เป็นเรื่องที่หลายๆ คนคงจะทราบกันอยู่แล้วว่า ประเทศญี่ปุ่นนั้น เป็นประเทศที่มีประเพณีและงานเทศกาลแปลกๆ อยู่ค่อนข้างมาก เพราะอย่างเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เอง ที่จังหวัดคานางาวะก็เพิ่งจะมีการจัดเทศกาล “คานามาระ มัตสุริ” หรือเทศกาลแห่ลึงค์กันไปอย่างยิ่งใหญ่และมีผู้คนเข้าชมเป็นจำนวนมาก
(อ่านข่าวเกี่ยวกับเทศกาลนี้ได้ที่ “คานามาระ มัตสุริ” เทศกาลลึงค์เหล็ก ที่ชาวญี่ปุ่นจะออกมาแห่ลึงค์ยักษ์ ช่วยทุนวิจัย HIV)
แต่เทศกาลที่ว่านี้ก็ไม่ใช่เทศกาลแปลกๆ เพียงอย่างเดียวที่จัดขึ้นในเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาเสียด้วย เพราะในช่วงปลายเดือนเดียวกันเอง ที่ญี่ปุ่นก็มีการจัดเทศกาลสุดแปลกขึ้นมาอีกอัน โดยคราวนี้เป็นเทศกาลแข่งกัน “ทำให้เด็กร้องไห้” ของเหล่าซูโม่ ที่มีชื่อว่า “นากิซูโม่” (泣き相撲) นั่นเอง
โดยชื่อของเทศกาลนี้ ก็เกิดจากการรวมคำว่า “นากิ” ที่แปลว่าร้องไห้ เข้ากับคำว่า “ซูโม่” แบบตรงๆ เลย และมีจุดเด่นของงานอยู่ที่นักซูโม่จะอุ้มเด็กๆ มาในลานประลองและพยายามเชียร์ให้เด็กร้องไห้แข่งกันนั่นเอง
นี่อาจจะเป็นเทศกาลที่ดูแปลก และเหมือนกับการแกล้งเด็กในสายตาคนหลายๆ คนอยู่บ้าง แต่นี่ก็เป็นประเพณี ที่สืบทอดกันมาถึง 400 ปีภายใต้ความเชื่อที่ว่า “เด็กที่ร้องไห้จะเป็นเด็กที่เติบโต” และการร้องไห้ของเด็กๆ จะช่วยไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปได้
กฎการแข่งขันในครั้งนี้ก็ง่ายๆ ฝ่ายไหนส่งเสียงเชียร์ “นากิ! นากิ!” (แปลว่า “ร้องไห้! ร้องไห้!”) ให้เด็กที่ตัวเองพามาร้องไห้ได้ก่อนอีกฝ่ายก็จะถือว่าชนะไป ซึ่งบางทีก็อาจจะเห็นกรรมการใส่หน้ากากเทนกุ ไว้ขู่เด็ก หรือซูโม่ดึงหน้าตัวเองให้เด็กดู ด้วย เรียกได้ว่าทำได้เกือบทุกอย่างขอแค่ไม่ดูโหดร้ายกับเด็กเกินไปก็พอ
ในกรณีที่เด็กร้องไห้พร้อมกันเด็กที่ร้องไห้ดังกว่าจะเป็นฝ่ายชนะไป และเชื่อเถอะว่าด้วยรูปแบบการแข่งขันแล้ว สนามแข่งในวันเทศกาลย่อมเต็มไปด้วยเสียงเชียร์และเสียงร้องไห้จ้าของเด็กๆ อย่างแน่นอน
เทศกาล นี้นับว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่ชาวญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ เพราะอย่างในปีนี้เอง ก็มีเด็กๆ ถูกส่งเข้าแข่งมากถึง 160 คน ซึ่งหากมองจากการที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดต่ำ (บวกกับเด็กที่เข้าแข่งจะต้องเกิดในปี 2018) แล้ว คงต้องบอกเลยว่าเป็นตัวเลขที่น่าสนใจมาก
และไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ไม่กี่อย่างในโลก ที่ต่อให้มีเสียงเด็กร้องไห้ดังขนาดไหม เหล่าผู้คนที่อยู่รอบๆ ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญ แถมยังยิ้มให้อย่างอบอุ่นอีกด้วย
ที่มา allthatsinteresting, thesun และ theguardian
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.