เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าในโลกใบนี้มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่ชอบมือบอนไปทำลายหลักฐานเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจ หรือเพียงแค่ความคึกคะนองชั่วขณะ จนทำให้ทั้งโบราณสถานและวัตถุโบราณล้ำค่าหลายๆ ชิ้นต้องถูกทำลายไปอย่างน่าเสียดาย
แถมคนมือบอนเหล่านี้ ยังไม่ได้เพิ่งมามีเอาในยุคปัจจุบันด้วย
นั่นเพราะเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง นักโบราณคดีก็ได้ออกมารายงานร่องรอยการทำลายวัตถุโบราณอีกครั้งหนึ่ง เพียงแต่นี่ไม่ใช่ฝีมือของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน แต่เป็นนักล่าวาฬจากในช่วงศตวรรษที่ 19 ต่างหาก
การค้นพบในครั้งนี้ เกิดขึ้นในระหว่างนักโบราณคดีทำการศึกษา งานศิลปะบนหินเของชนพื้นเมืองของออสเตรเลียหรือ “ชาวอะบอริจิน” ในพื้นที่เกาะ 42 แห่งในคาบสมุทรทางตอนเหนือของออสเตรเลีย ซึ่งอาจมีอายุเก่าแก่ได้ถึง 50,000 ปี
โดยร่องรอยที่พวกเขาพบนั้นเกิดจากการที่คนในสมัยศตวรรษที่ 19 ทำการสลักข้อความต่างๆ ทับลงไปคนตัวหิน ซึ่งมีทั้งชื่อคน ชื่อเรือ หรือแม้กระทั่งปีที่สลัก
ด้วยความที่ว่าอักษรที่ใช้กันในศตวรรษที่ 19 กับปัจจุบันนั้นมีความเปลี่ยนแปลงไปน้อยมาก นักโบราณคดีจึงสามารถระบุได้ในทันทีที่เห็นว่า ผู้ลงมือน่าจะเป็นลูกเรือของเรือล่าวาฬสหรัฐฯ ที่ออกเดินทางผ่านพื้นที่แห่งนี้ในปี 1841 และลูกเรือของเรือชื่อ “Delta” ที่ผ่านหมู่เกาะเหล่านี้ในปี 1849
.
ในปัจจุบันนักโบราณคดียังไม่อาจฟันธงได้ว่าผู้ลงมือทำไปด้วยความไม่รู้ ความเกลียดชังชาวอะบอริจิน หรือเพียงแค่ความคึกคะนองเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเหล่านักโบราณคดีก็ตั้งข้อสังเกตว่าบนเกาะมีหินก้อนอื่นๆ ที่สามารถเขียนได้โดยไม่ทำลายงานศิลป์โบราณ แต่นักล่าวาฬกลับเจาะจงสลักข้อความบนหินที่มีผลงานโบราณอยู่ ดังนั้นการกระทำของพวกนักล่าวาฬนั้น จึงไม่น่าจะเกิดขึ้นจากความไม่รู้แต่อย่างไร
ที่มา livescience และ cambridge
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.