ย้อนกลับไปในช่วงยุคกลางของซิซิลี แคว้นปกครองตนเองแคว้นหนึ่งของอิตาลีในปัจจุบัน มีชายคนหนึ่งถูกสังหารด้วยการแทงเข้าที่ข้างหลังหลายครั้ง และฝังเอาไว้แบบคว่ำหน้าก่อนที่จะถูกลืมไปจากประวัติศาสตร์
แต่แล้วหลายร้อยปีต่อมาหลังจากวันนั้น เหล่านักโบราณคดีก็ได้ขุดค้นโครงกระดูกของชายคนนี้กลับขึ้นมาให้โลกได้เห็นกันอีกครั้ง และมีการตีพิมพ์ลงในนิตยสาร International Journal of Osteoarchaeology เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา
จากหลักฐานที่มีการค้นพบนักโบราณคดีก็คาดว่าชายคนนี้น่าจะมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 11 และเสียชีวิตไปในขณะที่อายุได้ 30-40 ปี จากบาดแผลถูกแทงอย่างต่ำ 6 ครั้งที่ด้านขวาของกระดูกสันอกด้วยมีดสั้น และไม่มีบาดแผลอื่นๆ นอกจากนี้
Roberto Miccichè หนึ่งในทีมนักโบราณคดีบอกว่า หลักฐานเหล่านี้ทำให้พวกเขาเชื่อว่าชายคนดังกล่าวน่าจะถูกสังหารโดยไม่อาจตอบโต้ และผู้ลงมือเองก็ลงมืออย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
แคว้นปกครองตนเองซิซิลี สถานที่ที่มีการพบโครงกระดูกในครั้งนี้
เมื่อเหล่านักโบราณคดีได้ทำการจำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยระบบสามมิติ พวกเขาก็พบว่าผู้ตายน่าจะถูกสังหารในระหว่างถูกจับมัด และกำลังคุกเข่าอยู่ ทำให้การถูกสังหารของเขาน่าจะอยู่ในลักษณะการสำเร็จโทษ
ส่วนท่าทางการฝังแบบคว่ำหน้าลงนั้น นักโบราณคดีให้ความเป็นไปได้ใหญ่ๆ อยู่สองแบบ คือนี่อาจจะเป็นการฝังศพตามความเชื่อเพื่อป้องกันไม่ให้ศพลุกกลับขึ้นมามีชีวิต อย่างที่เห็นกันบ่อยๆ ในทางโรมันโบราณ หรือไม่ก็เป็นการฝังศพเพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ถูกฝังเป็นอาชญากร
และหากมองว่าชายคนดังกล่าวถูกสังหารด้วยการประหารชีวิตแล้ว เหล่านักโบราณคดีก็ให้น้ำหนักไปทางที่ว่าชายคนนี้น่าจะเป็นอาชญากรมาก่อน มากกว่าที่จะเป็นการฝังเพื่อป้องกันศพลุกกลับขึ้นมา
หากเป็นการฝังเพื่อป้องกันไม่ให้ศพลุกกลับขึ้นมามีชีวิต บางครั้งศพจะถูกตัดขาทิ้งไปด้วย
อย่างในภาพเป็นโครงกระดูกที่ถูกฝังไว้ที่นอร์แทมป์ตันเชอร์ ประเทศอังกฤษ
ในปัจจุบัน Miccichè และทีมงานได้กำลังทำการสืบค้นบันทึกโบราณเพื่อที่จะตามหาอาวุธที่น่าจะถูกใช้ในการสำเร็จโทษเจ้าของโครงกระดูกที่พบอยู่ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาวุธที่ใช้ในการสังหารจะเป็นกุญแจไปสู่การไขปริศนาความตายอายุเกือบพันปีในครั้งนี้ต่อไป
ที่มา livescience, forbes
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.