นักวิทย์ค้นพบว่า ‘วงแหวนของดาวเสาร์’ กำลังค่อยๆ หายไป และมันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้!!

หลายคนคงจะจำ ‘ดาวเสาร์’ ได้ จาก ‘วงแหวน’ ขนาดใหญ่ที่อยู่รอบดาว แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าในอนาคตข้างหน้า วงแหวนที่ว่านั้นอาจจะหายไป และมันอาจจะเร็วกว่าที่เราคิดไว้!?

 

 

หากย้อนกลับไปในปีช่วงปี 1980 ยาน Voyager ของ NASA ได้เดินทางไปถึงดาวเสาร์เพื่อทำการสำรวจ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทราบถึงเรื่องดังกล่าวนี้

ซึ่งวงแหวนของดาวเสาร์จะประกอบไปด้วยหินและก้อนน้ำแข็ง เรียงตัวกันอัดแน่นเป็นแผงขนาดใหญ่มีความยาวโดยประมาณถึง 280,000 กิโลเมตร

 

 

และบรรดาฝุ่นกับน้ำแข็งทั้งหลายเหล่านั้นก็เกิดการชนและเสียดสีกัน ส่วนที่เป็นน้ำแข็งก็กลายเป็นไอ ก่อตัวเป็นโมเลกุลน้ำไปทำปฏิกิริยากับสนามแม่เหล็กของดาวเสาร์

 

 

และท้ายที่สุดก็จะตกลงสู่ดาวเสาร์แต่เมื่อเข้าสู่ชั้นบรรยากาศก็ถูกความร้อนทำให้ระเหิดหายไป ขณะเดียวกันบรรดาส่วนที่เป็นหินกับฝุ่น ก็จะถูกสนามแม่เหล็กดึงดูดให้ตกลงไปเช่นกัน

 

 

จากข้อมูลที่เก็บมาได้พบว่าเศษหินในวงแหวนของดาวเสาร์ กำลังตกลงไปสู่ภาพพื้นดินเป็นจำนวน 10,000 กิโลกรัมต่อวินาที ซึ่งเป็นความเร็วขนาดที่ว่าสามารถเติมสระว่ายน้ำที่ใช้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกให้เต็มได้ภายในระยะเวลาแค่ 30 นาที

ด้วยความเร็วขนาดนี้ทำให้วงแหวนของดาวเสาร์จะค่อยๆ หายไปภายในระยะเวลา 300 ล้านปี แต่หลังจากที่ส่งยาน Cassini ไปถึงดาวเสาร์เมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา ก็พบเรื่องที่น่าตกใจกว่านั้น เพราะความเร็วจากการสูญสลายหายไปของวงแหวนดาวเสาร์มันมากกว่าที่คิดเอาไว้

 

 

จนตอนนี้ NASA ได้คาดการณ์เอาไว้ว่ามันคงเหลือเวลาราวๆ อย่างน้อยอีก 100 ล้านปีเท่านั้น ก่อนที่วงแหวนของดาวเสาร์จะหมดไป และดาวเสาร์ก็จะกลายเป็นดาวกลมเกลี้ยง เหมือนโลกของเรา

อย่างไรก็ตามจากข้อมูลของยาน Cassini ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทราบว่าแต่เดิมทีแล้วดาวเสาร์ก็ไม่ได้เป็นดาวที่มีวงแหวนมาก่อนแต่อย่างใด แต่เพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อราวๆ 100-200 ล้านปีก่อนเท่านั้น นั่นหมายความว่าไดโนเสาร์ยังเกิดก่อนเสียอีก!!

 

 

James O’Donoghue หัวหน้างานวิจัยของ NASA ระบุเอาไว้ว่ามนุษยชาติของเรานั้นโชคดีมากๆ ที่ได้เกิดมาและมีโอกาสได้เห็นวงแหวนของดาวเสาร์พอดี!!

 

ที่มา : businessinsider, natgeo

Comments

Leave a Reply