เชื่อว่าเพื่อนๆ อาจจะเคยได้ยินคำว่า “เบอร์เซิร์ก” กันมาบ้าง คำคำนี้มักจะใช้กับคนที่บ้าคลั่งจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ เพราะนักรบที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่าเบอร์เซิร์กเองก็เป็นยอดนักรบที่ได้ชื่อว่าต่อสู้ได้อย่างน่ากลัวราวกับสัตว์ป่าบ้าคลั่งจริงๆ
พวกเขาคือ “ไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์” เหล่านักรบผู้วิ่งเข้าสู่สงครามด้วย ความบ้าคลั่งที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งถูกเล่าสืบทอดกันมาว่ามีความสามารถราวปีศาจ คำรามเหมือนสัตว์ร้าย และโจมตีใครก็ตามที่ขว้างทางด้วยพลังกายเหนือมนุษย์
ไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์ มักจะถูกบรรยายในตำนานของกลุ่มชนเจอร์แมนิกและนอร์สยุคกลาง ว่าเป็นกลุ่มนักรบที่เคารพโอดิน ซึ่งทำหน้าที่คล้ายองครักษ์ และหน่วยรบเคลื่อนที่เร็ว (Shock Troops) ให้กับชนชั้นสูง หรือกษัตริย์เป็นหลัก
ภาพสลักของเบอร์เซิร์กเกอร์ที่ติดตามโอดิน
คำว่าเบอร์เซิร์กในชื่อของพวกเขานั้นเชื่อกันว่ามาจากคำว่า “Bjorn” (หมี) และ “Serkr” (เสื้อคลุม) จากการที่นักรบเหล่านี้มักออกรบพร้อมเครื่องแต่งกายหรือชุดเกราะ ที่ประดับด้วยหนังหมีหรือหนังหมาป่าเพื่อข่มขวัญศัตรู
ตำนานที่เก่าแก่ที่สุดของเหล่าไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์ สามารถพบได้ตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 9 ในบทกวีที่ชื่อ Hrafnsmál ซึ่งก็เป็นตั้งแต่ในบทกลอนชิ้นนี้แล้ว ที่นักรบเหล่านี้ถูกบรรยายว่าเป็นนักรบ “ผู้ลิ้มลองโลหิต” (Tasters of Blood) ที่ร่างอาบไปด้วยโลหิตของศัตรู
ด้วยความที่ตำนานของไวกิ้งเกิดขึ้นในยุคที่ความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติยังคงแพร่หลาย ตำนานของพวกเขาจึงมักเกี่ยวข้องกับพลังเหนือมนุษย์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายว่าไฟทำอะไรคนเหล่านี้ไม่ได้ ดาบฟันแทงไม่เข้า ไปจนถึงพวกเขาสามารถอาละวาดไปทั่วสนามรบได้แม้บาดเจ็บหนักก็ตาม
ลักษณะความบ้าคลั่งไม่สนโลกนี้เองทำให้นักวิจัยบางกลุ่มเชื่อว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพลังของไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์อาจจะมาจากยาเสพติด แอลกอฮอล์ หรือแม้กระทั่งโรคทางจิตก็เป็นได้
โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับสารเสพติดนั้นมีนักพฤกษศาสตร์หลายคนออกมาอ้างว่าไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์อาจมีการใช้เห็ด หรือไม่ก็ดอก Bog myrtle ที่มีฤทธิ์หลอนประสาทอยู่เสมอๆ แม้ว่าโดยมากแล้วพวกเขาจะมีหลักฐานมายืนยันทฤษฎีไม่มากพอก็ตาม
ท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวของนักรบเหล่านี้ก็ยังมีเรื่องราวที่ยังไขไม่ได้อยู่อีกมากมายอยู่ดี ถึงอย่างนั้นก็ตามนี่อาจจะเป็นเรื่องที่ดีแล้วก็เป็นได้ เพราะด้วยตำนานพลังเหนือธรรมชาติของพวกเขานั้น ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจของผลงานที่เรารักหลายชิ้น และคงจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานแสนนานเลย
ที่มา ancient-origins, ucla, legendsandchronicles และ thevintagenews
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.