เกาะนีเฮา “เกาะต้องห้ามแห่งฮาวาย” ที่ยังวัฒนธรรมโบราณไว้ แม้ผ่านกาลเวลากว่า 150 ปี

ในหมู่เกาะฮาวาย ห่างออกไปจากเกาะคาไวราวๆ 27-28 กิโลเมตร ยังมีเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง ที่กลายเป็นเขตหวงห้ามมาอย่างยาวนานกว่า 150 ปี จนได้รับชื่อว่า “เกาะต้องห้ามแห่งฮาวาย” เกาะปิดซึ่งน้อยคนนักจะรู้จัก ที่เก็บเอาวัฒนธรรมโบราณของฮาวายเอาไว้อย่างยาวนาน

 

 

นี่คือเกาะที่มีชื่อว่า “นีเฮา” สถานที่ซึ่ง เอลิซาเบท ซินแคลร์ แม่ม่ายชาวสกอตแลนด์ทำสัญญาซื้อขายมาจากพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 (สัญญานี้ถูกลงนามอย่างเป็นทางการโดยพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 5 ในปี 1864) โดยให้เหตุผลว่าจะใช้งานเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์

เดิมทีแล้วพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 ได้คิดจะมอบดินแดนที่ดีกว่านี้อย่างโฮโนลูลูและไวกิกิแก่ซินแคลร์อย่างไรก็ตามหญิงสาวได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้ไปเพราะเห็นว่าเกาะนีเฮาน่าจะเหมาะสมกับครอบครัวของเธอมากกว่า

 

พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 (ครองราชย์ 1855-1863)

 

ดังนั้นพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 จึงมอบเกาะแห่งนี้ให้กับซินแคลร์ภายใต้คำสัญญาที่ว่า หากวันหนึ่งฮาวายไม่ได้แข็งแกร่งอย่างในเวลานั้น เขาอยากจะให้ซินแคลร์ค่อยช่วยเหลือคนบนเกาะด้วย

แน่นอนว่าซินแคลร์และตระกูลของเธอจดจำคำขอร้องของพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 เอาไว้เป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเธอจึงปฏิเสธที่จะมอบเกาะนี้ให้ชาวตะวันตกอย่างเด็ดขาดในช่วงเวลาที่หมู่เกาะฮาวายโดนล่าอาณานิคม

และก็เป็นในช่วงเวลานี้เองที่ซินแคลร์ตัดสินใจปิดเกาะตัดขาดจากโลกนอกอย่างจริงจัง และไม่ให้ใครเลยเข้าไปยังเกาะ แม้กระทั่งชาวเกาะคาไวที่อยู่ใกล้ๆ ก็ตาม

 

ภาพคนบนเกาะที่ถ่ายเก็บไว้โดยฟรานซิส ซินแคล บุตรชายของเอลิซาเบท ซินแคลร์

 

จากคำบอกเล่าของตระกูลโรบินสันที่เป็นลูกหลานของซินแคลร์ ดูเหมือนว่าเหตุผลที่พวกเขาปิดเกาะจะมาจากความพยายามป้องกันโรคภัยจากโลกภายนอกอย่างหัดหรือโปลิโอ (แม้ว่าบนเกาะจะมีเด็กติดโรคทั้งสองไปแล้วราวๆ 11 คนก็ตาม)

ตั้งแต่ในวันนั้นมาตระกูลของซินแคลร์ก็ต้องต่อสู้กับรัฐบาลใหม่ของเกาะฮาวายเรื่อยมาเพื่อ ปกป้องวิถีชีวิตของชาวฮาวายดั้งเดิมที่อยู่บนเกาะ และผ่านบททดสอบมากมายทั้งสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเย็น ถึงอย่างนั้นเกาะแห่งนี้ก็ยังคงความเป็นเกาะต้องห้ามมาได้จนถึงปัจจุบัน

 

 

แต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงทางโลกและเทคโนโลยีของโลก ก็ทำให้ในปัจจุบันคนบนเกาะมีการติดต่อเดินทางออกมายังโลกภายนอกบ่อยขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากในเกาะมีอัตราการว่างงานที่สูง และจำเป็นที่จะต้องอาศัยเงินจากการท่องเที่ยว

นั่นหมายความว่าแม้เกาะแห่งนี้จะได้ชื่อว่าเป็นเกาะต้องห้ามก็ตาม แต่ในความเป็นจริงเกาะนี้กลับเปิดรับคนภายนอกมากกว่าที่คิด และแม้คนบนเกาะจะยังมีการรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมเอาไว้เป็นอย่างดีก็ตาม แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะต้อนรับแขกที่ได้รับอนุญาตให้มาเยือนด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

 

 

ที่มา allthatsinteresting

Comments

Leave a Reply