ตั้งแต่ในอดีต การประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณชนมักจะมีเหตุผลเพื่อข่มขวัญประชาชนหรือศัตรู ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วิธีประหารชีวิตหลายๆ อย่างในประวัติศาสตร์จึงออกมาดูโหดร้ายทารุณ
และหนึ่งในบรรดาการประหารสุดโหดเหล่านั้น ก็ยังมีการประหารที่ฟังดูออกจะเวอร์เกินจริง อย่างการนำร่างของเหยื่อไปผูกติดกับปืนใหญ่ก่อนจะจุดชนวนเป่าร่างของพวกเขาเป็นชิ้นๆ อยู่ด้วย
การประหารในรูปแบบนี้เรียกกันว่า “การประหารด้วยปืนใหญ่” หรือ “ระเบิดด้วยปืน” มันเป็นการประหารที่เชื่อกันว่าใช้งานมาตั้งแต่ในศตวรรษที่ 16 โดยจักรวรรดิโมกุล และถูกใช้งานมาจนถึงช่วงศตวรรษที่ 20 โดยทหารจากหลากหลายประเทศ
George Carter Stent (1833-1884) ทหารผ่านศึกผู้ผันตัวเป็นนักเขียนในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ได้ทำการอธิบายการประหารในรูปแบบนี้ไว้ว่า
“เมื่อปืนใหญ่ยิงออกไป ศีรษะของนักโทษจะโดนแรงระเบิดปลิวขึ้นไปบนฟ้า แขนปลิวไปทางซ้ายขวา ขาตกลงไปใต้ปากกระบอกปืน ส่วนตัวของนักโทษกระจายไปไม่เหลือชิ้นดี”
ดูเหมือนว่าการประหารแบบนี้จะเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในช่วงการปฏิวัติของอินเดียในปี 1857 การทำแบบนี้จะทำให้ร่างของนักโทษไม่สามารถนำไปทำพิธีทางศาสนาของชาวมุสลิมและชาวฮินดูได้ ดังนั้นการถูกประหารเช่นนี้จึงถูกมองว่าโหดร้ายยิ่งกว่าความตาย
อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับการประหารชีวิตอื่นๆ การประหารด้วยปืนใหญ่เริ่มสูญเสียความนิยมไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา ทำให้การประหารเช่นนี้ถูกจัดขึ้นครั้งสุดท้ายก็ที่อัฟกานิสถานเมื่อปี 1930 เลยทีเดียว
(บางแหล่งข้อมูลบอกว่าแม้แต่ในปี 2012 เกาหลีเหนือก็เคยมีการประหารในลักษณะนี้เช่นกัน แต่ในเวลานั้นนักโทษถูกบังคับให้ไปยืนที่จุดตกของปืนครก ดังนั้นจึงไม่อาจนับได้ว่าเหมือนกันเท่าไหร่)
ที่มา vintag, strangehistory
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.