแนวรุกของทีม ให้ประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด
และทั้งหมดนี้ คือเรื่องราวของโทนี โครส นักเตะผู้เป็นกลางปิดทองหลังพระ อันทรงพลังที่สุดคนหนึ่ง ในรอบหลายปีที่ผ่านมา..
เรียบเรียง #ประธานเหมียว