ย้อนกลับไปในปี 2017 ทีมนักโบราณคดีของเยอรมนี ได้เข้าทำการขุดค้นโบสถ์เซนต์โจฮันนิส (Johanniskirche ในภาษาเยอรมัน) หลังจากที่พวกเขาพบว่ามีที่เก็บของ ถูกซ่อนเอาไว้ที่ใต้พื้นของโบสถ์
ที่นั่นพวกเขาพบกับโลงศพหินขนาดใหญ่ที่มีอายุราว 1,000 ปีถูกฝังเอาไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เวลาหลายปีหลังจากนั้นในการเตรียมการที่ซับซ้อน เพื่อที่จะเก็บกู้โลงศพหินชิ้นนี้ และตรวจสอบว่าใครกันที่เป็นผู้หลับใหลอยู่ใต้พื้นของโบสถ์เซนต์โจฮันนิสกัน
และแล้วหลังจากที่เตรียมการกันมาอย่างยาวนาน ในที่สุดนักโบราณคดีก็ตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะเปิดโลงศพหินที่พบออกมาเสียที
ดังนั้นด้วยความช่วยเหลือของ “ชายหนุ่มผู้แข็งแรง” 14 คน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทีมนักโบราณคดีก็ทำการเปิดฝาโลงศพที่มีน้ำหนักถึง 700 กิโลกรัมออกมาจนได้
อ้างอิงจากสำนักข่าวต่างประเทศ สิ่งที่นักโบราณคดีพบอยู่ในโลงศพนั้นคือเศษซากที่ถูกย่อยสลายจนแทบดูไม่ออกของเศษผ้า เนื้อเยื่อ และกระดูกมนุษย์ ซึ่งเมื่อตรวจสอบด้วยระบบคาร์บอนกัมมันตรังสีแล้ว พวกเขาก็พบว่าใครก็ตามที่อยู่ในโลงนี้น่าจะเคยมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 11 มาก่อน
นับว่าโชคดีมากที่การพบเนื้อเยื่ออยู่ในโลงศพจะทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถนำเนื้อเยื่อเหล่านี้ไปทำการตรวจสอบทาง DNA ได้ อย่างไรก็ตามขั้นตอนการตรวจสอบดังกล่าวคาดว่าจะกินเวลาพอสมควรอยู่ ดังนั้นในปัจจุบันนักโบราณคดีจึงทำได้เพียงแค่คาดการณ์ว่าใครกันที่เป็นผู้ถูกฝังอยู่ที่นี่
โดยในเบื้องต้น เหล่าผู้เชี่ยวชาญได้ตั้งข้อสันนิษฐานกันว่า ร่างที่มีการค้นพบนี้ น่าจะเป็นของชายที่มีชื่อว่า “Erkanbald” ผู้ซึ่งในช่วงปี ค.ศ. 1011-1021 ได้รับหน้าที่เป็นอาร์คบิชอปแห่งไมนซ์มาก่อนนั่นเอง
ทั้งนี้การขุดค้นที่กลายเป็นข่าวนั้น เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยเพื่อบูรณะโบสถ์เซนต์โจฮันนิสซึ่งมีการจัดทำกันมาตั้งแต่เมื่อปี 2013 และจนถึงปัจจุบันค่าใช้จ่ายที่ถูกใช้ในโครงการวิจัยครั้งนี้ก็พุ่งขึ้นไปถึงราวๆ 250 ล้านบาทแล้ว
ที่มา ancient-origins, cnn, wnd
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.