ย้อนรอย Lynette Squeaky Fromme สมาชิกครอบครัวแมนสัน ผู้พยายามสังหารประธานาธิบดี

เคยได้ยินเรื่องราวของผู้หญิงชื่อ Lynette “Squeaky” Fromme กันมาก่อนไหม เธอคือหนึ่งในสมาชิกของ “ครอบครัวแมนสัน” กลุ่มอาชญากรเลื่องชื่อแห่งอเมริกา เจ้าของผลงานพยายามลอบสังหาร Gerald Ford ประธานาธิบดีคนที่ 28 ของสหรัฐฯ

 

 

Fromme เกิดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1948 ในบ้านชนชั้นกลางที่รัฐแคลิฟอร์เนีย และใช้ชีวิต 13 ปีแรกไม่ต่างจากเด็กธรรมดาเท่าไหร่

อย่างไรก็ตามเมื่อเธออายุได้ 14 ปี ชีวิตของเด็กหญิงคนนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไปแบบหน้ามือหลังมือ

เพราะแทบจะทันทีที่ครอบครัวของเธอย้ายบ้าน เธอก็เริ่มคบหากับเพื่อนที่ “ไม่ดีเท่าไหร่” อีกทั้งยังติดเหล้าติดยา จนการเรียนเละเทะ และเด็กสาวเองก็ต้องตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า

 

Fromme ในสมัยมัธยมปลาย

 

เธอถูกไล่ออกจากบ้านในปี 1967 โดยบิดาของเธอเอง ด้วยเหตุผลที่ว่าเด็กสาวทำตัว “สำส่อน” และ “ดื้อรั้น” มากเกินไป ก่อนที่ Fromme จะถูกรับไปดูแลโดยครอบครัวแมนสันในเวลาต่อมา

แน่นอนว่าการอยู่กับครอบครัวแมนสันที่มีชื่อเสียงในแง่ลบเป็นอย่างมากนั้นย่อมทำให้ Fromme ต้องมีชีวิตวนเวียนอยู่กับศาล

และแม้ว่า Charles Milles Manson ผู้ก่อตั้งครอบครัวจะโดนตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้วก็ตาม (ลดโทษมาจากการประหารชีวิต) แต่ Fromme ก็ยังคงศรัทธาในแนวคิดของครอบครัวแมนสันตลอดมา

 

Fromme กับสมาชิกของครอบครัวแมนสันในระหว่างขึ้นศาลฟังคำตัดสินในคดีของ Charles Milles Manson

 

เรื่องราวของ Fromme กลายเป็นที่โด่งดังและรู้จักไปทั่วประเทศ ในวันที่ 5 กันยายน 1975 เมื่อที่เธอแต่งกายด้วยชุดคลุมสีแดงเข้าพบประธานาธิบดี Gerald Ford ในฐานะของตัวแทนคนรักธรรมชาติ เพื่อแสดงความไม่พอใจที่ประธานาธิบดี ยื่นข้อเสนอใช้สภาลดการสนับสนุนกฎหมายความสะอาดของอากาศ (Clean Air Act)

แต่แทนที่นี่จะเป็นการประท้วงอย่างสงบ Fromme กลับหยิบปืน Colt M1911 ที่เธอพกมาด้วยยิงใส่ประธานาธิบดีในระยะห่างไม่กี่เมตรเท่านั้น

 

 

นับว่าเป็นโชคดีของประธานาธิบดี Gerald Ford มากที่ในเวลานั้นปืนของ Fromme ไม่สามารถยิงออกมาได้ (ด้วยความที่ไม่มีกระสุนปืนในรังเพลิง) ดังนั้น Fromme จึงถูกหน่วยคุ้มกันจับตัวไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครเสียชีวิต

เธอตัดสินโทษให้จำคุกตลอดชีวิตหลังจากนั้น ก่อนที่จะได้รับการปล่อยตัวโดยมีการคุมประพฤติในปี 2009 และอาศัยอยู่อย่างเงียบๆ ในนิวยอร์กตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

 

ที่มา allthatsinteresting

Comments

Leave a Reply