เป็นเรื่องที่รู้กันว่าบางครั้งการค้นพบที่สำคัญๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นโดยมือของนักโบราณคดีเสมอไป เพราะในบางครั้งคนธรรมดาๆ ก็ค้นพบสิ่งที่ไม่น่าเชื่อจากความบังเอิญล้วนๆ ได้เช่นกัน
เรื่องในคราวนี้เกิดขึ้นเมื่อหญิงสาวผู้ไม่ประสงค์ออกนามคนหนึ่งเดินผ่านสุสานใกล้ๆ เมืองโบราณชื่อ Beit She’an ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิสราเอล ในวันที่ฝนตก
ในตอนนั้นเองเธอก็บังเอิญเหลือบไปเห็นส่วนบนของก้อนหินประหลาด ที่มีรูปร่างคล้ายศีรษะมนุษย์ โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินที่ถูกน้ำฝนชะ จึงได้ตัดสินใจแจ้งการค้นพบให้กับเจ้าหน้าที่กระทรวงโบราณวัตถุของอิสราเอล
พวกเขาส่งทีมเข้าขุดค้นพื้นที่สุสานที่ Beit She’an หลังจากนั้น และพบว่าก้อนหินที่หญิงสาวผู้ไม่ประสงค์พบนั้น แท้จริงแล้วมีอยู่ถึงสองอัน แถมยังเป็นรูปสลักโบราณที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1,700 ปีอีกด้วย
นี่เป็นรูปสลักที่แกะขึ้นจากหินปูน ที่มีน้ำหนักมากถึงชิ้นละ 30 กิโลกรัมจากสมัยโรมันโบราณ โดยเป็นรูปของชายหญิงคู่หนึ่ง และคาดกันว่าเป็นรูปสลักที่ทำให้ผู้ที่เสียชีวิตตามประเพณีของเมืองโรมันโบราณบางแห่ง
รูปสลักในรูปแบบนี้ มักจะถูกเรียกกันว่า “Protomae” ซึ่งตามปกติแล้วที่รูปสลักจะมีชื่อของผู้ตายสลักเอาไว้ด้วย แต่น่าแปลกที่รูปสลักที่มีการค้นพบในครั้งนี้ไม่ได้มีการสลักชื่อไว้แต่อย่างใด
การค้นพบเหล่านี้ทำให้นักโบราณคดีตั้งข้อสันนิษฐานว่าชาวเมือง Beit She’an ในสมัยก่อนอาจจะไม่ได้มีเชื่อสายมาจากชาวยิวหรือสุเมเรียนเหมือนกับคนในพื้นที่ใกล้เคียงก็เป็นได้ เพราะการตกแต่งภาพของคนตายไว้ที่หลุมศพเป็นหนึ่งในข้อห้ามของฮีบรูไบเบิล
อย่างไรก็ตามรูปสลักที่มีการค้นพบในครั้งนี้นั้น ไม่ใช่รูปสลักแบบ Protomae ชิ้นแรกที่มีการค้นพบในประเทศ เพราะตั้งแต่ในศตวรรษที่ 19 มาที่อิสราเอลก็มีการค้นพบรูปสลัก Protomae มากมายหลายแบบจากผู้สร้างที่ต่างกันมาแล้ว
แต่แม้ว่าจะเคยมีการค้นพบมาหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่นักโบราณคดีก็ยังคงให้ความสนใจกับการค้นพบในครั้งนี้มากอยู่ดี เพราะมันมีความเป็นไปได้ว่าในสุสานแห่งนี้จะยังมีรูปสลักที่ยังไม่มีการค้นพบมาก่อน อยู่อีกหลายชิ้นเลยทีเดียว
ที่มา ancient-origins, timesofisrael
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.