จากวันที่ “รูด็อล์ฟ เฮ็ส” คณะรัฐมนตรีของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์และผู้ทรงอำนาจสูงสุดอันดับสามของนาซีเยอรมันโดนจับเข้าคุกตลอดชีวิตในปี 1947 ตลอดเวลากว่า 70 ปีที่ผ่านมาโลกของเราก็มีกลุ่มคนมากมายที่เชื่อว่าชายคนนี้ถูกสลับตัวออกไปจากในคุก และรูด็อล์ฟนั้นจริงๆ แล้วไม่ได้รับโทษแต่อย่างใด
เรื่องราวเหล่านี้กลายเป็นทฤษฎีสมคบคิดที่มีคนเห็นด้วยเป็นจำนวนมาก จนในที่สุดนักวิทยาศาสตร์จึงได้ตัดสินใจที่จะแก้ไขแนวคิดเหล่านี้ ด้วยการพิสูจน์ DNA เสียเลย
คงต้องบอกว่าเป็นความโชคดีของทีมแพทย์ของโปรเจกต์นี้เลยก็ว่าได้ที่ในปี 1982 นายแพทย์นาม Rick Wahl ได้เก็บตัวอย่างโลหิตของ “Spandau 7” (ซึ่งเป็นหมายเลขของรูด็อล์ฟ เฮ็ส) เอาไว้ ที่ศูนย์การแพทย์ Walter Reed เพื่อเป็นเครื่องมือในการสอนนักเรียน
จริงอยู่ว่าในมือของศูนย์การแพทย์ Walter Reed แผ่นตัวอย่างโลหิตนี้จะไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก แต่เมื่อแพทย์ทหาร Sherman McCall ได้แผ่นตัวอย่างนี้ไปเขาก็ได้ติดต่อไปยังญาติๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ของรูด็อล์ฟ เฮ็ส และเตรียมการเปรียบเทียบ DNA ที่พบทันที
แน่นอนว่าผลที่ออกมานั้นคือโลหิตของ Spandau 7 และญาติๆ ของรูด็อล์ฟ เฮ็สมีความใกล้เคียงทางชีวะภาพสูงมากๆ จนเป็นหลักฐานอย่างดีว่า Spandau 7 น่าจะเป็นตัวรูด็อล์ฟ เฮ็สเองจริงๆ หรืออย่างน้อยๆ ก็จะต้องเป็นคนที่มีสายเลือดของรูด็อล์ฟ เฮ็สไหลอยู่ในตัวแน่ๆ
ตัวอย่างโลหิตของ Spandau 7 เมื่อส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
ซึ่งหากจะพูดกันตามตรงผลการทดลองในครั้งนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลยสำหรับหลายๆ คน เพราะแม้แต่ภรรยาของรูด็อล์ฟอย่างอิลซี เฮ็สเองยังเคยบอกว่าเรื่องราวอย่าง ด็อปเพลแกงเกอร์ของสามีเธอนั้นมันไม่มีจริงบนโลกใบนี้มาแล้ว
ที่มา allthatsinteresting
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.