สรุปกรณี สาว อสม. “โกงเงินบริจาคเด็ก” กว่า 500,000 บาท เหลือแค่ 200 ไม่มีจ่ายค่าเทอม

กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์ เมื่อ นางอ้อ สาวอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ประจำหมู่บ้าน หลอกเอาเงินบริจาคของเด็กยากจนวัย 15 ปี ไปมากกว่า 500,000 บาท จนตอนนี้เด็กไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม

เรื่องราวนี้ได้ถูกนำมาตีแผ่ความจริงผ่านทางรายการ ทุบโต๊ะข่าว เมื่อวานนี้ (29 เม.ย. 2019) ในขณะที่คนในสังคมจำนวนมากต่างประณามในสิ่งที่เกิดขึ้น และสงสารเด็กหนุ่มที่ต้องมารับชะตากรรมจากการถูกโกงเงินดังกล่าว

 

คลิปรายการ ทุบโต๊ะข่าว เกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น

 

เงินกว่า 500,000 นั้นมาจากไหน?

นายปกรณ์ เด็กหนุ่มวัย 15 ปี คือเจ้าของเงินจำนวนกว่า 500,000 บาทนั้น โดยนั่นเป็นเงินที่เขาได้รับบริจาคมาตั้งแต่ปี 2561

เหตุผลที่คนจำนวนมากบริจาคเงินให้แก่เด็กคนนี้ก็เพราะความสงสารที่มีให้หลังจากที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตไป และญาติๆ เองก็ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือค่าเล่าเรียนของเขาได้มากนัก

นั่นจึงทำให้คนจำนวนมากตัดสินใจบริจาคเงินเพื่อช่วยเป็นค่าเล่าเรียนให้กับเด็กหนุ่มคนนี้ โดยเป็นบัญชีที่ในตอนแรกนั้นอาจารย์ประจำชั้นที่โรงเรียนจะเป็นคนรับผิดชอบดูแลให้มาโดยตลอด

 

นายปกรณ์ เด็กหนุ่มวัย 15 ปี

 

จุดเริ่มต้นของการโกงเงินบริจาคเด็ก

หลังจากที่มีการบริจาคเงินเข้ามาช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก ในช่วงเดือนเมษายน 2561 นางอ้อ สาว อสม. ประจำหมู่บ้าน และเพื่อนบ้านของนายปกรณ์ เธอคนนี้ก็ได้เริ่มที่จะหลอกเอาเงินจากเขา

นางอ้อทำทีไปบอกกับอาจารย์ที่ดูแลบัญชีเงินบริจาคนั้นว่า เด็กหนุ่มต้องการเก็บบัญชีไว้ที่ตัวเอง และเธอก็ได้บัญชีนั้นมาเก็บไว้กับตัว

 

 

จากนั้น นางอ้อก็จะหาโอกาสที่นายปกรณ์อยู่บ้านคนเดียว ชวนให้เด็กหนุ่มออกไปธนาคารด้วยกัน โดยอาจจะมีพี่สาวของนางอ้อและลูกของเธอเดินทางไปด้วย ก่อนจะบอกกับเขาว่าไม่มีเงินใช้ ขอให้ช่วยถอนเงินออกมาให้หน่อย

ด้วยความที่นายปกรณ์เชื่อใจนางอ้อมาโดยตลอด เห็นว่าเป็นเพื่อนบ้านที่ญาติๆ ต่างให้ความไว้วางใจ เด็กหนุ่มผู้มีความบกพร่องทางด้านพัฒนาการคนนี้จึงยอมถอนเงินออกมาให้กับเธอ

ถึงอย่างนั้น ในแต่ละครั้งนายปกรณ์ก็จะไม่รู้ว่านางอ้อถอนเงินออกมาเท่าไหร่บ้าง และไม่ได้เอาใจอะไรเลยในตอนแรก

 

จำนวนเงินที่นางอ้อถอนออกไป

 

ถูกโกงจนเงินในบัญชีเหลือแค่ 236 บาท

เรื่องราวถูกเปิดเผยหลังจากที่ในช่วงเดือนเมษายน 2562 ที่เพิ่งผ่านมานั้น นายปกรณ์และ นางต้อย ญาติของนายปกรณ์ พบว่าเงินในบัญชีเหลือเพียงแค่ 236 บาทเท่านั้นเอง

นางต้อยจึงได้ทำการสอบถามกับนางอ้อถึงเงินบริจาคจำนวนมากที่หายไป โดยในตอนแรกนั้นถูกตอบกลับมาว่าเงินถูกนำไปเก็บไว้ที่นายอำเภอ

 

นางต้อย ญาติที่อาศัยอยู่กับนายปกรณ์

 

เมื่อสอบถามไปยังนายอำเภอที่ได้รู้ว่าคำพูดของนางอ้อนั้นเป็นเพียงเรื่องโกหก นางอ้อได้ทำการปลอมเสียงเป็นนายอำเภอ

ด้วยเหตุนั้นเอง นางต้อยจึงพาหลานของตนเข้าแจ้งความที่โรงพักในอำเภอจักราช จ.นครราชสีมา เพื่อเอาผิดนางอ้อเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น

โดยนางต้อยกล่าวว่าหลังจากที่เรื่องแดงออกมาก็ได้เจอกับนางอ้อครั้งหนึ่งที่โรงพัก ซึ่งผู้กระทำผิดก็ร้องไห้ออกมาและกล่าวขอโทษ แต่นางต้อยนั้นก็ไม่ได้รู้สึกสงสารเธอแต่อย่างใด หากอยากให้เรื่องจบก็ต้องนำเงินมาคืนให้ครบ

 

 

แล้วเงิน 500,000 กว่าบาท หายไปไหน?

นางอ้อ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์ โดยยอมรับว่าเธอเป็นคนเอาเงินทั้งหมดนั้นไปจริง แต่ว่านำไปใช้หนี้รายวันที่ตัวเองกู้มาหมดแล้ว พยายามยืมเงินจากญาติๆ ได้มาก้อนหนึ่งเพื่อจะเอามาคืนนายปกรณ์

เธอยังกล่าวอีกว่า ตนเองรู้สึกเครียดมากจนอยากฆ่าตัวตายหลังจากที่ถูกสังคมประณาม และขอให้ไม่พาดพิงถึงคนในครอบครัว เพราะเรื่องทั้งหมดนี้ผิดที่ตนคนเดียว

 

 

มีคนเคยโดนครอบครัวของนางอ้อโกงเงินไปเหมือนกันก่อนหน้านี้

นายบุญทัน พืชทองหลาง คือผู้ที่เคยถูก “พี่ของนางอ้อ” โกงเงินไปก่อนหน้านี้เช่นเดียวกัน โดยเขาบอกว่าตอนนั้นตนเองก็ไม่ได้เอาเรื่องอะไร เพราะเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยเพียง 400-500 บาท

เขาเล่าว่าในตอนนั้นตนได้วานให้พี่นางอ้อนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้หนี้เงินกู้ แค่พี่ของนางอ้อกลับไม่ไปชำระให้ และเที่ยวไปพูดใส่ร้ายให้ชาวบ้านคนอื่นฟังว่านายบุณทันไม่ยอมใช้หนี้

 

นายบุญทัน ผู้เคยถูกพี่นางอ้อโกงเงิน

 

ความผิดทางกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น

นายนิติธร แก้วโต ทนายความที่ได้ออกมาร่วมพูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกล่าวว่า ตามกฎหมายแล้วการหลอกลวงและได้ไปซึ่งทรัพย์สินนั้นถือว่ามีความผิด อาจได้รับโทษ 3 ปี ปรับ 60,000 บาท

แต่การหลอกลวงคนเบาปัญญาหรือเด็ก (ซึ่งนายปกรณ์นั้นมีความบกพร่องทางด้านพัฒนาการ) อาจต้องรับโทษสูงกว่านั้น จำคุก 5 ปี ปรับ 100,000 บาท หรือศาลอาจพิจารณาให้รับโทษสูงสุดคือจำคุกประมาณไม่เกิน 10 ปี

 

 

โดยความผิดฐานฉ้อโกงนี้ สามารถยอมความและถอนคำร้องทุกข์ได้ เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันแล้วคู่กรณีนำเงินมาคืน แต่หากคืนไม่ครบ ตำรวจก็ดำเนินคดีได้ ซึ่งแนะนำว่าผู้เสียหายไม่ควรถอนแจ้งความจนกว่าจะได้เงินคืนทั้งหมด

นั่นหมายความว่า หากหลังจากที่เรื่องนี้ถูกแจ้งความเอาไว้แล้วนางอ้อยังคงบิดพลิ้ว ไม่นำเงินมาคืนให้ครบจำนวน เธอก็อาจต้องเข้าไปนอนในคุกจากสิ่งที่เธอก่อเอาไว้

 

ที่มา: ทุบโต๊ะข่าว , ต่างคนต่างคิด


by

Tags:

Comments

Leave a Reply