พบซากงูพิษพร้อมเขี้ยว ในอุจจาระมนุษย์โบราณอายุ 1,500 ปี คาดถูกกินทั้งตัวแบบไม่ปรุง

เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าการค้นพบสำคัญๆ ของนักโบราณคดี บางครั้งก็จะเกิดขึ้นในที่ที่ไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นการพบดาบโบราณในท่อน้ำทิ้ง หรือการพบสุสานโบราณในระหว่างการสร้างบ้าน

และล่าสุดนี้เองเหล่านักโบราณคดีก็ได้พบกับ การค้นพบสำคัญๆ ในที่แปลกๆ อีกครั้ง เมื่อพวกเขาได้ทำการค้นพบซากงูแบบที่ยังมีเขี้ยวอยู่ด้วย ในฟอสซิลอุจจาระมนุษย์ ที่มีอายุมากกว่า 1,500 ปี

 

 

การค้นพบสุดแปลกนี้เกิดขึ้นที่แห่งโบราณคดีทางตะวันตกเฉียงใต้ของเท็กซัส สถานที่ซึ่งในอดีตเคยมีการค้นพบวัตถุโบราณอย่างรองเท้าแตะ และตะกร้าทอจากเส้นใยพืชจำนวนมาก ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางโบราณคดีของเท็กซัสมาอย่างยาวนาน

เหตุผลที่นักโบราณคดีตรวจสอบอุจจาระของมนุษย์โบราณนั้นมีเหตุผลหลักๆ อยู่ที่การเรียนรู้สุขภาพและอาหารการกินของคนในอดีต ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้จากการตรวจสอบสารต่างๆ ที่อยู่ในของเสียจากร่างกาย

 

การตรวจสอบอุจจาระที่ว่ายังทำให้เราทราบด้วยว่าเจ้าของอุจจาระนี้เคยทานดอกไม้จากต้นยัคคาด้วย

 

อย่างไรก็ตามการที่นักโบราณพบซากงูในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายมาก

เพราะแม้ว่าพวกเขาจะทราบว่าคนในสมัยนั้นกล้าพอที่จะกินสัตว์ฟันแทะอย่างหนูโดยที่ไม่ได้ปรุงหรือถลกหนังก็ตาม แต่งูนั้นเป็นสัตว์ที่มนุษย์ทราบกันว่าตั้งแต่โบราณว่ามีพิษ และพวกเราก็หลีกเลี่ยงที่จะกินงูมาค่อนข้างนานแล้ว

อ้างอิงจากเขี้ยวงูที่พบ นักโบราณคดีก็เชื่อว่างูที่โดนกินนั้นน่าจะเป็นงูพิษในตระกูลงูหางกระดิ่ง ซึ่งพบได้ง่ายในพื้นที่ แถมดูจากปริมาณและสภาพของเกล็ดที่ยังคงหรืออยู่แล้ว นักโบราณคดียังเชื่อว่างูดังกล่าวถูกกินทั้งตัว โดยที่ไม่ผ่านการปรุง หรือถอดเกล็ด

 

 

ลักษณะการกินที่ทั้งแปลกและอันตรายนี้ตามปกติจะไม่เกิดขึ้นแม้คนในพื้นที่จะอดอยาก และแม้จะมีการกินงูเกิดขึ้นจริงๆ โดยมากแล้วคนในสมัยนั้นก็มักจะเลือกงูที่ไม่มีพิษ และปรุงก่อนที่จะกินด้วย

ดังนั้นทีมนักโบราณคดีจึงมองว่าการกินงูพิษดิบๆ ที่เกิดขึ้นนี้อาจจะเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมของคนสมัยก่อนมากกว่า อย่างไรก็ตามเรื่องในจุดนี้เองยังคงเป็นเพียงแค่ทฤษฎีที่ไม่มีหลักฐานยืนยันของทีมนักโบราณคดีเท่านั้น

 

ตัวอย่างฟอสซิลอุจจาระที่ถูกใช้ในการทดลอง

 

และเหตุผลที่คนโบราณจะเสี่ยงชีวิตในการกินงูพิษจริงๆ แล้วจะเป็นอะไรนั้น ก็ยังคงเป็นเรื่องที่เหล่านักโบราณคดี ตั้งเป้าหมายว่าจะค้นหากันต่อไป

 

ที่มา nationalgeographic, allthatsinteresting และ smithsonianmag

Comments

Leave a Reply