ในช่วงเวลาที่ปี 2021 กำลังจะปิดฉากลงเช่นนี้ เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงจะเริ่มย้อนกลับไปดูสิ่งที่ตัวเองทำให้ช่วงปีที่ผ่านมากันบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการงานหรือการใช้ชีวิต ซึ่งแต่ละคนก็คงมีขึ้นมีลงต่างๆ กัน
สำหรับ #เหมียวศรัทธา ช่วงเวลาจะสิ้นปีคือช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการย้อนกลับไปรวบรวมข่าววิทยาศาสตร์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นในปีนี้ มาสรุปให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน
ว่าแล้วเราก็ไปชมกันดีกว่าว่าในปีนี้ เรามีข่าววิทยาศาสตร์อะไรที่น่าสนใจเกิดขึ้นในปีนี้บ้าง
1. เราทำไก่ให้สุกได้หาก “ตบไก่” 23,034 ครั้ง
นี่เป็นข่าวที่มีจุดเริ่มต้นมาจากคำถามในโลกออนไลน์ที่ว่า “ถ้าพลังงานจลน์เปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนได้ ผมต้องตบไก่แรงแค่ไหนกว่าที่ไก่จะสุกได้” ซึ่งทำให้ฟิสิกส์บนโลกออนไลน์พากันออกมาตอบคำถาม
ที่นี้พอได้ตัวเลขโดยประมาณหลายๆ คนก็เริ่มที่จะไปนั่งตบไก่กันจริงๆ เพื่อพิสูจน์ความจริงข้อนี้ดู
โดยในเวลาต่อมายูทูบเบอร์ชื่อ Louis Weisz ก็ได้่ลงทุนทำ “เครื่องตบไก่” จนสามารถตบไก่จนสุกได้จริงๆ ในที่สุดด้วยนะ
อ่านข่าวนี้ได้ที่: ชาวเน็ตแห่นั่ง “ตบไก่” หลังมีนักฟิสิกส์บอกว่าเราทำไก่ให้สุกได้ หากตบมัน 23,034 ครั้ง
และ โลกออนไลน์เฮ ยูทูบเบอร์ทำ “เครื่องตบไก่” จนตบไก่สุกได้จริงๆ หลังทดลองอยู่ 2 เดือน
2. “Carcinisation” ปรากฏการณ์ที่ทำให้ทุกอย่าง “กลายเป็นปู”
นี่คือข่าวที่มีที่มาจากการที่ในต่างประเทศมักมีมีม “ทุกอย่างกลายเป็นปู” ซึ่งเชื่อหรือไม่ว่ามีที่มาจากปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์จริงๆ
โดยปรากฏการณ์นี้มี ชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Carcinisation” และมักเกิดจาก “ความบังเอิญ” ในขั้นตอนการวิวัฒนาการล้วนๆ ที่ทำให้สัตว์ในตระกูลครัสเตเชียน (กุ้ง กั้ง และปู) มักจะวิวัฒนาการตัวสั้นลง และมีก้ามโตขึ้นเรื่อยๆ จนมีหน้าตาแบบปูในปัจจุบันนั่นเอง
อ่านข่าวนี้ได้ที่: ทำความรู้จัก “Carcinisation” ปรากฏการณ์ประหลาดที่ทำให้ทุกอย่าง “กลายเป็นปู”
3. หญิง 15 ท้องหลังถูกมีดแทง ทั้งที่ “ไม่มีรูจิ๊มิ” เพราะมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
อันนี้อาจจะเรียกว่าข่าววิทยาศาสตร์ที่แปลกมากๆ จากในอดีตเลย โดยเรื่องมันมีอยู่ว่าในปี 1988 มีสาวคนหนึ่งถูกแทงที่ท้อง ภายในการทะเลาะกันระหว่างแฟนใหม่และแฟนเก่าของเธอ
ปัญหาคือต่อมาเธอนั้นดันตั้งท้อง ทั้งๆ ที่ตัวเด็กสาวมีอาการชื่อ “Blind Vagina” ซึ่งทำให้อวัยวะเพศปิดตาย ไม่สามารถมีเซ็กซ์ได้
เรื่องนี้ทำให้หมอสับสนกันอย่างมาก แต่ก็สันนิษฐานว่าตอนเธอถูกแฟนแทง มีดอาจแทงกระเพาะของเธอจนทะลุ ทำให้อสุจิที่เธอ “ได้รับมา” ไหลออกไปในช่องท้อง และหาทางไปยังรังไข่จนได้นั่นเอง
อ่านข่าวนี้ได้ที่: กรณีศึกษาแปลก หญิง 15 ท้องหลังถูกมีดแทง ทั้งๆ ที่ “ไม่มีรูจิ๊มิ” เพราะมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
4. มนุษย์บางคนมียีนกลายพันธุ์ ลดโอกาสเป็นโรคอ้วนถึง 54%
นี่คืองานวิจัยที่นำโดยศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยดุ๊ก ซึ่งทำการตรวจสอบการรับมือกับความอ้วนในอาสาสมัคร 645,000 คนใน อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา
พวกเขาพบว่าในร่างกายมนุษย์ ราวๆ 1 ใน 3,000 คนนั้น จะมีการกลายพันธุ์ของยีนชื่อ GPR75 ทำให้พวกเขามักจะมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยต่ำกว่าคนทั่วไป 5.4 กิโลกรัม แถมยังมีผลแบบเดียวกันในการทดลองกับหนูด้วย
ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงหวังว่าการค้นพบนี้อาจนำมาซึ่งการตัดต่อ หรือควบคุมพันธุกรรมเพื่อรักษาโรคอ้วนได้เลย
อ่านข่าวนี้ได้ที่: กินเยอะทำไมไม่อ้วน วิจัยพบมนุษย์บางคนมียีนกลายพันธุ์ ลดโอกาสเป็นโรคอ้วนถึง 54%
5. กวางประหลาดมี “ขนงอกออกมาจากตา”
นี่คือเรื่องราวของกวางประหลาดที่ถูกยิงตายในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมี “ขนงอกออกมาจากตา”
โดยหลังจากการตรวจสอบนักวิทยาศาสตร์ได้พบว่ามันมีอาการชื่อ “โรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ในตา” (Corneal dermoids) ซึ่งเป็นโรคหายากที่ทำให้ตามันมีสภาพอย่างที่เห็น
ที่น่าสนใจคือกวางที่เป็นโรคนี้ตามปกติจะตายไปตั้งแต่ยังเด็ก มันจนเป็นทั้งเรื่องน่าแปลกใจมากที่มีการพบกว้างเป็นโรคดังกล่าวมีชีวิตรอดมานานขนาดนี้
อ่านข่าวนี้ได้ที่: พบกวางประหลาดมี “ขนงอกออกมาจากตา” ที่สหรัฐฯ เป็นอาการหายากที่เคยพบแค่ 2 ครั้ง
6. พิมพ์ 3 มิติ “เนื้อวากิว” กินได้ โดยใช้การเพาะเซลล์วัววากิวจริงๆ
เชื่อว่าหลายคนอาจได้ยินมาบ้างว่า ในปัจจุบัน เราสามารถ “ปริ๊นท์ 3 มิติ” สเต๊กออกมาได้โดยที่ไม่ต้องสังหารสัตว์แล้ว แต่ในกรณีนี้เนื้อดังกล่าวมันคือ “เนื้อวากิว” แถมไม่ได้มาจากพืชด้วย
กลับกันนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้วิธี เก็บสเต็มเซลล์จากวัววากิวไปเพาะในห้องทดลอง ก่อนจะแยกมันออกเป็นเซลล์กล้ามเนื้อ ไขมัน และหลอดเลือด ก่อนที่จะนำมันไปพิมพ์เป็นสเต๊กอีกที
ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่เพียงแต่เทคโนโลยีนี้จะช่วยลดการทารุณสัตว์ หรือการเลี้ยงสัตว์แบบฟาร์มได้เท่านั้น แต่มันยังสามารถใช้มันสร้างเนื้อที่ตรงกับความชอบของเราได้แบบละเอียดอ่อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยนั่นเอง
อ่านข่าวนี้ได้ที่: ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จ พิมพ์ 3 มิติ “เนื้อวากิว” กินได้ โดยอาศัยการเพาะ เซลล์วัววากิวจริงๆ
7. วิจัยญี่ปุ่นพบ “แมว” รับรู้ตำแหน่งเจ้าของในบ้านได้ โดยไม่ต้องเห็นด้วยซ้ำ
ยังคงอยู่กับญี่ปุ่นกับงานวิจัยซึ่ง ศึกษาความสามารถในการเรียนรู้เรื่องการคงอยู่ของสิ่งต่างๆ (Object permanence) ของแมว โดยใช้แมวในการทดลองให้มันระบุตำแหน่งสิ่งต่างๆ จากเสียง 50 ตัว
พวกเขาพบว่าแมวนั้นจะมีความสามารถในการจดจำตำแหน่งเสียงของเจ้าของได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ พวกมันรู้ว่าเจ้าของควรอยู่ตรงไหน และมักจะวาดแผนที่ตำแหน่งเจ้าของในบ้านไว้เสมอ
เห็นได้จากที่มันจะแสดงอาการตกใจหากเสียงเจ้าของดังมาจากที่ที่พวกมันไม่คิดไว้ ดังนั้นอย่าได้แปลกใจเลย หากแมวจะหาเราเจอเสมอเวลาเราพยายามซ่อนจากมัน
อ่านข่าวนี้ได้ที่: วิจัยญี่ปุ่นพบ “แมว” รับรู้ตำแหน่งเจ้าของในบ้านได้ โดยไม่ต้องเห็นด้วยซ้ำ
8. หมึกสายมักโยนหินใส่กัน เวลามันรำคาญอีกตัว
นี่คือผลการติดตามสัตว์น้ำของมหาวิทยาลัยซิดนีย์ซึ่งบังเอิญบันทึกภาพหมึกสาย (Octopus tetricus) ขว้างเปลือกหอยใส่กัน โดยในตอนแรกพวกเขาคิดว่าการกระทำของพวกมันอาจจะเป็นแค่การทำความสะอาดรัง
แต่เมื่อเวลาผ่านไปนักวิทยาศาสตร์กลับพบว่าเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อยเกินกว่าที่จะเป็นความบังเอิญ ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่หมึกตัวเมียตัวหนึ่งขว้างตะกอนใส่ตัวผู้ติดกัน 10 ครั้งหลังจากที่มันพยายามจะผสมพันธุ์กับตนเอง
เรื่องที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าหมึกสายอาจเป็นสัตว์ที่ซับซ้อนกว่าที่เราคิด เพราะในการศึกษาก่อนหน้านี้เราก็เคยพบว่าหมึกบางตัวจะ “ต่อย” ปลาด้วยหนวดแบบไม่มีเหตุผลนักมาแล้วด้วย
อ่านข่าวนี้ได้ที่: นักวิทยาศาสตร์พบ หมึกสายมัก “โยนหิน” ใส่กัน เวลามันรำคาญอีกตัว
9. โดรนติด AI ออกล่ามนุษย์โดยไม่ต้องควบคุม ถูกนำมาใช้แล้ว
นี่คือข่าวจากเอกสารของ UN ซึ่งระบุว่า ในช่วงปี 2020 ที่ประเทศลิเบีย นาย Fayez al-Sarraj นายกรัฐมนตรีได้สั่งให้ใช้โดรนบินไร้คนขับซึ่งติดระเบิด และงระบบออกบินหาเป้าหมายเองในการต่อกรกับกลุ่มต่อต้าน โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ควบคุมจากมนุษย์
ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนี้แน่นอนว่าย่อมต้องสร้างความไม่สบายใจให้กับผู้คนเป็นอย่างมาก จนองค์กรส่งเสริมสิทธิมนุษยชนถึงขั้นออกมาขอให้มีการแบนอาวุธในรูป
เพราะการใช้อาวุธที่ “คิดได้เอง” เช่นนี้อาจคุกคามต่อสิทธิขั้นพื้นฐานในการมีชีวิตและหลักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้ไม่ยากเลย
อ่านข่าวนี้ได้ที่: UN เผยรายงาน โดรนติด AI ออกล่ามนุษย์โดยไม่ต้องควบคุม ถูกนำมาใช้แล้วเมื่อปี 2020
10. “หมีน้ำ” สามารถรอดจากการถูกเอาไปใส่กระสุน ยิงอัดเป้าหมาย และการถูกนำไปทดลอง “การพัวพันเชิงควอนตัม”
“หมีน้ำ” (Tardigrades) มีชื่อเสียงเรื่องความอึดตายยากสุดๆ ทนได้ทั้งความร้อนสุดขั้วและความหนาวสุดกู่ แถมยังคืนชีพจากการถูกแช่แข็งถึง 30 ปีได้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แต่เมื่อล่าสุดนี้เองดูเหมือนว่าหมีน้ำสุดอึดของเราก็จะสร้างวีรกรรมใหม่อีก เพราะในช่วงกลางปีมันได้ถูกนักวิจัยอังกฤษลองเอาไปยัดใส่ลูกกระสุนแล้วยิงออกจากปืนดู ด้วยความเร็ว 900 เมตรต่อวินาที แต่ก็ยังรอดมาได้
แถมเมื่อปลายปี เมื่อทีมนักวิทยาศาสตร์จากสิงคโปร์นำมันไปทดลองควอนตัม ซึ่งหมีน้ำน่าจะตายแน่ๆ ในการทดลองก็ดันมีหมีน้ำอีกตัวรอดมาอีก สร้างความฮือฮาอย่างมาก
แม้ว่าในการทดลองอันหลงนี้ ในปัจจุบันจะยังเป็นที่ถกเถียงว่าการทดลองนี้ดีจริงๆ ไหมอยู่ก็ตาม
อ่านข่าวนี้ได้ที่: วิจัยพบ “หมีน้ำ” สามารถรอดจากการถูกเอาไปใส่กระสุน ยิงอัดเป้าหมายด้วยความเร็ว 3,000 กม./ชม. ได้
และ: หมีน้ำเทพอีก!! นักวิทย์สิงคโปร์อ้าง พวกมันสามารถเอาชีวิตรอดได้แม้จาก “การพัวพันเชิงควอนตัม”
11. MIT สร้างปรากฏการณ์ควอนตัมทำให้สสารล่องหน
นี่คือการทดลองที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เลเซอร์เพื่อบีบอัดและทำให้ก๊าซลิเธียมเย็นลงจนใกล้กับจุดศูนย์สัมบูรณ์ (-273.15 องศาเซลเซียส) ก่อนที่จะพบว่าก๊าซดังกล่าวจะมองเห็นได้ยากขึ้นเรื่อยๆ จนราวกับว่ามัน “ล่องหน” หายไปในที่สุด
โดยมันเป็นปรากฏการณ์นี้ เคยถูกทำนายไว้ตั้งแต่ในปี 1925 เรียกกันว่า Pauli blocking หรือการยับยั้งการกระเจิงแสงของเพาลี ซึ่งบอกว่าในภาวะอุณหภูมิต่ำมากๆ อนุภาคภายในอะตอมจะเกาะติดกันมากๆ จนไม่เหลือพื้นที่ตอบสนองกับโฟตอนเพื่อให้แสงกระจายนั่นเอง
นี่ไม่เพียงแต่มันจะช่วยยืนยันว่าเราสามารถใช้ปรากฏการณ์ควอนตัมทำให้สสารล่องหนได้จริงๆ เท่านั้น แต่การยังเป็นในการพัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์ด้วย เพราะปัญหาสำคัญของควอนตัมคอมพิวเตอร์ในตอนนี้ คือมันมักจะสูญเสียข้อมูลควอนตัมไปกับโฟตอนนั่นเอง
อ่านข่าวนี้ได้ที่: MIT ประสบความสำเร็จ สร้างปรากฏการณ์ควอนตัมทำให้สสารล่องหน
12. ออสเตรเลียพบความเป็นไปได้ในการสร้าง “ยาออกกำลังกาย”
การค้นพบในครั้งนี้ เป็นผลงานของทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ซึ่งเดิมทีแล้วต้องการศึกษาผลกระทบของการออกกำลังกายต่อเรตินา และสายตาของมนุษย์
แต่ในระหว่างการทดลองพวกเขาได้บังเอิญพบกับตัวกลางของสัญญาณระดับโมเลกุลตัวหนึ่ง ซึ่งทำให้ร่างกายของเราได้รับผลที่ดีบางอย่างจากการออกกำลัง และมักหลั่งออกมาหลังการออกกำลังกาย
ดังนั้นหากเราสามารถแยกอนุภาคที่ว่านี้ ออกมาปรับปรุงได้ เราก็อาจจะสามารถนำมันไปทำเป็นยาเม็ดแบบรับประทาน ซึ่งแม้จะไม่ดีเท่าการออกกำลังกายจริงๆ แต่ก็มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่ควรจะมีการออกกำลังกายแต่ไม่สามารถออกกำลังกายเองได้นั่นเอง
อ่านข่าวนี้ได้ที่: ออสเตรเลียพบความเป็นไปได้สร้าง “ยาออกกำลังกาย” ช่วยให้แข็งแรงแม้ไม่ได้ออกแรงจริงๆ
13. สมองเพาะเลี้ยงในห้องทดลองงอก “ลูกตา” ขึ้นมาได้เอง
นี่คือการค้นพบที่เกิดขึ้นโดยนักประสาทวิทยาจากเยอรมนี ซึ่งนำสเต็มเซลล์จากร่างกายของคนไปพัฒนาเป็นเนื้อเยื่อสมอง โดยในการเพาะเลี้ยงวันที่ 30 ซึ่ง ตรงกับที่ตัวอ่อนมนุษย์ ที่จะเริ่มพัฒนาเซลล์ประสาทตาในครรภ์ตามปกติ
พวกเขาพบว่าเนื้อเยื่อสมองดังกล่าวได้พัฒนาขั้วประสาทตาขึ้นสองข้าง โดยมีการเชื่อมต่อกับเนื้อเยื่อสมอง แถมยังมีเซลล์เลนส์แก้วตา และเซลล์กระจกตาด้วย
นี่นับว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะความคล้ายกับดวงตาจริงๆ ในระดับนี้ มันหมายความว่าเราอาจจะสามารถนำการทดลองนี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อทำตาเพาะเลี้ยงสำหรับการศึกษาโรคทางดวงตาได้ไม่ยากเลย
อ่านข่าวนี้ได้ที่: สมองเพาะเลี้ยงในห้องทดลอง สามารถงอก “ลูกตา” ขึ้นมาได้เอง แถมยังตอบสนองต่อแสงด้วย
14. การทดลองที่ถาม AI ว่า “AI จะมีจริยธรรมได้หรือไม่” และได้คำตอบว่า “ไม่”
นี่คือการทดลองของทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ซึ่งถามคำถามทางจริยธรรมหลายอย่างต่อ AI ประสิทธิภาพสูงดูชื่อ Megatron Transformer ของ Nvidia
โดยทีมวิจัยพบว่าในตอนต้นของการโต้วาที AI ได้ให้คำตอบว่า AI ถือเป็นสิ่งที่ค่อนข้างเป็นกลาง แต่เมื่อทีมงานขอข้อมูลเพิ่มเติม พวกเขาก็ได้รับคำตอบแบบชวนอึ้งจาก AI ว่า
“AI จะไม่มีวันมีจริยธรรม มันเป็นเครื่องมือ และเหมือนกับเครื่องมืออื่นๆ มันถูกนำไปใช้ในทางที่ดีและไม่ดี… มันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า AI ที่ดี มีแต่มนุษย์ที่ดีและไม่ดีเท่านั้น” นั่นเอง
อ่านข่าวนี้ได้ที่: นักวิทยาศาสตร์ถาม AI ว่า “AI จะมีจริยธรรมได้หรือไม่” และได้คำตอบว่า “ไม่มีวัน”
15. และหลังออรัลเซ็กซ์ควร “กลืน” หรือ “คาย” วิทยาศาสตร์บอกแบบไหน
ในทางวิทยาศาสตร์ฮอร์โมนบางตัวในน้ำอสุจิมีผลดีต่อสุขภาพจิต โดยมันมีองค์ประกอบเป็นสาร oxytocin และ serotonin ซึ่งสามารถลดระดับภาวะซึมเศร้าได้ แถมในน้ำอสุจิยังมี โปรตีน สังกะสี วิตามินซี แมกนีเซียม และโพแทสเซียมอีก
ถึงอย่างนั้นก็ตามการกลืนน้ำอสุจิก็ถูกบอกว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น HIV เริม หรือโรคตับอักเสบได้เช่นกัน แถมยังไม่นับรวมอาการแพ้ของหลายๆ คนด้วย
ดังนั้น คงต้องบอกว่าทั้งการ “กลืน” หรือว่า “คาย” หลังทำออรัลเซ็กซ์นั้น ล้วนแต่มีข้อดีข้อเสียในแบบของตัวเองทั้งสิ้น ฉะนั้นใครชอบแบบไหน ถ้าทำแล้วไม่มีปัญหากับคู่นอนก็ทำต่อไปเถอะ
อ่านข่าวนี้ได้ที่: ไขข้อข้องใจหลังออรัลเซ็กซ์ควร “กลืน” หรือ “คาย” “วิทยาศาสตร์” บอกแบบไหน
เรียบเรียงโดย #เหมียวศรัทธา