ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าวัยทำงานในยุคปัจจุบันกลายเป็นโรคบ้างาน (แบบไม่มีทางเลือก) หากใครก็ตามที่ทำงานประจำแต่ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ (ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด) ก็ต้องรับงานมารับผิดชอบต่อที่บ้าน หรือไม่ก็ต้องรับงานมาทำทั้งๆ ที่ลาหยุดพักร้อนไปแล้วก็ตาม…
การทำงานนอกเวลา ในสภาวะที่เกินขีดจำกัดของลูกจ้าง ก็ยังคงเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก โดยที่เจ้านายหรือหัวหน้า ผู้มีตำแหน่งสูงกว่า ต่างมองข้ามในเรื่องของอาการเจ็บป่วยของพนักงาน
ดั่งเช่นเรื่องราวของชาวเน็ตนามว่า benisaboringname กับประสบการณ์ส่วนตัวผ่านบอร์ด reddit
เอางั้นก็ได้ ผมจะสไกป์คุยกับลูกค้า แม้ผมจะไม่มีเสียงเหลือแล้วก็ตาม…
เขาทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาด ที่ต้องเจอกับเจ้านายสุดโหด ที่ยกความต้องการของตนเหนือลูกจ้าง แม้จะป่วยจนทำงานไม่ได้ แต่ก็ยังถูกบังคับให้ทำงาน… เขาจึงต้องแก้แค้นตอกฝังโลงให้สาสมกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“เล่าถึงภูมิหลังของผมสักนิดหน่อย ผมทำงานในฝ่ายการตลาด และจัดการบัญชีของลูกค้าสำหรับงานด้านธุรกิจ และผมได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าทีมของฝ่ายจัดการบัญชี ผมเป็นเพียงผู้ถือหุ้นรายย่อยในธุรกิจนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว ผมนี้จะต้องทำให้มั่นใจได้ว่า ธุรกิจของผมจะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล
ในฐานะหนึ่งในพนักงานที่ทำงานมานาน เมื่อได้รับการเลื่อนขั้นครั้งล่าสุด ผมก็ได้รับหุ้นส่วนเพิ่มเติมจากธุรกิจนี้ด้วย จากการเป็นหนึ่งในพนักงานอาวุโส ผมถือหุ้นอยู่ประมาณ 5-7% จากบริษัท (จำจำนวนที่แน่นอนไม่ได้)
และในฐานะผู้ถือหุ้น คุณคงคิดว่ากรรมการผู้จัดการ (MD) จะเข้าใจว่าผมต้องการให้ธุรกิจทำกำไรได้มากที่สุด แต่ทว่า พวกเขากลับไม่จริงจังกับมันเลยแม้แต่น้อย และมักจะเล่นนอกลู่นอกทางเพื่อใช้เป็นบ่อนทำลายผม
ในขณะที่สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมควรจะกลับมาทำงานในวันพุธหลังจากหยุดช่วงคริสต์มาส แต่โชคไม่ดี ในสัปดาห์ที่ผมควรจะกลับมาทำงาน ผมดันล้มป่วยจนไม่มีเสียงจะพูด (ยังไม่รวมปัญหาอื่นๆ ที่ทำให้ไปถึงออฟฟิศไม่ได้) ผมทำตามขั้นตอนและส่งข้อความไปหา MD รวมถึงฝ่าย HR เพื่อแจ้งให้พวกเขาทราบถึงสถานการณ์ของผม
เช่นเดียวกัน พวกเราเพิ่งจะอัพเกรดระบบจัดการโปรเจกต์ใหม่ และต้องอาศัยความเอาใจใส่เป็นพิเศษเพื่อให้มันทำงานเป็นไปตามระบบ เพราะฉะนั้นผมจึงคิดใช้ความได้เปรียบจากอาการป่วย นอนเป็นผักอยู่บนเตียงและทำงานผ่านระบบจัดการโปรเจกต์ที่บ้าน
พอผ่านไปได้ครึ่งวัน ผมได้รับข้อความจาก MD ระบุว่า ‘สวัสดี คุณ Ben อย่างที่คุณทราบ ผมอยากจะได้ (ชื่อบริษัทการท่องเที่ยวขนาดใหญ่) มาเป็นลูกค้าของเรา
ในขณะที่พวกเขากำลังจะกลายมาเป็นลูกค้าของคุณในอนาคต ผมอยากจะให้คุณร่วมสนทนากับพวกเขาผ่าน Skype ในช่วงบ่ายนี้หน่อย’
บทสนทนาที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ระหว่างผมกับกรรมการผู้จัดการ
ผม: ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้ อย่างที่คุณทราบ ผมไม่มีเสียงพูดแล้ว และผมเพิ่งจะนอนพักอยู่บนเตียงเพื่อทำงานในระบบจัดการโปรเจกต์อยู่
MD: ไม่ได้ ผมต้องการให้คุณคุยกับลูกค้า มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า
ผม: ผมบอกคุณไปแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ผมไม่จำเป็นจะต้องทำงานในระบบนี้ด้วยซ้ำ เพราะผมป่วยจนไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ คุณก็ทราบแล้ว เพราะฉะนั้นในสิ่งที่คุณขอผม ผมให้ไม่ได้
MD: ผมไม่สนหรอก คุณอาจจะเป็นถึงผู้อำนวยการก็จริง แต่ก็ยังมีฐานะเป็นพนักงานลูกจ้างอยู่ ผมมั่นใจว่าเงินปันผลของคุณจะได้รับผลกระทบ หากเราเสียลูกค้ารายใหญ่รายนี้ไป
จนสุดท้ายแล้ว ผมไม่อยากให้เงินปันผลของผมจะไปกระทบกับผลประกอบการของไตรมาสหน้า ผมจึงตัดสินใจโทรหาผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของบริษัทท่องเที่ยวรายใหญ่นี้ ผมไม่เปิดกล้องและพยายามอธิบายผ่านตัวอักษรว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น
พวกเราพยายามสื่อสารกันเท่าที่จะทำได้ พวกเขาพูดผ่านไมโครโฟน ส่วนผมพูดผ่านระบบการแชตตัวอักษร ต่างฝ่ายต่างเห็นพ้องกันว่าคุยกันไม่ได้ความสักที
พวกเขาจึงตกลงว่า ผมควรจะโทรกลับไปหาพวกเขาอีกครั้ง เมื่อผมหายดีแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในวันถัดมา ผมยังไม่หายป่วยดีและได้รับข้อความจาก MD คนดีคนเดิม ระบุว่าต้องการให้ผมเข้าออฟฟิศ เพื่อเข้าประชุมครั้งสำคัญอีกแล้ว นั่นหมายความว่าต่อให้คุณนอนตายติดคาเตียง คุณก็จะต้องคอลล์เข้าร่วมประชุม หรือไม่ก็ต้องลากตัวเองเข้าออฟฟิศให้ได้
เมื่อผมไปถึงออฟฟิศ ทั้ง MD และฝ่าย HR พร้อมกับผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ นั่งรออยู่บนเก้าอี้ห้องประชุมกันหมดแล้ว ผมรู้ได้ทันทีว่าเป็นเพราะเมื่อวานแน่ๆ เพราะไม่มีเหตุใดที่จะต้องทำให้หัวหน้าฝ่าย HR คลานออกมาจากถ้ำของตัวเอง
ผมถูกสั่งให้นั่งลง และฝ่าย MD หน้าตาดูไม่สบอารมณ์มากๆ เขาเปิดอีเมลให้ผมอ่าน เป็นอีเมลจากผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของบริษัทท่องเที่ยวรายใหญ่เมื่อวาน
โดยระบุว่า MD คนนี้ไม่มีความเป็นมืออาชีพ เนื่องจากบังคับให้ผมคอลล์หาลูกค้า อีกทั้งยังบอกว่าพวกเขาจะพิจารณาอีกครั้งกับการใช้บริการของพวกเขา
ส่วนผู้อำนวยการฝ่าย HR ผู้ที่ถูกชักจูงด้วยอำนาจมืดของ MD คนนี้ จี้ให้ผมอธิบายกับสิ่งที่เกิดขึ้น และทำไมถึงไม่แจ้งว่าผมมีปัญหา
ผมจึงขอฉายภาพบนหน้าจอ เพื่อแสดงให้ฝ่าย HR ได้เห็นหลักฐานการแชต ระหว่างผมกับ MD ผ่านจากโทรศัพท์ของผม และหลังจากที่ผ่านการย่างสด เผา MD ต่อหน้า HR พวกเราจึงแยกทางกัน ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นประสบการณ์การเรียนรู้กันไป
ผ่านไปได้ 6 วัน เมื่อวานผมได้ติดต่อผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อจัดจ้างของบริษัทท่องเที่ยวอีกครั้ง พวกเขายินดีและยืนยันที่จะมาใช้บริการกับพวกเรา เว้นเสียแต่ต้องติดต่อผ่านผมเท่านั้น แทนที่จะเป็น MD หัวองคชาตคนนั้น”
และเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็จบลง อย่างที่เจ้าตัวคิดว่าน่าจะจบแล้ว…
ที่มา: reddit, boredpanda
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.