ญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีคนอายุยืนยาวถึง 100 ที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วน 50 คนต่อประชากร 100,000 คน
ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ “ชาวเกาะโอกินาวา” คือกลุ่มคนที่อายุยืนยาวที่สุดในญี่ปุ่น แม้ว่าจะเป็นหมู่เกาะที่อยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ไปมากก็ตาม
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ชาวโอกินาวาอายุยืนยาวคือ ‘อาหาร’ ที่พวกเขาทาน ว่ากันว่าที่นี่ได้กินอาหารที่มีคุณภาพ และแตกต่างจากชาวญี่ปุ่นบนแผ่นดินใหญ่
ใครที่กำลังตั้งคำถามอยู่ว่าพวกเขาทานอะไรบ้าง เราขอพาทุกคนไปไขความลับการกินแบบชาวโอกินาวา (Okinawa Diet) พร้อมๆ กันค่ะ
ฮาระ ฮาจิ บุ
เริ่มจากทำความรู้จักหลักการที่เรียกว่า ‘ฮาระ ฮาจิ บุ’ ซึ่งหมายถึงการจนกระทั่งอิ่ม 8 ใน 10 ส่วน เป็นการกินอย่างมีสติและรู้ตัวว่าอิ่ม ไม่กินอาหารมากเกินความพอดี
นั่นทำให้แต่ละมื้อของพวกเขา ไม่บริโภคกันจนจุกแน่น เพียงแต่พอให้รู้สึกว่าอิ่มก็เหมาะกับแต่ละมื้อแล้ว
นอกจากนี้ ในแต่ละวันชาวโอกินาวาจะทานอาหารที่ให้พลังงานต่ำประมาณ 1,800-1,900 แคลอรี่ จากปริมาณ 2,000 แคลอรี่ที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้บริโภคต่อวัน
อาหารหลักของคนที่นี่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
เว็บไซต์ Healthline ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ต่างจากคนญี่ปุ่นในพื้นที่อื่นๆ ที่ทานข้าวเป็นหลัก ชาวโอกินาวาเลือกที่จะทานมันเทศ ธัญพืช ถั่ว และผักที่มีใยอาหารสูง แบ่งได้เป็นสัดส่วนดังต่อไปนี้
– อาหารจำพวกผักประมาณ 58-60% เช่น สาหร่ายทะเล หน่อไม้ หัวไชเท้า แรดิช แตงขม กะหล่ำปลี แครอท กระเจี๊ยบจีน ฟักทอง และมะละกอดิบ
– ธัญพืชประมาณ 33% เช่น ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี และข้าว
– ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองประมาณ 5% เช่น เต้าหู้, มิโซะ, นัตโตะและถั่วแระญี่ปุ่น
– เนื้อสัตว์และอาหารทะเลประมาณ 1-2% ส่วนใหญ่เป็นปลาสีขาว อาหารทะเล หมู และเครื่องใน
– อาหารประเภทอื่นๆ 1% เช่น แอลกอฮอล์ ชา เครื่องเทศ และน้ำซุปต่างๆ
กลับคืนสู่ธรรมชาติ…
การกินแบบอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ โปรตีนต่ำและอาหารคาร์โบไฮเดรตสูง ช่วยลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็งและเบาหวาน
นอกจากนี้ อาหารที่หาได้ง่ายๆ จากธรรมชาติ ไม่ต้องปรุงแต่งมากมายตามวิถีชาวบ้าน แต่เต็มไปด้วยความสะอาดและคุณค่าทางอาหาร ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ทำให้ชาวโอกินาวามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง อายุยืนยาวขึ้นนั่นเอง
เรียกได้ว่าเป็นหลักการในการทานอาหารที่เราเองก็สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่ายๆ
ใครที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นก็ลองนำไปใช้ดูนะฮะ
ที่มา: bbc, healthline, positivehealthwellness
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.