หากพูดชื่อของ “ชาลส์ ดิกคินส์” ขึ้นมา คงมีเพื่อนๆ หลายคนไม่น้อยที่เกาหัวสงสัยว่าเขาเป็นใคร แต่ถ้าบอกว่าเขาคือนักเขียนผู้อยู่เบื้องหลังผลงานเรื่อง “คริสต์มาส แครอล” (A Christmas Carol) เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะรู้จักผลงานของเขาเป็นอย่างดี
ชาลส์ ดิกคินส์
ชาลส์ ดิกคินส์นับว่าเป็นสุดยอดนักเขียนแห่งยุควิคตอเรียเลยก็ไม่ผิดนัก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่คนแบบนี้น่าจะมีคนไม่น้อยที่อยากแต่งงานด้วย ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าชายคนนี้ อาจเคยวางแผนที่จะส่งภรรยาของตัวเองเข้าโรงพยาบาลบ้า ทั้งๆ ที่เธอเป็นคนธรรมดาที่ปกติทุกอย่างก็เป็นได้
เรื่องสุดฉาวของนักเขียนในอดีตนี้ถูกเปิดเผยออกมาในรูปแบบของจดหมายเก่าแก่จำนวน 98 ฉบับ ที่เขียนโดย “เอ็ดเวิร์ด ดัตตัน คุก” นักข่าวที่เป็นเพื่อนบ้านของ “แคทเธอรี ดิกคินส์” หญิงสาวผู้เป็นภรรยาของชาลส์
แคทเธอรี ดิกคินส์ ในสมัยที่ยังเยาว์วัย
เรื่องราวที่ถูกเขียนไว้ในจดหมายนั้นมาจากการพูดคุยปรับทุกข์และหว่างแคทเธอรี และเอ็ดเวิร์ด ราวๆ 20 ปีหลังจากที่เธอหย่ากับชาลส์เมื่อปี ค.ศ. 1858 โดยหญิงสาวได้เล่าให้นักข่าวฟังว่า หลังจากที่เธอแต่งงานกับชาลส์ได้ 22 ปี ชาลส์ก็เริ่มแอบมีความสัมพันธ์กับนักแสดงสาวคนหนึ่ง
ดังนั้นเขาจึงพยายามที่จะ “กำจัด” ภรรยาของตนซึ่งผ่านการคลอดลูกมาร่วม 10 คน และเริ่มจะไม่งดงามอีกต่อไป โดยเขานั้นได้พยายามส่งภรรยาเข้าไปยังโรงพยาบาลบ้า แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเธอสติไม่ปกติ
แคทเธอรี ดิกคินส์ในปี 1852 หลังจากที่แต่งงานและเริ่มมีลูกหลายคน
เอ็ดเวิร์ดผู้เป็นนักข่าวอ้างว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเหตุผลที่ชาลส์เริ่มมีปัญหากับหมอคนหนึ่งในช่วงเวลาที่เขากับภรรยากำลังจะเลิกกัน
เป็นไปได้ว่าชาลส์จะเข้าไปปรึกษาหมอคนดังกล่าวเพื่อหาทางที่จะใส่ความภรรยาว่าเป็นคนสติไม่สมประกอบ แต่คุณหมอไม่ยอม ดังนั้นชาลส์จึงโกรธมากและด่าคุณหมอท่านนี้อย่างสาดเสียเทเสียในภายหลัง
ซึ่งถ้าหากว่าเรื่องราวระหว่างชาลส์กับภรรยาเป็นอย่างที่เอ็ดเวิร์ดอ้างจริงๆ เราก็คงต้องบอกว่าโชคดีแล้วที่แคทเธอรีตัดสินใจหย่ากับสามี อย่างไรก็ตามจดหมายฉบับนี้เป็นเพียงแค่การเล่าเรื่องจากปากคำของฝ่ายหญิงเท่านั้น และไม่ได้มีหลักฐานของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่อย่างไร
ที่ผ่านๆ มาจดหมายทั้ง 98 ฉบับนี้ ถูกเก็บไว้ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดมาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 19 และเพิ่งจะได้รับการแปลและถอดรหัสโดยคุณจอห์น โบเวนศาสตราจารย์ด้านวรรณคดีสมัยศตวรรษที่ 19 ของมหาวิทยาลัยยอร์กประเทศอังกฤษเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา
ที่มา livescience และ nytimes
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.