บนโลกใบนี้ประกอบไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความงดงามทางธรรมชาติมากมาย แต่ใครจะรู้ว่าอีก 100 ปีข้างหรืออาจจะเร็วกว่านั้น มันอาจจะหายไปโดยที่เรายังไม่ทันได้ไปสัมผัสที่นั่นเลยสักครั้ง
ผลกระทบจากที่เกิดจากภาวะโลกร้อนในปัจจุบันได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญกังวลว่าแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติจะหายไป จมอยู่ใต้ผืนน้ำ หรือพังลงมาจากการกัดกร่อนและมลพิษ
มาดูกันว่าสถานที่ไหนบ้าง ที่เราควรไปเยือนสักครั้ง ก่อนมันจะ ‘หายไป’ ตลอดกาล
อ่าวมาหยา ประเทศไทย
อ่าวมาหยาที่กำลังประสบปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม จนถึงขั้นมีคำสั่งปิดเพื่อฟื้นฟู ซึ่งหวังว่าจะทำให้สถานที่ดังแห่งนี้กลับมางดงามอย่างในอดีตอีกครั้ง
ยอดเขาคิลิมันจาโร ประเทศแทนซาเนีย
ในช่วงเกือบ 100 ปีที่ผ่านมา น้ำแข็งบนยอดเขาหายไปกว่า 85% แล้ว และความงดงามนี้อาจจะหมดไปในอนาคต
เกาะ Seychelles ประเทศมาดากัสการ์
ปริมาณน้ำทะเลที่สูงขึ้น จึงคาดว่าอาจจะทำให้ชายหาดอันงดงามแห่ง “เซเชลส์” สูญหายไปภายใน 50-100 ปี
อุทยานแห่งชาติ Glacier รัฐมอนแทนา สหรัฐอเมริกา
ปริมาณธารน้ำแข็งจาก 150 แห่ง ลดเหลือเพียง 25 แห่งในฤดูร้อน และคาดว่าภายใน 15 ปี เราอาจจะไม่ได้เห็นธารน้ำแข็งในฤดูร้อนอีกแล้ว
อุทยานแห่งชาติ Sandarbans ประเทศอินเดีย
เสือพวกนี้คือสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของอุทยานแห่งชาติ Sandarbans แต่ด้วยการรุกคืบของมนุษย์ที่เข้าไปหาพวกมันมากขึ้นทุกวัน มันกำลังตกอยู่ในภาวะอันตรายอย่างยิ่ง
ธารน้ำแข็งปาตาโกเนีย อาร์เจนติน่า
นี่คือหนึ่งในธารน้ำแข็งอันงดงามที่สุดในโลก แต่ความร้อนกำลังทำให้พวกมันเล็กลง จนถึงขั้นหายไปในอนาคต
Zahara de la Sierra ประเทศสเปน
โบราณสถานแห่งอันดาลูเซียแห่งนี้ กำลังประสบปัญหาความแห้งแล้ง จากทั้งอุณหภูมิที่สูงและฝนที่ตกน้อยลง ส่งผลให้สภาพภูมิทัศน์เปลี่ยนไป รวมถึงสัตว์ป่าโดยรอบที่ทยอยหายไปด้วย
ผืนป่ามาร์ดากัสการ์ ประเทศมาดากัสการ์
ภัยคุกคามของมนุษย์ อาจจะทำให้ผืนป่าอันเขียวขจีในสภาพ กลายเป็นป่าเสื่อมโทรมไปใน 35 ปีข้างหน้า
เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี
เช่นเดียวกับอีกหลายแห่ง ปริมาณน้ำทะเลที่เพิ่มสูงมาก กำลังกัดกินเมืองประวัติศาสตร์นี้ และต้องการงบบำรุงรักษาที่สูงมาก
มาชูปิกชู ประเทศเปรู
สถานที่มรดกโลกซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 2,500 คนต่อวัน กำลังเสื่อมสภาพทั้งจากปัญหาดินสไลด์ ลมกัดกร่อน และปัญหามลพิษในอากาศที่สูงกว่าปกติ
หมู่เกาะกาลาปาโกส
พื้นที่ใต้ทะเลจะไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำทะเลที่สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม มลพิษกำลังทำให้ทั้งแนวปะการังและสัตว์ท้องถิ่น ซึ่งเป็นสัตว์อันมีเอกลักษณ์ต่างจากที่อื่น เกิดปัญหาในการใช้ชีวิตเข้าแล้ว
ทะเลเดดซี อิสราเอล
ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ทะเลเดดซีหายไปแล้วกว่า 1 ใน 3 ส่วน และกำลังลดลงเรื่อยๆ จากความแห้งแล้ง
อุทยานเอเวอร์เกลดส์ สหรัฐอเมริกา
น้ำที่มากเกินไป สัตว์ต่างถิ่นที่มนุษย์นำเข้ามา และปัญหาการรุกรานจากผู้คน กำลังทำให้อุทยานชุ่มน้ำแห่งนี้เสื่อมสภาพ
อุทยานแห่งชาติ Joshua Tree สหรัฐอเมริกา
Joshua Tree มีต้นไม้อันเป็นเอกลักษณ์ราวกับไม่ได้ตั้งอยู่บนโลก แม้พวกมันจะต้องการน้ำน้อย แต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงของอากาศจน “ไม่มีฝนตกเลย” ทำให้พื้นที่แห่งนี้เสี่ยงภัยกับการหายไปอย่างยิ่ง
เทือกเขาแอลป์ ทวีปยุโรป
นี่คือแหล่งท่องเที่ยว แหล่งสกี และแหล่งปีนเขาชั้นเยี่ยม แต่หิมะที่ลดลงต่อเนื่อง กำลังเป็นสัญญาณว่าความงดงามนี้อาจจะอยู่ได้ไม่นานแล้ว
ประเทศตูวาลู
ตูวาลูตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิค ระหว่างออสเตรเลียและฮาวาย ที่ซึ่งผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและระดับน้ำทะเลสูงขึ้นแสดงผลให้เห็นได้ชัดเจนที่สุด
ทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย
การกัดกร่อนและมลพิษทางอากาศ ทำให้ต้องใช้งบประมาณมหาศาลรักษาทัชมาฮาลให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด แต่มันจะอยู่ได้ตลอดไปหรือ?? ยังคงเป็นคำถามที่ชวนให้คิดเช่นกัน
พีรามิด ประเทศอียิปต์
โบราณสถานอายุครึ่งหมื่นปี ผ่านการกัดกร่อนของสภาพอากาศมามากมาย แต่ไม่มีมลพิษไหนเลวร้ายเท่าช่วง 100 ปีที่ผ่านมาอีกแล้ว และนี่อาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มหาพีรามิดเสื่อมสภาพลงอย่างทวีคูณ
ป่าอเมซอน ประเทศบราซิล
พื้นที่ป่า 2.1 ล้านตารางไมล์ กำลังถูกรุกรานอย่างหนักในทุกๆ ปี และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นพื้นที่ป่าที่เสี่ยงภัยต่อการรุกรานของมนุษย์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
กำแพงเมืองจีน ประเทศจีน
ปิดท้ายด้วยกำแพงชื่อดังของประเทศจีน มีรายงานกว่า 2 ใน 3 ของกำแพงนั้นผุพังหรือเลวร้ายสุดคือพังไปแล้ว และหากการดูแลรักษาอย่างดี มันอาจจะเสื่อมสภาพลงไปอีกในไม่ช้าก็เป็นได้
เห็นแบบนี้แล้ว #เหมียวเปปเปอร์ ก็อยากกางปฏิทินหาวันหยุดไปเยือน สถานที่เหล่านี้สักครั้งในชีวิตเหมือนกันนะ
ที่มา: thisisinsider
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.