สำหรับช่วงนี้ เชื่อว่าพวกเราแทบทั้งหมดอาจมุ่งความสนใจไปที่ “การเปิดประชุมสภา” ซึ่งอาจถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ของการเมืองไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ในขณะเดียวกัน ณ พื้นที่อันห่างไกลแห่งหนึ่งของประเทศไทย คนในพื้นที่นั้นก็กำลังเกิดข้อถกเถียงกันถึงเรื่องที่เราอาจไม่เคยรับรู้กันมาก่อน กับ “การยื่นคำขอประทานบัตรเหมืองแร่ถ่านหิน”
กลุ่มชาวบ้านแถลงการณ์ คัดค้านการขอประทานบัตรเหมืองแร่ถ่านหิน
เกิดอะไรขึ้น ณ ที่แห่งนั้น…
นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน บ้านกะเบอะดิน หมู่ 12 ต.อมก๋อย อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ เมื่อ บริษัท 99 ธุวานนท์ จำกัด ได้มี “การยื่นคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ถ่านหิน” จากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
โดยเนื้อที่ที่ร้องขอนั้นจดทะเบียนเอาไว้ที่ประมาณ 284 ไร่ 30 ตารางวา ซึ่งคำขอนั้นก็ทำให้ทางเจ้าหน้าที่รัฐนำเรื่องไป “ปิดประกาศ” ณ ที่ว่าการอำเภออมก๋อย ในวันที่ 26 เมษายน 2019
ประกาศข้อมูลการยื่นคำขอดังกล่าวก็ได้ถูกพูดถึงต่อๆ กันไป ประชาชน ชาวบ้านในพื้นที่นั้นได้รับรู้ถึงข้อมูลนี้แล้วก็มองว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนั้นร้ายแรงเกินกว่าที่พวกเขาจะรับได้ จึงออกมาคัดค้านในเรื่องนี้
ภาพตัวอย่างการทำเหมืองแร่ ในพื้นที่อื่นๆ ที่เคยเกิดขึ้น
หากมี “เหมืองแร่ถ่านหิน” จะส่งผลกระทบอะไรกับชาวบ้านบ้าง??
กลุ่มชาวบ้านในพื้นที่จำนวนมากได้นำเรื่องราวดังกล่าวออกมา “แถลงการณ์คัดค้าน” ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2019 ว่า…
“หากมีการทำเหมืองแร่ถ่านหินจะส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อสุขภาพของคนในชุมชน และวิถีชีวิตของพี่น้อง ‘กะเหรี่ยงโพล่ง’ ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่อยู่ในพื้นที่แห่งนี้มานาน”
พวกเขายังกล่าวไปถึง “ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม” ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพและแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า สร้างมลพิษทางน้ำและอากาศ
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะการใช้พลังงานถ่านหินในอุตสาหกรรมต่างๆ ยังเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของ “ปัญหาโลกร้อน” นั่นเท่ากับว่านี่คือการกระทำที่สวนทางกับการรณรงค์ในทั่วโลก ที่ต่างมองหาพลังงานสะอาดมาทดแทน
คำเรียกร้องของชาวบ้าน ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
1. ขอให้ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ พิจารณายกเลิกการให้ประทานบัตรทำเหมืองแร่ถ่านหินกับบริษัท 99 ธุวานนท์ จำกัด ทันที
2. ให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่และหน่วยงานรัฐในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง ต้องไปสร้างความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และสร้างความมั่นใจว่าจะไม่มีการทำเหมืองแร่ถ่านหินในพื้นที่โดยเด็ดขาด
พร้อมทั้งมีกระบวนการเยียวยาจิตใจให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่โดยเร็ว
3. ขอให้หน่วยงานรัฐและเอกชนที่เข้าไปดำเนินการใดๆ ในพื้นที่ที่มีชนเผ่าพื้นเมืองอาศัยอยู่ ต้องยอมรับและเคารพในวิถีวัฒนธรรมชนเผ่าพื้นเมืองที่อยู่ในพื้นที่ พร้อมทั้งส่งเสริมและให้การคุ้มครองสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง
โดยสิ่งนั้นเป็นไปตาม มาตรา ๗๐ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง ที่รัฐบาลได้ร่วมลงนามรับรองไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๕๐ แล้ว
ทั้งนี้ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าทางภาครัฐจะรับเรื่องคัดค้านดังกล่าวหรือไม่ต่อไป
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.